วัน 213

นำความหวังสู่ผู้คน

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 89:46-52
พันธสัญญาใหม่ โรม 14:19-15:13
พันธสัญญาเดิม 1 พงศาวดาร 11:1-12:22

เกริ่นนำ

แมทธิว ชายอายุ 21 ปี เป็นคนไร้บ้านมา 3 ปี มาร์ค รัสเซล (หัวหน้าคริสตจักรกองทัพบกด้วยอายุเพียง 31 ปี) เจอแมทธิวบนถนนชาร์ริง ครอส ในลอนดอน รัสเซลเอาอาหารมาให้เขา และนำเขามาถึงพระคริสต์

ในขณะที่รัสเซลกำลังจะกลับ เขาถามแมทธิว ว่า ‘แมทธิว เดือนหน้านี้ฉันจะต้องขึ้นไปบรรยายให้คนฟังนับพัน วันนี้นายอยากฝากบอกอะไรกับนิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์บ้างไหม?’

แมทธิวตอบว่า ‘งานของคริสตจักร คือ หยุดการทะเลาะเบาะแว้ง และนำความหวังมาให้ผู้คน

มาร์ค รัสเซล ให้ความเห็นว่า ‘ผมไม่เคยได้ยินความนิยามที่ดีกว่านี้มาก่อนในสิ่งที่เราควรทำ เราไม่มีข่าวประเสริฐแห่งความหวังหรือ? ไม่มีหลักคำสอนที่นำความหวังมาให้หรอกหรึอ? หลักคำสอนแห่งชีวิต คำสอนแห่งการเปลี่ยนแปลง และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ความหวังของชีวิตนิรันดร์ คือความหวังของพระเยซู'

หลายคนมองเห็นแต่จุดจบที่สิ้นหวัง แต่กับพระเยซู คุณสามารถมีความหวังได้ไม่รู้จบ

ความหวังเป็นหนึ่งในสามสิ่งอันยิ่งใหญ่ โดยอีกสองสิ่งคือความรักและความเชื่อ ดังที่พระคาร์ดินัล รานิเอโร คานตาลาเมสซา เขียนไว้ว่า ‘สามสิ่งนี้เหมือนสามสาวพี่น้อง สองคนนั้นเติบโตแล้ว แต่อีกหนึ่งคนยังคงเป็นเด็กน้อย สามพี่น้องเดินไปข้างหน้า และจับมือของกันและกันไว้ โดยที่เด็กหญิงความหวังนั้นอยู่ตรงกลาง หากใครมองดูเด็กสามคนนี้ อาจคิดว่าพี่สาวทั้งสองนั้นกำลังดึงเด็กหญิงไปข้างหน้า แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับกัน เด็กหญิงความหวังต่างหากที่ดึงพี่สาวทั้งสองคนไปข้างหน้า ความหวังต่างหากเป็นแรงดึงความเชื่อและความรักไว้ หากปราศจากความหวังนั้น ทุก ๆ อย่างก็จะสิ้นสุดลง’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 89:46-52

46ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์จะซ่อนองค์อยู่นานเท่าใด? เป็นนิตย์หรือ?
 พระพิโรธของพระองค์จะไหม้อยู่นานเท่าใด?
47ขอทรงระลึกว่าช่วงชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร
 เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกคนมาเปล่าประโยชน์แท้ๆ
48มนุษย์คนใดมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเห็นความตาย?
 ผู้ใดจะช่วยชีวิตของตนจากมือของแดนคนตายได้?
49ข้าแต่องค์เจ้านาย ความรักมั่นคงของพระองค์ในกาลก่อนอยู่ที่ไหน?
 ซึ่งทรงปฏิญาณต่อดาวิดโดยความซื่อสัตย์ของพระองค์
50ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงระลึกว่าผู้รับใช้ของพระองค์ถูกเยาะเย้ยอย่างไร
 และข้าพระองค์แบกรับความสบประมาทของชนชาติทั้งหลายไว้ในอก
  ของข้าพระองค์อย่างไร
51ข้าแต่พระยาห์เวห์ นั่นแหละศัตรูของพระองค์ได้เย้ยหยัน
 นั่นแหละเขาเย้ยรอยเท้าของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้
52สาธุการแด่พระยาห์เวห์เป็นนิตย์
 อาเมน และ อาเมน

อรรถาธิบาย

รู้จักความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ผ่านพระเยซูคริสต์

‘การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความหวังคือการหยุดที่จะมีชีวิต’ ฟีโอดอร์ ดอสโตฟกี้ เขียนไว้ ‘ความหวังในชีวิต เปรียบเสมือนออกซิเจนในปอด’ เขียนโดย อีมิล บรุนเนอร์ \t

สดุดีข้อนี้จบลงด้วยข้อความแห่งความหวัง ‘สาธุการแด่ พระยาห์เวห์เป็นนิตย์ อาเมน และ อาเมน' (สดุดี 89: 52) ผู้แต่งสดุดีบทนี้ยึดเหนี่ยวอยู่กับความหวังทั้ง ๆ ที่ตัวเขากำลังดิ้นรนต่อสู้กับสถานการณ์ในชีวิตของเขา

  1. ความหวังท่ามกลางความทุกข์ และความสิ้นหวัง
    ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์จะซ่อนองค์อยู่นานเท่าใด? เป็นนิตย์หรือ?’ (ข้อ 46ก) พระคัมภีร์ข้อนี้เป็นสำนวนคำถาม เป็นการคร่ำครวญถึงความทุกข์ ว่าความทุกข์นี้จะเป็นอยู่ตลอดกาลนั้นหรือ?

  2. มีความหวังถึงแม้ว่าชีวิตนั้นแสนสั้น และความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตนั้นแสนสั้น: ‘ขอทรงระลึกว่าช่วงชีวิตของข้าพระองค์สั้นเพียงไร’ (ข้อ 47ก) ถ้าความตายนั้นคือจุดจบที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหมายหรือเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต ‘เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทุกคนมาเปล่าประโยชน์แท้ ๆ!’ (ข้อ 47ข) ‘มนุษย์คนใดมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเห็นความตาย? ผู้ใดจะช่วยชีวิตของตนจากมือของแดนตายได้?’ (ข้อ 48)

ผู้แต่งบทสดุดีนี้ไม่ได้ปฏิเสธความหวังของการฟื้นคืนชีพ แต่เขารู้ว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถทำให้ตนเองรอดได้ เขาจึงแสวงหาพระเจ้า ‘ข้าแต่องค์เจ้านาย ความรักมั่นคงของพระองค์ในกาลก่อนอยู่ที่ไหน? ซึ่งทรงปฏิญาณต่อดาวิดโดยความซื่อสัตย์ของพระองค์...ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้’ (ข้อ 49-51) สิ่งที่ผู้สดุดีเห็นเฉพาะในโครงร่างที่ไม่ชัดเจนนั้น ได้ปรากฏชัดเจนในพันธสัญญาใหม่

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทาน*ความหวังที่ยั่งยืน*ผ่านการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และเข้าในมรดกซึ่งไม่เสื่อมสลาย และไร้มลทิน และไม่ร่วงโรย (1 เปโตร 1: 3-4)
พันธสัญญาใหม่

โรม 14:19-15:13

19เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน 20อย่าทำลายสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพราะเห็นแก่อาหารเลย อาหารทุกอย่างปราศจากมลทินก็จริง แต่การกินอาหารซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นสะดุด ก็เป็นสิ่งไม่ดี 21เป็นการดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือเหล้าองุ่นหรือทำสิ่งใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด 22จงให้ความเชื่อของท่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระหว่างท่านกับพระเจ้า ใครไม่มีเหตุติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้นก็เป็นสุข 23แต่คนที่มีความสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามที่ตนเชื่อ ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น

โรม 15

จงให้เป็นที่พอใจของเพื่อนบ้าน ไม่ใช่ของตนเอง

 1พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อข้อบกพร่องของคนที่อ่อนแอ ไม่ควรทำอะไรตามความพอใจของตัวเอง 2เราทุกคนจงทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความเชื่อของเขา 3เพราะว่าพระคริสต์ไม่ทรงทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์เอง ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยท่าน ตกอยู่แก่ข้าพระองค์” 4เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์ 5ขอพระเจ้าผู้เป็นแหล่งความทรหดอดทนและการหนุนใจ ทรงช่วยให้ท่านทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์ 6เพื่อท่านจะได้พร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ข่าวประเสริฐสำหรับพวกยิวและพวกต่างชาติ

 7เพราะฉะนั้นจงต้อนรับกันและกัน เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ได้ทรงต้อนรับท่าน เพื่อพระเกียรติของพระเจ้า 8เพราะข้าพเจ้าว่า พระคริสต์ได้ทรงรับใช้มายังพวกยิว เพื่อเห็นแก่ความสัตย์จริงของพระเจ้า เพื่อจะรับรองพระสัญญาที่ประทานไว้กับบรรดาอัครปิตานั้น 9และเพื่อให้คนต่างชาติได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เพราะพระเมตตาของพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

“เพราะเหตุนี้ ข้าพระองค์ขอสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางประชาชาติ
และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ ”

 10และมีคำกล่าวอีกว่า
“ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีกับชนชาติของพระองค์ ”

 11แล้วยังมีคำกล่าวอีกว่า

“ทุกประชาชาติ จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
และให้ชนชาติทั้งหมดยกย่องพระองค์ ”

 12และอิสยาห์กล่าวอีกว่า

“รากแห่งเจสซีจะมา
 คือผู้ที่จะทรงลุกขึ้นมาครอบครองบรรดาประชาชาติ
 ประชาชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์”

 13ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

อรรถาธิบาย

เปี่ยมด้วยความหวังผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์

ความเชื่อ นำมาซึ่งความหวัง ความสุข และสันติสุขในชีวิตของเรา ความสงสัยขโมยความสุขและสันติสุขไปจากเรา ความเชื่อ หมายถึง การวางใจใน “พระเจ้าแห่งความหวัง” เปาโลอธิษฐานว่า “ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วย (‘เดือดพล่าน’ พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (15:13)

แหล่งกำเนิดของความหวังคือ ‘พระเจ้าแห่งความหวัง’ เหตุแห่งความหวังคือพระเยซู บ่อเกิดแห่งความหวังนั้นอยู่ข้างในตัวของคุณ คือ องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ความหวังนี้ไม่ใช่ความคิดที่เพ้อฝัน เป็นสิ่งซึ่งหยั่งรากลงในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำสำเร็จแล้วเพื่อเรา และกำลังทำอยู่ในเรา

ความหวังเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราในวันต่อวัน ดังที่ เออร์วิน แมคมานัสให้ความเห็นว่า ความหวังนั้น ‘ยกตัวเราออกจากเศษซากของความล้มเหลว ความเจ็บปวด และ ความกลัวที่อยู่เหนือเรา ซึ่งในบางครั้งเศษซากดังกล่าวดูเหมือนจะยากเกินกว่าที่เราจะสามารถจัดการได้ ความสามารถของเราในการอดทน อดกลั้น ที่จะมีชัยนั้น ถูกเติมพลังด้วยส่วนผสมที่ดูเหมือนไม่มีอันตรายซึ่งเรียกว่า ความหวัง’’

ความหวังของโลกทั้งใบนั้นอยู่ในพระเยซู ทรงเป็นความหวังของอิสราเอล และความหวังของเราทุกคน เปาโลอ้างอิงถึงข้อความมากมายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อที่จะพิสูจน์สิ่งนี้ ท่านได้สรุปถ้อยคำจากพระธรรมอิสยาห์ ซึ่งได้ทำนายเกี่ยวกับพระเยซูไว้ว่า ‘สูงส่งพอที่ทุกคนในทุกหนแห่งจะมองเห็น และสมหวังได้!’ (ข้อ 12 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เปาโลช่วยให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลายของความหวังที่พระเยซูคริสต์ได้นำมาสู่โลกในวันนี้ ดังต่อไปนี้:

  1. ความหวังในการเป็นหนึ่งเดียวกัน
    เปาโลวิงวอนอย่างต่อเนื่องถึงการพยายามสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน: ‘เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน’ (14:19) รักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวโดยมีความอ่อนไหวต่อพี่น้องในพระคริสต์และไม่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองโดยไม่จำเป็น (14:20–15:1) เราทุกคนจง ‘ทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความเชื่อของเขา’ (ข้อ 2)

ทำตามตัวอย่างของพระเยซู: ‘เพราะว่าพระคริสต์ไม่ทรงทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์เอง’ (ข้อ 3) เราจงเป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์ จงทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ตนเองพอใจหรือสิ่งที่ทำให้มนุษย์พอใจ การทำให้มนุษย์พอใจนั้นหมายถึงการพยายามที่จะทำให้คนอื่นพอใจ ถึงแม้ว่าการกระทำสิ่งนั้นจะขัดกับมโนธรรมของตนเอง เปาโลเองนั้นทำตามความพอใจของคนอื่น ในขอบเขตที่การกระทำนั้นไม่ได้ขัดพระทัยของพระเจ้า (กาลาเทีย 1:10, โครินธ์ 10:33)

  1. ความหวังจากพระคัมภีร์
    จุดมุ่งหมายของพระคัมภีร์ คือ การให้ความหวังกับเรา ‘เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์’ (โรม 15:4) ผ่านพระคัมภีร์นี้เองที่เราได้รู้จักพระเยซูคริสต์ และรู้ความจริงที่ว่าความหวังนั้นอยู่ในพระองค์ ดังนั้นเราจะมีความหวังอยู่เสมอได้ ก็ต่อเมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำ

ความหวังนั้นนำไปสู่ ‘ความบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ’ (ข้อ 13) โครี่ เทน บลู ได้กล่าวคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมาก: ‘ความชื่นชมยินดีและสันติสุขหมายถึงการใช้ชีวิตที่มีรอยยิ้ม และกระเป๋าเดินทางที่ว่างเปล่าหนึ่งใบ’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ได้ให้พระเยซูฟื้นจากความตาย วันหนึ่งพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์กับพระเยซูมีชีวิตที่สมบูรณ์ และนิรันดร์ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เติมข้าพระองค์ในวันนี้ด้วยความหวัง
พันธสัญญาเดิม

1 พงศาวดาร 11:1-12:22

ตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล

 1แล้วอิสราเอลทั้งสิ้นก็มารวมตัวกันเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรนทูลว่า “ข้าพระบาททั้งหลายเป็นกระดูกและเนื้อของฝ่าพระบาท 2ในกาลก่อน แม้เมื่อซาอูลทรงเป็นพระราชา ฝ่าพระบาทก็ทรงนำอิสราเอลออกไปรบและกลับมา และพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทตรัสกับฝ่าพระบาทว่า ‘เจ้าจะเป็นผู้ดูแลอิสราเอลประชากรของเราอย่างผู้เลี้ยงแกะ และจะเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา’ ” 3ดังนั้นเมื่อพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของคนอิสราเอลมาเฝ้าพระราชาที่เมืองเฮโบรน ดาวิดทรงทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย ที่เมืองเฮโบรนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์โดยซามูเอล

ดาวิดยึดเมืองศิโยน

 4ดาวิดและคนอิสราเอลทั้งสิ้นไปยังเยรูซาเล็มคือเยบุส ที่นั่นคนเยบุสอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น 5ชาวเมืองเยบุสบอกดาวิดว่า “พระองค์จะเสด็จเข้ามาที่นี่ไม่ได้” อย่างไรก็ดี ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยนได้ (ซึ่งก็คือนครดาวิด 6ดาวิดรับสั่งว่า “ผู้ที่โจมตีคนเยบุสก่อนจะได้เป็นหัวหน้า และผู้บังคับบัญชา” และโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ยกขึ้นไปก่อน เขาจึงได้เป็นหัวหน้า 7และดาวิดประทับอยู่ในป้อมศิโยน เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า นครดาวิด 8และพระองค์ทรงขยายเมืองให้กว้างออกไปตั้งแต่แนวกั้นดินภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า มิลโลไปยังส่วนที่อยู่โดยรอบ และโยอาบก็ซ่อมส่วนที่เหลือของเมืองนั้น 9และดาวิดทรงจำเริญยิ่งๆ ขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับพระองค์

นักรบเก่งกล้าของดาวิด

 10ต่อไปนี้เป็นพวกผู้นำในเหล่านักรบของดาวิด ผู้สนับสนุนพระองค์อย่างเข้มแข็งในราชอาณาจักรของพระองค์ ด้วยกันกับอิสราเอลทั้งสิ้น ในการตั้งพระองค์ให้เป็นพระราชาตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ เกี่ยวกับอิสราเอล 11ต่อไปนี้เป็นจำนวนนักรบของดาวิดคือยาโชเบอัมบุตรฮัคโมนี เป็นหัวหน้าของคนทั้งสาม เขายกหอกของเขาสู้คน 300 คน และฆ่าเสียในคราวเดียวกัน
 12คนที่ถัดเขาไปคือเอเลอาซาร์บุตรโดโด คนอาโหอาห์ เขาเป็นหนึ่งในนักรบทั้งสามคนนั้น 13เขาอยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิม เมื่อคนฟีลิสเตียชุมนุมกันทำสงครามที่นั่น มีที่ดินแปลงหนึ่งมีข้าวบาร์เลย์เต็มไปหมด และคนทั้งหลายก็หนีจากพวกฟีลิสเตีย 14แต่เขากับดาวิดยืนหยัดอยู่ท่ามกลางที่ดินแปลงนั้น และป้องกันมันไว้ เขาทั้งสองได้ฆ่าพวกฟีลิสเตียเสีย และพระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้เขาทั้งสองด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่
 15สามคนในพวกหัวหน้าสามสิบคนนั้นลงไปถึงศิลาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อคนฟีลิสเตียตั้งค่ายรบอยู่ที่หุบเขาเรฟาอิม 16คราวนั้นดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และที่ตั้งกองทหารของคนฟีลิสเตียอยู่ที่เบธเลเฮม 17ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า “ใครหนอจะนำน้ำจากบ่อที่ข้างประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้?” 18แล้วคนทั้งสามก็แหกค่ายของคนฟีลิสเตียเข้าไป และตักน้ำมาจากบ่อเบธเลเฮมที่ข้างประตูเมือง นำเอามาถวายดาวิด แต่ดาวิดไม่ทรงปรารถนาที่จะดื่ม พระองค์ทรงเทน้ำนั้นถวายแด่พระยาห์เวห์ 19ตรัสว่า “ขอพระเจ้าของข้าทรงห้ามข้า ที่จะทำอย่างนี้ ที่จะดื่มโลหิตของคนเหล่านี้ ผู้เสี่ยงชีวิตของพวกเขา” และเพราะพวกเขาเสี่ยงชีวิตเอาน้ำนี้มา พระองค์จึงไม่ทรงปรารถนาที่จะดื่ม นี่เป็นสิ่งที่นักรบทั้งสามได้ทำ
 20ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบ เป็นหัวหน้าของสามคนฉบับซีเรียอ่านว่า สามสิบนั้น ท่านยกหอกของท่านสู้คน 300 คน และฆ่าเสีย และได้รับชื่อเสียงดังนักรบสามคนนั้น 21เขามีเกียรติกว่าทั้งสามคนเป็นสองเท่า จึงได้เป็นผู้นำของพวกเขา ถึงแม้เขาไม่อยู่ในกลุ่มสามคนนั้น
 22และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา เป็นบุตรคนเก่งกล้าแห่งเมืองขับเซเอล เป็นผู้ทำการอย่างกล้าหาญหลายอย่าง เขาฆ่าสองผู้นำของโมอับ และเขาลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 23เขาฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่ง รูปร่างใหญ่โต สูง 2 เมตร คนอียิปต์นั้นถือหอกเหมือนไม้ทอผ้า แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขา และแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์ และฆ่าเขาเสียด้วยหอกของเขาเอง 24สิ่งเหล่านี้เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา ได้ทำ และมีชื่อเสียงเหมือนกับนักรบทั้งสามนั้น 25เขาเป็นคนมีเกียรติมากกว่าสามสิบคนนั้น แต่เขาไม่อยู่ในพวกสามคนนั้น และดาวิดทรงตั้งเขาให้อยู่เหนือองครักษ์ของพระองค์
 26เหล่านักรบกล้าหาญคืออาสาเฮล น้องชายของโยอาบ เอลฮานัน บุตรโดโด คนเบธเลเฮม 27ชัมโมท คนฮาโรด เฮเลส คนเปโลน 28อิรา บุตรอิกเขช คนเทโคอา อาบีเยเซอร์ คนอานาโธท 29สิบเบคัย คนหุชาห์ อิลัย คนอาโหอาห์ 30มาหะรัย คนเนโทฟาห์เฮเลด บุตรบาอานาห์ คนเนโทฟาห์ 31อิธัย บุตรรีบัยแห่งเมืองกิเบอาห์ของคนเบนยามิน เบไนยาห์ คนปิราโธน 32หุรัย คนแห่งลำธารกาอัช อาบีเอล คนอารบาห์ 33อัสมาเวท คนบาฮูริม เอลียาบา คนชาอัลโบน 34บุตรของฮาเชม คนกิมโซ โยนาธาน บุตรชากี คนฮาราห์ 35อาหิอัม บุตรสาคาร์ คนฮาราห์ เอลีฟัล บุตรอูระ 36เฮเฟอร์ คนเมเค-ราไธด์ อาหิยาห์ คนเปโลน 37เฮสโร คนคารเมล นาอารัย บุตรเอสบัย 38โยเอล น้องนาธัน มิบฮาร์ บุตรฮากรี 39เศเลก คนอัมโมน นาหะรัย คนเบเอโรท ผู้ถืออาวุธของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์ 40อิรา คนอิทไรต์ กาเรบ คนอิทไรต์ 41อุรียาห์ คนฮิตไทต์ ศาบาด บุตรอัคลัย 42อาดีนาบุตรชิซา คนรูเบน หัวหน้าคนหนึ่งของคนรูเบน และสามสิบคนอยู่กับเขา 43ฮานัน บุตรมาอาคาห์ และโยชาฟัท คนมิทเน 44อุสชียา คนอัชทาโรท ซามา และเยอีเอล บุตรทั้งสองของโฮธาม คนอาโรเออร์ 45เยดียาเอล บุตรชิมรี และโยฮา น้องของเขา คนทิไซต์ 46เอลีเอล คนมาหะไวต์ และเยรีบัยกับโยชาวิยาห์ บุตรทั้งสองของเอลนาอัม และอิทมาห์คนโมอับ 47เอลีเอล และโอเบด และยาอาซีเอล คนเมโซบัย

1 พงศาวดาร 12

ผู้ช่วยของดาวิดที่ศิกลาก

 1ต่อไปนี้เป็นคนที่มาหาดาวิดที่ศิกลาก ขณะเมื่อท่านถูกขับไล่ไปจากซาอูล บุตรคีช พวกเขาเป็นเหล่านักรบผู้ช่วยในสงคราม 2พวกเขาเป็นนักธนู และเหวี่ยงหินด้วยสลิงและยิงธนูได้ด้วยมือขวาหรือมือซ้าย เป็นคนเบนยามินญาติของซาอูล 3อาหิเยเซอร์เป็นหัวหน้า ถัดไปคือโยอาชบุตรของเชมาอาห์ ชาวกิเบอาห์ และเยซีเอลกับเปเลทบุตรอัสมาเวท เบ-ราคาห์ และเยฮูชาวอานาโธท 4อิชมัยยาห์ชาวกิเบโอน เป็นนักรบในพวกสามสิบคนนั้น และเป็นหัวหน้าเหนือสามสิบคนนั้น เยเรมีย์ ยาฮาซีเอล โยฮานัน โยซาบาดชาวเมืองเกเดราห์ 5เอลูซัย เยรีโมท เบอัลยาห์ เชมาริยาห์ เชฟาทิยาห์ ตระกูลฮารูฟ 6เอลคานาห์ อิสซีอาห์ อาซาเรล โยเอเซอร์ ยาโชเบอัม คนโคราห์ 7และโยเอลาห์กับเศบาดิยาห์ บุตรของเยโรฮัม ชาวเกโดร์
 8มีนักรบกล้าหาญพร้อมทำศึกสงครามจากคนกาดหนีไปหาดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาชำนาญโล่และหอก หน้าของพวกเขาเหมือนหน้าสิงห์ และพวกเขารวดเร็วเหมือนละมั่งบนภูเขา 9เอเซอร์เป็นหัวหน้า โอบาดีห์ที่สอง เอลีอับที่สาม 10มิชมันนาห์ที่สี่ เยเรมีย์ที่ห้า 11อัททัยที่หก เอลีเอลที่เจ็ด 12โยฮานันที่แปด เอลซาบาดที่เก้า 13เยเรมีย์ที่สิบ มัคบันนัยที่สิบเอ็ด 14คนเหล่านี้มาจากพวกบุตรของกาด เป็นผู้นำในกองทัพ ผู้น้อยก็เป็นนายร้อยผู้ใหญ่ก็เป็นนายพัน 15เหล่านี้เป็นคนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทั้งสิ้น และทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำแตกหนีไปทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตก
 16มีบางคนจากเผ่าเบนยามินและยูดาห์มาเฝ้าดาวิด ณ ที่กำบังเข้มแข็ง 17ดาวิดทรงออกไปพบเขา และตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมาอย่างสันติเพื่อช่วยข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะผูกพันกับท่าน แต่ถ้าเพื่อขายข้าพเจ้าให้แก่บรรดาศัตรูของข้าพเจ้า ทั้งที่ในมือของข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ ก็ขอพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทั้งหลายทอดพระเนตร และทรงพิพากษา” 18แล้วพระวิญญาณทรงสวมทับเหนืออามาสัย หัวหน้าของคนทั้งสามสิบนั้น และเขาทูลว่า

“ข้าแต่ดาวิด ข้าพระบาททั้งหลายเป็นของฝ่าพระบาท
 ข้าแต่บุตรเจสซี ข้าพระบาทอยู่กับฝ่าพระบาท
สวัสดิภาพ สวัสดิภาพ จงมีแก่ฝ่าพระบาท
 และสวัสดิภาพจงมีแก่ผู้ช่วยของฝ่าพระบาท
เพราะว่าพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงช่วยฝ่าพระบาท”

 แล้วดาวิดทรงรับเขาทั้งหลายไว้ และทรงตั้งให้เป็นพวกหัวหน้าในกองปล้น

 19บางคนจากเผ่ามนัสเสห์หลบหนีไปเข้าฝ่ายดาวิด เมื่อพระองค์ยกมากับคนฟีลิสเตีย เพื่อทำสงครามกับซาอูล (แต่พวกดาวิดไม่ได้ช่วยคนฟีลิสเตีย เพราะพวกเจ้านายของคนฟีลิสเตียหารือกันและส่งพระองค์กลับไปเสีย บอกว่า “เขาจะหลบหนีไปคืนดีกับซาอูลนายของเขาโดยเอาหัวของเราไปด้วย”) 20ขณะเมื่อพระองค์ไปยังศิกลาก คนมนัสเสห์เหล่านี้หลบหนีไปเฝ้าพระองค์ คืออัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮูและศิลเลธัย บรรดาหัวหน้ากองพันในเผ่ามนัสเสห์ 21เขาทั้งหลายช่วยเหลือดาวิดต่อสู้พวกปล้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นนักรบกล้าหาญทั้งสิ้นและเป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพ 22ทุกๆ วันมีคนมาเข้าฝ่ายดาวิด เพื่อจะช่วยเหลือพระองค์ จนเป็นกองทัพใหญ่อย่างกองทัพของพระเจ้า

อรรถาธิบาย

วางความหวังของคุณไว้ในองค์จอมกษัตริย์ผู้จะมาถึง

ความหวังของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์จอมกษัตริย์ผู้ซึ่งวันหนึ่งจะกลับมา และสร้างพระนิเวศน์อันเป็นนิรันดร์ของพระองค์ เมื่อเราได้อ่านถึงกษัตริย์หลากหลายพระองค์ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เราจะสังเกตได้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของพวกเขา กษัตริย์เหล่านั้นก็ไม่สามารถทัดเทียบกับพระเยซูคริสต์ผู้สูงสุดได้เลย

ในมุมมองของผู้เขียนพงศาวดาร ดาวิดนั้นเป็นกษัตริย์ในอุดมคติ: ‘ฝ่าพระบาทก็ทรงนำอิสราเอลออกไปรบและกลับมา และพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทตรัสกับฝ่าพระบาทว่า “เจ้าจะเป็นผู้ดูแลอิสราเอลประชากรของเราอย่างผู้เลี้ยงแกะ และจะเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา”’ (11:2) ‘เขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์โดยซามูเอล’ (ข้อ 3) ‘และดาวิดทรงจำเริญยิ่ง ๆ ขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับพระองค์’ (ข้อ 9)

กษัตริย์ดาวิดนั้นไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียว เขามีเหล่าผู้สนับสนุนเคียงข้างเขา ท่านมีผู้เกรียงไกรสามสิบคนซึ่งรวมถึงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม ในช่วงเวลาที่ผมพยายามจะเป็นผู้นำ ผมเองรู้สึกขอบคุณสำหรับเหล่าผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่เคียงข้าง และเป็นกำลังใจให้ผมและพิพพาเสมอมา ถ้าไม่มีทีมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเราก็คงไม่สามารถทำในที่สิ่งพวกเรากำลังทำอยู่ได้

อามาสัย หัวหน้าของเหล่าผู้เกรียงไกรกล่าวกับดาวิด: ‘ดำเนินไปตามทางของพระวิญญาณ’ ‘เราอยู่เคียงข้างท่าน... เราให้คำมั่นแด่ท่าน...สิ่งดีงามจะเกิดขึ้นกับใครก็ตามที่ช่วยเหลือท่าน’ (12:18-22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

จากพระคัมภีร์ข้อนี้จะเห็นได้ว่า อาณาจักรอิสราเอลและแผ่นดินของพระเจ้ามีความคล้ายคลึงกัน ( ดู 1 พงศาวดาร 28:5; 1 พงศาวดาร 29:23; 1 พงศาวดาร 13:8) ไม่มีใครตั้งคำถามเกี่ยวกับความต่อเนื่องของความเป็นกษัตริย์เพราะว่าสิ่งนั้นได้รับการปกป้องจากพระเจ้า

แต่ในขณะที่ผู้เขียนหนังสือพงศาวดารเขียนเรื่องราวเหล่านี้ (หลายร้อยปีหลังจาก) ณ เวลาที่เขียน ไม่มีกษัตริย์องค์ใดปกครองเลย เขาเขียนเรื่องราวในอดีตด้วยความหวังว่าจะมีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับดาวิดได้ขึ้นมามีอำนาจ นี่คือความหวังของอิสราเอล กษัตริย์ที่จะมาถึง พระเยซูคริสต์คือกษัตริย์นั้น พระเยซูคริสต์คือ ‘ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้’ ทรงเป็น ‘พระเมสสิยาห์’ (สดุดี 89:51)

ณ ตอนนี้ ความหวังของเราคือ พระเยซูคริสต์ ดังที่บิชอป เลสลี นิวบิกิน ได้เคยกล่าวไว้ว่า ‘ขอบฟ้าของคริสเตียนคือ “พระองค์จะมากลับมาอีกครั้ง” และ “เรารอคอยการกลับมาของพระเยซูคริสต์” อาจเป็นวันพรุ่งนี้ หรือเวลาใดก็ได้ แต่นั่นคือขอบฟ้าของเรา ขอบฟ้านั้นเป็นรากฐานของผม และทำให้ความหวังนั้นเป็นไปได้ ซึ่งทำให้พบว่าชีวิตมีความหมาย’

คำอธิษฐาน

พระบิดา ลูกขอบพระคุณที่ความหวังของอิสราเอลถูกเติมเต็ม เมื่อพระเยซู พระราชาผู้ทรงถูกเจิมตั้งไว้ได้มาถึง ขอบพระคุณที่ตอนนี้เราสามารถรอคอยการกลับมาของพระองค์อีกครั้ง ‘สาธุการแด่พระยาเวห์เป็นนิตย์ อาเมนและอาเมน’ (ข้อ 52)

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 พงศาวดาร 11:10-25

ฉันมีชาย (และหญิง) ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในครอบครัวของฉัน พวกเขาแบกรับความอยุติธรรมที่มหาศาล และพวกเขาก็สามารถถือกระเป๋าเดินทางได้ด้วย!

ข้อพระคำประจำวัน

โรม 15:13

‘ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม