คำพูดของคุณมีพลัง
เกริ่นนำ
‘การต่อสู้ของอังกฤษกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในการรบครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของอารยธรรมคริสเตียน’ คำพูดเหล่านี้อยู่ในสุนทรพจน์ของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ที่เฮ้าส์ออฟคอมมอน ในปี ค.ศ.1940 เมื่อเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ เขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ประเทศชาติฮึดสู้ เตือนให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนเองและดำเนินไปในทางนั้นซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปเป็นพันปี ผู้คนจะยังคงพูดว่า ‘นี่คือเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขา’ คำพูดนั้นทรงพลัง ประชาชนต่างกระทำตามและในที่สุดก็ทำให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนขึ้นในที่สุด
นี่เป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่หล่อหลอมโลกยุคใหม่ โดยแสดงให้เห็นถึงพลังของคำพูด สุนทรพจน์นี้ส่งผลกระทบต่อผลของสงคราม การลงคะแนนเสียงของสตรี สิทธิมนุษยชน และประเด็นปัญหาอื่น ๆ มากมาย
อัครทูตยากอบเขียนว่า ‘ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็ก ๆ แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โต’ (ยากอบ 3:5) เครื่องมือขนาดเล็กนี้มีพลังมหาศาล มันสามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ แต่ก็สามารถนำมาซึ่งพระพรอันอัศจรรย์ได้เช่นกัน ลิ้นของคุณเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง
สุภาษิต 16:28-17:4
28คนตลบตะแลงแพร่การวิวาท
และผู้ซุบซิบนินทาก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน
29คนโหดร้ายล่อชวนเพื่อนบ้านของเขา
และนำเขาไปในทางไม่ดี
30บุคคลผู้ขยิบตากะแผนงานที่ตลบตะแลง
บุคคลผู้เม้มปากของเขานำความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น
31ศีรษะที่มีผมหงอก เป็นมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี
ซึ่งจะพบได้ก็แต่ในผู้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม
32บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก
และบุคคลผู้ปกครองจิตใจตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
33ฉลากนั้นถูกทอดลงที่ตัก
แต่ผลที่ออกทุกอย่างมาจากพระยาห์เวห์
สุภาษิต 17
1เสบียงกรังหน่อยหนึ่งพร้อมกับความสงบสุข
ดีกว่าบ้านที่เต็มด้วยงานเลี้ยงพร้อมกับการวิวาท
2ทาสที่ฉลาดจะปกครองบุตรชายผู้ก่อเรื่องน่าอับอาย
และจะได้ส่วนแบ่งมรดกเหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัว
3เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงสำหรับทองคำ
แต่พระยาห์เวห์ทรงทดลองใจ
4ผู้ทำชั่วใส่ใจฟังปากที่เลวร้าย
และคนมุสาให้ความสนใจแก่ลิ้นหายนะ
อรรถาธิบาย
พลังที่นำสันติสุข
คำพูดที่คุณพูดสามารถเป็นได้ทั้งการให้ชีวิต หรือการทำลายล้าง
คำพูดสามารถสร้างปัญหาได้มากมาย ‘คนตลบตะแลงแพร่การวิวาทและผู้ซุบซิบนินทาก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน’ (16:28) การนินทามีพลังสามารถทำลายมิตรภาพลงได้
การควบคุมลิ้นของคุณเป็นสิ่งสำคัญ 'การบังคับตนได้ก็ดีกว่าการมีกำลัง การควบคุมตนเองก็ดีกว่าการมีอำนาจทางการเมือง’ (ข้อ 32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่กับถ้อยคำที่คุณพูด แต่ยังรวมถึงคำพูดของใครและประเภทของถ้อยคำที่คุณฟังด้วย ‘คนชั่วร้ายชอบการสนทนาที่มุ่งร้าย หูของคนโกหกจะชอบคำติฉินนินทา’ (17:4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) จำไว้ว่าใครก็ตามที่ซุบซิบกับคุณ ก็คงจะนินทาเกี่ยวกับคุณลับหลังด้วย การรับของที่ขโมยมาถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงในสายตาของกฎหมายพอ ๆ กับการขโมยเอง ดังนั้นการฟังเรื่องซุบซิบก็อันตรายพอ ๆ กับการซุบซิบนินทาเอง
วิธีที่คุณพูดและวิธีฟังของคุณจะส่งผลต่อบรรยากาศทั้งหมดในบ้านของคุณ ‘เสบียงกรังหน่อยหนึ่งพร้อมกับความสงบสุข ดีกว่าบ้านที่เต็มด้วยงานเลี้ยงพร้อมกับการวิวาท’ (ข้อ 1)
คำพูดของคุณมีพลัง ให้ตั้งใจว่าวันนี้คุณจะพูดในเชิงบวก ด้วยคำหนุนใจ และเป็นพระพรแก่ผู้คนในทุกที่ ๆ คุณไป
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 28:17-31
เปาโลเทศนาในกรุงโรม
17หลังจากผ่านไปสามวัน เปาโลจึงเชิญบรรดาผู้นำของยิวมาประชุม เมื่อมาพร้อมหน้ากันแล้วท่านจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “พี่น้องทั้งหลาย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดต่อชนชาติหรือธรรมเนียมของบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าก็ยังถูกจับมาจากกรุงเยรูซาเล็มและถูกมอบให้อยู่ในกำมือของพวกโรมัน 18พวกนั้นไต่สวนข้าพเจ้าแล้วต้องการจะปล่อยตัวข้าพเจ้า เพราะไม่มีเหตุอะไรที่ข้าพเจ้าควรจะต้องตาย 19แต่เมื่อพวกยิวพูดคัดค้าน ข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องถวายฎีกาถึงซีซาร์กจ.25:11 แม้ว่าข้าพเจ้าไม่มีเรื่องอะไรที่จะฟ้องชนชาติของข้าพเจ้า 20เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิญพวกท่านมาเพื่อจะได้พบหน้าและพูดกับท่าน ที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่นี้เพราะเห็นแก่ความหวังของชนชาติอิสราเอล” 21เขาจึงตอบท่านว่า “เราไม่เคยได้รับจดหมายจากแคว้นยูเดียที่กล่าวถึงท่าน และไม่เคยมีพี่น้องคนใดมากล่าวร้ายท่าน 22แต่เราอยากจะฟังจากท่านว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร เพราะเราทราบมาว่าพวกที่ถือลัทธินี้ถูกต่อต้านทุกแห่ง” 23เมื่อพวกเขานัดวันที่จะพบกับท่าน คนจำนวนมากก็พากันมาหายังที่อาศัยของท่าน ท่านจึงกล่าวกับเขาตั้งแต่เช้าจนเย็นเป็นพยานถึงแผ่นดินของพระเจ้า และชักชวนให้เขาเชื่อถือพระเยซูโดยอ้างจากธรรมบัญญัติของโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ 24ถ้อยคำที่ท่านกล่าวนั้นบางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ 25แล้วพวกเขาก็ขัดแย้งกันเอง ก่อนจากกันเปาโลกล่าวข้อความแถมท้ายว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้ถูกต้องแล้วกับบรรพบุรุษของพวกท่านโดยทางอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า
26 ‘จงไปหาชนชาตินี้และกล่าวว่า
พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ
จะมองดูก็จริง แต่จะไม่เห็น
27 เพราะว่าจิตใจของชนชาตินี้ด้านชา
และหูของพวกเขาก็ตึง
เขาปิดตาของตนเอง
เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา
และได้ยินด้วยหู
และเข้าใจด้วยจิตใจ แล้วหันกลับมา
และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’
28เพราะฉะนั้นท่านจงรู้เถิดว่า ความรอดของพระเจ้าถูกส่งไปให้คนต่างชาติแล้ว และพวกเขาจะฟัง” 29เมื่อเปาโลกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พวกยิวก็จากไป และถกเถียงกันอย่างมาก
30เปาโลอาศัยอยู่ในบ้านที่ท่านเช่าสองปีเต็มและต้อนรับทุกคนที่มาหาท่าน 31ทั้งประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและสั่งสอนเรื่องพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งโดยปราศจากการขัดขวาง
อรรถาธิบาย
พลังที่จะโน้มน้าวใจและเปลี่ยนแปลง
พระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถมอบให้คนอื่นได้คือการแนะนำให้พวกเขารู้จักกับพระเยซู พระเจ้าได้มอบหมายให้คุณใช้คำพูดที่ทรงพลังที่สุดที่ใคร ๆ ก็เอ่ยออกมาได้ ข้อความของพระเยซูมีพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน
มีฤทธิ์อำนาจอย่างยิ่งในการฟังพระคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลกล่าวถึงข้อพระคัมภีร์ที่มักถูกยกขึ้นมามากที่สุดตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม อิสยาห์ 6:9–10 ‘จงไปหาชนชาตินี้และกล่าวว่า “เจ้าจะฟังด้วยหูของเจ้า แต่เจ้าจะไม่ได้ยิน... พวกเขาเอานิ้วอุดหูเพื่อจะได้ไม่ต้องรับฟัง”’ (กิจการ 28:26–27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ข้อความพระกิตติคุณมักจะแบ่งผู้ฟังออกเป็นสองกลุ่ม ดังที่อาจารย์เปาโลเทศนาว่า ‘บางคนถูกชักชวนโดยสิ่งที่ท่านพูด แต่คนอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะเชื่อคำพูดของท่าน’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดังที่อิสยาห์พยากรณ์ไว้ว่า จิตใจของคนบางคนก็ดื้อดึงและแข็งกระด้างต่อข้อความ ในขณะที่คนอื่น ๆ ‘ห็นด้วยตา และได้ยินด้วยหู และเข้าใจด้วยจิตใจ แล้วหันกลับมา’ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงนำการรักษามาให้ (ข้อ 27)
รูปแบบการคุมขังของเปาโลในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเหมือนการกักขังในบ้าน แม้ว่าเขาจะถูกล่ามโซ่ไว้ (ข้อ 20) แต่ก็สามารถเรียกพวกผู้นำของพวกยิวมารวมกันได้ (ข้อ 17) และรวบรวมคนจำนวนมากมาที่พักอาศัย (ข้อ 23) เขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราโดยเปิดบ้านเพื่อให้คนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้สามารถเข้ามาเพื่อจะได้ยินพระกิตติคุณ (ข้อ 30–31)
ทั่วโลกทุกวันนี้ มีการต่อต้านคริสเตียนและความเชื่อของคริสเตียนเป็นอย่างมาก เปาโลถูกกักบริเวณในบ้านเพราะความเชื่อของตน พวกเขากล่าวว่า ‘สิ่งเดียวที่เรารู้เกี่ยวกับลัทธิคริสเตียนนี้คือไม่มีใครดูเหมือนจะมีอะไรดี ๆ จะพูดถึงเลย’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ตามที่คริสเตียนหลายคนเผชิญในปัจจุบันนี้ ข้อกล่าวหาต่อเปาโลถูกสร้างขึ้นและไม่มีเหตุ แต่กระนั้น เขาก็ยังคงถูกคุมขังเป็นระยะเวลานาน
เมื่อเทียบกับเบื้องหลังเช่นนี้ เราเห็นฤทธิ์อำนาจอันพิเศษในคำพูดของเปาโล ‘เปาโลพูดคุยกับพวกเขาทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น อธิบายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินของพระเจ้า และพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขาทั้งหมดถึงพระเยซู โดยชี้ให้เห็นว่าโมเสสและผู้เผยพระวจนะต่าง ๆ ได้เขียนเกี่ยวกับพระองค์ไว้อย่างไรบ้าง’ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อันที่จริงแล้ว ‘เป็นเวลาสองปี… ท่านได้เร่งนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า ท่านอธิบายทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์’ (ข้อ 30–31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำพูดของเปาโลมีพลังเพราะทั้งหมดเล็งไปที่พระเยซู เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณ เราเห็นว่าสาระสำคัญในคำสอนของพระเยซูคือแผ่นดินของพระเจ้า ขณะที่เราอ่านส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เราเห็นว่าศูนย์กลางสำคัญในคำสอนของอัครทูตคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ ในการประกาศพระเยซู พวกเขาก็กำลังเทศนาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ทั้งสองแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างที่เราเห็นในที่นี้
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 21:1-22:20
มนัสเสห์ทรงครองยูดาห์
1มนัสเสห์มีพระชนมายุ 12 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 55 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์ 2พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามการกระทำที่น่าเกลียดน่าชังของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล 3พระองค์ทรงสร้างปูชนียสถานสูง ซึ่งเฮเซคียาห์พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงทำลายนั้นขึ้นใหม่ และพระองค์ทรงตั้งแท่นบูชาต่างๆ แด่พระบาอัล และทรงสร้างพระอาเช-ราห์เหมือนที่อาหับพระราชาแห่งอิสราเอลทรงกระทำ และทรงนมัสการบริวารทั้งหมดของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น 4และพระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะใส่ชื่อของเราไว้ในเยรูซาเล็ม” 5และพระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาต่างๆ แด่บริวารทั้งหมดของฟ้าสวรรค์ในลานทั้งสองแห่งของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 6และพระองค์ได้ทรงให้พระราชโอรสลุยไฟ ทรงดูฤกษ์ยาม ทรงทำเวทมนตร์ และทรงติดต่อกับคนทรงและพ่อมดแม่มด พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายมากมายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ 7ส่วนรูปเคารพของพระอาเช-ราห์ที่พระองค์ทรงสร้างนั้น ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดและซาโลมอนพระราชโอรสของดาวิดว่า “ในนิเวศนี้ และในเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล เราจะใส่ชื่อของเราไว้เป็นนิตย์ 8เราจะไม่ให้เท้าของอิสราเอลพเนจรออกจากแผ่นดินที่เราให้กับบรรพบุรุษของพวกเขาอีก ถ้าเพียงแต่พวกเขาระมัดระวังที่จะทำตามทุกสิ่งซึ่งเราได้บัญชาเขา และทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นที่โมเสสผู้รับใช้ของเราบัญชาเขา” 9แต่พวกเขาไม่ฟัง และมนัสเสห์ทรงนำพวกเขาให้หลงทำชั่วยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำลายให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
10และพระยาห์เวห์ตรัสทางพวกผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 11“เพราะมนัสเสห์พระราชาแห่งยูดาห์ทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเหล่านี้ และทำชั่วยิ่งกว่าที่คนอาโมไรต์ผู้อยู่ก่อนเขาได้ทำทั้งหมด อีกทั้งยังทำให้ยูดาห์ทำบาปด้วยบรรดารูปเคารพของเขา 12เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เรากำลังนำเหตุร้ายมาเหนือเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ทุกคนซึ่งได้ยินแล้ว หูทั้งสองข้างของเขาจะอื้อไป 13และเราจะวัดกรุงเยรูซาเล็มโดยใช้เชือกเส้นเดียวกับที่เราวัดกรุงสะมาเรีย และใช้ลูกดิ่งอันเดียวกับที่วัดราชวงศ์อาหับ และเราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม คือล้างแล้วก็คว่ำลง 14และเราจะทิ้งมรดกส่วนที่เหลือของเราเสีย และมอบพวกเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และเขาจะเป็นเหยื่อและเป็นของริบของศัตรูทั้งหมดของเขา 15เพราะพวกเขาทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเรา และทำให้เราโกรธ ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของเขาออกจากอียิปต์จนถึงทุกวันนี้”
16ยิ่งกว่านั้นอีก มนัสเสห์ทรงทำให้โลหิตไร้ความผิดตกเป็นอันมาก จนเต็มกรุงเยรูซาเล็มจากด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่ทรงทำให้ยูดาห์ทำผิดด้วย โดยทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
17ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของมนัสเสห์ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และบาปซึ่งทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 18และมนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และทรงถูกฝังไว้ในพระราชอุทยานของพระราชวังคือสวนของอุสซา และอาโมนพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน
อาโมนทรงครองยูดาห์
19อาโมนมีพระชนมายุ 22 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 2 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เมชุลเลเมท บุตรหญิงของฮารูสชาวโยทบาห์ 20พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนมนัสเสห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ 21พระองค์ทรงดำเนินในทางทั้งสิ้นที่พระราชบิดาของพระองค์ทรงดำเนิน และปรนนิบัติรูปเคารพซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงปรนนิบัติ และนมัสการรูปเหล่านั้น 22พระองค์ทรงละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระยาห์เวห์ 23ข้าราชการของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏ และปลงพระชนม์พระราชาในพระราชวังของพระองค์ 24แต่ประชาชนในแผ่นดินได้ฆ่าทุกคนที่ร่วมกันคิดกบฏต่อกษัตริย์อาโมน แล้วประชาชนในแผ่นดินตั้งโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ให้เป็นพระราชาแทน 25ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาโมนที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 26และพระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของพระองค์ในสวนของอุสซา และโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน
2 พงศ์กษัตริย์ 22
โยสิยาห์ทรงครองยูดาห์
1โยสิยาห์ มีพระชนมายุ 8 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 31 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยดีดาห์บุตรหญิงของอาดายาห์ชาวโบสคาท 2พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันไปทางขวาหรือทางซ้าย
ฮิลคียาห์พบหนังสือธรรมบัญญัติ
3ต่อมาในปีที่ 18 แห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ พระราชาทรงใช้ชาฟานบุตรอาซาลิยาห์ บุตรเมชุลลามราชเลขาไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตรัสว่า 4“จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต เพื่อให้ท่านนับเงินที่เขานำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งผู้เฝ้าธรณีประตูเก็บจากประชาชน 5และให้มอบไว้ในมือของผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และให้เขาจ่ายแก่คนงานผู้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ 6คือให้แก่ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง และช่างปูน ทั้งสำหรับซื้อไม้และหินสกัดเพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ 7แต่ไม่ต้องขอบัญชีจากเขาเรื่องเงินที่มอบไว้ในมือของพวกเขา เพราะเขาทำอย่างซื่อสัตย์”
8และฮิลคียาห์มหาปุโรหิตพูดกับชาฟานราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าได้พบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” และฮิลคียาห์ได้มอบหนังสือนั้นให้ชาฟานและท่านก็อ่าน 9และชาฟานราชเลขาได้เข้าเฝ้าพระราชาและทูลรายงานต่อพระราชาว่า “พวกข้าราชการของพระองค์ได้เทเงินที่พบในพระนิเวศออก และได้มอบไว้ในมือของผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 10แล้วชาฟานราชเลขาได้ทูลพระราชาว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตมอบหนังสือแก่ข้าพระบาทม้วนหนึ่ง” และชาฟานก็อ่านถวายพระราชา
11ต่อมาเมื่อพระราชาทรงสดับถ้อยคำของหนังสือธรรมบัญญัตินั้น พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ 12แล้วพระราชาทรงบัญชาฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมบุตรชาฟาน และอัคโบร์บุตรมีคายาห์และชาฟานราชเลขา และอาสายาห์คนรับใช้ของพระราชา ตรัสว่า 13“จงไปทูลถามพระยาห์เวห์ให้กับเรา และให้กับประชาชน และให้กับยูดาห์ทั้งหมด เกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือนี้ที่ได้พบ เพราะว่าพระพิโรธของพระยาห์เวห์ซึ่งพลุ่งขึ้นต่อพวกเรานั้นใหญ่หลวงนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ ที่จะทำทุกสิ่งตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับพวกเรา”
14ฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัม และอัคโบร์ และชาฟาน และอาสายาห์ จึงไปหาฮุลดาห์ผู้เผยพระวจนะหญิงผู้เป็นภรรยาของชัลลูม บุตรของทิกวาห์บุตรฮารฮัสผู้ดูแลเสื้อผ้า (นางอยู่ในเยรูซาเล็มเขตสอง) และพวกเขาได้สนทนากับนาง 15และนางบอกพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงบอกคนที่ใช้พวกเจ้ามาหาเราว่า 16พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมายังสถานที่นี้ และมายังชาวเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือซึ่งพระราชาแห่งยูดาห์ได้อ่านนั้น 17เพราะพวกเขาละทิ้งเรา และเผาเครื่องหอมถวายพระอื่นๆ ซึ่งทำให้เราโกรธด้วยการกระทำทั้งหมดจากมือของเขา ดังนั้นความโกรธของเราจะจุดขึ้นต่อสถานที่นี้ และจะดับไม่ได้ 18ส่วนพระราชาแห่งยูดาห์ผู้ใช้พวกเจ้ามาถามพระยาห์เวห์นั้น จงไปบอกเขาว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เรื่องบรรดาถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน 19เพราะใจของเจ้าอ่อนน้อม และเจ้าถ่อมตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำซึ่งเรากล่าวโทษสถานที่นี้และชาวเมืองนี้ ซึ่งจะกลายเป็นที่ร้างและที่ถูกแช่งสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า และร้องไห้ต่อหน้าเรา เราเองก็ได้ยินเจ้าด้วย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 20เพราะฉะนั้น ดูสิ เราจะนำเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกนำไปยังอุโมงค์ฝังศพของเจ้าอย่างสงบสุข และตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราจะนำมายังสถานที่นี้’ ” และเขาทั้งหลายได้นำพระวจนะนั้นมาทูลพระราชา
อรรถาธิบาย
พลังเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าคำพูดมีพลังในการเปลี่ยนประเทศชาติ กษัตริย์มนัสเสห์ (696–641 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย ‘ท่านได้รื้อฟื้นการกระทำที่เสื่อมทรามทางศีลธรรมและความเลวร้ายฝ่ายจิตวิญญาณทั้งหมด... มนัสเสห์นำ (ประชาชน) ออกจากทางที่เคยปฏิบัติไปสู่การกระทำอันชั่วร้าย... มีความชั่วร้ายมากที่สุดเท่าที่เคยมี... ท่านเป็นฆาตกรที่ทำตามอำเภอใจ ท่านทำให้กรุงเยรูซาเล็มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเหยื่อของท่าน’ (21:1–16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อาโมนบุตรชายของเขา (641–639 ปีก่อนคริสตกาล) ได้ดำเนินต่อไปในทางเดียวกัน (ข้อ 20–22)
หนังสือพงศาวดารกล่าวว่า แม้แต่สำหรับมนัสเสห์เองก็ยังมีความหวังในบั้นปลายชีวิตของตน ไม่มีอะไรสายเกินไปและไม่มีบาปใดยิ่งใหญ่เกินกว่าจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า (2 พงศาวดาร 33)
หลังจากการครอบครองของเหล่ากษัตริย์อันชั่วร้ายแล้ว ก็มาถึงรัชกาลของโยสิยาห์ (639–609 ปีก่อนคริสตกาล) เขาเป็นคนหนุ่มที่นำประชาชนสู่การฟื้นฟูทางจิตวิญญาณครั้งใหญ่ ฟื้นฟูการนมัสการ และนำผู้คนกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ถึงแม้มีอายุเพียงแปดปีเมื่อเป็นกษัตริย์ (2 พงศ์กษัตริย์ 22:1) แจ่เขา ‘ทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันไปทางขวาหรือทางซ้าย’ (ข้อ 2)
พระคำมีผลอย่างมากต่อโยสิยาห์และต่อประเทศชาติ:
1. พลังของพระคำที่ถูกเขียนไว้
ขณะที่พวกเขากำลังทำงานในพระวิหาร ชาฟาน มหาปุโรหิตพบ ‘หนังสือธรรมบัญญัติ’ (ข้อ 8) ดูเหมือนว่าเป็นพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ
ชาฟานอ่านด้วยตัวเอง (ข้อ 8) แล้วจากนั้น เขาก็อ่านต่อหน้ากษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ได้ฟังถ้อยคำจากหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ฉีกฉลองพระองค์ (สำนึกผิด) และตระหนักว่า พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังถ้อยคำในหนังสือนี้ (ข้อ 11–13) นี่จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจิตใจซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ
สิ่งนี้เตือนเราถึงความสำคัญของพระวจนะที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้า บางคนในพวกคุณที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการอ่านพระคัมภีร์ในหนึ่งปีทั้งเล่ม กำลังทำบางสิ่งที่ไม่เพียงแต่น่าสนใจและเป็นข้อมูลที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอีกด้วย
2. พลังของคำพูด
พระเจ้าไม่เพียงตรัสกับโยสิยาห์และประชาชนผ่านพระคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น พระองค์ยังตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะด้วย ที่น่าสนใจคือทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่ง คือ ฮุลดาห์ ภรรยาของชัลลูม (ข้อ 14) นี่แสดงให้เห็นว่า พันธกิจของผู้หญิงนั้นมีรากฐานมาตั้งแต่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและในประวัติศาสตร์ประชากรของพระเจ้า
ฮุลดาห์มีพันธกิจที่ทรงพลัง อันที่จริง ดูเหมือนว่านางจะมีบทบาทกว่าสามีของนาง โดยการเป็นมากกว่า ‘ผู้ดูแลตู้เสื้อผ้าของพระราชวัง’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำพูดของนางไม่ได้ขัดแย้งกับถ้อยคำที่เขียนในพระคัมภีร์ แต่กลับเสริมและทำให้สมบูรณ์อย่างแท้จริง ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เรื่องบรรดาถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน ... “เราเองก็ได้ยินเจ้าด้วย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ”’ (ข้อ 18–19)
นางกล่าวแก่พวกเขาว่าเนื่องจากวิธีที่พวกเขาตอบสนองต่อพระวจนะที่เขียนไว้ของพระเจ้า ที่พวกเขาถ่อมตัวและกลับใจ พระเจ้าได้ยินคำพูดของพวกเขาและตอบพวกเขา การตอบสนองของพวกเขาต่อพระวจนะของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สุภาษิต 16:31ก
‘ศีรษะที่มีผมหงอกเป็นมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี’
สังคมของเราไม่ได้ให้คุณค่ากับผมหงอก แต่ฉันคิดว่านิคกี้ดูเท่ห์มากที่มีผมหงอก ส่วนฉันก็พยายามปิดซ่อนผมหงอกของฉัน!
ข้อพระคำประจำวัน
สุภาษิต 17:1
‘เสบียงกรังหน่อยหนึ่งพร้อมกับความสงบสุข
ดีกว่าบ้านที่เต็มด้วยงานเลี้ยงพร้อมกับการวิวาท’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)