ฟังพระเจ้า
เกริ่นนำ
ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ของเรา การฟังเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในฐานะนักปรัชญาและนักศาสนศาสตร์ พอล ทิลลิช ได้กล่าวไว้ว่า ‘หน้าที่แรกของความรักคือการฟัง’
คนบางคนก็ฟังผู้อื่นได้ดีมาก พลทหารจอร์จ มาร์แชล กล่าวว่า ‘สูตรสำหรับการจัดการและดูแลคนคือ
- ฟังเรื่องราวของผู้อื่น
- ฟังเรื่องราวทั้งหมดของผู้อื่น
- ฟังเรื่องราวทั้งหมดของผู้อื่นก่อน’
การฟังพระเจ้าเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ ‘ฟัง’ หมายถึง ได้ยินอย่างตั้งใจ ‘ให้ความสนใจ’ การอธิษฐานหมายถึง การให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับพระเจ้าก่อน
สดุดี 81:8-16
8ประชากรของเราเอ๋ย จงฟังแล้วเราจะทักท้วงเจ้า
โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเพียงแต่เจ้าจะฟังเรา
9ห้ามมีพระอื่นท่ามกลางเจ้า
ห้ามกราบไหว้พระต่างด้าว
10เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ได้พาเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
จงอ้าปากของเจ้าให้กว้าง แล้วเราจะป้อนเจ้าให้อิ่ม
11“แต่ประชากรของเราไม่ฟังเสียงของเรา
อิสราเอลไม่เชื่อฟังเรา
12เราจึงมอบเขาไว้แก่จิตใจดื้อด้านของเขาเอง
ให้ทำตามคำปรึกษาของเขาเอง
13เออ ประชากรของเรา น่าจะฟังเรา
และอิสราเอล น่าจะเดินในทางของเรา
14แล้วไม่ช้า เราก็จะปราบศัตรูของเขา
และจะหันมือของเราสู้คู่อริของเขา”
15บรรดาผู้ที่เกลียดชังพระยาห์เวห์จะแสร้งหมอบราบต่อพระองค์
และเวลาของการลงโทษคนพวกนั้นจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์
16พระองค์จะทรงเลี้ยงเขาด้วยข้าวสาลีอย่างดีที่สุด
“เราจะให้เจ้าพอใจด้วยน้ำผึ้งที่มาจากหิน”
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้าตรัสกับคุณผ่านทางพระธรรมสดุดี
พวกเราทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์ในความหิวโหยทางฝ่ายร่างกาย ซึ่งสามารถเติมเต็มได้ด้วยอาหารเท่านั้น นอกจากนี้ คุณยังมีความหิวกระหายฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งสามารถสนองได้โดยการฟังพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘ถ้าเพียงแต่เจ้าจะฟังเรา…’ ( ข้อ 8ข)
พระวจนะของพระเจ้าจะตอบสนองความหิวกระหายฝ่ายจิตวิญญาณของคุณ พระเจ้าสัญญาว่า ‘จงอ้าปากของเจ้าให้กว้าง แล้วเราจะป้อนเจ้าให้อิ่ม’ (ข้อ 10) ถ้าคุณฟังพระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘พระองค์จะทรงเลี้ยงเขาด้วยข้าวสาลีอย่างดีที่สุด เราจะให้เจ้าพอใจด้วยน้ำผึ้งที่มาจากหิน’ (ข้อ 16)
ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ‘ฟังเถิด ท่านทั้งหลายผู้เป็นที่รัก’ (ข้อ 8ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าปรารถนาให้คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดและได้เตือนถึงอันตรายของการเพิกเฉยต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า ‘แต่ประชากรของเราไม่ฟังเสียงของเรา อิสราเอลไม่เชื่อฟังเรา เราจึงมอบเขาไว้แก่จิตใจดื้อด้านของเขาเอง ให้ทำตามคำปรึกษาของเขาเอง’ (ข้อ 11–12) ผลของการไม่ฟังพระเจ้า คือการที่พระองค์ประทานผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำของเราเอง (ดู โรม 1:24,26 เพิ่มเติม)
ในทางกลับกัน พระองค์สัญญาว่า หากคุณฟังพระองค์ พระองค์ก็จะกระทำสิ่งต่าง ๆ แทนคุณ ‘เออ ประชากรของเรา น่าจะฟังเราและอิสราเอล น่าจะเดินในทางของเรา แล้วไม่ช้า เราก็จะปราบศัตรูของเขา’ (สดุดี 81: 13–14ก)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 26:24-27:12
เปาโลขออากริปปาให้ทรงเชื่อถือ
24ขณะเปาโลกำลังพูดแก้คดีอยู่นั้น เฟสทัสร้องเสียงดังว่า “เปาโล เจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้วิชามากจนทำให้เจ้าคลั่งไป” 25แต่เปาโลกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านเฟสทัส ข้าพเจ้าไม่ได้คลั่งเลย แต่พูดคำสัตย์จริงและพูดอย่างคนปกติ 26เพราะว่ากษัตริย์ทรงทราบข้อความเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงกล้ากล่าวเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ไม่มีสักสิ่งหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านี้ที่รอดพ้นพระเนตรของพระองค์ เพราะการเหล่านี้ไม่ได้ทำกันในที่ลับตา 27ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ฝ่าพระบาทเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะหรือไม่? ข้าพระบาททราบว่าฝ่าพระบาททรงเชื่อ” 28กษัตริย์อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เจ้าจะชวนเราเป็นคริสเตียน ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ หรือ?” 29เปาโลจึงทูลว่า “ไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นหรือยาว ข้าพระบาทก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ไม่เพียงแต่ฝ่าพระบาทเท่านั้น แต่ทุกคนที่ฟังข้าพระบาทในวันนี้ จะเป็นเหมือนอย่างข้าพระบาท เว้นแต่เครื่องจำจองนี้”
30กษัตริย์กับผู้ว่าราชการเมือง พระนางเบอร์นิสและคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยจึงลุกขึ้น 31เมื่อออกไปแล้วจึงพูดกันว่า “คนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่สมควรจะถูกลงโทษถึงตายหรือจองจำไว้” 32กษัตริย์อากริปปาจึงตรัสกับเฟสทัสว่า “ถ้าคนนี้ไม่ได้ถวายฎีกาถึงซีซาร์ก็ให้ปล่อยตัวเขาได้”
กิจการ 27
เปาโลโดยสารเรือไปกรุงโรม
1เมื่อมีการตัดสินใจว่าเราจะต้องลงเรือไปยังประเทศอิตาลี พวกเขาจึงมอบเปาโลและนักโทษบางคนไว้กับนายร้อยคนหนึ่งชื่อยูเลียส ซึ่งเป็นนายทหารในกองทหารของจักรพรรดิ 2เราจึงลงเรือลำหนึ่งที่แล่นมาจากเมืองอัดรามิททิยุมกำลังจะออกไปยังเมืองท่าฝั่งแคว้นเอเชีย แล้วเรือก็ออกทะเล มีคนหนึ่งชื่ออาริสทารคัสชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเมืองเธสะโลนิกาอยู่กับเราด้วย 3วันรุ่งขึ้นเราแวะที่เมืองไซดอน ยูเลียสนั้นมีใจเมตตาต่อเปาโล ยอมให้เปาโลไปหาบรรดามิตรสหายเพื่อรับการดูแล 4เมื่อเรือออกจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะไซปรัส เพราะลมกำลังพัดต้านเรือ 5เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในแคว้นลีเซีย 6ที่เมืองนั้นนายร้อยพบเรือลำหนึ่งแล่นมาจากเมืองอเล็กซานเดรียกำลังจะไปยังประเทศอิตาลี ท่านจึงให้เราลงเรือลำนั้น 7เราแล่นไปช้าๆ หลายวัน และมาถึงเมืองคนีดัสอย่างยากเย็น เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว เราจึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงเมืองสัลโมเน 8เมื่อเรือแล่นเลียบเกาะนั้นผ่านไปอย่างยากเย็นแล้ว เราก็มาถึงที่แห่งหนึ่งชื่อว่าท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น
9เมื่อเสียเวลาไปมากและการเดินเรือก็มีอันตรายเพราะเทศกาลอดอาหารผ่านไปแล้ว เปาโลจึงเตือนสติเขาทั้งหลาย 10โดยกล่าวว่า “นี่แน่ะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องมีอันตรายและก่อความเสียหายมาก ไม่ใช่เพียงแต่ของที่บรรทุกมากับเรือเท่านั้น แต่ชีวิตของเราด้วย” 11แต่นายร้อยเชื่อกัปตันและเจ้าของเรือมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าว 12เพราะท่างามนั้นไม่เหมาะที่จะจอดในฤดูหนาว คนส่วนมากจึงตัดสินใจให้ออกทะเลไปจากที่นั่น โดยคาดหวังว่าจะไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์แล้วจอดอยู่ที่นั่นตลอดฤดูหนาว เมืองฟีนิกส์นั้นเป็นท่าเรือของเกาะครีตที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้าตรัสกับคุณผ่านเหล่าอัครสาวก
อัครสาวกเปาโลเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า พระเจ้าตรัสผ่านเขา บรรดาผู้ที่กำลังฟังเปาโลในข้อความตอนนี้ได้มีโอกาสฟังพระเจ้า
เมื่อเปาโลกำลังแล่นเรือไปยังกรุงโรม นายร้อย ‘เชื่อกัปตันและเจ้าของเรือมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าว’ (27:11) การที่เขาไม่ยอมฟังเปาโลนั่นเกือบจะกลายเป็นหายนะ
ในส่วนแรกของข้อความตอนนี้ เราเห็นเปาโลถูกล่ามโซ่ต่อหน้าเฟสตัส และอากริปปา เขากำลังบอกข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซู การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เฟสตัสกล่าวว่า 'เปาโล เจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้วิชามากจนทำให้เจ้าคลั่งไป’ (26:24) เขาพูดว่า ‘เปาโล เจ้าเป็นบ้าไปเสียแล้ว!’ ( ข้อ 24 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) บางคนเคยคิดและยังคงคิดอยู่ว่า พวกคริสเตียนนั้นดู ‘บ้าไปหน่อย’
คำตอบของเปาโล คือ ‘...ข้าพเจ้าไม่ได้คลั่งเลย แต่พูดคำสัตย์จริงและพูดอย่างคนปกติ’ ( ข้อ 25) เขาไม่ได้ตอบว่า 'ใช่ มันค่อนข้างจะบ้าไปหน่อย แต่เราเชื่อแบบนั้น' เขาปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอแนะว่าความเชื่อของเขาไม่มีเหตุผล
เปาโลโต้แย้งว่าความเชื่อมีเหตุมีผล มีเหตุผลที่ดีที่จะเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตาย ความเชื่อของเราคือ 'คำสัตย์จริงและพูดอย่างคนปกติ' (ข้อ25) เราไม่ควรกลัวที่จะเสนอข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลและสมเหตุสมผล เราจำเป็นต้องใช้การนำเสนอพระกิตติคุณอย่างชาญฉลาด
อย่างไรก็ตาม เหตุผลเพียงอย่างเดียวนั้นก็ยังไม่เพียงพอ ก่อนที่ผมจะเป็นคริสเตียน ผมเคยได้ฟังข้อโต้แย้งและเหตุผลต่าง ๆ สำหรับเรื่องความเชื่อ แต่คำถามของผมก็ไม่ได้รับคำตอบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผมก้าวไปในความเชื่อโดยอาศัยสิ่งที่ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับพระเยซู ในช่วงเวลาที่ผมก้าวในความเชื่อ ทำให้ดวงตาของผมถูกเปิดออกและผมได้เข้าใจสิ่งที่ผมเองไม่เคยเห็นมาก่อน
เหตุผลจะพาเราไปได้ไกลระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพยายามเชิญชวนผู้คน เหมือนกับที่เปาโลเคยทำ เพื่อให้พวกเขามาติดตามพระเยซู ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องอธิบายว่าข้อความเกี่ยวกับพระเยซูนั้น ‘สัตย์จริงและมีเหตุผล’
การตอบสนองของอากริปปาที่มีต่อเปาโลคือ “'เจ้าจะชวนเราเป็นคริสเตียน ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ หรือ?”’ เปาโลจึงทูลว่า “ไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นหรือยาว ข้าพระบาทก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ไม่เพียงแต่ฝ่าพระบาทเท่านั้น แต่ทุกคนที่ฟังข้าพระบาทในวันนี้ จะเป็นเหมือนอย่างข้าพระบาท เว้นแต่เครื่องจำจองนี้”’ (ข้อ 28–29)
เปาโลไม่ได้สนใจว่าผู้คนจะเป็นคริสเตียนผ่านวิกฤติ ( ‘คือ ช่วงเวลาสั้น ๆ’) หรือผ่านกระบวนการ (‘คือ ช่วงเวลาที่ยาวนาน’) แต่เขาพยายามทำทุกทางเพื่อเชิญชวนให้บรรดาคนเหล่านั้นมาเป็นคริสเตียนเช่นเดียวกับตน เปาโลไม่ละอายที่จะอธิษฐานขอให้ผู้คนเป็นเหมือนกับตัวเขาเลย (กาลาเทีย 4:12)
เปาโลไม่ได้ทำสิ่งใดซึ่งสมควรกับโทษประหารหรือถูกคุมขังเลย (กิจการ 26:31) แต่เจ้าหน้าที่ก็แก้ต่างอย่างไร้เหตุโดยไม่ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ (ข้อ 32) สิ่งนี้ไม่ยุติธรรมและไม่สมเหตุสมผลเลย นั่นคงดูน่าผิดหวังอย่างมากสำหรับเปาโล
กระนั้น 2,000 ปีต่อมา เราอยู่ที่นี่ กำลังฟังข้อความที่เปาโลพูดในขณะนั้น และมีโอกาสฟังพระเจ้าผ่านข้อความเหล่านั้น
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 16:1-17:41
อาหัสทรงครองยูดาห์
1ในปีที่ 17 แห่งรัชกาลเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ อาหัสพระราชโอรสของโยธามพระราชาแห่งยูดาห์ได้ขึ้นครองราชย์ 2เมื่ออาหัสทรงเป็นกษัตริย์นั้น มีพระชนมายุ 20 พรรษา และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 16 ปี และพระองค์ไม่ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ 3แต่ทรงดำเนินตามทางของพระราชาแห่งอิสราเอล ถึงกับทรงให้พระราชโอรสของพระองค์ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอล 4อาหัสทรงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมที่ปูชนียสถานสูง และบนเนินเขารวมทั้งใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
5แล้วเรซีน พระราชาแห่งซีเรียกับเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ พระราชาแห่งอิสราเอลทรงยกขึ้นมาทำสงครามกับกรุงเยรูซาเล็ม และได้ล้อมอาหัสไว้แต่ไม่ทรงสามารถเอาชัยชนะได้ 6เวลานั้นเรซีนพระราชาแห่งซีเรียเรซีนพระราชาแห่งซีเรีย ตีเมืองเอลัทคืนให้ซีเรีย และทรงขับไล่ประชาชนยูดาห์ออกจากเอลัท แล้วคนซีเรียมาที่เอลัทและอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้ 7อาหัสจึงทรงส่งคณะทูตไปเฝ้าทิกลัทปิเลเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรีย ให้กราบทูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของท่าน และเป็นบุตรของท่าน ขอเสด็จขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของพระราชาแห่งซีเรีย และจากมือของพระราชาแห่งอิสราเอล ผู้ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า” 8อาหัสทรงนำเงินและทองคำซึ่งพบในพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ และในคลังสำนักพระราชวัง และส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย 9พระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงฟังอาหัส พระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงยกทัพขึ้นไปยังกรุงดามัสกัสและยึดได้ ทั้งกวาดต้อนประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์ และทรงประหารเรซีนเสีย
10เมื่อกษัตริย์อาหัสเสด็จไปกรุงดามัสกัสเพื่อพบทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย พระองค์ทรงเห็นแท่นบูชาที่อยู่ในดามัสกัส และกษัตริย์อาหัสทรงส่งแบบจำลองแท่นบูชาไปยังอุรียาห์ปุโรหิต พร้อมทั้งแบบแปลนของแท่นนั้นตามลักษณะการสร้างอย่างละเอียด 11แล้วอุรียาห์ปุโรหิตก็สร้างแท่นบูชานั้น ตามแบบทุกอย่างที่กษัตริย์อาหัสได้ส่งมาจากดามัสกัส ดังนั้นอุรียาห์ปุโรหิตจึงทำแท่นบูชาขึ้นก่อนที่กษัตริย์อาหัสเสด็จกลับมาจากดามัสกัส 12และเมื่อพระราชาเสด็จกลับจากดามัสกัส พระราชาทรงเห็นแท่นบูชา แล้วพระราชาทรงเข้ามาใกล้แท่นบูชา และถวายเครื่องบูชาบนแท่นนั้น 13และทรงเผาเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และธัญบูชาและทรงเทเครื่องดื่มบูชา และทรงพรมเลือดแห่งเครื่องศานติบูชาของพระองค์ลงบนแท่นนั้น 14และพระองค์ทรงย้ายแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ออกเสียจากข้างหน้าพระนิเวศ บริเวณระหว่างแท่นบูชาใหม่กับพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และตั้งไว้ทางด้านเหนือของแท่นบูชานั้น 15และกษัตริย์อาหัสทรงบัญชาอุรียาห์ปุโรหิตว่า “บนแท่นใหญ่นี้ ท่านจงเผาเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตอนเช้า และธัญบูชาตอนเย็น และเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของพระราชา และเครื่องธัญบูชาของพระองค์ พร้อมกับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของประชาชนทั้งหมดในแผ่นดิน รวมทั้งธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเขาทั้งหลาย และจงพรมเลือดทั้งหมดของเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและของเครื่องสัตวบูชาบนแท่นนั้น แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ให้เป็นที่ที่เราจะทูลถามพระเจ้า” 16อุรียาห์ปุโรหิตทำทุกอย่างตามพระบัญชาของกษัตริย์อาหัส
17และกษัตริย์อาหัสทรงตัดแผงแท่นหมายถึง แท่นรองรับอ่างเล็กนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย และพระองค์ทรงเอาอ่างสาครลงมาจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น ทรงวางไว้บนพื้นหิน 18ส่วนศาลาวันสะบาโตซึ่งพวกเขาสร้างไว้ในพระนิเวศ และทางเข้าชั้นนอกสำหรับพระราชานั้น พระองค์ทรงย้ายจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ เพราะเห็นแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย 19ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาหัสที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 20และอาหัสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด และเฮเซคียาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน
2 พงศ์กษัตริย์ 17
โฮเชยาทรงครองอิสราเอล
1ในปีที่ 12 แห่งรัชกาลอาหัสพระราชาแห่งยูดาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์ได้ขึ้นครองราชย์ในกรุงสะมาเรีย และทรงครองอิสราเอลอยู่ 9 ปี 2และพระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ก็ไม่เหมือนกับบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลที่อยู่ก่อนพระองค์ 3แชลมาเนเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรงยกทัพมารบกับพระองค์ และโฮเชยาทรงยอมเป็นเมืองขึ้นและถวายเครื่องบรรณาการ 4แต่พระราชาแห่งอัสซีเรียทรงพบว่าโฮเชยาเป็นกบฏ เพราะโฮเชยาทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโสพระราชาแห่งอียิปต์ และไม่ยอมถวายเครื่องบรรณาการแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย อย่างที่ทรงเคยทำมาทุกปี เพราะฉะนั้นพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงขังพระองค์ไว้ และจำพระองค์ไว้ในคุก
อิสราเอลถูกกวาดต้อนเป็นเชลยในอัสซีเรีย
5แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดิน และขึ้นมายังกรุงสะมาเรียและทรงล้อมเมืองไว้ 3 ปี 6ในปีที่ 9 แห่งรัชกาลโฮเชยา พระราชาแห่งอัสซีเรียยึดกรุงสะมาเรียได้ พระองค์ทรงกวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย และให้พวกเขาอยู่ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย
7ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะคนอิสราเอลได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากพระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และเพราะพวกเขาได้นมัสการพระอื่นๆ 8และได้ดำเนินตามธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าคนอิสราเอล และตามกฎเกณฑ์ที่บรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามา 9และคนอิสราเอลได้ทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของตนอย่างลับๆ เขาทั้งหลายได้สร้างปูชนียสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ที่ที่มีหอสังเกตการณ์ จนถึงเมืองที่มีป้อมแปลได้อีกว่า ตั้งแต่หมู่บ้านเล็กที่สุดจนถึงเมืองใหญ่ที่สุด 10พวกเขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และเสาอาเช-ราห์บนเนินเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น 11ณ ที่นั่น พวกเขาได้เผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงทุกที่ ตามอย่างประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกวาดไปเสียต่อหน้าพวกเขา และเขาทั้งหลายได้ทำสิ่งชั่ว ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ 12เขาทั้งหลายปรนนิบัติรูปเคารพ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่เขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่างนี้” 13พระยาห์เวห์ยังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ทางผู้เผยพระวจนะทุกคนและผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา” 14แต่พวกเขาไม่ฟังและดื้อดึงเหมือนอย่างบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ไม่เชื่อถือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา 15เขาได้ปฏิเสธกฎเกณฑ์และพันธสัญญาของพระองค์ ซึ่งทรงทำกับบรรพบุรุษของเขา รวมทั้งพระดำรัสเตือนซึ่งประทานแก่เขา เขาทั้งหลายติดตามสิ่งไร้ค่าแปลได้อีกว่า ติดตามรูปเคารพที่ไร้ค่าและกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป และเขาทำตามประชาชาติที่อยู่รอบๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงห้ามเขาทำตาม 16และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของตน และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตนเป็นลูกวัวสองตัว และเขาได้สร้างเสาอาเช-ราห์ และโน้มตัวลงกราบบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระบาอัล 17เขาทั้งหลายได้ให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ และเขาได้ทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์ ทั้งขายตัวเอง ไปทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ 18เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธต่ออิสราเอลยิ่งนัก และทรงให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
19ยูดาห์ไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาด้วย แต่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของอิสราเอลที่ได้ทำกัน 20และพระยาห์เวห์ทรงปฏิเสธเชื้อสายทั้งสิ้นของอิสราเอล และทรงให้เขาทั้งหลายทนทุกข์ และมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น จนกว่าพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงเขาไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์
21เพราะพระองค์ทรงฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด และพวกเขาได้ตั้งเยโรโบอัมบุตรเนบัทให้เป็นพระราชา และเยโรโบอัมทรงชักนำอิสราเอลไปจากการติดตามพระยาห์เวห์ และนำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง 22คนอิสราเอลได้ดำเนินในบาปทั้งสิ้น ซึ่งเยโรโบอัมได้ทรงกระทำ เขาทั้งหลายไม่ได้หันจากบาปเหล่านั้นเลย 23จนพระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ อิสราเอลจึงถูกกวาดจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลยในอัสซีเรียจนทุกวันนี้
อัสซีเรียส่งคนเข้าตั้งรกรากในสะมาเรีย
24พระราชาแห่งอัสซีเรียทรงนำประชาชนมาจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม และให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล พวกเขาก็เข้าถือกรรมสิทธิ์สะมาเรีย และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น 25และตั้งแต่แรกที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นั่น เขาก็ไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์ ฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา พวกมันฆ่าบางคนในพวกเขา 26เพราะฉะนั้นมีผู้ไปทูลพระราชาแห่งอัสซีเรียว่า “ประชาชาติซึ่งฝ่าพระบาททรงพาไปอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียนั้น ไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระจึงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา และดูสิ พวกมันได้ฆ่าพวกเขาเสีย เพราะเขาไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น” 27แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงบัญชาว่า “จงนำคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเจ้ากวาดต้อนมาจากที่นั่นไปที่นั่น จงให้เขาไปอยู่ที่นั่น และให้สั่งสอนธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น” 28ฉะนั้นคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเขากวาดมาจากสะมาเรีย จึงไปอาศัยอยู่ที่เมืองเบธเอลและสั่งสอนเขาทั้งหลายว่า เขาจะต้องยำเกรงพระยาห์เวห์อย่างไร
29แต่ว่าประชาชาติทั้งสิ้นยังสร้างรูปพระของตนเอง และตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่งชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ในเมืองต่างๆ ที่ประชาชาติทั้งสิ้นอาศัยอยู่ 30ชาวบาบิโลนสร้างพระสุคคทเบโนท ชาวคูทสร้างพระเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างพระอาชิมา 31ชาวอัฟวาสร้างพระนิบหัสและพระทารทัก ชาวเสฟารวาอิมเผาเด็กของตนในไฟถวายพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม 32ประชาชาติเหล่านี้นมัสการพระยาห์เวห์ด้วย แต่ได้ตั้งปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงจากท่ามกลางพวกเขา ให้ทำหน้าที่เพื่อพวกเขาในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูง 33เขาจึงยำเกรงพระยาห์เวห์ แต่ก็ปรนนิบัติบรรดาพระของเขาเองด้วย ตามธรรมเนียมของบรรดาประชาชาติที่พวกอัสซีเรียกวาดเขามาจากที่นั้น 34ทุกวันนี้เขาก็ทำตามธรรมเนียมเดิม
เขาทั้งหลายไม่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ หรือกฎหมาย หรือธรรมบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่ลูกหลานของยาโคบ ผู้ที่พระองค์ประทานนามให้ว่าอิสราเอล 35พระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายและบัญชาเขาว่า “อย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น 36แต่เจ้าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และด้วยพระกรที่เหยียดออก เจ้าจงนมัสการพระองค์ และจงถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ 37และกฎเกณฑ์ กฎหมาย และธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงจารึกสำหรับพวกเจ้า เจ้าจงระวังที่จะทำตามเสมอ เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นเลย 38เจ้าอย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า และอย่ายำเกรงพระอื่นเลย 39แต่เจ้าทั้งหลายจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า และพระองค์จะทรงช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้งสิ้นของเจ้า” 40พวกเขาไม่ได้ฟัง แต่ยังทำตามธรรมเนียมเดิมของตน
41ดังนั้นประชาชาติเหล่านี้จึงยำเกรงพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติรูปเคารพสลักของพวกเขาด้วย ลูกของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน หลานของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน บรรพบุรุษของพวกเขาทำอย่างไร พวกเขาก็ทำอย่างนั้นจนทุกวันนี้
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้าพูดกับคุณผ่านทางผู้เผยพระวจนะ
พระเจ้าอนุญาตให้อิสราเอลถูกจับไปเป็นเชลย และถูกเนรเทศออกจากประเทศ เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะฟังพระองค์
ประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานี้ในพระธรรม 2 พงศ์กษัตริย์ สามารถสรุปได้เป็นคำว่า ‘ไม่ฟัง’ ‘พวกเขาไม่ฟัง... พวกเขาไม่ได้ฟัง’ (17:14,40) ดังที่เราเห็นจากเมื่อวานนี้ ปัญหาทั้งหมดที่กษัตริย์และประชากรของพระเจ้าเผชิญเป็นผลมาจากการไม่ฟังพระเจ้า
พระเจ้าตรัสกับคนของพระองค์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ‘พระเจ้าได้ยืนขึ้นต่อสู้กับอิสราเอลและยูดาห์ โดยตรัสอย่างชัดเจนผ่านผู้เผยพระวจนะและผู้ทำนายมากมายนับไม่ถ้วน ครั้งแล้วครั้งเล่า... แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง’ (ข้อ 13–14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาตกไปเป็นเชลย ‘การตกเป็นเชลยเกิดขึ้นเพราะความบาป ลูกหลานของอิสราเอลทำบาปต่อพระเจ้า... พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความฉ้อฉล เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้าของพวกเขา’ (ข้อ 7–9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘และเขาทำตามประชาชาติที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงห้ามเขาทำตาม’ (ข้อ 15) ผลของการไม่ฟังคือคนอิสราเอลสูญเสียการทรงสถิตของพระเจ้าและถูกกวาดต้อนเป็นเชลยในอัสซีเรีย ‘ทรงเหวี่ยงเขาไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์...พระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์’ (ข้อ 20,23)
เช่นเดียวกันกับเรา ในบ่อยครั้ง พวกเขาไม่เอาจริงเอาจังพอในเรื่องความบาปในชีวิตของพวกเขา ‘พวกเขาให้เกียรติและนมัสการพระเจ้า แต่ไม่ได้ให้พระองค์เพียงผู้เดียว... พวกเขาไม่ได้นมัสการพระเจ้าจริง ๆ พวกเขาได้ไม่จริงจังในสิ่งที่พระองค์ตรัสสั่งถึงวิธีที่พวกเขาควรปฏิบัติและสิ่งที่พวกเขาควรเชื่อ’ (ข้อ 32,34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พวกเขาไม่ได้เอาใจใส่ พวกเขายังคงทำสิ่งที่พวกเขาเคยทำอยู่เสมอ’ ( ข้อ 40, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณเคยหรือไม่ที่บางครั้งตัวเองพบว่าจิตใจของคุณถูกแบ่งแยกระหว่างการติดตามพระเจ้าและการทำตามความปรารถนาของคุณเอง เราควรปกป้องตัวเองจากความนิ่งเฉยหรือความประมาทเลินเล่อซึ่งจะนำให้ความบาปคืบคลานเข้ามา อย่าปล่อยให้ศัตรูนำคุณไปสู่การไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ความจริงก็คือ ความปรารถนาของพระเจ้าเป็นพรแก่เราเสมอ พระบัญชาและคำสั่งสอนของพระองค์มีไว้เพื่อให้คุณเจริญรุ่งเรือง (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 6:1–3)
เราเห็นสิ่งนี้ในชีวิตของกษัตริย์แต่ละพระองค์ของอิสราเอลและยูดาห์ ผู้เขียนพระธรรม 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ ให้ภาพย่อ ๆ ว่าแต่ละท่านทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ มีการพรรณนาถึงกษัตริย์ทุกพระองค์ของอิสราเอลว่าทำ ‘สิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์’ (2 พงศ์กษัตริย์ 17:2) และนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรในตอนต้น (ข้อ 8)
ในทางตรงกันข้าม ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนกษัตริย์ในยูดาห์มีคำอธิบายในแง่บวกอย่างกว้าง ๆ และประมาณอีกครึ่งหนึ่งเป็นในแง่ลบอย่างกว้าง ๆ เช่นกัน ภายใต้กษัตริย์ที่ ‘ดี’ อาณาจักรยูดาห์ก็เจริญรุ่งเรือง และประวัติศาสตร์ของอาณาจักรนั้นยาวนานกว่าและมีสิ่งที่ดีมากกว่าของอิสราเอล การปกครองของกษัตริย์ที่ ‘ดี’ โดยทั่วไปนั้นยาวนานกว่ากษัตริย์ที่ ‘ชั่วร้าย’ กษัตริย์ชั่วร้ายทั้งสิบสองพระองค์ครองราชย์รวมกันเป็นเวลา 130 ปี ในขณะที่กษัตริย์ที่ดีสิบพระองค์ครองราชย์รวมทั้งสิ้น 343 ปี กษัตริย์ที่ ‘ดี’ ยังคงเผชิญกับความยากลำบากและการท้าทายทุกรูปแบบ และการติดตามพระเจ้าก็ไม่รับประกันว่าชีวิตจะเรียบง่าย ทว่าแบบอย่างของพวกเขาเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึง พระพรและปัญญาของการฟัง และการติดตามพระเจ้า
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 พงศ์กษัตริย์ 17:41
‘ดังนั้นประชาชาติเหล่านี้จึงยำเกรงพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติรูปเคารพสลักของพวกเขาด้วย’
บางครั้งเมื่อฉันไปนมัสการที่คริสตจักร ฉันกลับเริ่มสนใจในสิ่งอื่น ๆ เช่น รองเท้าสวย ๆ ของใครสักคน หรือคิดว่าใช้ปลาหรือไก่ปรุงเป็นอาหารกลางวัน ! หัวใจของฉันก็ถูกแยกไปเช่นกัน
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 81:8–10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดนผู้แปล
‘จงฟัง…เราคือพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)