วิธีนมัสการพระเจ้า
เกริ่นนำ
ในหนังสือ The Vision and The Vow ของเขา พีท เกรก เล่าถึงวิธีที่นักวิจารณ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงกำลังศึกษาภาพวาดอันงดงามโดย ฟิลิปปีโน ลิปปี ปรมาจารย์ด้านศิลปะเรเนซองซ์ ชาวอิตาลี เขายืนอยู่ในแกลเลอรี่ หอศิลป์แห่งชาติของลอนดอน จ้องไปที่ภาพวาดสมัยศตวรรษที่ 15 เป็นภาพนางมารีย์กำลังอุ้มพระกุมารเยซูบนตักของเธอ โดยมีนักบุญโดมินิกและเจอโรมคุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ แต่ภาพวาดทำให้เขาลำบากใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทักษะของลิปปีคือการใช้สีหรือองค์ประกอบ แต่สัดส่วนของภาพดูผิดไปเล็กน้อย เนินเขาที่อยู่ด้านหลังดูใหญ่เกินจริง ราวกับว่าจะเทหลุดออกจากกรอบลงไปที่บนพื้นขัดมันของแกลเลอรี่ได้ทุกนาที นักบุญทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ก็ท่าทางดูเคอะเขิน และน่าอึดอัด
นักวิจารณ์ศิลปะ โรเบิร์ต คูมมิ่งไม่ใช่คนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์งานของ ลิปปี ด้วยมุมมองที่ไม่ดี แต่เขาอาจเป็นคนสุดท้ายที่ทำเช่นนั้น เพราะในขณะนั้น เขาได้รับการเปิดเผย จู่ ๆ ดูเหมือนว่าปัญหาอาจอยู่ที่ตัวเขาเอง ภาพวาดนี้ไม่ควรมาแขวนในแกลเลอรี่ ภาพวาดของลิปปีวาดขึ้นเพื่อจะนำไปแขวนไว้ในพื้นที่แห่งการอธิษฐาน
นักวิจารณ์เลื่องชื่อคนนี้จึงคุกเข่าลงในแกลเลอรี่สาธารณะต่อหน้าภาพวาด ทันใดนั้นเขาก็เห็นสิ่งที่นักวิจารณ์ศิลปะหลายชั่วอายุคนพลาดไป จากมุมมองใหม่ของเขา โรเบิร์ต คูมมิ่ง พบว่าตัวเองกำลังแหงนหน้ามองชิ้นส่วนที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบ ส่วนโฟร์กราวด์เคลื่อนไปเป็นแบ็คกราวด์อย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ภาพนักบุญที่ดูน่าอึดอัด กลับกลายเป็นความสง่างาม เวลานี้ ภาพนางมารีย์มองมาที่เขาตรง ๆ และเปี่ยมด้วยความเมตตา ขณะที่เขาคุกเข่าลงที่เท้าของนาง ที่ระหว่างนักบุญดอมินิคและเจอโรม
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ตัวภาพวาด ที่วาดมาด้วยมุมมองผิด ๆ แต่เป็นมุมมองของคนที่มองภาพต่างหาก โรเบิร์ต คูมมิ่ง คุกเข่าลงพบความงาม ที่โรเบิร์ต คูมมิ่งนักวิจารณ์ศิลปะผู้เลื่องชื่อทำไม่ได้ ภาพวาดนั้นมีชีวิตขึ้นสำหรับผู้ที่คุกเข่าในการอธิษฐานเท่านั้น มุมมองที่ถูกต้อง คือ ท่าทีของการนมัสการ
สดุดี 84:8-12
8ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขอเงี่ยพระกรรณเถิด ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ
9ข้าแต่พระเจ้า ขอทอดพระเนตรโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอทรงดูหน้าผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้
10เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์
ดีกว่าพันวันในที่อื่น
ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศพระเจ้าของข้าพเจ้า
ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม
11เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเป็นดวงตะวันและเป็นโล่
พระยาห์เวห์ประทานความโปรดปรานและเกียรติ
พระองค์มิได้ทรงหวงสิ่งดีอันใดไว้
จากบรรดาผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์
12ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ
คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข
อรรถาธิบาย
ค้นพบพระพรของการนมัสการ
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเปรียบเทียบได้กับการนมัสการพระเจ้า การดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระองค์และได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีอธิษฐาน 'ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์...ขอทรงดูหน้าผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้’ (ข้อ 8–9)
พระธรรมสดุดีตอนนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพรของการนมัสการพระเจ้าในที่ประทับของพระองค์ (ในช่วงเวลานั้น นั่นคือพระวิหารในเยรูซาเล็ม) ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้รับพระพร และพวกเขา ‘สรรเสริญพระองค์เสมอ’ (ข้อ 4)
ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวว่า เขาอยากใช้เวลาหนึ่งวันในพระนิวเศพระเจ้ามากกว่าหนึ่งพันวันในที่อื่น ๆ ‘เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศน์ของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศน์พระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม’ ( ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การนมัสการพระเจ้าคือการได้สัมผัสกับพระองค์ในฐานะ ‘ดวงตะวัน’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ที่ส่องมาหาเราด้วยแสงสว่างและความอบอุ่นของพระองค์ และเป็น ‘โล่’ ที่ปกป้องเราจากความชั่วร้าย (ข้อ 11)
เขาอธิษฐานเพื่อสิ่งนี้เพราะเขารู้ว่านั่นวิเศษเพียงใด ‘พระยาห์เวห์ประทานความโปรดปรานและเกียรติ พระองค์มิได้ทรงหวงสิ่งดีอันใดไว้จากบรรดาผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์ ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพคนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข’ (ข้อ 11–12)
คำอธิษฐาน
โรม 1:18-32
กรรมชั่วของมนุษยชาติ
18เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง 19เพราะการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับพวกเขา เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่เขาแล้ว 20ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย 21เพราะถึงแม้ว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์ แต่พวกเขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป 22ในการอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขากลายเป็นคนโง่เขลาไป 23และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน
24เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขาทำสิ่งที่น่าอับอายต่อกายของกันและกัน 25เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน
26เพราะเหตุนี้ พระเจ้าทรงปล่อยให้เขามีกิเลสตัณหาอันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป 27ส่วนผู้ชายก็เลิกมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันน่าละอายอย่างยิ่ง เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา
28และเพราะเขาเห็นว่าการรู้จักพระเจ้าไม่เป็นสิ่งสำคัญ พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม 29พวกเขาเต็มด้วยการอธรรมทุกชนิด ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การหลอกลวง การคิดร้าย พูดนินทา 30ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า ดูถูกคนอื่น เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว คิดทำชั่วแปลกๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา 31ไร้ปัญญา ไร้ความซื่อสัตย์ ไร้ความรักกัน ไร้ความเมตตา 32แม้เขาจะรู้บัญญัติอันชอบธรรมของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นชอบกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย
อรรถาธิบาย
นมัสการพระเจ้าเพียงผู้เดียว
คุณจะเป็นเหมือนสิ่งที่คุณนมัสการ ถ้าเรานมัสการรูปเคารพที่ไร้ค่า ชีวิตของเราก็ไร้ค่า ถ้าเรานมัสการพระเจ้า ในที่สุดเราก็จะเป็นเหมือนพระองค์
อัครสาวกเปาโลเริ่มต้นในข้อนี้เพื่อเปิดเผยสิ่งที่ผิดพลาดในโลกนี้ หัวใจของปัญหาคือมนุษยชาติได้ ‘นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง’ (ข้อ 25)
พระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์เองโดยเฉพาะในพระคัมภีร์และในท้ายที่สุดคือในพระเยซูคริสต์ ผู้ ‘ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า’ (ฮีบรู 1:3) แต่คนที่ไม่เคยได้ยินข่าวดีล่ะ? ข้อโต้แย้งของอาจารย์เปาโลในที่นี้คือเราทุกคน ‘ไม่มีข้อแก้ตัว’ (โรม 1:20)
พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองในการทรงสร้างของพระองค์ว่า ‘แต่ความจริงขั้นพื้นฐานของพระเจ้านั้นชัดเจนเพียงพอ จงเปิดตาของเจ้าและมันอยู่ที่นี่! โดยการมองดูให้นานและใคร่ครวญสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งที่ดวงตามองไม่เห็นได้อยู่เสมอ อย่าง ฤทธิ์อำนาจนิรันดร์ และความลึกลับแห่งการคงอยู่ของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถให้ข้อแก้ตัวดี ๆ ได้’ (ข้อ 19–20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้านี้เป็นเพียงบางส่วนและมีจำกัด แต่ตามที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวไว้ว่า ‘ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้าและพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์’ (สดุดี 19:1)
เราต้องมองโลกที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้นจึงจะรู้ว่ามีพระเจ้า ปัญหาของโลกคือ แม้จะมีการเปิดเผยจากพระเจ้า ‘พวกเขาปฏิเสธที่จะนมัสการพระองค์’ (โรม 1:21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘เขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือขอบพระคุณพระองค์’ (ข้อ 21) แต่พวกเขา ‘นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น’ (ข้อ 25)
ดังนั้น อัครสาวกเปาโลจึงเขียนว่า ‘พระเจ้าทรงปล่อยให้เขา’ (ข้อ 24, 26,28) พระเจ้าอนุญาตให้เราไปตามทางของเราเองเพื่ออย่างน้อยเราจะได้เรียนรู้จากผลอันเลวร้ายที่ตามมา ชีวิตที่หันหลังให้การนมัสการพระเจ้านั้นไร้ประโยชน์ในท้ายที่สุด ตามที่ฉบับ The Message กล่าวไว้ นั่นคือ ‘ไม่มีพระเจ้าและไร้ความรัก’ (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจที่จะยอมรับพระเจ้า พระเจ้าจึงเลิกรบกวนพวกเขาและปล่อยให้พวกเขาหนีไป แล้วนรกทั้งหมดก็เปิดออก’ (ข้อ 28 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เมื่อการนมัสการพระเจ้าเสื่อมลง ศีลธรรมของสังคมก็เสื่อมลงตามไปด้วย เราไม่ควรแปลกใจที่การนมัสการพระเจ้าในประเทศของเรานั้นลดลง หลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายไว้ในข้อนี้จึงเกิดขึ้นตามมา
หากคุณต้องการรักษามุมมองที่ถูกต้อง ให้จับตาดูพระเยซูและนมัสการและรับใช้พระผู้สร้างของคุณต่อไป
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 24:8-25:30
เยโฮยาคีนทรงครอบครองและถูกจับไปเป็นเชลยยังบาบิโลน
8เยโฮยาคีนมีพระชนมายุ 18 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 เดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเนหุชทา บุตรหญิงของเอลนาธันชาวเยรูซาเล็ม 9และพระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำ 10ในเวลานั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลน ยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้ 11แล้วเนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะที่พวกข้าราชการของพระองค์ยังล้อมเมืองอยู่ 12และเยโฮยาคีนพระราชาแห่งยูดาห์ ทรงมอบพระองค์แก่พระราชาแห่งบาบิโลน ทั้งตัวพระองค์เองพร้อมกับพระราชมารดา ข้าราชการ แม่ทัพ และข้าราชสำนักของพระองค์ แล้วพระราชาแห่งบาบิโลนจับพระองค์เป็นเชลยในปีที่ 8 แห่งรัชกาลของพระองค์
การยึดกรุงเยรูซาเล็ม
13และพระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงขนเอาทรัพย์สินในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และทรัพย์สินในพระราชวัง และทรงตัดทอนภาชนะทองคำ ซึ่งซาโลมอนพระราชาแห่งอิสราเอลทรงสร้างไว้ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ก่อนแล้ว 14พระองค์ทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มไปทั้งหมด คือเจ้านายทั้งหมด นักรบกล้าหาญทั้งหมดไปเป็นเชลย 10,000 คน รวมทั้งช่างฝีมือและช่างเหล็กทั้งหมด ไม่มีใครเหลือนอกจากประชาชนของแผ่นดินที่ยากจนที่สุด 15และพระองค์ทรงนำเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน ทั้งพระราชมารดา บรรดาพระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดิน พระองค์จับเอาไปเป็นเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน 16และพระราชาแห่งบาบิโลนทรงนำเชลยมายังบาบิโลนคือ ทหารภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า คนกล้าหาญทั้งหมด 7,000 คน ช่างฝีมือและช่างเหล็ก 1,000 คน ทุกคนแข็งแรง และเหมาะสำหรับการรบ 17และพระราชาแห่งบาบิโลนตั้งมัทธานิยาห์พระปิตุลาคำราชาศัพท์หมายถึง อาของเยโฮยาคีนเป็นพระราชาแทนพระองค์ และเปลี่ยนพระนามให้ว่า เศเดคียาห์
เศเดคียาห์ทรงครองยูดาห์
18เศเดคียาห์มีพระชนมายุ 21 พรรษา เมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 11 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาลบุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 19พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างที่เยโฮยาคิมทรงกระทำ 20เพราะพระพิโรธของพระยาห์เวห์ต่อเยรูซาเล็มและยูดาห์ พระองค์จึงทรงเหวี่ยงทั้งสองไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์
ยูดาห์พินาศและถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน
เศเดคียาห์ได้กบฏต่อพระราชาแห่งบาบิโลน
2 พงศ์กษัตริย์ 25
1และอยู่มาเมื่อวันที่ 10 เดือน 10 ปีที่ 9 แห่งรัชกาลของเศเดคียาห์ เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงยกทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้ และเขาทั้งหลายได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ 2กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่ 11 แห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ 3เมื่อถึงวันที่ 9 ของเดือนที่ 4 เกิดการกันดารอาหารรุนแรงในกรุงนั้น ไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน 4แล้วกรุงนั้นก็แตก ทหารทั้งสิ้นหนีออกไปในเวลากลางคืนตามทางประตูเมือง ระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมพระราชอุทยาน (ทั้งๆ ที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง) และพระราชาก็เสด็จตามทางไปลุ่มแม่น้ำจอร์แดน 5แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ตามพระราชา และมาทันพระองค์ในที่ราบเมืองเยรีโค และกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ก็กระจัดกระจายไปจากพระองค์ 6แล้วพวกเขาจึงจับพระราชา แล้วนำขึ้นมายังพระราชาแห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์ และกล่าวพิพากษาพระราชาแห่งยูดาห์ 7พวกเขาได้ประหารชีวิตบรรดาพระราชโอรสของเศเดคียาห์ต่อพระพักตร์ของพระองค์ แล้วควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออก และตีตรวนพระองค์ แล้วพาพระองค์ไปยังบาบิโลน
8เมื่อวันที่ 7 เดือนที่ 5 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาแห่งบาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม 9ท่านได้เผาพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระราชวัง และบ้านเรือนทั้งหมดของเยรูซาเล็ม ท่านเผาบ้านใหญ่ทุกหลังลงหมดด้วยไฟ 10และทหารคนเคลเดียทั้งหมดผู้อยู่กับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ได้ทลายกำแพงรอบเยรูซาเล็มลง 11และประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในเมือง และคนหลบหนีซึ่งหลบหนีไปหาพระราชาแห่งบาบิโลน พร้อมกับมวลชนที่เหลืออยู่นั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้กวาดต้อนไปเป็นเชลย 12แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ละคนจนที่สุดแห่งแผ่นดินไว้ให้เป็นคนทำสวนองุ่นและเป็นคนทำไร่ไถนา
13และเสาทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และแท่นกับอ่างสาครทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน 14พวกเขาขนหม้อ พลั่ว และตะไกรตัดไส้ตะเกียง และชามเครื่องหอม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดซึ่งใช้ในงานของพระวิหารเอาไปเสีย 15ทั้งกระถางไฟด้วย กับชามอ่าง สิ่งใดที่ทำด้วยทองคำหรือเงิน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ขนเอาไป 16ส่วนเสาใหญ่สองต้น อ่างสาครหนึ่งใบ และแท่นซึ่งซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะเหล่านี้ก็หนักเกินกว่าที่จะชั่งได้ 17เสาใหญ่ต้นหนึ่งสูงประมาณ 8 เมตร และมีบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์บนเสา บัวคว่ำนั้นสูงประมาณ 1 เมตร มีตาข่ายกับลูกทับทิมที่ล้วนเป็นทองสัมฤทธิ์อยู่บนบัวคว่ำโดยรอบ และเสาใหญ่ต้นที่สองพร้อมตาข่ายก็เหมือนกัน
18และผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็จับเสไรยาห์มหาปุโรหิต และเศฟันยาห์ปุโรหิตรอง กับผู้เฝ้าธรณีประตู 3 คนไปด้วย 19และจากเมืองนั้นท่านได้จับข้าราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพกับที่ปรึกษาของพระราชา อีก 5 คนที่พบในเมืองนั้น และอาลักษณ์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพผู้เกณฑ์ประชาชนของแผ่นดิน และอีก 60 คนจากประชาชนของแผ่นดินซึ่งพบในเมือง 20และเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับคนเหล่านี้พามาเฝ้าพระราชาแห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 21และพระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงฟันเขา และประหารชีวิตเขาทั้งหลายเสียที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ยูดาห์จึงถูกกวาดไปเป็นเชลยจากแผ่นดินของตน
เกดาลิยาห์เป็นเจ้าเมืองยูดาห์
22พระองค์ทรงตั้งเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม บุตรชาฟานให้เป็นเจ้าเมือง ปกครองประชาชนผู้เหลืออยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงเหลือไว้ 23เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งตัวเขาทั้งหลาย และคนของเขาได้ยินว่า พระราชาแห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง พวกเขามาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คนเหล่านี้คืออิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ และโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และเสไรยาห์บุตรทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรคนตระกูลมาอาคาห์ ทั้งตัวพวกเขาและคนของเขา 24และเกดาลิยาห์ก็ทำสัตย์สาบานแก่พวกเขาและคนของเขาว่า “อย่ากลัวข้าราชการเคลเดียเลย จงอาศัยในแผ่นดินและปรนนิบัติพระราชาแห่งบาบิโลน แล้วท่านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข” 25แต่ในเดือนที่ 7 อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ บุตรเอลีชามา ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชาย 10 คน ได้โจมตีและฆ่าเกดาลิยาห์และคนยูดาห์กับคนเคลเดียผู้อยู่กับท่านที่มิสปาห์เสีย 26แล้วประชาชนทั้งสิ้น ทั้งผู้น้อย และผู้ใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะเขากลัวคนเคลเดีย
เยโฮยาคีนถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง
27และอยู่มาในปีที่ 37 ที่เยโฮยาคีนพระราชาแห่งยูดาห์ถูกเนรเทศ ในเดือนที่ 12 เมื่อวันที่ 27 ของเดือนนั้น ในปีที่เอวิลเมโรดักพระราชาแห่งบาบิโลนทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงให้เยโฮยาคีนพระราชาแห่งยูดาห์พ้นจากเรือนจำ 28พระองค์ตรัสอย่างเมตตาแก่ท่าน และให้ที่นั่งที่มีเกียรติกว่าบรรดาที่นั่งของบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในกรุงบาบิโลนกับพระองค์ 29เยโฮยาคีนจึงได้ถอดเครื่องแต่งกายของนักโทษออก และได้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระราชาเป็นประจำ ทุกวันตลอดชีวิต 30ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นก็ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์ ตามความต้องการในแต่ละวันตลอดชีวิตของท่าน
อรรถาธิบาย
อธิษฐานเผื่อการรื้อฟื้นการนมัสการ
เมื่อเรามองไปที่สังคมรอบตัวเรา บางครั้งอาจดูเหมือนเราถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ดูเหมือนว่าคริสตจักรกำลังพังทลาย
ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ เราเห็นว่าประชากรของพระเจ้าเคยผ่านช่วงเวลาที่สิ้นหวังในอดีต แต่เราก็มองเห็นความหวังสำหรับอนาคตเช่นกัน
เมื่อพระธรรมพงศ์กษัตริย์จบลง เราเห็นผลที่ตามมาอันเลวร้ายของประเทศหนึ่งที่ได้ทำสิ่งที่อัครสาวกเปาโลอธิบายไว้ในข้อพระคัมภีร์ของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ของเราในวันนี้ พวกเขาหันหลังให้กับการนมัสการพระเจ้าแล้วเปลี่ยนไปนมัสการบูชารูปเคารพ (สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น)
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารและผู้คนที่จะถูกเนรเทศ
ในรัชสมัยของเยโฮยาคีน (597 ปีก่อนคริสตกาล) 'ในเวลานั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลน ยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้’ (24:10) ผู้นำของประชาชนถูกกวาดต้อน (ข้อ 14)
กษัตริย์องค์ต่อไปได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์แห่งบาบิโลน เศเดคียาห์ (597–587 ปีก่อนคริสตกาล) ไม่ได้ดีกว่าและสิ่งต่าง ๆ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เมื่อเนบูคัดเนสซาร์วางล้อมกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง (บทที่ 25) คราวนี้ผลที่ตามมาก็ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายและถูกทำลายมากขึ้นไปอีก เนบูคัดเนสซาร์ ‘เผาพระนิเวศน์ของพระยาห์เวห์ พระราชวัง และบ้านเรือนทั้งหมดของเยรูซาเล็ม ท่านเผาบ้านใหญ่ทุกหลังลงหมดด้วยไฟ’ (25:9) ผู้คน ‘ถูกเนรเทศ’ (ข้อ 11) ‘ยูดาห์ถูกเนรเทศ ออกจากแผ่นดินของเธอ’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
มีคนบอกเราว่า ‘เพราะพระพิโรธของพระยาห์เวห์ต่อเยรูซาเล็มและยูดาห์ พระองค์จึงทรงเหวี่ยงทั้งสองไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์’ (24:20)
ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอ่านควบคู่ไปกับพระธรรมเยเรมีย์ และเอเสเคียล ผู้เผยพระวจนะสองคนที่กำลังพยากรณ์อยู่ในขณะนี้ (ดูโดยเน้นที่ เยเรมีย์ 13:18, เยเรมีย์ 39 และ 52, เอเสเคียล 12 และ 24) การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนของพระเจ้าคือการทำลายพระวิหาร นี่คือสถานที่ที่พวกเขานมัสการพระเจ้าและสัมผัสกับการประทับของพระองค์ ตอนนี้พวกเขา ‘ถูกเหวี่ยงให้พ้น' จากการสถิตของพระองค์ (2 พงศ์กษัตริย์ 24:20) นี่เป็นผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการถูกกวาดต้อนเป็นเชลย
กระนั้น พระธรรมพงศ์กษัตริย์ก็จบลงด้วยแสงแห่งความหวังเล็ก ๆ ในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งการเป็นเชลยของกษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุก (25:27) ได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่โต๊ะของกษัตริย์เป็นประจำ (ข้อ 29) การเป็นเชลยจะไม่คงอยู่ตลอดไป นี่คือบันทึกของความคาดหวังถึงสิ่งที่ดีกว่าที่จะมาถึง ผู้คนของพระเจ้าจะกลับจากการเป็นเชลยและสร้างวิหารขึ้นใหม่ และเริ่มยินดีไปกับการประทับของพระเจ้าและการนมัสการพระเจ้าอีกครั้ง
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 84:11ข
‘พระองค์มิได้ทรงหวงสิ่งดีอันใดไว้จากบรรดาผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์’
ฉันได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ ‘(พระองค์) มิได้ทรงหวงสิ่งดีอันใด’ แต่บางครั้งฉันก็อยากให้ตรงนี้เขียนว่า ‘จากผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์เป็นส่วนใหญ่’ เพราะคำว่า ‘ซื่อสัตย์’ ดูเหมือนจะค่อนข้างมีมาตรฐานสูง นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องการไม้กางเขน เพราะเราไม่สามารถทำเองได้
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 84:10ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศน์ของพระองค์ ดีกว่าพันวันที่บนชายหาดบนเกาะกรีก’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)