วิธีฟื้นฟูความสัมพันธ์ของคุณ
เกริ่นนำ
ฮานส์เริ่มทำงานจากการเป็นคนขุดแร่ไปสู่การเป็นเจ้าของเหมืองจำนวนหนึ่ง มาร์ติน ลูกชายคนโตของเขาฉลาดมากและเข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุสิบเจ็ดปี อาชีพที่น่านับถือในฐานะทนายความรอเขาอยู่ข้างหน้า อยู่ดีๆ เขาก็ยกเลิกการลงทะเบียนหลักสูตรนิติศาสตร์ ไปเป็นนักบวชและจากนั้นไปเป็นบาทหลวง ผู้เป็นพ่อถึงกับสลดใจ
มาร์ตินต้องการมีชีวิตที่ชอบธรรม เขาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน และอธิษฐานโดยไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายคืน แต่เขาก็ยังถูกรบกวนจากความไม่ชอบธรรมของเขาเองต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม เมื่ออายุประมาณ 30 ปี ขณะที่เขากำลังศึกษาพระธรรมโรม 1:17 เขาได้เข้าใจ ซึ่งต่อมาเขาบันทึกไว้ว่า
‘ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจว่าในข้อพระคัมภีร์นี้ ความชอบธรรมของพระเจ้าคือ คนชอบธรรมดำเนินชีวิตโดยของประทานจากพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง คือโดยความเชื่อ และประโยคที่ว่า “ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออก” หมายถึงความชอบธรรมที่ได้มาเฉย ๆ กล่าวคือ โดยที่พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทำให้เราชอบธรรมโดยความเชื่อ ตามที่เขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกราวกับว่า ข้าพเจ้าได้บังเกิดใหม่แล้วและได้เข้ามาทางประตูสวรรค์ที่เปิดอยู่’
ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 500 ปีที่แล้ว มันไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของเขาเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์อีกด้วย เขากลายเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของอารยธรรมตะวันตก ผู้ริเริ่มการปฏิรูป เมล็ดพันธุ์แห่งความคิดทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ชื่อของเขาคือมาร์ติน ลูเธอร์
โดยพื้นฐานแล้ว ความชอบธรรม หมายถึง ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับผู้อื่น นั่นเป็นของประทานที่มีได้ผ่านทางชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู นี่คือเคล็ดลับของความสัมพันธ์ที่ได้รับการฟื้นฟู ประการแรกคือ ความสัมพันธ์ที่ได้รับการฟื้นฟูกับพระเจ้า และจากนั้นจะเป็นความสัมพันธ์อื่น ๆ ทั้งหมด
สดุดี 84:1-7
ความยินดีที่ได้นมัสการในพระวิหาร
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองกิททีธ เพลงสดุดีของตระกูลโคราห์
1ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ
ที่ประทับของพระองค์งดงามจริงๆ
2จิตใจของข้าพระองค์ปรารถนา เออ อาลัยหา
บริเวณพระนิเวศของพระยาห์เวห์
ทั้งใจและกายของข้าพระองค์ร้องเพลงด้วยความยินดี
ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
3แม้นกกระจอกก็หาบ้านได้แล้ว
และนกนางแอ่นหารังสำหรับตัวมันได้
ที่ที่มันจะวางไข่ออกลูก
คือที่แท่นบูชาของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ
ผู้ทรงเป็นพระราชาและพระเจ้าของข้าพระองค์
4ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ก็เป็นสุข
พวกเขาสรรเสริญพระองค์เสมอ
5คนที่พละกำลังของเขาอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข
ใจของพวกเขาอยู่บนทางหลวงไปยังศิโยน
6ขณะที่ผ่านไปตามหว่างเขาบาคา
พวกเขาทำให้เป็นที่น้ำพุ
ฝนต้นฤดูปกคลุมที่นั้นด้วยพระพรนานา
7พวกเขาไปด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขาจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแห่งพระทั้งหลายในศิโยน
อรรถาธิบาย
ชื่นชมยินดีกับพระพร
การได้อยู่ในที่ประทัยของพระเจ้าเป็นที่ซึ่งเราจะได้พบพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่เป็นหนึ่งในพระธรรมสดุดีที่ผมและพิพพาชื่นชอบที่สุด เราได้อ่านในงานแต่งงานของเราด้วย เรารักข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เพราะได้กล่าวถึงพระพรของการใช้ชีวิตในความสัมพันธ์ที่ได้รับการฟื้นฟูกับพระเจ้า
1. ปรารถนาการทรงสถิตของพระเจ้า
ในใจมนุษย์ทุกคนมีความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ ซึ่งจะทำให้อิ่มได้เพียงการดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าเท่านั้น ในการประทับอยู่ของพระเจ้า ความปรารถนาของจิตวิญญาณ (ข้อ 1 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ได้รับการตอบสนอง และเสียงร้องของหัวใจได้รับคำตอบ ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพที่ประทับของพระองค์งดงามจริง ๆ จิตใจของข้าพระองค์ปรารถนา เออ อาลัยหาบริเวณพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทั้งใจและกายของข้าพระองค์ร้องเพลงด้วยความยินดี ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์’ (ข้อ 1–2)
2. พระพรของการทรงสถิตของพระเจ้า
ในขณะที่คุณใช้เวลาอธิษฐาน ฟังพระเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์และนมัสการพระองค์ คุณจะพบว่าไม่มีที่ใดที่คุณอยากจะอยู่มากไปกว่าการได้อยู่เบื้องพระพักร์พระองค์ ‘ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ก็เป็นสุขพวกเขาสรรเสริญพระองค์เสมอ’ (ข้อ 4)
ที่ประทับของพระเจ้าเป็นสถานที่แห่งพระพร การสรรเสริญ และความสดชื่น เป็นเหมือนฝนที่โปรยปรายลงบนดินที่แห้งผาก (ข้อ 6)
3. กำลังจากการทรงสถิตของพระเจ้า
เมื่อกำลังของเราอยู่ในพระเจ้า (ข้อ 5) สถานที่ยากลำบาก สถานการณ์ที่ยากลำบาก และหุบเขาแห่งชีวิตสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำพุได้ (ข้อ 6) เมื่อคุณพึ่งพากำลังจากพระเจ้าในช่วงเวลาเหล่านี้ คุณจะพบว่าตัวเองมี ‘กำลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ’ (ข้อ 7)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พลับพลาและพระวิหารเป็นที่ประทับในการสถิตของพระเจ้า ปัจจุบันนี้ โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงอยู่และสถิตโดยพระวิญญาณของพระองค์ในคริสตจักร (เอเฟซัส 2:22) และในชีวิตของเรา (1 โครินธ์ 6:19)
คำอธิษฐาน
โรม 1:1-17
การทักทาย
1เปาโล ผู้รับใช้ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ทาสของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และการตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2คือข่าวประเสริฐที่ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า โดยทางพวกผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 3ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดมาโดยสืบเชื้อสายจากดาวิดทางฝ่ายเนื้อหนัง 4แต่ฝ่ายจิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นทรงปรากฏจิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นทรงปรากฏ ด้วยฤทธานุภาพว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 5โดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครทูต เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ให้ไปประกาศแก่ชนทุกชาติให้เขาวางใจและเชื่อฟัง 6รวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย
7เรียน ทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรมผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชน
ขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด
ความปรารถนาของเปาโลที่จะไปเยือนกรุงโรม
8ก่อนอื่น ขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านทุกคน โดยทางพระเยซูคริสต์ เพราะว่าความเชื่อของท่านเลื่องลือไปทั่วโลก 9เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้า ในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่ออธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงพวกท่านเสมอ 10ข้าพเจ้าทูลขอว่า ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว ให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาหาพวกท่านในที่สุด 11เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่าน เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้และเพื่อเสริมกำลังท่าน 12หมายความว่าจะได้มีการหนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย 13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่) 14ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่นๆแปลได้อีกว่า ทั้งพวกที่นิยมและพวกที่ไม่นิยมวัฒนธรรมกรีก (อนารยชน) ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนที่ไม่มีการศึกษาด้วย 15ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย
ฤทธิ์เดชของข่าวประเสริฐ
16ข้าพเจ้าไม่มีความละอาย ในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย 17เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”แปลได้อีกว่า คนที่ชอบธรรมโดยความเชื่อจะมีชีวิต
อรรถาธิบาย
ได้รับของประทาน
คุณไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้ได้รับหรือคู่ควรกับความรักจากพระเจ้า คุณได้รับสิ่งนี้เป็นของประทาน พระเยซูทำให้คุณเป็นคนชอบธรรม โดยผ่านชีวิต การสิ้นพระชมน์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ คุณจึงสามารถดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้
ชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู นำให้ประวัติศาสตร์โลกเดินไปในทิศทางใหม่อย่างไรบ้าง? ชีวิตของชายหญิงและเด็ก ๆ ทุกคนบนโลกนี้ได้รับผลกระทบไปชั่วนิจนิรันดร์อย่างไรบ้าง?
ในเอกสารที่มีอิทธิพลและแปลกใหม่ของศาสนศาสตร์ (เขียนประมาณปี ค.ศ. 59) เปาโลผู้ซึ่งได้เผชิญหน้ากับพระเยซูที่ฟื้นคืนพระชนม์ด้วยตัวเอง ได้นำเอาข้อเท็จจริงที่เป็นพยานถึงชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ชาวนาซาเร็ธมาพิจารณาความหมาย
ดูเหมือนว่าการก่อตั้งชุมชนคริสเตียนในกรุงโรมไม่ได้เกิดขึ้นโดยองค์กรการประกาศที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ แต่เกิดจากการที่คริสเตียนซึ่งอยู่ในสถานที่ทำงานต่าง ๆ โดยทำอาชีพของตนเองตามปกติ ถ้าคุณทำงานสายอาชีพ คุณสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เท่ากับผู้ประกาศข่าวประเสริฐเต็มเวลา
เปาโลปรารถนาที่จะได้พบเพื่อน ๆ ของเขาในกรุงโรม (ข้อ 11) พวกเขาเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ แต่เปาโลมีความถ่อมใจและหวังจะได้เรียนรู้บางสิ่งจากพวกเขานอกเหนือจากที่พวกเขาจะได้เรียนรู้จากตนเอ (ข้อ 11–12) ‘ท่านมีอยู่มากเท่าที่จะให้แก่ข้าพเจ้า เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะให้แก่ท่าน’ (ข้อ 12 , พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ผมพบว่าในอัลฟ่ากลุ่มย่อยทุกกลุ่ม ผมได้เรียนรู้จากแขกรับเชิญมากพอ ๆ กับที่พวกเขาเรียนรู้จากเรา
ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่อยู่นอกคริสตจักรเท่านั้นที่ต้องการฟังพระกิตติคุณ เปาโลกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ชุมชนคริสเตียนในกรุงโรม (ข้อ 15)
ทั้งยังรู้ดีถึงการทดลองให้รู้สึกอับอาย เป็นเรื่องง่ายมากที่จะปล่อยให้ความกลัวและความกังวลถึงสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวเรานั้นมาหยุดยั้งไม่ให้เราพูดถึงพระเยซู แต่เปาโลเขียนว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด’ (ข้อ 16 ก) เขารู้ถึงฤทธิ์อำนาจอันอัศจรรย์ของข่าวประเสริฐในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ (ข้อ 16ข)
ไม่มีสิทธิพิเศษใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการประกาศข่าวประเสริฐ ‘เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ’ (ข้อ 17 ก) เปาโลไม่ได้กล่าวขัดแย้งกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม แต่ใช้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งนี้ ‘และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”’ (ข้อ 17ข ดูร่วมกับ ฮาบากุก 2:4) ด้วย
เปาโลกำลังจะกล่าวมากขึ้นในเรื่อง ‘ความชอบธรรมจากพระเจ้า’ ข่าวดี (ข่าวประเสริฐ) คือ พระเจ้าได้ทรงเปิดทางให้เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ได้ ความชอบธรรมนี้มาจากพระเจ้า นี่เป็นของประทานของพระองค์เพื่อคุณ คุณไม่สามารถทำอะไรเพื่อจะได้รับ คุณได้รับ ‘โดยความเชื่อ' คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความรู้สึกผิดและการกล่าวโทษอีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกคุณออกจากความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณได้ (โรม 8:1–39)
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 23:1-24:7
การปฏิรูปของโยสิยาห์
1แล้วพระราชาทรงใช้พวกเขาไปรวบรวมผู้ใหญ่ทั้งหมดของยูดาห์และของเยรูซาเล็มให้มาเฝ้าพระองค์ 2พระราชาเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พร้อมกับคนยูดาห์ทั้งหมด และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งสิ้น รวมทั้งพวกปุโรหิต และพวกผู้เผยพระวจนะ กับประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ให้พวกเขาฟัง 3พระราชาทรงยืนข้างเสา และทรงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ว่าจะดำเนินตามพระยาห์เวห์ และจะรักษาพระบัญญัติ พระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจ จะสถาปนาถ้อยคำของพันธสัญญานี้ที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ แล้วประชาชนทั้งหมดก็เข้าร่วมในพันธสัญญานั้น
4แล้วพระราชาทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้เฝ้าธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับพระอาเช-ราห์ และสำหรับบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระยาห์เวห์ แล้วพระองค์ก็ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งขิดโรน และขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล 5และพระองค์ทรงกำจัดพวกปุโรหิตของรูปเคารพ ผู้ที่บรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ได้แต่งตั้งให้เผาเครื่องหอมในปูชนียสถานสูง ที่เมืองต่างๆ ของยูดาห์ และที่รอบๆ กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล ถวายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดาวประจำราศี และบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์ 6และพระองค์ทรงนำพระอาเช-ราห์ออกจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ไปยังลำธารขิดโรนภายนอกเยรูซาเล็ม และเผาเสียที่ลำธารขิดโรน และทรงทุบให้เป็นผงคลีและเหวี่ยงผงคลีนั้นลงบนหลุมศพของสามัญชน 7และพระองค์ทรงรื้อที่พักของเทวทาสชายผู้ร่วมประเวณีในพิธีทางศาสนา ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และเป็นที่ที่ผู้หญิงทอม่านสำหรับพระอาเช-ราห์ 8และพระองค์ทรงให้ปุโรหิตทั้งหมดออกจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และทรงทำให้ปูชนียสถานสูงคือที่ซึ่งปุโรหิตได้เผาเครื่องหอมเสียความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เมืองเกบาถึงเบเออร์เชบา และพระองค์ทรงทำลายปูชนียสถานสูงของประตู ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าประตูของโยชูวาผู้ว่าราชการเมือง ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือที่ประตูเมือง 9ถึงอย่างไรก็ดี ปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงไม่ได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายกินขนมปังไร้เชื้อ ท่ามกลางพวกพี่น้องของเขาเอง 10และพระองค์ทรงทำให้โทเฟทที่อยู่ในหุบเขาเบนฮินโนมเสียความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะไม่มีใครถวายบุตรชายหญิงของตน ให้ลุยไฟเป็นเครื่องบูชาต่อพระโมเลค 11และพระองค์ทรงกำจัดม้าซึ่งบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ตรงทางเข้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ข้างห้องนาธันเมเลคข้าราชสำนักซึ่งอยู่ในบริเวณที่โล่ง และพระองค์ทรงเผารถรบของดวงอาทิตย์เสียด้วยไฟ 12และแท่นบูชาบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดาพระราชาของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลานทั้งสองของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระราชาทรงรื้อลงมาและหักเสียเป็นชิ้นๆ และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน 13และพระราชาทรงทำให้ปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และอยู่ทางใต้ของภูเขาแห่งความพินาศนั้นเสียความศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นซาโลมอนพระราชาแห่งยูดาห์ได้สร้างไว้สำหรับพระอัชทาโรทสิ่งน่าเกลียดน่าชังของชาวไซดอน และสำหรับพระเคโมชสิ่งน่าเกลียดน่าชังของโมอับ และสำหรับพระมิลโคมสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน 14และพระองค์ทรงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นๆ และโค่นบรรดาเสาอาเช-ราห์ลงเสีย แล้วเอากระดูกมนุษย์ถมที่นั้น
15ยิ่งกว่านั้นอีก แท่นบูชาที่เบธเอลกับปูชนียสถานสูงซึ่งตั้งขึ้นโดยเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย พระองค์ทรงรื้อแท่นบูชากับปูชนียสถานสูงนั้นลง และทรงเผาปูชนียสถานสูงนั้น แล้วบดให้เป็นผงและพระองค์ทรงเผาเสาอาเช-ราห์ด้วย 16และเมื่อโยสิยาห์ทรงหันไป ทอดพระเนตรอุโมงค์ฝังศพซึ่งอยู่บนภูเขา พระองค์ทรงใช้ให้ไปเอากระดูกออกมาจากอุโมงค์ และเผาเสียบนแท่นบูชา และทรงทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งคนของพระเจ้าผู้ซึ่งป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ได้ป่าวร้องไว้ เมื่อเยโรโบอัมทรงยืนอยู่ข้างแท่นบูชาในงานเลี้ยง พระองค์ทรงหันมาและเงยดูอุโมงค์ฝังศพคนของพระเจ้า 17แล้วพระองค์ตรัสว่า “อนุสาวรีย์ที่เรามองเห็นข้างโน้นคืออะไร?” คนเมืองนั้นก็ทูลพระองค์ว่า “เป็นอุโมงค์ฝังศพของคนของพระเจ้า ผู้มาจากยูดาห์และได้ป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล” 18และพระองค์ตรัสว่า “ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ อย่าให้ใครย้ายกระดูกของเขา” เขาทั้งหลายจึงทิ้งกระดูกของเขาไว้อย่างนั้น พร้อมกับกระดูกของผู้เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย 19โยสิยาห์ทรงกำจัดนิเวศทั้งสิ้นของปูชนียสถานสูง ที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย ซึ่งบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ ทำให้พระยาห์เวห์กริ้ว พระองค์ทรงทำต่อที่เหล่านั้นเหมือนทุกอย่างที่ทรงทำที่เบธเอล 20และพระองค์ทรงประหารปุโรหิตทั้งหมดแห่งปูชนียสถานสูง ผู้อยู่ที่นั่นข้างแท่นบูชา และทรงเผากระดูกคนบนแท่นเหล่านั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
การฉลองเทศกาลปัสกา
21พระราชาทรงบัญชาประชาชนทั้งหมดว่า “จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้” 22เพราะว่าเทศกาลปัสกาเหมือนอย่างนี้ไม่เคยถือกันมาตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอล จนถึงสมัยบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลและพระราชาแห่งยูดาห์ 23แต่ในปีที่ 18 แห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ มีการถือเทศกาลปัสกาอย่างนี้ถวายแด่พระยาห์เวห์ในกรุงเยรูซาเล็ม 24ยิ่งกว่านั้นอีก โยสิยาห์ได้กำจัดคนทรงและแม่มด เทราฟิมบรรดารูปเคารพประจำบ้าน และรูปเคารพ และสิ่งน่าเกลียดน่าชังซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ และในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งเขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25ก่อนพระองค์ก็ไม่มีพระราชาองค์ใดเหมือนพระองค์ ผู้หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยสุดกำลังตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หลังพระองค์ก็ไม่มีพระราชาองค์ใดขึ้นมาเหมือนพระองค์
26ถึงกระนั้น พระยาห์เวห์ก็ไม่ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าและยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระพิโรธของพระองค์ได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ เนื่องด้วยการกระทำของมนัสเสห์ที่ทำให้พระองค์กริ้ว 27ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะให้ยูดาห์ออกไปให้พ้นหน้าเราด้วย เหมือนที่เราได้ทำต่ออิสราเอล และเราจะเหวี่ยงเมืองนี้ซึ่งเราได้เลือกออกไปเสียคือเยรูซาเล็มกับนิเวศ ซึ่งเราได้บอกว่านามของเราจะอยู่ที่นั่น”
โยสิยาห์สิ้นพระชนม์ในการรบ
28ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของโยสิยาห์ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 29ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคพระราชาแห่งอียิปต์เสด็จขึ้นไปยังพระราชาแห่งอัสซีเรียถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะกับฟาโรห์ และเมื่อฟาโรห์ทรงเห็นพระองค์ก็ประหารพระองค์เสียที่เมืองเมกิดโด 30ข้าราชการของพระองค์ก็นำพระศพใส่รถรบไปจากเมืองเมกิดโด และนำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของพระองค์ แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็นำเยโฮอาหาสพระราชโอรสของโยสิยาห์มาและเจิมพระองค์ แล้วตั้งให้เป็นพระราชาแทนพระราชบิดา
เยโฮอาหาสทรงครอบครองและถูกจับไปเป็นเชลยยังอียิปต์
31เยโฮอาหาสมีพระชนมายุ 23 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 เดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาล บุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 32พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ 33และฟาโรห์เนโคก็ทรงจับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อไม่ให้พระองค์ปกครองในเยรูซาเล็ม และกำหนดบรรณาการจากแผ่นดินนั้นเป็นเงิน 100 ตะลันต์หนักประมาณ 3.4 ตัน และทองคำ 1 ตะลันต์หนักประมาณ 34 กิโลกรัม 34และฟาโรห์เนโคทรงตั้งเอลียาคิมพระราชโอรสของโยสิยาห์เป็นพระราชาแทนโยสิยาห์พระราชบิดา และทรงเปลี่ยนชื่อให้เป็นเยโฮยาคิม แต่ได้ทรงพาเยโฮอาหาสไปเสีย และท่านมาถึงอียิปต์และสิ้นชีวิตที่นั่น 35เยโฮยาคิมทรงมอบเงินและทองคำแก่ฟาโรห์ แต่พระองค์ทรงเก็บภาษีจากประชาชนของแผ่นดิน เพื่อมอบเงินตามบัญชาของฟาโรห์ พระองค์ทรงเร่งรัดเอาเงินและทองคำจากทุกคน ตามการประเมินเพื่อมอบแก่ฟาโรห์เนโค
เยโฮยาคิมทรงครองยูดาห์
36เยโฮยาคิมมีพระชนมายุ 25 พรรษา เมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 11 ปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เศบิดาห์บุตรหญิงของเปดายาห์ชาวรูมาห์ 37และพระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ
2 พงศ์กษัตริย์ 24
พวกศัตรูเหยียบย่ำยูดาห์
1ในรัชกาลของเยโฮยาคิม เนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลนยกขึ้นมา และเยโฮยาคิมเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ 3 ปี แล้วก็กลับกบฏต่อพระองค์ 2และพระยาห์เวห์ทรงใช้คนเคลเดีย คนซีเรีย คนโมอับและคนอัมโมนมาต่อสู้กับเยโฮยาคิม และทรงใช้เขาทั้งหลายไปต่อสู้ยูดาห์เพื่อจะทำลายเสีย ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ 3แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ เพื่อจะเอาพวกเขาออกไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ เพราะบรรดาบาปของมนัสเสห์ ตามทุกอย่างซึ่งท่านได้ทำ 4และเพราะโลหิตที่ไร้ความผิดซึ่งท่านได้ทำให้ไหลออกนั้นด้วย เพราะท่านได้ทำให้กรุงเยรูซาเล็มเต็มไปด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด และพระยาห์เวห์ไม่ทรงอภัย 5ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮยาคิม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 6เยโฮยาคิมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเยโฮยาคีนหรือ เยโคนิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน 7และพระราชาแห่งอียิปต์ไม่ได้ทรงยกออกมาจากแผ่นดินของพระองค์อีก เพราะพระราชาแห่งบาบิโลนได้ยึดแดนทั้งสิ้น ซึ่งเป็นของพระราชาแห่งอียิปต์ตั้งแต่ลำห้วยของอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรติส
อรรถาธิบาย
เชื่อฟังต่อไป
พระเจ้ามีพระประสงค์มาโดยตลอดว่า ประชากรของพระองค์ควรมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ ความสัมพันธ์นี้อธิบายไว้ในแง่ของพันธสัญญา พระเจ้าได้ทรงช่วยกู้ประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ พระองค์อุทิศตัวให้กับพวกเขาทั้งหมด จากนั้นพระองค์ก็อธิบายให้พวกเขาฟังว่า พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ได้อย่างไร พระองค์ประทานธรรมบัญญัติเพื่อนำให้พวกเขารักษาความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าและต่อกันและกัน จุดประสงค์ของกฎเกณฑ์เหล่านี้คือเพื่อให้พวกเขาเจริญรุ่งเรือง
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราได้เห็นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่าพวกเขาไม่เชื่อฟังกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างไรบ้าง ด้วยเหตุนี้ภัยพิบัติจึงบังเกิดขึ้นมา บางครั้งมีความหวังเล็กน้อยเมื่อพวกเขายอมอุทิศตนต่อพันธสัญญาในความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ความหวังเล็ก ๆ ครั้งหนึ่งปรากฏขึ้นในรัชกาลของโยสิยาห์ ‘กษัตริย์ยืนอยู่ข้างเสาและต่อหน้าพระเจ้า ท่านก็อุทิศให้พวกเขาทั้งหมดทำตามพันธสัญญาอย่างเคร่งครัด ติดตามพระเจ้าโดยการเชื่อและเชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง จิตใจและจิตวิญญาณของพระองค์ ในสิ่งที่จะเชื่อ และกระทำ เพื่อนำพันธสัญญาทั้งหมดซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนั้นมาปฏิบัติ ประชาชนยืนขึ้นและเห็นพ้อง การอุทิศตนของพวกเขาถือเป็นเอกฉันท์’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
โยสิยาห์ได้ดำเนินการปฏิรูปหลายครั้ง (ข้อ 1–25) น่าเศร้าที่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบยาวนานพอต่อผู้คน และหลังจากการเสียชีวิตของโยสิยาห์ สิ่งต่าง ๆ กลับเป็นเช่นเดิม ชีวิตของโยสิยาห์นั้นไม่ง่ายดายและจบลงอย่างน่าเศร้าใจ แต่กระนั้นเขาก็พยายามติดตามพระเจ้าในทุกสิ่งที่กระทำ ‘ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยสุดกำลัง’ (ข้อ 25) โยสิยาห์เป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในวีรบุรุษแห่งความเชื่อ
ขอบคุณพระเจ้าที่ภายใต้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ กฎเกณฑ์ไม่ได้ถูกเขียนไว้บนแผ่นศิลา แต่เขียนไว้ในใจของคุณ ทันทีที่คุณวางใจในพระเยซู พระสัญญาทั้งหมดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจะสำเร็จในชีวิตคุณ คุณได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คุณเพื่อให้คุณเดินในความสัมพันธ์ที่ได้รับการฟื้นฟูกับพระองค์ และความสัมพันธ์ที่ได้รับการฟื้นฟูกับผู้อื่น
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 84:7
‘พวกเขาไปด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแห่งพระทั้งหลายในศิโยน’
นี่เป็นสิ่งที่หนุนใจที่จะให้ชีวิตเราจบดี โดยการก้าวต่อไปและเชื่อว่าปีต่อ ๆ ไปจะเกิดผลมากกว่าปีที่ผ่านมา
ข้อพระคำประจำวัน
โรม 1:16
‘ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)