วัน 214

ฤทธิ์เดชแห่งการทรงสถิตของพระองค์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 90:1-10
พันธสัญญาใหม่ โรม 15:14-33
พันธสัญญาเดิม 1 พงศาวดาร 12:23:14-17

เกริ่นนำ

ครั้งหนึ่ง ดยุคแห่งเวลลิงตันเคยกล่าวถึงนโปเลียนว่า 'เมื่อก่อนข้าพเจ้าเคยพูดถึงนโปเลียนว่า การปรากฏตัวของเขาในสนามรบสร้างความแตกต่างให้กับทหารสี่หมื่นคน’ การปรากฏตัวของผู้นำที่เข้มแข็งนั้นส่งผลกระทบอันทรงพลัง ผลกระทบของฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งแห่งการทรงสถิตของพระเจ้าจะยิ่งใหญ่กว่านั้นเพียงใด!

มีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณอันล้ำลึกในหัวใจของเราทุกคน ซึ่งสามารถอิ่มใจได้โดยการทรงสถิตขององค์พระเจ้าเท่านั้น อาดัมและเอวาสูญเสียการรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าไปเนื่องจากความบาปของพวกเขา ภายหลังจากนั้น การทรงสถิตของพระเจ้าก็ไม่ได้ถูกรับรู้อย่างที่เคยเป็นมา

พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ เราไม่สามารถมองข้ามคุณค่าของการทรงสถิตของพระองค์ ผ่านทางกางเขนและการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูเท่านั้นที่เป็นหนทางไปสู่การทรงสถิตของพระองค์ และของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ดำรงอยู่ในคุณทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ บัดนี้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงฤทธิ์เดชแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 90:1-10

สภาพนิรันดร์ของพระเจ้า และสภาพอนิจจังของมนุษย์

คำอธิษฐานของโมเสส คนของพระเจ้า

1ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพระองค์ทั้งหลาย
 ทุกชั่วชาติพันธุ์
2ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา
 ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ
 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล
3พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นผงคลี
 และตรัสว่า “มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย จงกลับเถิด”
4เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์
 เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว
 หรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน
5พระองค์ทรงเทการล่วงหลับบนเขาทั้งหลาย
 พวกเขาก็เหมือนหญ้าที่งอกขึ้นในเวลาเช้า
6ในเวลาเช้ามันก็บานออกและงอกขึ้น
 เมื่อเวลาเย็นก็ร่วงโรยและเหี่ยวไป
7เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายถูกความกริ้วของพระองค์ผลาญเสีย
 พวกข้าพระองค์ก็เดือดร้อนเพราะพระพิโรธของพระองค์
8พระองค์ทรงตั้งความชั่วของข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ต่อพระพักตร์พระองค์
 ทรงตั้งบาปลับๆ ของพวกข้าพระองค์ไว้ในแสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์
9วันเวลาทั้งสิ้นของข้าพระองค์ทั้งหลายหมดไปใต้ความเกรี้ยวกราดของพระองค์
 ปีของพวกข้าพระองค์สิ้นสุดลงอย่างเสียงถอนหายใจ
10อายุขัยของข้าพระองค์ทั้งหลายคือเจ็ดสิบ
 หรือหากแข็งแรงก็ถึงแปดสิบ
แต่ช่วงชีวิตนั้นมีแต่ความลำบากและความเศร้าโศก
 ไม่ช้าก็สูญไปและพวกข้าพระองค์ก็จากไป

อรรถาธิบาย

การทรงสถิตของพระองค์เปิดเผยความบาปลับ ๆ ของเรา

ผมจำได้ถึงชายคนหนึ่งในกลุ่มย่อยอัลฟ่าของเราพูดว่า เขาไม่อาจเข้าใจแนวคิดเรื่อง ‘ความบาป' ได้ เพราะว่าเขา ‘ใช้ชีวิตเป็นคนดี และไม่ได้ตระหนักจริง ๆ ว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลั้งไปในชีวิตของเขา’ หลายสัปดาห์ต่อมา ในอัลฟ่าสุดสัปดาห์ เขาได้มีประสบการณ์กับพระเยซู และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาน้ำตาไหลอาบแก้ม และพูดว่า เขาตระหนักแล้วว่าชีวิตเขาเต็มไปด้วยความบาปเพียงไร และเขาได้รับการยกโทษบาปมากเพียงไร

ในแสงสว่างการทรงสถิตของพระเจ้าเปิดเผยจุดที่มืดมนในหัวใจของเรา ความบาปต่าง ๆ ซึ่งเราอาจอยากปกปิดไว้แม้กระทั่งกับตัวเราเอง ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ‘ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพระองค์ทั้งหลาย...พระองค์ทรงตั้งความชั่วของข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ต่อพระพักตร์พระองค์ ทรงตั้งบาปลับๆ ของพวกข้าพระองค์ไว้ในแสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์’ (ข้อ 1ก, 8)

ยิ่งเราใช้เวลาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้านานเท่าไหร่ แสงสว่างก็ยิ่งส่องสว่างและเน้นความบาปของเรามากขึ้น อัครสาวกเปาโลเริ่มโดยการบรรยายถึงตัวเองว่าเป็น ‘ผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต’ (1 โครินธ์ 15:9) ภายหลังเขาเรียกตัวเองว่า ‘คนเล็กน้อยยิ่งกว่าเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด’ (เอเฟซัส 3:8) ท้ายที่สุด เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นคนบาป ‘ตัวเอ้‘! (1 ทิโมธี 1:16)

ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่เลวลงกว่าเดิม แต่เป็นเพราะว่า ผ่านทางฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของการทรงสถิตของพระเจ้า ท่านได้ตระหนักถึงแสงสว่างที่ฉายส่องเข้าไปมากขึ้น และมากขึ้นในหัวใจของเขา นั่นอาจดูเหมือนเป็นในทางลบมาก ๆ แต่ที่จริงแล้วสำหรับอาจารย์เปาโล นี่ออกจะตรงกันข้าม ความรู้สึกท่วมท้นของเขาคือการสำนึกในพระคุณและสรรเสริญ เพราะว่าไม่สำคัญว่าเขาเคยทำพลาดขนาดไหน เขาทราบว่าตนเองได้รับการให้อภัยแล้วและรู้จักความสัมพันธ์กับพระเจ้า

ในฐานะคริสเตียน เราสามารถมองไปยังความสัมพันธ์แบบนั้นซึ่งจะคงอยู่ตลอดกาล พระเจ้าทรงนิจนิรันดร์ ‘พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล’ (สดุดี 90:2ข) กระนั้นเรารู้ดีเหลือเกินว่า ชีวิตมนุษย์เปราะบางเพียงใด ผู้เขียนสดุดีเตือนเราว่า เรากลับเป็นผงคลีดินอย่างมนุษย์ (ข้อ 3) เราเป็นเหมือนหญ้าที่งอกขึ้น และเหี่ยวแห้งและร่วงโรยไปในเวลาเย็น (ข้อ 5–6) และช่วงชีวิตโดยทั่วไปของเราก็เพียงเจ็ดสิบหรือแปดสิบปี (ข้อ 10)

ธรรมชาติอันนิรันดร์กาลของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่พระองค์ทรงเป็น สำหรับเรา ชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติหรือเรื่องธรรมชาติ ‘ค่าจ้างของความบาปคือความตาย’ แต่ของประทานจากพระเจ้าคือ ‘ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา’ (โรม 6:23)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระโลหิตของพระเยซูซึ่งชำระข้าพระองค์จากความบาปและความไม่ชอบธรรมทุกประการ ขอบพระคุณที่โดยทางพระองค์แล้ว ข้าพระองค์สามารถเข้าถึงการทรงสถิตอันน่าทึ่งของพระเจ้าได้
พันธสัญญาใหม่

โรม 15:14-33

พันธกิจของเปาโลในฐานะอัครทูต

 14พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านบริบูรณ์ด้วยความดี และพร้อมด้วยความรู้ทุกอย่าง สามารถจะเตือนสติกันและกันได้ 15แต่การที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่าน เพื่อเตือนความจำของท่าน ก็เนื่องจากพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานแก่ข้าพเจ้า 16เพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ไปยังคนต่างชาติ และทำหน้าที่ปุโรหิตฝ่ายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อคนต่างชาติจะเป็นเครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 17ขณะที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในสิ่งที่ทำเพื่อพระเจ้า 18เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์อ้างสิ่งใด นอกจากสิ่งซึ่งพระคริสต์ได้ทรงทำ โดยทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอนและการกระทำ เพื่อจะให้คนต่างชาติเชื่อฟัง 19คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม 20อันที่จริงข้าพเจ้าได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งไม่เคยมีใครออกพระนามพระคริสต์มาก่อน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว 21ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

 “คนที่ไม่เคยได้ข่าวเรื่องพระองค์ก็จะได้เห็น
และคนที่ไม่เคยได้ฟังจะได้เข้าใจ”

เปาโลเจตนาจะไปกรุงโรม

 22นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ไม่ให้มาหาพวกท่าน 23แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าไม่มีกิจที่จะต้องอยู่ในแว่นแคว้นเหล่านี้ต่อไป ข้าพเจ้ามีความปรารถนามาหลายปีแล้วที่จะมาหาท่าน 24เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่ออิ่มใจอยู่กับท่านทั้งหลายบ้างแล้ว หวังว่าท่านจะช่วยจัดส่งให้ข้าพเจ้าเดินทางต่อไป 25ขณะนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยเหลือธรรมิกชน 26เพราะว่าบรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา ยินดีที่จะเรี่ยไรเงินส่งไปให้แก่ธรรมิกชนที่ยากจนในกรุงเยรูซาเล็ม 27คริสตจักรเหล่านี้ยินดีจะทำเช่นนี้ ที่จริงพวกเขาก็เป็นหนี้ธรรมิกชนเหล่านั้นด้วย เพราะเมื่อคนต่างชาติเข้าส่วนกับชาวเยรูซาเล็มในของประทานฝ่ายวิญญาณจิต ก็เป็นการสมควรที่พวกเขาจะได้ปรนนิบัติชาวเยรูซาเล็มด้วยสิ่งของฝ่ายเนื้อหนัง 28เมื่อข้าพเจ้าไปส่งเงินเรี่ยไรแก่พวกเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินทางไปประเทศสเปนโดยแวะเยี่ยมท่านตามทาง 29และข้าพเจ้ารู้ว่า เมื่อมาหาท่านนั้น ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพรอันบริบูรณ์ของพระคริสต์
 30พี่น้องทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และโดยความรักของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าวิงวอนขอให้ท่านร่วมอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้นเพื่อข้าพเจ้า 31ที่ข้าพเจ้าจะพ้นจากมือของคนในแคว้นยูเดียที่ไม่เชื่อ และเพื่อพันธกิจซึ่งข้าพเจ้าทำที่กรุงเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอใจของธรรมิกชน 32เพื่อข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านตามพระประสงค์ของพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี และมีความชื่นบานที่ได้พบท่าน 33ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคน อาเมน

อรรถาธิบาย

การทรงสถิตของพระองค์มาโดยฤทธิ์เดชขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

การทรงสถิตของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ และชีวิตของคนอื่น ๆ อย่างสุดขั้ว พระองค์ทรงให้ฤทธิ์เดชทั้งถ้อยคำของคุณและการกระทำของคุณ พระองค์ทรงทำให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ นี่คือลักษณะเด่นของคริสตจักรยุคแรก นี่คือสิ่งที่ควรเป็นลักษณะเด่นของคริสตจักรของเราในปัจจุบัน

ตามที่เปาโลเริ่มต้นนำจดหมายอันยิ่งใหญ่ของท่านที่มีไปถึงชาวโรมเข้าสู่ข้อสรุป เขาพูดถึงการทรงเรียกส่วนตัว ‘การมอบหมายที่ต้องจดจ่ออย่างยิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ข้าพเจ้า เพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ไปยังคนต่างชาติ และทำหน้าที่ปุโรหิตฝ่ายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อคนต่างชาติจะเป็นเครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ปุโรหิตคือคนที่ไปหาพระเจ้าในฐานะตัวแทนของผู้คน และไปหาผู้คนในฐานะตัวแทนของพระเจ้า ในแง่นี้ ตอนนี้เราทุกคนล้วนเป็นปุโรหิต คุณอยู่ในการรับใช้แบบปุโรหิต เมื่อคุณนำสารจาก พระเจ้าไปสู่โลก และเมื่อคุณไปหาพระเจ้า การวิงวอน การอธิษฐานเผื่อคนที่อยู่ภายนอกคริสตจักรให้มารู้จักกับพระคริสต์ เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขากลายเป็น ‘เครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 16)

ความทะเยอทะยานของเปาโลคือการเทศนาข่าวประเสริฐ ในที่ซึ่งพระเยซูทรงเป็นที่รู้จัก ดังนั้นเพื่อให้ท่านจะไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว (ข้อ 20–21) ท่านทำสิ่งนี้โดย ‘ เพื่อจะให้คนต่างชาติเชื่อฟัง ” (ข้อ 18) ท่าน “จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่’ (ข้อ 19)

การประกาศข่าวประเสริฐของเขานั้นเป็นแบบองค์รวม เหมือนอย่างพระเยซู การเทศนาด้วยถ้อยคำมาพร้อมกับการสาธิตการทะลุทะลวงเข้ามาแห่งแผ่นดินของพระเจ้า นี่เกี่ยวข้องกับสามสิ่ง:

  1. ถ้อยคำ
    พระกิตติคุณนั้นเป็นสารที่ทรงพลังที่สุดในโลก อาจารย์เปาโลประกาศพระกิตติคุณ: 'ทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอน…’ (ข้อ 18)

  2. การงาน การประกาศพระกิตติคุณอย่างเต็มรูปแบบไม่ได้มีแค่ถ้อยคำแต่เป็นการกระทำ ‘โดยทรงใช้ข้าพเจ้าทางคำสอนและการกระทำ’ (ข้อ 18) ตัวอย่างเช่นเปาโลกระทำในฐานะของผู้ที่ยากจนดังที่เราได้เห็นที่นี่ ท่านเขียนว่า 'เรี่ยไรเงินส่งไปให้แก่ธรรมิกชนที่ยากจน…เพื่อบรรเทาความยากจนของพวกเขา’ (ข้อ 26–27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  3. การอัศจรรย์
    การประกาศพระกิตติคุณของเปาโล รวมเอาการสาธิตฤทธิ์เดชอันเหนือธรรมชาติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘อิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า’ (ข้อ 19)

คนจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เขาเห็นมากกว่าสิ่งที่เขาได้ยิน มีคำกล่าวว่า ‘สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น’ เปาโลให้สิ่งที่สิบปากว่า (ถ้อยคำ) และสิ่งที่ตาเห็น (การกระทำและการอัศจรรย์)

การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์นำเอาการทรงสถิตของพระเจ้าเทลงมาอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้พระเจ้าทรงประทับท่ามกลางประชากรของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ในหัวใจของคุณ สำคัญที่สุด พระองค์ทรงสถิตในชุมชนที่รวมตัวกัน (ตัวอย่างเช่น ในมัทธิว 18:20)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานให้พระองค์ทรงฟื้นฟูคริสตจักรของพระองค์ในปัจจุบัน ด้วยฤทธิ์เดชอันน่าทึ่งของการทรงสถิตของพระองค์ท่ามกลางเรา ขอทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมาเหนือข้าพระองค์อีกครั้ง ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้วเมื่อผู้คนเชื่อฟังพระองค์โดยสิ่งที่ข้าพระองค์พูดและกระทำอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์
พันธสัญญาเดิม

1 พงศาวดาร 12:23:14-17

กองทัพของดาวิดที่เฮโบรน

 23ต่อไปนี้เป็นจำนวนกองทหารพร้อมรบ มาหาดาวิดในเมืองเฮโบรน เพื่อจะคว่ำราชอาณาจักรของซาอูลให้กับพระองค์ ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ 24คนยูดาห์ที่ถือโล่และหอกมี 6,800 คน เป็นทหารพร้อมรบ 25จากคนสิเมโอน มีนักรบกล้าหาญพร้อมทำสงคราม 7,100 คน 26จากคนเลวี 4,600 คน 27เยโฮยาดาเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์อาโรน มีคนมากับท่าน 3,700 คน 28ศาโดกนักรบกล้าหาญหนุ่ม และคนจากตระกูลของเขาเองเป็นผู้บังคับบัญชา 22 คน 29จากคนเบนยามินญาติของซาอูล 3,000 คน ซึ่งแต่ก่อนนี้จำนวนมากจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซาอูล 30จากคนเอฟราอิม 20,800 คน เป็นนักรบกล้าหาญผู้มีชื่อเสียงในตระกูลของพวกเขา 31จากคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า 18,000 คน ผู้ซึ่งถูกระบุชื่อไว้ให้มาหาดาวิดเพื่อตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์ 32จากคนอิสสาคาร์ ผู้รู้เข้าใจกาละ ทราบว่าอิสราเอลควรทำประการใด มีหัวหน้า 200 คน และญาติทั้งหมดของพวกเขาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหลาย 33จากคนเศบูลุน มี 50,000 คนที่เตรียมพร้อมออกรบในสงคราม ด้วยอาวุธสงครามทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ ด้วยใจเดียวกัน 34จากคนนัฟทาลี ผู้บังคับบัญชา 1,000 คน ซึ่งมีคนถือโล่และหอกมาด้วย 37,000 คน 35จากคนดาน มีคนพร้อมทำสงคราม 28,600 คน 36จากคนอาเชอร์ 40,000 คนที่พร้อมออกรบในสงคราม 37และจากฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน จากคนรูเบน และคนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า มี 120,000 คน พร้อมอาวุธสงครามทุกอย่าง
 38ทหารทั้งสิ้นเหล่านี้ พร้อมที่จะทำศึก มายังเฮโบรน ด้วยเจตนาเต็มเปี่ยมเพื่อตั้งดาวิดให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอลทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกันคนอิสราเอลที่เหลืออยู่ ก็เป็นใจเดียวกันที่จะตั้งดาวิดเป็นพระราชา 39เขาทั้งหลายอยู่ที่นั่นกับดาวิด 3 วัน กินและดื่ม เพราะว่าพวกพี่น้องของพวกเขาได้เตรียมไว้ให้เขาทั้งหลาย 40ยิ่งกว่านั้นคนที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลาย จนถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีจัดอาหารบรรทุก ลา อูฐ ล่อ และวัว อาหารมากมายที่นำมาเป็น แป้ง ขนมมะเดื่อ ช่อลูกเกด เหล้าองุ่น น้ำมัน วัว และแกะ เพราะว่ามีความชื่นบานในอิสราเอล

1 พงศาวดาร 13

นำหีบพันธสัญญามาจากคีริยาทเยอาริม

 1ดาวิดทรงหารือกับนายพัน นายร้อย และหัวหน้าทุกๆ คน 2ดาวิดตรัสกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเห็นดีด้วยและถ้าเป็นพระทัยของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา ก็ให้พวกเราส่งคนไปทุกแห่ง ไปยังพี่น้องของพวกเราผู้ที่เหลืออยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทั้งสิ้น และบรรดาคนที่อยู่กับพวกเขาคือบรรดาปุโรหิตและคนเลวี ผู้ซึ่งอยู่ในเมืองของเขากับชานเมือง เพื่อให้เขาทั้งหลายรวมตัวกันมาหาพวกเรา 3และให้พวกเรานำหีบแห่งพระเจ้าของพวกเรามายังพวกเราอีก เพราะพวกเราไม่ได้แสวงหาสิ่งนี้ในสมัยของซาอูล” 4ชุมนุมชนทั้งสิ้นนั้นก็ตกลงที่จะทำตามเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ชอบในสายตาของประชาชนทั้งหมด 5เพราะฉะนั้น ดาวิดจึงประชุมอิสราเอลทั้งสิ้นตั้งแต่ชิโหร์ ลำธารแห่งอียิปต์ ถึงทางเข้าเมืองฮามัท เพื่อจะได้นำหีบแห่งพระเจ้ามาจากคีริยาทเยอาริม 6ดาวิดกับอิสราเอลทั้งปวงขึ้นไปยังบาอาลาห์คือคีริยาทเยอาริม ซึ่งเป็นของยูดาห์ เพื่อจะได้นำหีบของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ผู้ประทับระหว่างกลางเครูบ อันเป็นหีบที่เรียกตามพระนาม มาจากที่นั่น 7และเขาทั้งหลายก็บรรทุกหีบของพระเจ้าไปในเกวียนเล่มใหม่ จากเรือนของอาบีนาดับ และอุสซากับอาหิโย เป็นคนขับเกวียน 8และดาวิดกับอิสราเอลทั้งปวงก็ร่าเริงกันอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของเขาทั้งหลาย ด้วยเพลง พิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา ฉาบ และแตร
 9และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงลานนวดข้าวของคิโดน อุสซาก็เหยียดมือออกจับหีบไว้เพราะโคสะดุด 10และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่ออุสซา และพระองค์ทรงประหารเขา เพราะเขาเหยียดมือออกแตะหีบนั้น และเขาก็ตายที่นั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า 11และดาวิดไม่พอพระทัยเพราะการที่พระยาห์เวห์ทรงพลุ่งทลายใส่อุสซา เขาจึงเรียกที่นั่นว่า เปเรศอุสซา จนถึงทุกวันนี้ 12และดาวิดทรงเกรงกลัวพระเจ้าในวันนั้น และพระองค์ตรัสว่า “ข้าจะนำหีบของพระเจ้าไปถึงข้าได้อย่างไร?” 13ดาวิดจึงไม่ได้ทรงย้ายหีบไปถึงพระองค์ที่นครของดาวิด แต่ทรงนำหีบอ้อมไปที่บ้านโอเบดเอโดม คนกัท 14และหีบของพระเจ้าอยู่กับครัวเรือนของโอเบดเอโดมที่เรือนของเขา 3 เดือน และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่

1 พงศาวดาร 14

ดาวิดตั้งมั่นที่เยรูซาเล็ม

 1ฮีรามพระราชาเมืองไทระ ได้ทรงส่งเหล่าทูตมาเฝ้าดาวิด และทรงส่งไม้สนสีดาร์ ทั้งช่างก่อและช่างไม้เพื่อจะสร้างวังสำหรับพระองค์ 2และดาวิดทรงทราบว่าพระยาห์เวห์ทรงตั้งพระองค์เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล เพราะอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นที่ยกย่องสูงส่ง เพื่อเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์

โอรสของดาวิดซึ่งเกิดที่กรุงเยรูซาเล็ม

 3และดาวิดทรงรับมเหสีเพิ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม และดาวิดทรงมีโอรสและพระธิดาอีก 4ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบรรดาโอรสซึ่งพระองค์ทรงมีในเยรูซาเล็มคือชัมมุวา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 5อิบฮาร์ เอลีชูวา เอลเปเลท 6โนกาห์ เนเฟก ยาเฟีย 7เอลีชามา เบเอลยาดา เอลีเฟเลท

ดาวิดรบชนะคนฟีลิสเตีย

 8เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดทรงรับการเจิมเป็นพระราชาเหนืออิสราเอลทั้งปวงแล้ว คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด เมื่อดาวิดทรงทราบก็เสด็จออกไปต้านพวกเขา 9คนฟีลิสเตียก็เข้ามาและปล้นในหุบเขาเรฟาอิม 10ดาวิดก็ทรงทูลถามพระเจ้าว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปต่อสู้พวกฟีลิสเตียหรือ? พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าพระองค์หรือ?” และพระยาห์เวห์ตรัสตอบพระองค์ว่า “จงขึ้นไป และเราจะมอบพวกเขาไว้ในมือเจ้า” 11และพระองค์เสด็จขึ้นไปยังบาอัลเป-ราซิม และดาวิดทรงรบชนะเขาทั้งหลายที่นั่น และดาวิดตรัสว่า “พระเจ้าทรงพุ่งใส่เหล่าข้าศึกของข้าพเจ้าโดยมือของข้าพเจ้าเหมือนดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกที่นั้นว่า บาอัลเป-ราซิม 12เขาทั้งหลายก็ทิ้งบรรดารูปเคารพของพวกเขาเสียที่นั่น และดาวิดก็ทรงมีพระบัญชา และรูปเคารพเหล่านั้นก็ถูกเผา
 13และคนฟีลิสเตียยังมาปล้นในหุบเขานั้นอีก 14และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าตรัสตอบพระองค์ว่า “อย่าขึ้นตามพวกเขาไป จงล้อมพวกเขาและโจมตีพวกเขาที่ตรงข้ามกับหมู่ต้นยาง 15และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพอยู่ที่ยอดหมู่ต้นยางแล้ว จงออกไปรบ เพราะว่าพระเจ้าได้เสด็จออกไปข้างหน้าเจ้าเพื่อทรงประหารทัพของคนฟีลิสเตีย” 16และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเจ้าบัญชาแก่พระองค์ และพวกเขารบชนะทัพคนฟีลิสเตียตั้งแต่เมืองกิเบโอนถึงเมืองเกเซอร์ 17กิตติศัพท์ของดาวิดก็ลือไปสู่ประเทศทั้งปวง และพระยาห์เวห์ทรงให้ประชาชาติทั้งปวงครั่นคร้ามดาวิด

อรรถาธิบาย

การทรงสถิตของพระองค์เรียกร้องให้เกิดความยำเกรง

อย่ามองข้ามคุณค่าของการทรงสถิตของพระเจ้า องค์จอมเจ้านายอยู่กับคุณในตอนนี้ ตลอดเวลา โดยพระวิญญาณของพระองค์ที่ประทับอยู่ในคุณ

พระเจ้าทรงเตรียมประชากรของพระองค์สำหรับสิทธิพิเศษอันไม่ธรรมดานี้ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตของพระเจ้า เราเห็นในพระธรรมตอนนี้ถึงความสำคัญของสิ่งนี้

ดาวิดหารือกับบรรดาผู้นำ ดาวิดตรัส​กับ​ชุม​นุม​ชน​อิส​รา​เอล​ทั้ง​ปวง​ว่า "ถ้าท่านทั้งหลายเห็นดีด้วยและถ้าเป็นพระทัยของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา… ให้พวกเรานำหีบแห่งพระเจ้าของพวกเรามายังพวกเราอีก ”… ชุมนุมชนทั้งสิ้นนั้นก็ตกลงที่จะทำตาม… (พวกเขา) ไป… เพื่อจะได้นำ… หีบของพระเจ้า…หีบ​ที่​เรียก​ตาม​พระ​นาม ​เขา​ทั้ง​หลาย​ก็​บรร​ทุก​หีบ​ของ​พระ​เจ้า​ไป…ดาวิด​กับ​อิส​รา​เอล​ทั้ง​ปวง​ก็​ร่า​เริง​กัน​อยู่​เฉพาะ​พระ​พักตร์​พระ​เจ้า​ด้วย​เต็ม​กำ​ลัง​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย ด้วย​เพลง พิณ​เขา​คู่ พิณ​ใหญ่ รำ​มะ​นา ฉาบ และ​แตร’ (13:1–8)"

หีบพันธสัญญานั้นเป็นหีบหุ้มด้วยทองซึ่งบรรจุสิ่งหนึ่งจากหลายสิ่งนั่นคือ แผ่นศิลาจารึกบัญญัติสิบประการ (ดู ฮีบรู 9:4) หีบพันธสัญญาเป็นวัตถุที่ศักดิ์สิทธิที่สุดในระบบการนมัสการแบบพระวิหาร นี่เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่หลัก ๆ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตอันน่าทึ่งของพระเจ้า ซึ่งเมฆแห่งพระสิริก็ปกคลุมเหนือหีบนั้น (1 พงศาวดาร 13:6, ดูร่วมกับ อพยพ 25:22, 1 ซามูเอล 4:7)

ในอีกแง่หนึ่ง การทรงสถิตของพระเจ้าก็นำเอาพระพรอันยิ่งใหญ่มาด้วย เมื่อหีบแห่งพระเจ้าอยู่กับครอบครัวของโอเบดเอโดมเป็นเวลาสามเดือน ‘พระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่’ (1 พงศาวดาร 13:14) ในอีกแง่หนึ่ง นี่ก็เรียกร้องความยำเกรงอย่างยิ่งและสิ่งใดที่หมิ่นประมาทก็นำมาซึ่งการพิพากษา (ข้อ 9–10)

ดาวิดเคารพและยำเกรงอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและการทรงสถิตของพระองค์ ผลก็คือ ‘พระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่’ (ข้อ 13) ดาวิดทราบว่าตำแหน่งของตนในการเป็นผู้นำมาจากพระเจ้า (14:2) พระองค์ทรงทูลขอการทรงนำของพระเจ้าเป็นประจำว่าพระองค์ควรทำอะไร (ข้อ 10, 14) ‘พระเจ้าตรัสตอบพระองค์‘ (ข้อ 14)

ผลก็คือ ‘กิตติศัพท์ของดาวิดก็ลือไปสู่ประเทศทั้งปวง และพระยาห์เวห์ทรงให้ประชาชาติทั้งปวงครั่นคร้ามดาวิด’ (ข้อ 17) คำว่า ‘ครั่นคร้าม’ หมายถึง การเคารพอย่างยิ่ง เพราะว่าดาวิดเคารพการทรงสถิตของ พระเจ้า พระเจ้าทรงให้เกียรติท่าน และเจิมตั้งท่านไว้ให้ทุกคนเคารพดาวิด

คำอธิษฐาน

ขอบพระคุณพระเจ้า ที่โดยพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ข้าพระองค์สามารถเข้าถึงพระบัลลังก์ของพระองค์ด้วยความกล้าหาญและมั่นใจได้ ขอบพระคุณพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำให้การทรงสถิตของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ตลอดเวลา

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 90:4–6

‘เพราะ​พัน​ปี​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระ​องค์ เป็น​เหมือน​วาน​นี้​ซึ่ง​ผ่าน​ไป​แล้ว​หรือ​เหมือน​ยาม​เดียว​ใน​กลาง​คืน พระ​องค์​ทรง​เท​การ​ล่วง​หลับ​บน​เขา​ทั้ง​หลาย พวก​เขา​ก็​เหมือน​หญ้า​ที่​งอก​ขึ้น​ใน​เวลา​เช้า ใน​เวลา​เช้า​มัน​ก็​บาน​ออก​และ​งอก​ขึ้น เมื่อ​เวลา​เย็น​ก็​ร่วง​โรย​และ​เหี่ยว​ไป’

บางครั้งฉันก็รู้สึกเช่นนั้นอยู่บ้าง!

นิคกี้รับประกอบพิธีไว้อาลัยที่สุสานพัทนีย์ เวล เมื่อหลายปีก่อน เป็นสุสานขนาดใหญ่ มีหลุมฝังศพมากมาย และสุสานแห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายพัน หรืออาจจะหลายล้านของจำนวนสุสาน นี่เตือนใจฉันอีกครั้งว่า มีคนมากมายเพียงใดที่เสียชีวิตไปก่อนเรา และชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นช่างแสนสั้น ทุกวันที่เราได้อยู่บนโลกนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก ฉันไม่อยากเสียเวลาต่อไปแม้สักวันเดียว

ข้อพระคำประจำวัน

โรม 15:33

‘ขอ​พระ​เจ้า​แห่ง​สันติ​สุข​สถิต​อยู่​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทุก​คน…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม