วัน 188

อันตรายจากความหยิ่งยโส

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 16:18-27
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 25:23-26:23
พันธสัญญาเดิม 2 พงศ์กษัตริย์ 14:23-15:38

เกริ่นนำ

ย้อนกลับไปตอนที่ผมทำงานเป็นทนายความ ผมจำคดีง่าย ๆ คดีหนึ่งซึ่งผมคิดว่าผมต้องชนะได้แน่ ผมมั่นใจมากว่า ตัวผมเองไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน หรือมอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า

เมื่อผมยืนขึ้นเพื่อพูด ผู้พิพากษาถามผมว่าผมทราบหรือไม่ว่าคดีได้ถูกเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากเรื่องข้อกฎหมายในช่วงสองหรือสามวันที่ผ่านมา ซึ่งผมไม่ทราบ ผลลัพธ์ที่ได้คือความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายมาก ตามที่ข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมสุภาษิตของวันนี้เตือนไว้ (สุภาษิต 16:18) ความจองหองมาก่อนการถูกทำลาย

ในความอับอาย ผมร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผมอ่านคดีล่าสุด จากนั้น ผมเขียนความคิดเห็นลงไปว่าผมคิดว่าการตัดสินนั้นผิด และควรจะถูกยื่นอุทธรณ์อีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้าที่มันเป็นเช่นนั้น

เราสามารถกลับไปขึ้นศาลและชนะคดีได้ ส่วนนักกฎหมายแทนที่จะตัดสินผมสำหรับความผิดพลาดที่ผมได้ทำ เขากลับมีความเมตตาและประทับใจกับความคิดเห็นที่ผมเขียนไปและส่งคดีมาให้ผมอีกมากมาย นั่นเลยกลายเป็นบทเรียนสองชั้น คือ ไม่เพียงเกี่ยวกับเรื่องอันตรายของความจองหองเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณอันพิเศษยิ่งของพระเจ้าและ ‘สิ่งต่าง ๆ จะสำเร็จลงได้ เมื่อคุณวางใจในพระเจ้า’ (สุภาษิต 16:20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผมพยายามที่จะไม่ลืมบทเรียนที่เรียนรู้เกี่ยวกับอันตรายของความจองหอง และการพึ่งพาตนเองทุกครั้งที่ลุกขึ้นพูด ผมก็อยากจะบอกว่าตัวเองไม่เคยทำผิดแบบเดิมอีก แต่นี่กลับเป็นบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ใหม่หลายต่อหลายครั้ง

ในภาษาอังกฤษคำว่า ‘ความหยิ่งจองหองหรือภาคภูมิใจ’ Pride อาจมีความหมายในแง่ที่ดี ตัวอย่างเช่น เราจะไม่พูดว่าเป็นการผิดที่คนเราจะภาคภูมิใจในลูกของตนเอง หรือภาคภูมิใจในการงานของตน อย่างไรก็ตาม เมื่อพระคัมภีร์พูดถึงความภาคภูมิใจหรือจองหอง มันหมายถึงบางสิ่งที่ต่างไปจากนั้นและมีความหมายเชิงลบอย่างมาก

นั่นคือการหมายถึง มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าหรือความสำคัญของตนเองมากเกินไป มันบ่งบอกถึงความประพฤติที่เย่อหยิ่งหรือเอาแต่ใจ เป็นวิญญาณที่เป็นอิสระที่กล่าวว่า ‘ฉันไม่ต้องการพระเจ้า’ ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจกันว่านี่เป็นรากเหง้าของบาปทั้งหมด เราควรตอบสนองต่อการล่อลวงและอันตรายของความจองหองอย่างไรบ้าง

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 16:18-27

18ความจองหองมาก่อนการถูกทำลาย
และใจผยองก็มาก่อนการล้ม
19เป็นคนถ่อมตัวอยู่กับคนยากจน
ก็ดีกว่าแบ่งของที่ริบมาได้กับคนเย่อหยิ่ง
20ผู้ใส่ใจพระวจนะจะเจริญรุ่งเรือง
และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย
21คนมีปัญญาเรียกได้ว่าเป็นคนมีความเข้าใจ
และวาจาอ่อนหวานเพิ่มอำนาจการสั่งสอน
22ปัญญาเป็นน้ำพุแห่งชีวิตแก่ผู้เป็นเจ้าของ
แต่ความโง่เป็นการลงโทษแก่คนโง่
23ใจของคนมีปัญญาทำให้วาจาของเขาสุขุม
และเพิ่มอำนาจการสั่งสอนแก่ปากของเขา
24ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง
เป็นความหวานแก่วิญญาณจิตและเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย
25มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก
แต่ปลายทางคือความมรณา
26ความหิวของคนงานทำงานให้เขา
เพราะปากของเขากระตุ้นเขาไป
27คนถ่อยคิดแผนชั่วปองร้ายคนอื่น
คำพูดจากริมฝีปากของเขาเหมือนไฟลวก

อรรถาธิบาย

ปลูกฝังความถ่อมใจ

พระเจ้าต้องการให้คุณเรียนรู้ที่จะดำเนินในความถ่อมใจและความเมตตา ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งและความจองหอง ความจองหองมาก่อนการถูกทำลาย: ‘ความเย่อหยิ่งมาก่อนแล้วค่อยถูกพังทลาย - ยิ่งมีอัตตาสูงเท่าไหร่ การล้มลงยิ่งหนักมากขึ้น’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เราได้รับการเตือนว่า “อยู่อย่างนอบน้อมถ่อมตนในหมู่คนยากจนก็ดีกว่าอยู่ท่ามกลางคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง” (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

การไร้อำนาจเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดมากในบางครั้ง เมื่อเราคิดว่าเราทราบถึงวิธีที่ดีที่สุดที่จะขยายแผ่นดินของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงมีอำนาจน้อยมาก ๆ เมื่อมองจากมุมมองของมนุษย์ พระองค์ทรง ‘เป็นคนถ่อมตัวอยู่กับคนยากจน’ (ข้อ 19)

‘ความถ่อมตัว’ ตรงกันข้ามกับความจองหอง โดยจะนำมาซึ่ง:

1. ความเจริญรุ่งเรือง
ความถ่อมตัวหมายถึงความเต็มใจที่จะเรียนรู้ ‘ผู้ใส่ใจพระวจนะจะเจริญรุ่งเรือง’ (ข้อ 20ก)

2. ความสุข
ความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างถ่อมตน: ‘ผู้ใดก็ตามที่พึ่งพา ไว้วางใจ และมั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นก็มีความสุข ได้รับพระพร และเป็นคนโชคดี’ ( ข้อ 20ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

3. การรักษา
ตรงข้ามกับคำพูดที่เย่อหยิ่งของคนจองหอง (‘คนถ่อยคิดแผนชั่วปองร้ายคนอื่น คำพูดจากฝีปากของเขาเหมือนไฟลวก’, ข้อ 27) คนถ่อมตัวใช้คำพูดที่สุภาพน่าฟัง (‘วาจาอ่อนหวานเพิ่มอำนาจการสั่งสอน’, ข้อ 21ข) ‘ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้งเป็นความหวานแก่วิญญาณจิต และเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย’ (ข้อ 24)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยให้ลูกพึ่งพาพระองค์อยู่เสมอ และไว้วางใจในพระองค์
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 25:23-26:23

เปาโลถูกนำมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อากริปปา

 23วันรุ่งขึ้นอากริปปากับเบอร์นิสเสด็จมาด้วยความโอ่อ่าตระการตา และเข้าไปประทับในห้องพิจารณาพร้อมกับพวกนายพันและคนสำคัญๆ ทั้งหลายในเมืองนั้น แล้วเฟสทัสจึงสั่งให้พาเปาโลเข้ามา 24เฟสทัสทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์อากริปปาและท่านทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันที่นี่ ท่านทั้งหลายได้เห็นคนนี้แล้วที่พวกยิวพากันขอร้องข้าพระบาททั้งในกรุงเยรูซาเล็มและที่นี่ โดยร้องตะโกนว่าเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป 25แต่ข้าพระบาทเห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดที่สมควรตาย เมื่อเขาเองขอถวายฎีกาถึงจักรพรรดิ ข้าพระบาทจึงตกลงใจว่าจะส่งเขาไป 26แต่ข้าพระบาทไม่มีรายงานแน่ชัดอะไรที่จะถวายเจ้านายของข้าพระบาทเกี่ยวกับคนนี้ เพราะฉะนั้นข้าพระบาทจึงพาเขาออกมาต่อหน้าพวกท่านทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉพาะพระพักตร์พระองค์ กษัตริย์อากริปปา โดยหวังว่าหลังจากไต่สวนแล้วคงจะพอมีเรื่องถวายรายงานได้บ้าง 27เพราะข้าพระบาทเห็นว่าการส่งนักโทษไปโดยไม่ส่งข้อหาไปด้วยนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล”

กิจการ 26

เปาโลแก้คดีเฉพาะพระพักตร์อากริปปา

 1อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เราอนุญาตให้เจ้าแก้ข้อกล่าวหาให้ตัวเองได้” เปาโลจึงยื่นมือเริ่มแก้คดีว่า
 2“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ข้าพระบาทถือว่าตัวเองมีโอกาสดียิ่งที่ได้อยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทในวันนี้ เพื่อแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกยิว 3เพราะฝ่าพระบาทมีความเชี่ยวชาญในบรรดาขนบธรรมเนียมและปัญหาต่างๆ ของพวกยิวเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทได้โปรดอดทนฟังข้าพระบาท 4“พวกยิวรู้วิถีชีวิตของข้าพระบาทตั้งแต่เด็ก คือตั้งแต่เริ่มแรกข้าพระบาทก็อยู่ท่ามกลางชนชาติของข้าพระบาท และอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 5เขาทั้งหลายรู้จักข้าพระบาทนานแล้ว ถ้าเขายอมก็เป็นพยานได้ว่าข้าพระบาทดำเนินชีวิตตามลัทธิที่เคร่งที่สุดในศาสนาของพวกข้าพระบาท คือเป็นพวกฟาริสี 6บัดนี้ข้าพระบาทต้องมายืนให้ฝ่าพระบาทพิพากษาก็เพราะเรื่องความหวังในพระสัญญาซึ่งพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของพวกข้าพระบาทนั้น 7พวกข้าพระบาทสิบสองเผ่าปรนนิบัติด้วยความจริงจังทั้งกลางวันกลางคืน เพราะมีความหวังว่าจะได้รับตามพระสัญญานั้น ข้าแต่กษัตริย์ เพราะความหวังนี้แหละที่พวกยิวฟ้องข้าพระบาท 8ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดว่าการที่พระเจ้าทรงทำให้คนตายเป็นขึ้นมานั้น เป็นเรื่องเชื่อไม่ได้?
 9“ข้าพระบาทเคยคิดในใจของตนเองว่า ควรจะทำหลายๆ อย่างเพื่อขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ 10และนี่ก็คือสิ่งที่ข้าพระบาททำในกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากได้รับสิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทจับธรรมิกชนจำนวนมากขังคุก และเมื่อพวกเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย 11ข้าพระบาททำโทษเขาบ่อยๆ ในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเนื่องจากข้าพระบาทโกรธพวกเขาอย่างยิ่ง ถึงขนาดข้าพระบาทตามไปข่มเหงเขาถึงหัวเมืองต่างๆ ในต่างประเทศ

เปาโลเล่าเรื่องการกลับใจของตน

 12“ดังนั้นขณะที่ข้าพระบาทกำลังไปยังเมืองดามัสกัสโดยอาศัยสิทธิอำนาจและคำสั่งของพวกหัวหน้าปุโรหิต 13ข้าแต่กษัตริย์ ในเวลาเที่ยงวันขณะกำลังเดินทางไป ข้าพระบาทก็ได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องลงมาจากท้องฟ้าล้อมรอบข้าพระบาทกับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระบาท 14เมื่อข้าพระบาทกับคนทั้งหลายล้มฟุบลงบนพื้น ข้าพระบาทได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพระบาทเป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม? การที่เจ้าถีบประตักก็เจ็บตัวเจ้าเอง’ 15ข้าพระบาทจึงทูลถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด?’ พระองค์ตรัสว่า ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง 16แต่จงลุกขึ้นยืนเถิด เพราะว่าเรามาปรากฏแก่เจ้าเพื่อจะตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้และเป็นสักขีพยานของเหตุการณ์ที่เจ้าได้เห็นเราสำเนาโบราณบางฉบับว่า ของสิ่งที่เจ้าได้เห็น และของสิ่งที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 17เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาติอิสราเอลและจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปนั้น 18ไปเปิดตาของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาหันจากความมืดมาหาความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาได้รับการอภัยบาป และมีส่วนอยู่ท่ามกลางคนที่ได้รับการชำระให้เป็นธรรมิกชนโดยความเชื่อในตัวเรา’

ถ้อยคำซึ่งเปาโลเป็นพยานต่อพวกยิวและพวกต่างชาติ

 19“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทก็ไม่ได้ขัดขืนนิมิตซึ่งมาจากสวรรค์ 20แต่ข้าพระบาทประกาศให้เขาทั้งหลายทราบ โดยเริ่มต้นในเมืองดามัสกัส ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นยูเดีย รวมทั้งพวกต่างชาติด้วย เพื่อให้เขาทั้งหลายกลับใจใหม่และหันมาหาพระเจ้า และทำสิ่งที่แสดงถึงการกลับใจใหม่ 21เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงจับข้าพระบาทในพระวิหาร และพยายามที่จะฆ่าข้าพระบาทเสีย 22แต่เพราะพระเจ้าโปรดช่วยข้าพระบาทมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพระบาทจึงยืนอยู่ที่นี่และเป็นพยานทั้งต่อผู้น้อยและผู้ใหญ่ ข้าพระบาทไม่ขอพูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและโมเสสกล่าวไว้ว่าจะเกิดขึ้น 23คือว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และพระองค์จะทรงแสดงความสว่างแก่ชนชาติอิสราเอลและแก่พวกต่างชาติโดยที่ทรงเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตาย”

อรรถาธิบาย

รับใช้และเป็นพยาน

คุณควรทำอย่างไร หากคุณมีโอกาสเป็นพยานเกี่ยวกับพระเยซู? คุณจะควรเล่าเรื่องชีวิตของคุณอย่างไร? เราจะมาดูข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ของสิ่งที่เราควรทำ

ในการพิจารณาคดี อาจารย์เปาโลบอกกับศาลว่าพระเยซูทรงมอบหมายหน้าที่ให้รับใช้ ‘เพราะว่าเรามาปรากฏแก่เจ้าเพื่อจะตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้และเป็นสักขีพยาน’ (26:16) เมื่อพระเยซูเสด็จมา ‘ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น’ (มาระโก 10:45) เราทุกคนถูกเรียกให้เป็นผู้รับใช้และเป็นพยาน พยานจะชี้ให้ผู้อื่นเห็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตัวของตนเอง อาจารย์เปาโลชี้ไปที่พระเยซูอย่างถ่อมใจ จากข้อความนี้เราจะเห็นว่าเขาทำให้การทรงเรียกนี้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง

อาจารย์เปาโลซึ่งอยู่ในเรือนจำและอยู่ในการพิจารณาคดี มาเผชิญหน้ากับความเย่อหยิ่งและ ‘ความโอ่อ่าตระการตาอย่างยิ่ง’ ขณะที่เขาถูกนำตัวมาอยู่ต่อหน้าอากริปปาและเบอร์นิส (กิจการ 25:23) นั่นคงเป็นประสบการณ์ที่น่าครั่นคร้ามอย่างมาก

เป็นอีกครั้งที่เปาโลเป็นพยานอย่างเรียบง่ายและถ่อมใจ กล่าวอย่างสุภาพและให้เกียรติกษัตริย์อากริปปา (26:2–3) ทั้งยังทำตามธรรมเนียมและประเพณีทางสังคม โดยเลือกที่จะเล่าเรื่องราวของตนเองที่สามารถเชื่อมต่อกับผู้ฟังได้ดี

ในส่วนแรกของคำพยาน อาจารย์เปาโลใช้คำว่า ‘ข้าพระบาท’ แทนคำว่า ‘ท่าน’ ในขณะที่คำว่า ‘ท่าน’ อาจดูอวดตัวและดูสนับสนุนคำพูดได้ดี แต่บางครั้งข้อความ ‘ฉัน’ ก็มีประสิทธิภาพมากกว่า รวมทั้งเป็นวิธีที่ไม่คุกคามและสุภาพกว่าในการชี้ประเด็นแก่ผู้ฟัง

เปาโลกล่าวว่าเขาเคยเป็นเหมือนพวกเขา ‘ข้าพระบาทเคยคิดในใจของตนเองว่า ควรจะทำหลาย ๆ อย่างเพื่อขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ และนี่ก็คือสิ่งที่ข้าพระบาททำในกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากได้รับสิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทจับธรรมิกชนจำนวนมากขังคุก และเมื่อพวกเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย’ (ข้อ 9–10)

ข้อความเหล่านี้มีความหมายว่า ‘ฉันก็เคยเหมือนกับคุณ ฉันเคยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ อำนาจและความยิ่งใหญ่ ฉันเคยทำในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ฉันเคยข่มเหงคริสเตียนเหมือนที่คุณกำลังข่มเหงฉันอยู่ในตอนนี้’

จากนั้นเขาบอกว่าพระเยซูทรงปรากฏต่อเขาอย่างไรและชี้ให้เห็นว่าในการข่มเหงคริสเตียนแท้จริงแล้วก็คือการข่มเหงพระเยซู ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง’ (ข้อ 15)

พระเยซูตรัสว่า ‘เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาติอิสราเอลและจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปนั้น ไปเปิดตาของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาหันจากความมืดมาหาความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาได้รับการอภัยบาป และมีส่วนอยู่ท่ามกลางคนที่ได้รับการชำระให้เป็นธรรมิกชนโดยความเชื่อในตัวเรา’ (ข้อ 17–18) ผ่านข้อความอันทรงพลังของคำว่า ‘ข้าพระบาท’ ในคำให้การ ที่จริงแล้วอาจารย์เปาโลกำลังพูดกับพวกเขาว่า พวกเขาอยู่ในความมืด และอยู่ภายใต้อำนาจของมารซาตาน และจำเป็นต้องได้รับการอภัยบาปของพวกเขา

เขาไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นหนทางสู่การให้อภัยอีกด้วย ‘แต่ข้าพระบาทประกาศให้เขาทั้งหลายทราบ เพื่อให้เขาทั้งหลายกลับใจใหม่และหันมาหาพระเจ้า และทำสิ่งที่แสดงถึงการกลับใจใหม่’ (ข้อ 20) เขากล่าวกับผู้คนที่เย่อหยิ่ง และมีอำนาจเหล่านี้ว่า ‘เขาทั้งหลายต้องกลับใจใหม่ และหันมาหาพระเจ้า’

เขากล่าวต่อไปว่า ‘แต่เพราะพระเจ้าโปรดช่วยข้าพระบาทมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพระบาทจึงยืนอยู่ที่นี่และเป็นพยานทั้งต่อผู้น้อยและผู้ใหญ่’ (ข้อ 22) อาจารย์เปาโลยินดีที่จะพูดกับทุกคน ทั้งผู้มีอำนาจและผู้ที่อ่อนแอ

ข้อความของอาจารย์เปาโลมักมีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซู ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านระหว่างทางไปดามัสกัส เขาเป็นพยานว่า ‘พระคริสต์ต้องทนทุกข์และ... เป็นขึ้นมาจากความตาย’ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ได้ใช้ทุกโอกาสที่จะบอกผู้คนเกี่ยวกับพระเยซูและทำตามแบบอย่างของการรับใช้ด้วยความถ่อมใจของพระองค์
พันธสัญญาเดิม

2 พงศ์กษัตริย์ 14:23-15:38

เยโรโบอัมที่ 2 ทรงครองอิสราเอล

 23ในปีที่ 15 แห่งรัชกาลอามาซิยาห์ พระราชโอรสของโยอาชพระราชาแห่งยูดาห์ เยโรโบอัม พระราชโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลทรงครองราชย์ในกรุงสะมาเรียอยู่ 41 ปี 24พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ทรงหันจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 25พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์คือ ทะเลตาย ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ บุตรอามิททัยผู้เผยพระวจนะผู้มาจากกัธเฮเฟอร์ 26เพราะพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก เพราะไม่มีใครเหลือ ไม่ว่าทาสหรือไท ไม่มีใครช่วยอิสราเอล 27พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสว่า จะลบนามอิสราเอลจากใต้ฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัมพระราชโอรสของเยโฮอาช
 28ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโรโบอัม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และพระราชอำนาจของพระองค์ การสู้รบของพระองค์ และเรื่องที่ทรงตีเอากรุงดามัสกัสและเมืองฮามัท ซึ่งเคยเป็นของยูดาห์คืนแก่อิสราเอล ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 29และเยโรโบอัมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ คือบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอล แล้วเศคาริยาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน

2 พงศ์กษัตริย์ 15

อาซาริยาห์ทรงครองยูดาห์

 1ในปีที่ 27 แห่งรัชกาลเยโรโบอัม พระราชาแห่งอิสราเอล อาซาริยาห์ พระราชโอรสของอามาซิยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ได้ขึ้นครองราชย์ 2เมื่อพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุ 16 พรรษา และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 52 ปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยโคลียาห์ชาวเยรูซาเล็ม 3พระองค์ทรงทำสิ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนทุกอย่างที่อามาซิยาห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ 4เว้นแต่ปูชนียสถานสูงยังไม่ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงเหล่านั้น 5และพระยาห์เวห์ทรงลงโทษพระราชา พระองค์ก็ทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์ และพระองค์ประทับในวังต่างหาก และโยธามพระราชโอรสของพระราชาทรงดูแลควบคุมสำนักพระราชวัง และทรงปกครองประชาชนของแผ่นดิน 6ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาซาริยาห์และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 7และอาซาริยาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิดหมายถึงกรุงเยรูซาเล็ม และโยธามพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน

เศคาริยาห์ทรงครองอิสราเอล

 8ในปีที่ 38 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เศคาริยาห์พระราชโอรสของเยโรโบอัมทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย 6 เดือน 9และทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ดังที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำ พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 10ชัลลูมบุตรยาเบชก่อการกบฏต่อพระองค์ โค่นพระองค์ลงต่อหน้าประชาชนและประหารพระองค์เสีย และได้ขึ้นครองราชย์แทน 11ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเศคาริยาห์ นี่แน่ะ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 12(เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสแก่เยฮูว่า “เชื้อสายของเจ้าจะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลถึงสี่ชั่วอายุคน” และก็เป็นดังนั้น)

ชัลลูมทรงครองอิสราเอล

 13ชัลลูมบุตรยาเบชได้ขึ้นครองราชย์ในปีที่ 39 แห่งรัชกาลอุสซียาห์คือ อาซาริยาห์ ดูข้อ 1พระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในสะมาเรียหนึ่งเดือน 14แล้วเมนาเฮมบุตรกาดีได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์ไปยังกรุงสะมาเรีย ท่านได้โค่นล้มชัลลูมบุตรยาเบชในสะมาเรีย และประหารพระองค์เสีย และได้ขึ้นครองราชย์แทน 15ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของชัลลูม และการกบฏที่พระองค์ทรงทำ นี่แน่ะ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 16ในเวลานั้น เมนาเฮมโจมตีทิฟสาห์ และทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นและชายแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะเขาไม่เปิดประตูเมืองให้ท่าน ท่านโจมตีเมืองนั้น และผ่าท้องหญิงมีครรภ์ของเมืองนั้นทุกคน

เมนาเฮมทรงครองอิสราเอล

 17ในปีที่ 39 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรกาดีทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย 10 ปี 18พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และตลอดรัชกาลของพระองค์ก็ไม่ได้ทรงหันจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 19ทิกลัทปิเลเสอร์ พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ยกขึ้นมาต่อสู้แผ่นดินนั้น และเมนาเฮมได้ถวายเงิน 1,000 ตะลันต์หนัก 34 ตันแก่ทิกลัทปิเลเสอร์ เพื่อให้พระองค์ช่วยให้ท่านกุมอาณาจักรไว้ได้ 20เมนาเฮมได้รีดเงินจากอิสราเอลคือ จากคนมั่งมีทุกคน คนละ 50 เชเขลหนักประมาณ 575 กรัม เพื่อถวายพระราชาแห่งอัสซีเรีย ดังนั้นพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และไม่ได้ทรงยับยั้งอยู่ในแผ่นดินนั้น 21ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเมนาเฮม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 22และเมนาเฮมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเปคาหิยาห์พระราชโอรสได้ขึ้นครองราชย์แทน

เปคาหิยาห์ทรงครองอิสราเอล

 23ในปีที่ 50 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เปคาหิยาห์พระราชโอรสของเมนาเฮมทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย 2 ปี 24และพระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 25และเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ แม่ทัพของพระองค์ได้ก่อการกบฏต่อพระองค์ และได้ประหารพระองค์ในกรุงสะมาเรียในป้อมของพระราชวัง พร้อมกับอารโกบและอารีเอห์ และมีคนกิเลอาด 50 คนร่วมกันคิดกบฏกับท่าน ท่านได้ประหารพระองค์และได้ขึ้นครองราชย์แทน 26ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเปคาหิยาห์ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ นี่แน่ะ มีบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

เปคาห์ทรงครองอิสราเอล

 27ในปีที่ 52 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ทรงครองอิสราเอลในสะมาเรีย 20 ปี 28พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
 29ในรัชกาลของเปคาห์พระราชาแห่งอิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียทรงยกมายึดเมืองอิโยน อาเบลเบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี แผ่นดินนัฟทาลีทั้งหมด และทรงกวาดต้อนประชาชนไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย 30แล้วโฮเชยาบุตรเอลาห์ได้ร่วมกันคิดกบฏต่อเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ และโค่นพระองค์ลง และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองราชย์แทนในปีที่ 20 แห่งรัชกาลโยธามพระราชโอรสของอุสซียาห์ 31ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเปคาห์และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ นี่แน่ะ มีบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

โยธามทรงครองยูดาห์

 32ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล โยธามพระราชโอรสของอาซาริยาห์อาซาริยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ ได้ขึ้นครองราชย์ 33เมื่อพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุ 25 พรรษา และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 16 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยรูชาบุตรหญิงของศาโดก 34และพระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างที่อาซาริยาห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ 35เว้นแต่ปูชนียสถานสูงยังไม่ได้ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงเหล่านั้น พระองค์ทรงสร้างประตูบนของพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ 36ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของโยธาม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 37ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงใช้เรซีน พระราชาแห่งซีเรีย และเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ให้มาสู้กับยูดาห์ 38โยธามทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสพระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน

อรรถาธิบาย

ต่อต้านความหยิ่งผยอง

ถ้าหากคุณมีคนที่ทำงานให้กับคุณ หรือถ้าคุณเป็นพ่อแม่ หรือถ้าคุณอาสาอยู่ในตำแหน่งผู้นำ คุณก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจ

ความเย่อหยิ่งเป็นการทดลองใจโดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ ไม่ว่าอำนาจนั้นจะมาจากสถานะ ความสำเร็จ ชื่อเสียง หรือความมั่งคั่ง

ประวัติศาสตร์ของกษัตริย์แห่งอิสราเอลและยูดาห์แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะมีอำนาจและต้านทานการทดลองใจในเรื่องความหยิ่งจองหอง ในช่วงเวลานี้ กษัตริย์แห่งยูดาห์กระทำดีกว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอล กษัตริย์องค์แล้วองค์เล่าในอิสราเอลได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า (14:24; 15:18,24,28) ขณะที่ในยูดาห์ อาซาริยาห์และโยธามบุตรชายของท่าน ทั้งสองต่างก็ ‘ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์’ (15:3, 34)

อาซาริยาห์ยังเป็นที่รู้จักกันในนามอุสซียาห์ (ข้อ 32) เราทราบเรื่องราวของเขามากขึ้นจากข้อความตอนอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (เช่น อาโมส 1:1, อิสยาห์ 6:1 เป็นต้นไป และ 2 พงศาวดาร 26:16–23)

ในที่นี้เราอ่านว่าถึงแม้เขาจะ ‘ทำสิ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ...เว้นแต่ปูชนียสถานสูงยังไม่ถูกกำจัดเสีย ...และพระยาห์เวห์ทรงลงโทษพระราชา พระองค์ก็ทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์’ (2 พงศ์กษัตริย์ 15:3–5) ทำไมชีวิตของเขาถึงจบลงด้วยความพลั้งพลาดเช่นนี้?

พระธรรมพงศาวดารได้ให้คำตอบไว้ว่า ‘และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปไกล เพราะพระองค์ทรงได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์จนเข้มแข็ง แต่เมื่อทรงเข้มแข็งแล้ว พระองค์ก็มีพระทัยผยองขึ้นจนทำให้เสื่อมลง เพราะพระองค์ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์’ (2 พงศาวดาร 26:15–16)

สิ่งนี้เตือนเราว่าหากพระเจ้าอวยพรเราด้วยความสำเร็จ ก็จะมีการทดลองใจให้เกิดความหยิ่งผยองอยู่เสมอ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณสำหรับคำเตือนในพระคัมภีร์ ตลอดจนการหนุนน้ำใจ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เอาใจใส่คำเตือนเหล่านี้อยู่เสมอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอพึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดแต่ถ่อมพระองค์ลงอยู่เสมอ และทรงเป็นผู้ปรนนิบัติผู้รับใช้ (ฟีลิปปี 2:6–8)

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 16:18

ครั้งหนึ่งฉันสามารถถอยรถเข้าไปในที่จอดรถขนาดเล็กได้ด้วยความชำนาญ และรู้สึกค่อนข้างพอใจกับฝีมือของตัวเอง ฉันบอกกับแม่ของฉันซึ่งอยู่ในรถกับฉันว่า ฉันจอดรถได้ดีที่สุดในครอบครัว และฉันบ่นว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ จอดรถไม่ชำนาญ ต่อมา มีคนขอให้ฉันช่วยขับรถไปซื้อของ ฉันจึงกระโดดขึ้นรถกับเพื่อน และเรากลับมายังที่จอดรถช่องเดิมที่ยังว่างอยู่ แต่ฉันจะเข้าไปได้ไหม? แต่ฉันกลับใช้เวลาถึงห้าครั้งในการถอยไปมา และในตอนท้ายเพื่อนของฉันก็ขอช่วยจอดแทนฉัน! ซึ่งช่วยได้มากจริง ๆ ความจองหองมาก่อนการถูกทำลาย!

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 16:24

‘ถ้อยคำแช่มชื่นเป็นเหมือนรวงผึ้ง เป็นความหวานแก่วิญญาณจิตและเป็นพลานามัยแก่ร่างกาย’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม