ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เกริ่นนำ
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งต่อความเชื่อ คือ ความทุกข์ของผู้บริสุทธิ์ นี่มักจะเป็นคำถามแรก ๆ ของกลุ่มย่อยในอัลฟ่าว่า 'ถ้ามีพระเจ้าผู้ทรงรักเรา เหตุใดจึงมีความทุกข์ยากลำบากมากมายในโลกนี้ ? เหตุใดจึงมีความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหงเช่นนี้?’
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่สำคัญและจำเป็นต้องตอบอย่างยิ่ง แต่ไม่มีคำตอบที่เรียบง่าย ทว่าพระเจ้าสามารถพบเราท่ามกลางความทุกข์ยากและการต่อสู้ดิ้นรน แล้วก็เป็นสิ่งพิเศษมากที่บ่อยครั้งผู้ที่ผ่านความทุกข์ยากที่สุดจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งกล้าหาญที่สุด พวกเขาเป็นพยานถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้าพวกเขา พระองค์เสริมกำลังและปลอบโยนท่ามกลางความเจ็บปวดของพวกเขา เบ็ตซี่ เทน บูม ขณะที่เธอนอนลงกำลังจะเสียชีวิตในค่ายกักกันราเวนส์บรุ๊ค เธอได้หันไปหาคอร์รี่ น้องสาวของเธอ และพูดว่า ‘เราต้องบอกพวกเขาว่าไม่มีหลุมใดที่ลึกเกินกว่าที่พระเจ้าจะไปถึง พวกเขาจะฟังเรา คอร์รี่ เพราะเราเคยอยู่ที่นี่’
ความเชื่อเกี่ยวข้องกับการไว้วางใจในพระเจ้า ประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์มองเห็นโลกแห่งความทุกข์ทรมาน แต่พวกเขาไว้วางใจในพระเจ้าไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นจะเป็นอย่างไร
สดุดี 82:1-8
คำวิงวอนขอความยุติธรรม
เพลงสดุดีของอาสาฟ
1พระเจ้าประทับในสภาสวรรค์
พระองค์ทรงพิพากษาท่ามกลางพระทั้งหลายว่า
2“เจ้าทั้งหลายจะพิพากษาอย่างอยุติธรรม
และลำเอียงเข้าข้างคนอธรรมนานเท่าใด?
3“จงให้ความยุติธรรมแก่คนอ่อนแอและเด็กกำพร้า
จงปกป้องสิทธิของผู้ทุกข์ยากและผู้ขัดสน
4จงช่วยคนอ่อนแอและคนขัดสนให้พ้นภัย
จงช่วยกู้พวกเขาให้พ้นจากมือของคนอธรรม”
5พระทั้งหลายไม่รู้และไม่เข้าใจ
พวกเขาเดินไปมาในความมืด
รากทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกก็หวั่นไหว
6“เราได้กล่าวว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นพระ
เป็นบุตรองค์ผู้สูงสุด เจ้าทุกคนนั่นแหละ
7ถึงกระนั้น พวกเจ้าก็จะตายอย่างมนุษย์
และล้มลงเหมือนเจ้านายคนหนึ่ง’ ”
8ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นพิพากษาแผ่นดินโลก
เพราะประชาชาติทั้งสิ้นเป็นของพระองค์
อรรถาธิบาย
ไว้วางใจในพระเจ้าท่ามกลางความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหง
เราจะตอบสนองต่อความอยุติธรรมในโลกได้อย่างไร? ผู้เขียนพระธรรมสดุดีเชื่อว่าในที่สุดพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดผลดี: ‘พระองค์มีโลกทั้งใบอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์!’ (ข้อ 8ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นับเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ที่ได้อยู่ภายใต้ระบบความยุติธรรมที่ดี การอยู่ภายใต้ผู้พิพากษาที่ทุจริตและไร้ความสามารถถือเป็นคำสาปที่น่ากลัว แต่ท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงเรียกพวกเขามาพิพากษา
‘พระเจ้าประทับในสภาสวรรค์ พระองค์ทรงพิพากษาท่ามกลาง (‘พระทั้งหลาย’)’ (ข้อ 1) ไว้วางใจว่าพระเจ้าทรงเป็น ‘ผู้ครอบครอง’ คือพระองค์เป็นผู้ควบคุมอยู่สูงสุด
‘พระเจ้า… ให้ผู้พิพากษาทั้งหมดอยู่ในคอก "พอแล้ว! เจ้าได้ทำลายความยุติธรรมมานานพอแล้ว”’ ( ข้อ 2 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ความเชื่อใน ‘การครอบครอง’ ของพระเจ้าไม่ควรนำไปสู่การเฉยเมยหรือการไม่ทำอะไร ผู้เขียนพระธรรมสดุดีมีความกระตือรือร้นที่จะเห็นโลกเปลี่ยนไป
เราไม่เพียงต้องไว้วางใจพระเจ้าเท่านั้น แต่เรามีหน้าที่ทำทุกอย่างด้วยกำลังของเราเพื่อให้เกิดความยุติธรรม เราต้องกระทำเพื่อคนที่ยากจนขัดสน ‘จงให้ความยุติธรรมแก่คนอ่อนแอและเด็กกำพร้า จงปกป้องสิทธิของผู้ทุกข์ยากและผู้ขัดสน จงช่วยคนอ่อนแอและคนขัดสนให้พ้นภัย จงช่วยกู้พวกเขาให้พ้นจากมือของคนอธรรม’ (ข้อ 3–4)
จะถึงเวลาที่สิ่งต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี ความอยุติธรรมจะถูกกำจัดไปและจะมีการปลดปล่อย ยกตัวอย่างเช่น จากการปกครองที่ทุจริต ผู้เขียนอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นพิพากษาแผ่นดินโลก’ (ข้อ 8ก)
ขณะที่เราเองหวังใจในการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเจ้า เราสามารถคาดหวังความยุติธรรมนั้นโดยการเป็นตัวแทนของผู้คนที่ยากจน และถูกกดขี่ข่มเหงในเวลานี้ เราควรท้าทายเช่นนี้กับเหล่าคนที่มีอำนาจว่า ‘พวกคุณจะลำเอียงเข้าข้างคนอธรรมอีกนานแค่ไหน?’
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 27:13-44
พายุในทะเล
13เมื่อมีลมทิศใต้พัดมาเบาๆ พวกเขาก็คิดว่าสามารถทำได้ตามใจปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต 14แต่ในไม่ช้าก็เกิดลมพายุที่เรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดกวาดมาจากเกาะครีตภาษากรีกแปลตรงตัวว่า จากที่นั้น 15เมื่อเรือถูกพายุและต้านลมไม่ไหว เราจึงปล่อยไปตามลม 16และเมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็กแห่งหนึ่งชื่อคาวดาแล้ว เราก็ยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้ด้วยความลำบากยากเย็น 17เมื่อยกเรือขึ้นแล้วเราเอาเชือกผูกโอบรอบเรือกำปั่นไว้ และเนื่องจากกลัวว่าเรือจะเกยสันดอนทรายในอ่าวเสอร์ทิส จึงลดใบลงแล้วปล่อยให้ไปตามกระแสลม 18วันรุ่งขึ้นเขาทั้งหลายเริ่มขนของที่บรรทุกมาทิ้งเสียเพราะถูกพายุใหญ่ 19พอวันที่สามพวกเขาก็ทิ้งเครื่องใช้ในเรือออกด้วยมือของเขาเอง 20และเมื่อไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงดาวมาหลายวันแล้ว ทั้งยังเจอพายุใหญ่อยู่อีก ความหวังที่เราจะรอดนั้นก็หมดไป
21เมื่อเขาทั้งหลายอดอาหารกันมานานแล้ว เปาโลจึงมายืนอยู่ท่ามกลางเขากล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านควรจะฟังข้าพเจ้าและไม่ควรออกจากเกาะครีตเลย จะได้ไม่ต้องประสบอันตรายและความสูญเสีย 22แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้ทำใจดีๆ ไว้ เพราะว่าในท่ามกลางท่านทั้งหลายจะไม่มีใครเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23เพราะว่าเมื่อคืนนี้เอง ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้าและเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติมายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า 24ทูตนั้นกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้าจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ และพระเจ้าทรงโปรดเจ้าโดยให้คนทั้งหมดที่อยู่ในเรือกับเจ้านั้นรอดตาย’ 25ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จงทำใจดีๆ ไว้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระเจ้าว่า เหตุการณ์จะต้องเป็นไปตามที่พระองค์ทรงกล่าวไว้กับข้าพเจ้า 26แต่ว่าเราจะต้องไปเกยเกาะแห่งหนึ่ง”
27จนถึงคืนที่สิบสี่ ขณะที่เรายังลอยอยู่ในทะเลอาเดรียนั้น ตอนประมาณเที่ยงคืนพวกกะลาสีสงสัยว่าเข้ามาใกล้แผ่นดินแล้ว 28เมื่อหยั่งน้ำดูก็วัดได้ลึกสี่สิบเมตร เมื่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็หยั่งน้ำวัดได้สามสิบเมตร 29พวกเขากลัวว่าจะโดนโขดหิน จึงทอดสมอท้ายสี่ตัวแล้วภาวนาให้ฟ้าสาง 30พวกกะลาสีนั้นหาทางหนีจากเรือโดยหย่อนเรือเล็กลงไปในทะเล ทำทีว่าจะทอดสมอจากหัวเรือ 31เปาโลจึงพูดกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนี้ไม่อยู่ในเรือ พวกท่านจะไม่มีทางรอด” 32พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กให้เรือหลุดลอยไป
33พอใกล้รุ่งเช้า เปาโลก็เชิญชวนทุกคนให้รับประทานอาหารและกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสี่แล้วที่ท่านเฝ้าแต่รอและอดอาหาร ไม่ได้กินอะไรเลย 34ข้าพเจ้าจึงขอเชิญชวนท่านให้รับประทานอาหารเสียบ้างเพื่อจะประทังชีวิตอยู่ได้ เพราะไม่มีใครในพวกท่านที่จะต้องเสียแม้แต่เส้นผมสักเส้นหนึ่ง” 35เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระคุณพระเจ้าต่อหน้าทุกคน แล้วก็หักรับประทาน 36ทุกคนก็มีกำลังใจขึ้นจึงรับประทานอาหารด้วย 37(เราที่อยู่ในเรือลำนั้นมีจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบหกคน) 38หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้ว จึงขนข้าวสาลีในเรือทิ้งลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น
เรืออับปาง
39เมื่อสว่างแล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นแผ่นดินอะไร แต่เห็นอ่าวแห่งหนึ่งมีหาด จึงตกลงกันว่า ถ้าเป็นได้จะให้เรือเข้าเกยหาดนั้น 40เขาจึงตัดสายสมอทิ้งลงทะเลแล้วแก้เชือกที่มัดหางเสือและชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าหาฝั่ง 41เมื่อมาถึงบริเวณหนึ่งที่ทะเลสองข้างบรรจบกันแปลได้อีกว่า บริเวณสันดอน เรือก็เกยดินจนหัวเรือติดแน่นขยับไม่ได้ ส่วนท้ายเรือนั้นแตกออกด้วยกำลังคลื่น 42พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษทั้งหลายเพื่อไม่ให้ใครว่ายน้ำหนีไปได้ 43แต่นายร้อยต้องการช่วยเปาโล จึงไม่ให้พวกทหารทำตามความคิดนั้น แล้วสั่งคนที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดน้ำว่ายเข้าหาฝั่งก่อน 44พวกคนที่เหลือนั้นก็เกาะกระดานไปบ้าง เกาะชิ้นส่วนเรือที่หักไปบ้าง แล้วก็ถึงฝั่งรอดตายหมดทุกคน
อรรถาธิบาย
ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางภัยพิบัติและความวุ่นวาย
เมื่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของคุณผิดพลาดไป ในบางครั้งคุณถูกทดลองให้ตื่นกลัวหรือไม่? ผมรู้ว่าผมเป็นแบบนั้น ถ้าทุก ๆ อย่างในชีวิตของเราเป็นไปด้วยดี เราก็จะไว้วางใจในพระเจ้าได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่เราเผชิญกับปัญหาที่เข้ามาท้าทายความเชื่อของเรา ท่ามกลางปัญหา การทดลองและความทุกข์ยากลำบากมากมายของท่าน เปาโลต้องเผชิญภัยเรือแตกถึงสามครั้ง (2 โครินธ์ 11:23 ข–25)
ในเนื้อหาวันนี้ เราจะมาอ่านหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านี้ ในตอนแรก ดูเหมือนว่าเปาโลจะคาดเดาสถานการณ์ผิดเนื่องจากสภาพอากาศดูเหมาะสมสำหรับการเดินทาง (กิจการ 27:13) แต่แล้วพายุเฮอริเคนก็ก่อตัวขึ้น (ข้อ 14) นั่นคงเป็นประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัว ลูกาเขียนว่า ‘ความหวังที่(พวกเขา)จะรอดนั้นก็หมดไป’ (ข้อ 20)
กระนั้น เปาโลยังคงไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยบอกคนที่อยู่บนเรือให้ ‘เชื่อพระเจ้า’ ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่และได้สัญญาว่าจะช่วยพวกเขาให้รอด (ข้อ 23-25)
ภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้พวกเขาต้องฟังเปาโล นี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาที่เปาโลผู้เป็นนักโทษคนหนึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นผู้นำ โดยบอกกับพวกเขาว่า ‘ท่านควรจะฟังเรา’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ท่านเป็นผู้หยุดพวกกะลาสีเรือไม่ให้หาทางหนีออกจากเรือ (ข้อ 30)
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นผู้นำที่ไม่มียศ หรือตำแหน่ง ผู้นำที่ดีที่สุดสามารถนำได้ในทุกสถานการณ์ ด้วยการมีอิทธิพลและการโน้มน้าวใจ
ความวุ่นวายทำให้เปาโลมีโอกาสได้พูดเกี่ยวกับความเชื่อของตน เขาใช้โอกาสนี้แม้ว่าตัวเองจะต้องทนทุกข์ทรมานมากจากความหิวโหยและผลจากพายุ
เปาโลเห็นว่าตนเองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า (‘ผู้ทรงเป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้า’) และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ (‘เป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติ’) (ข้อ 23) แต่พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงเจ้าของและเจ้านายของเขาเท่านั้น เปาโลวางใจพระเจ้าและมั่นใจในความรักของพระองค์ เขาทราบว่าพระเจ้าปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง เช่นเดียวกับที่พระองค์ทำเพื่อคุณในทุกวันนี้
เปาโลรับรองกับพวกเขาว่า ‘ไม่มีใครในพวกท่านที่จะต้องเสียแม้แต่เส้นผมสักเส้นหนึ่ง’ (ข้อ 34) และ ‘เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระคุณพระเจ้าต่อหน้าทุกคน แล้วก็หักรับประทาน’ (ข้อ 35)
แม้จะเกิดภัยพิบัติขึ้น พระเจ้าก็ยังควบคุมอยู่ในท้ายที่สุด ‘พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษทั้งหลายเพื่อไม่ให้ใครว่ายน้ำหนีไปได้ แต่นายร้อยต้องการช่วยเปาโล จึงไม่ให้พวกทหารทำตามความคิดนั้น’ (ข้อ 42–43ก)
พระเจ้าประทานความโปรดปรานในสายตาของผู้คนและในสายพระเนตรของพระเจ้าเองแก่อาจารย์เปาโล ผลก็คือ ‘ถึงฝั่งรอดตายหมดทุกคน’ (ข้อ 44)
ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งพระเจ้าจากการช่วยกู้เปาโล และใช้เขาเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จและช่วยชีวิตผู้คน
คำอธิษฐาน
2 พงศ์กษัตริย์ 18:1-19:13
เฮเซคียาห์ทรงครองยูดาห์
1ต่อมาในปีที่ 3 แห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรยาเอลาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์พระราชโอรสของอาหัสพระราชาแห่งยูดาห์ได้ขึ้นครองราชย์ 2เมื่อทรงเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุ 25 พรรษา และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 29 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาบี บุตรหญิงของเศคาริยาห์ 3และพระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างที่ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำ 4พระองค์ทรงรื้อปูชนียสถานสูงทิ้งไป ทรงทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ลงเป็นชิ้นๆ ทรงโค่นเสาอาเช-ราห์ลงเสีย และทรงทุบงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเสีย เพราะว่าคนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้นจนถึงวันเหล่านั้น เขาเรียกงูนั้นว่า เนหุชทาน 5พระองค์วางพระทัยในพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นในบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ต่อจากพระองค์มา หรือในบรรดาผู้อยู่ก่อนพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์ 6เพราะว่าพระองค์ทรงยึดพระยาห์เวห์อย่างมั่นคง พระองค์ไม่ทรงหันจากการติดตามพระเจ้าเลย แต่ได้รักษาพระบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 7และพระยาห์เวห์สถิตกับพระองค์ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ พระองค์ทรงกบฏต่อพระราชาแห่งอัสซีเรีย และไม่ยอมปรนนิบัติท่าน 8พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึงเมืองกาซาและชายแดนเมืองนั้น ตั้งแต่ที่ที่มีหอสังเกตการณ์จนถึงเมืองที่มีป้อมแปลได้อีกว่า ตั้งแต่หมู่บ้านเล็กที่สุดจนถึงเมืองใหญ่ที่สุด
9ต่อมาในปีที่ 4 แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่ 7 แห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรเอลาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล แชลมาเนเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมารบกับสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้ 10และเมื่อสิ้น 3 ปีพวกเขาก็ยึดเมืองนั้นได้ ในปีที่ 6 แห่งรัชกาลเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่ 9 แห่งรัชกาลโฮเชยาพระราชาแห่งอิสราเอล กรุงสะมาเรียก็ถูกยึดไป 11พระราชาแห่งอัสซีเรียได้กวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย ไปไว้ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย 12เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของตน แต่ได้ทำผิดต่อพันธสัญญาของพระองค์ คือทำผิดต่อทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ และเขาทั้งหลายไม่ฟัง ไม่ทำตาม
เซนนาเคอริบบุกยูดาห์
13ในปีที่ 14 แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบพระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อสู้บรรดาเมืองที่มีป้อมของยูดาห์ และยึดได้ 14และเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ทรงใช้คนไปทูลพระราชาแห่งอัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้ทำผิด ขอท่านถอนทัพไปจากข้าพเจ้า ท่านจะปรับเท่าไร? ข้าพเจ้าจะยอมทั้งสิ้น” และพระราชาแห่งอัสซีเรียได้เรียกร้องเอาจากเฮเซคียาห์เป็นเงิน 300 ตะลันต์หนักประมาณ 10 ตัน และทองคำ 30 ตะลันต์หนักประมาณ 1 ตัน 15และเฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และในคลังของพระราชวัง 16ในครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงลอกทองคำจากประตูทั้งหลายของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และจากเสาประตูซึ่งเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ทรงบุไว้ และทรงมอบแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย 17และพระราชาแห่งอัสซีเรียมีรับสั่งให้ผู้มีตำแหน่งทารทานตำแหน่งผู้บัญชาการ รับสารีสตำแหน่งข้าราชการชั้นสูง และรับชาเคห์ตำแหน่งหัวหน้ามหาดเล็ก กับกองทัพใหญ่ออกจากเมืองลาคีชไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อขึ้นมาก็ตั้งทัพอยู่ที่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก 18และเมื่อพวกเขาเรียกหาพระราชา เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์เจ้ากรมวัง เชบนาห์ราชเลขาและโยอาห์บุตรของอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณได้ออกมาพบพวกเขา
19และรับชาเคห์พูดกับพวกเขาว่า “จงบอกเฮเซคียาห์ว่า ‘พระมหาราชาคือพระราชาแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า เจ้าวางใจในอะไร? 20เจ้าคิดว่าเพียงแต่ถ้อยคำก็เป็นยุทธศาสตร์และแสนยานุภาพหรือ? เดี๋ยวนี้เจ้าพึ่งใคร เจ้าจึงได้กบฏต่อเรา? 21นี่แน่ะ เดี๋ยวนี้เจ้าพึ่งไม้เท้าอ้อที่เดาะคือ อียิปต์ ซึ่งจะตำมือคนที่ใช้ไม้เท้านั้นค้ำยัน ฟาโรห์พระราชาแห่งอียิปต์เป็นเช่นนี้ต่อทุกคนที่พึ่งเขา 22แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายจะบอกข้าว่า “เราพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา” ก็ปูชนียสถานสูงและแท่นบูชาของพระเจ้านั้นไม่ใช่หรือ? ที่เฮเซคียาห์รื้อทิ้งเสียและกล่าวกับยูดาห์ และเยรูซาเล็มว่า “ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในกรุงเยรูซาเล็มเถิด” 23มาเถิดมาพนันกับพระราชาแห่งอัสซีเรียนายของข้า แล้วข้าจะให้ม้า 2,000 ตัวแก่เจ้า ถ้าเจ้าหาคนขี่ม้าเหล่านั้นได้ 24เจ้าจะขับไล่นายกองแต่เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนายข้าได้อย่างไร? แต่เจ้ายังพึ่งอียิปต์เรื่องรถรบและทหารม้า 25ยิ่งกว่านั้นอีก ข้ามาต่อสู้สถานที่นี้เพื่อทำลายเสียโดยปราศจากพระยาห์เวห์หรือ? พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าว่า จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย’ ”
26แล้วเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์และเชบนาห์และโยอาห์เรียนรับชาเคห์ว่า “ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านด้วยภาษาอาราเมคเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น อย่าพูดกับเราด้วยภาษายูดาห์ให้เข้าหูประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นเลย” 27แต่รับชาเคห์พูดกับเขาทั้งหลายว่า “นายของข้าใช้ให้มาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้า และแก่เจ้าเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินขี้และกินเยี่ยวของเขาพร้อมกับเจ้าด้วยหรือ?”
28แล้วรับชาเคห์ยืนตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดาห์ว่า “จงฟังพระวจนะของพระมหาราชา คือพระราชาแห่งอัสซีเรีย 29พระราชาตรัสดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้าทั้งหลาย เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยเจ้าจากมือของข้า 30อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้เจ้าพึ่งพระยาห์เวห์โดยกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จะทรงช่วยเราแน่ และจะไม่ทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย’ 31อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะพระราชาแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ‘จงมีสัมพันธไมตรีกับเรา และออกมาหาเรา แล้วเจ้าแต่ละคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และจากต้นมะเดื่อของตน และจะได้ดื่มน้ำจากบ่อน้ำของตน 32จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น แผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย อย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขาล่อชวนเจ้าโดยกล่าวว่า พระยาห์เวห์จะทรงช่วยเรา 33มีพระองค์ไหนของประชาชาติเคยช่วยกู้แผ่นดินของตนให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระราชาแห่งอัสซีเรียได้? 34พระของเมืองฮามัทและเมืองอารปัดอยู่ที่ไหน? พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน? พระเหล่านี้ได้ช่วยกู้สะมาเรียจากมือของเราหรือ? 35พระองค์ไหนในบรรดาพระทั้งหมดของประเทศทั้งหลาย ได้ช่วยกู้ประเทศของตนจากมือของเราหรือ? พระยาห์เวห์จะช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้หรือ?’ ”
36แต่ประชาชนนิ่งไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะพระบัญชาของพระราชามีว่า “อย่าตอบเขา” 37แล้วเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์เจ้ากรมวัง และเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์
2 พงศ์กษัตริย์ 19
เฮเซคียาห์ทรงปรึกษาอิสยาห์
1ต่อมาเมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงได้ยิน ก็ฉีกฉลองพระองค์ และเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ แล้วเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 2และพระองค์ทรงใช้เอลียาคิมเจ้ากรมวัง เชบนาห์ราชเลขาและพวกปุโรหิตอาวุโสคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอส 3เขาทั้งหลายเรียนท่านว่า “เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู เด็กก็ถึงกำหนดคลอดแต่ไม่มีกำลังเบ่งให้คลอด 4บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของรับชาเคห์ ผู้ที่พระราชาแห่งอัสซีเรียนายของเขาได้ส่งมาเยาะเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์จะทรงว่ากล่าวเขาด้วยเรื่องถ้อยคำซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงได้ยิน เพราะฉะนั้นขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่เหลืออยู่นี้’ ”
5เมื่อข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์ 6อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชการของพระราชาแห่งอัสซีเรียได้หมิ่นประมาทเรา 7ดูสิ เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’ ”
คำข่มขู่ของเซนนาเคอริบ
8รับชาเคห์ได้กลับไป และพบพระราชาแห่งอัสซีเรียกำลังสู้รบกับเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่าพระราชาเสด็จออกจากเมืองลาคีชแล้ว 9และเมื่อพระราชาทรงได้ยินพวกเขากล่าวถึงทีรหะคาห์พระราชาแห่งคูชว่า “ดูสิ เขาได้ยกออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว” พระองค์จึงส่งบรรดาผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์อีก ตรัสว่า 10“เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านพึ่งนั้นหลอกลวงท่านว่า เยรูซาเล็มจะไม่ถูกมอบไว้ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย’ 11ดูสิ ท่านได้ยินแล้วว่า บรรดาพระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทำอะไรกับแผ่นดินทั้งหมดบ้าง คือทำลายจนสิ้น แล้วท่านเองจะรอดพ้นหรือ? 12บรรดาพระของประชาชาติซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลาย ได้ช่วยกู้พวกเขาให้พ้นหรือ? คือชนชาติโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดนซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์ 13พระราชาของฮามัท พระราชาของอารปัด พระราชาของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน?’ ”
อรรถาธิบาย
จงไว้วางใจในพระเจ้าท่ามกลางความชั่วร้ายและความทุกข์ยาก
เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจเมื่ออ่านเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ ‘วางพระทัยในพระยาเวห์’ (18:5) เฮเซคียาห์ ‘ไว้วางใจ พึ่งพิง และมั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า’ ( ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล) ‘ท่านวางใจในพระเจ้าของอิสราเอลด้วยสุดชีวิต… และพระเจ้าทรงดูแลท่านตลอดเวลาเมื่อท่านต้องผจญสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนี้’ (ข้อ 5–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เมื่อเฮเซคียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ หนึ่งในสิ่งที่เขากระทำเป็นสิ่งแรก ๆ คือ การทำลายทุกสิ่งที่ขัดขวางผู้คนจากการเชื่อฟังพระเจ้า (ข้อ 1–4) บางทีอาจมีบางสิ่งในชีวิตของคุณที่เป็นอุปสรรคต่อการเชื่อฟังพระเจ้า แม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนสำคัญ แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าต้องการช่วยให้เราเชื่อฟังพระองค์ ให้เราทูลขอต่อพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงให้เกียรติคุณเช่นเดียวกับที่ทรงให้เกียรติเฮเซคียาห์ ‘และพระยาห์เวห์สถิตกับพระองค์ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ’ (ข้อ 7)
ใน 701 ปีก่อนคริสตกาล เฮเซคียาห์เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมาก นั่นคือ กษัตริย์ของอัสซีเรียที่ชอบเยาะเย้ยและถากถาง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสมมติ คุณสามารถอ่านเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ ไม่เพียงแต่ในพระคัมภีร์เท่านั้นแต่ยังมีในบันทึกทางประวัติศาสตร์เล่มอื่น ๆ ด้วย ในบันทึกของเซนนาเคอริบเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ ซึ่งเขียนว่า ‘ส่วนเฮเซคียาห์ผู้เป็นชาวยิวพระองค์ไม่ทรงยอมจำนวนต่อแอกของเรา’ เขาพูดโอ้อวดอย่างเย่อหยิ่งเกี่ยวกับเฮเซคียาห์ว่าถูกครอบงำโดย ‘ความยิ่งใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวแห่งการครอบครองของเรา’
เซนนาเคอริบดูหมิ่นการพึ่งพาพระเจ้าของเฮเซคียาห์ (ข้อ 20,22) ‘อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้เจ้าพึ่งพระยาห์เวห์โดยกล่าวว่า “พระยาห์เวห์จะทรงช่วยเราแน่”' ( ข้อ 30– 32)
อย่างไรก็ตามเฮเซคียาห์ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนเนื่องจากพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่ง: ’แต่ประชาชนนิ่งไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะพระบัญชาของพระราชามีว่า ‘“อย่าตอบเขา”’ (ข้อ 36)
เมื่อเผชิญกับศัตรูที่มีพละกำลังมาก เฮเซคียาห์อธิษฐาน และ ‘ก็ฉีกฉลองพระองค์ และเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ แล้วเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์’ (19:1) เหล่าตัวแทนไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์และบอกเขาว่า 'เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่า “วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู....เพราะฉะนั้นขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่เหลืออยู่นี้”' (ข้อ 3–4)
อิสยาห์ตอบว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น’ (ข้อ 6) เฮเซคียาห์ไม่เพียงไว้วางใจในพระเจ้าเท่านั้น แต่ท่านยังชักชวนผู้คนให้วางใจในพระเจ้าด้วย
หลายปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนสิ่งที่ท้าทายต่าง ๆ ที่เราเผชิญไว้ที่ด้านข้างข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นเรื่องน่าทึ่งที่มองย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและได้เห็นวิธีที่พระเจ้าได้ทรงปลดปล่อยเราในหลาย ๆ ด้าน
วันนี้ ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญปัญหาหรือความท้าทายใด ๆ อยู่ ให้คุณจดบันทึกลงไป แล้วไว้วางใจในพระเจ้า เชื่อว่าพระองค์จะทรงสถิตอยู่กับคุณ และประทานความสำเร็จในสิ่งที่พระองค์บอกให้คุณทำ
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ไว้วางใจในพระเจ้าแม้สถานการณ์จะเลวร้าย
2 พงศ์กษัตริย์ 18
กิจการ 27:33–34
สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าสามารถกระทำได้
ข้อพระคำประจำวัน
2 พงศ์กษัตริย์ 18:5,7
‘พระองค์วางพระทัยในพระยาห์เวห์...และพระยาห์เวห์สถิตกับพระองค์ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)