วิธีวางแผนชีวิตของคุณ
เกริ่นนำ
โดยส่วนมากทุกคนมักจะวางแผน เราวางแผนว่าจะใช้เวลาช่วงเย็น สุดสัปดาห์ หรือวันหยุดพักผ่อนของเราอย่างไรบ้าง บางคนวางแผนว่าจะมีลูกกี่คน; วางแผนเรื่องการศึกษาของลูก เราจำเป็นต้องวางแผนการเงินและการถวายของเรา การทำธุรกิจต้องมีแผน และคริสตจักรเองก็ควรมีการวางแผนเช่นกัน
ผมรักแผนการอ่านพระคัมภีร์ในหนึ่งปีของผม ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1992 ข้าง ๆ ข้อพระคัมภีร์ 'จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระยาห์เวห์ แล้วแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา’ (สุภาษิต 16:3) ผมเขียนแผนนี้สำหรับปี 1992/1993 พระเจ้าทรงอวยพรแผนเหล่านี้มากกว่าที่เราได้เคยทูลขอหรือแม้แต่จินตนาการได้ ทุกปีตั้งแต่นั้นมา ผมได้เขียนแผนการอ่านสำหรับปีถัดไป ผมพบว่านี่เป็นสิ่งที่หนุนใจและสร้างความเชื่ออย่างยิ่งที่ได้มองย้อน ไปว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจสำหรับเราไว้มากเพียงใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันช่างง่ายดายที่คนเรา จะลืมพระกรุณาและความสัตย์ซื่อของพระองค์
สุภาษิต 15:31-16:7
31หูที่ฟังคำตักเตือนที่ให้ชีวิต
จะอยู่ท่ามกลางคนมีปัญญา
32คนที่เพิกเฉยต่อคำสั่งสอนก็ดูหมิ่นตนเอง
แต่คนที่สนใจคำตักเตือนก็ได้ความเข้าใจ
33ความยำเกรงพระยาห์เวห์จะสอนให้เกิดปัญญา
และความถ่อมตัวมาก่อนเกียรติ
สุภาษิต 16
1แผนงานความคิดเป็นของมนุษย์
แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระยาห์เวห์
2ทางทุกสายของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาเอง
แต่พระยาห์เวห์ทรงตรวจดูจิตใจ
3จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระยาห์เวห์
แล้วแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา
4พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน
แม้คนอธรรมก็เพื่อวันลำเค็ญ
5พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังทุกคนที่มีใจผยอง
เขาจะถูกลงโทษแน่
6โดยความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ ความบาปชั่วก็ถูกลบล้าง
และโดยความยำเกรงพระยาห์เวห์ คนหันจากความชั่วร้ายได้
7เมื่อทางของมนุษย์เป็นที่โปรดปรานแก่พระยาห์เวห์
แม้ศัตรูของเขานั้นพระองค์ก็ทรงทำให้คืนดีกับเขาได้
อรรถาธิบาย
แผนของเรา
เราไม่ได้วางแผนได้ถูกเสมอไป (แน่นอนว่าผมวางแผนไม่ถูก) แต่นี่ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะวางแผน ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งดีที่จะวางแผนไว้ล่วงหน้า ตามที่ได้ชี้ให้เห็น ฝนไม่ได้ตกเมื่อโนอาห์สร้างเรือ! ผู้เขียนสุภาษิตกล่าวว่า ‘แผนงานความคิดเป็นของมนุษย์…จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระยาห์เวห์ แล้วแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา’ (16:1,3)
จุดนี้ เราได้เห็นกุญแจสู่ความสำเร็จ แผนการของคุณไม่ควรวางไว้แบบไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า คุณได้รับการทรงเรียกเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์แผนการของคุณจำเป็นต้องตรงกับแผนการของพระองค์ นิมิตของคุณ และแผนการของคุณจำเป็นต้องได้รับการทรงนำโดยองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อคุณสัมผัสได้ถึงการทรงนำของพระเจ้า และได้ฝากมอบแผนการของคุณไว้กับพระเจ้า จากนั้นพระเจ้าทรงสัญญาว่า ‘แผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา’ (ข้อ 3) หมายความว่าอย่างไรที่จะมอบทุกสิ่งที่คุณทำไว้กับพระเจ้า?
1. ให้ความร่วมมือ
หนึ่งในการแปลความหมายของคำว่า มอบ ในภาษาฮีบรู คือ ‘กลิ้งไปทางนั้น’ มีสองทางในการใช้ชีวิต ทางหนึ่งคือการตัดสินใจว่า เราสามารถควบคุมชีวิตเราเองได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากพระเจ้า เราวางแผนโดยไม่พึ่งพาพระเจ้าเพื่อทำให้ตัวเราเองพอใจ นี่เป็นทางแห่งความเย่อหยิ่ง (ข้อ 5) และไม่เป็นอิสระ คนเย่อหยิ่งนั้น จะไม่สามารถแนะนำอะไรได้เพราะว่าพวกเขาคิดว่าตัวเองรู้อยู่แล้ว
อีกประการหนึ่งคือเต็มใจที่จะละทิ้งความปรารถนาของตนเอง นี่เป็นทางแห่งความเชื่อและความถ่อมใจ: ‘ความถ่อมตัวมาก่อนเกียรติ’ (15:33)
พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตคุณ (เยเรมีย์ 29:11; โรม 12:2; เอเฟซัส 2:10) การให้ความร่วมมืออย่างถ่อมใจกับพระองค์ การเต็มใจที่จะทิ้งทุกสิ่งที่ขัดแย้งกับพระประสงค์ของพระองค์
2. เชื่อมั่น
การมอบแผนการของคุณไว้กับพระเจ้าหมายถึงการพูดกับพระองค์เรื่องแผนของพระองค์ การวางแผนร่วมกันกับพระองค์ ในการเริ่มต้นแต่ละวันคุณสามารถมอบแผนงานของคุณไว้กับพระองค์ ผมพบว่าวันหยุดพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่ดีในการวางแผนล่วงหน้าและมอบแผนรายเดือน หรือแม้กระทั่งรายปีล่วงหน้าไว้กับพระเจ้า
ผมจำได้ว่า ได้ยินนักแสดงชายที่ชื่อ เดวิด ซูเชต์ เมื่อเขามาเป็นคริสเตียนเมื่อไม่นานมานี้ ได้ถูกถามในรายการวิทยุว่ามีบทบาทใดหรือไม่ที่เขาอาจไม่รับงาน เขาตอบว่า ‘นั่นเป็นคำถามที่หินจริง ๆ ครับ ทั้งหมดที่ผมพอจะพูดได้คือ ตอนนี้เมื่อผมได้รับการเสนองาน ผมจะออกไปและอธิษฐานในเรื่องงานนี้ และถ้าผมรู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้อง ผมจะปฏิเสธการรับงาน ในขณะที่ก่อนหน้านี้จะเคยถามว่า "จะให้เท่าไหร่ล่ะ?”’
3. ปรึกษา
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘วิบัติแก่… ผู้วางแผนงาน แต่ไม่ใช่ของเรา…พวกเดินทางไปยังอียิปต์โดยไม่ได้ปรึกษาเรา’ (อิสยาห์ 30:1–2ก) ในการมอบแผนงานให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าหมายถึง ปรึกษากับพระองค์ และหารือแผนการของคุณกับพระองค์ และแสวงหาปัญญาและคำแนะนำของพระองค์ (สุภาษิต 15:33ก) กับการตัดสินใจครั้งสำคัญ คนฉลาดจะปรึกษาคนอื่น ๆ เพื่อดูว่าคนอื่น ๆ ได้ยินอย่างแม่นยำจากพระเจ้า (ข้อ 31–32)
การมอบแผนงานของคุณไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณสามารถวางใจในพระสัญญาของพระองค์ในเรื่องความสำเร็จ พระเจ้าทรงมีอธิปไตยอยู่เหนือแผนการของคุณ ‘มนุษย์วางแผนอย่างรอบคอบ แต่พระเจ้าทรงเป็น ผู้ตัดสิน’ (16:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าของเขา’ (ข้อ 9)
พระเจ้าประทานเสรีภาพและความรับผิดชอบในการวางแผนให้กับคุณ เป็นเรื่องถูกต้องสำหรับคุณในการวางแผน และกระนั้น พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของคุณในเรื่องจุดหมายปลายทางของคุณ นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะเฉยเมยหรือถือโชคถือลาง แต่นี่ควรเป็นสิ่งหนุนใจว่าคุณสามารถแน่ใจได้ว่า พระเจ้าทรงควบคุมอยู่สูงสุดเหนือชีวิตของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่งอยู่ในขั้นที่ไม่ตัดสินใจ
คุณสามารถวางใจว่า พระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งออกมาดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์ (ข้อ 6ข,7; โรม 8:28)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 19:14-41
14บุตรชายเจ็ดคนของเส-วาซึ่งเป็นหัวหน้าปุโรหิตคนหนึ่งของชาวยิวก็ทำอย่างนั้น 15ผีร้ายจึงพูดกับพวกเขาว่า “พระเยซูนั้นข้าก็คุ้นเคย และเปาโลนั้นข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นใครกัน?” 16แล้วคนที่มีผีสิงนั้นก็กระโดดใส่คนเหล่านั้นและต่อสู้เอาชนะพวกเขาจนเขาต้องหนีออกจากบ้านนั้นในสภาพเปลือยกายและบาดเจ็บ 17เมื่อทุกคนที่อยู่ในเมืองเอเฟซัสทั้งพวกยิวกับพวกกรีกรู้เรื่องนี้ พวกเขาต่างมีความเกรงกลัว และพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ 18มีหลายคนที่เชื่อแล้วมาสารภาพและเปิดเผยพฤติกรรมของพวกเขา 19และหลายคนที่ใช้เวทมนตร์คาถาเอาตำราของพวกตนมาเผาไฟเสียต่อหน้าคนทั้งปวง ตำราเหล่านั้นคิดเป็นเงินมีราคาถึงห้าหมื่นเหรียญเงิน 20พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เกิดผลเจริญและมีอานุภาพยิ่ง
21เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้สิ้นสุดแล้ว เปาโลตั้งใจว่า หลังจากไปทั่วแคว้นมาซิโดเนียกับแคว้นอาคายาแล้ว จะเลยไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ท่านกล่าวว่า “หลังจากข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นกรุงโรมด้วย” 22ท่านจึงใช้ผู้ช่วยของท่านสองคนคือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ส่วนท่านเองยังอยู่ในแคว้นเอเชียต่อไปอีกระยะหนึ่ง
การจลาจลที่เมืองเอเฟซัส
23เวลานั้นเกิดการวุ่นวายอย่างยิ่งเพราะเหตุ “ทางนั้น” 24เพราะว่ามีช่างเงินคนหนึ่งชื่อเดเมตริอัสเอาเงินมาทำเป็นรูปจำลองวิหารของเจ้าแม่อารเทมิส ทำกำไรให้พวกช่างเงินเหล่านั้นอย่างมาก 25เดเมตริอัสเรียกประชุมช่างเหล่านั้นพร้อมกับคนทั้งหลายที่ทำกิจการคล้ายกัน แล้วกล่าวว่า “นี่แน่ะ ท่านทั้งหลาย พวกท่านทราบอยู่แล้วว่าเราได้ทรัพย์สินเงินทองมาเพราะกิจการนี้ 26และพวกท่านก็ได้เห็นและได้ยินแล้วว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วแคว้นเอเชีย ที่เปาโลคนนี้ได้เกลี้ยกล่อมและชักนำคนจำนวนมากให้เลิกทางเก่า โดยกล่าวว่ารูปพระที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่พระเจ้า 27น่ากลัวว่าไม่ใช่แต่อาชีพของเราจะเสียไปอย่างเดียว แต่วิหารของเจ้าแม่อารเทมิสซึ่งเป็นใหญ่จะเป็นที่หมิ่นประมาทด้วย และพระนางเองผู้เป็นที่นับถือของบรรดาชาวแคว้นเอเชียกับคนทั่วโลกจะตกต่ำสิ้นศักดิ์ศรี”
28เมื่อคนทั้งหลายได้ยินอย่างนั้น ต่างฉุนเฉียวและร้องว่า “เจ้าแม่อารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่” 29แล้วเกิดความวุ่นวายทั่วทั้งเมือง พวกเขาจึงพร้อมใจกันวิ่งและลากกายอัสกับอาริสทารคัสชาวมาซิโดเนียเพื่อนร่วมเดินทางของเปาโลเข้าไปในเวทีมหรสพ 30เปาโลต้องการจะเข้าไปในกลุ่มคนด้วย แต่พวกสาวกไม่ยอมให้ท่านเข้าไป 31แม้แต่บางคนในพวกหัวหน้าศาสนาประจำแคว้นเอเชียซึ่งเป็นเพื่อนของเปาโล ก็ใช้คนไปวิงวอนเปาโลไม่ให้เข้าไปในเวทีมหรสพ 32เวลานั้นบางคนตะโกนว่าอย่างนี้ บางคนตะโกนว่าอย่างนั้น เพราะว่าที่ประชุมวุ่นวายมาก และคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามาประชุมกันเรื่องอะไร 33บางคนในฝูงชนก็ให้คำแนะนำแก่อเล็กซานเดอร์คนที่ถูกพวกยิวผลักให้ออกมาข้างหน้า อเล็กซานเดอร์จึงโบกมือและพยายามจะแก้ต่างต่อหน้าประชาชน 34แต่เมื่อคนทั้งหลายรู้ว่าเขาเป็นคนยิว พวกเขายิ่งส่งเสียงร้องพร้อมกันอยู่ประมาณสองชั่วโมงว่า “เจ้าแม่อารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่” 35เมื่อเลขานุการสภาเมืองทำให้ฝูงชนเงียบลงแล้วจึงกล่าวว่า “นี่แน่ะ ท่านชาวเอเฟซัส มีใครบ้างที่ไม่ทราบว่าชาวเมืองเอเฟซัสนี้เป็นผู้ดูแลวิหารของเจ้าแม่อารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ดูแลรูปที่ตกลงมาจากฟ้า? 36ในเมื่อไม่มีใครปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ ท่านทั้งหลายควรอยู่ในความสงบ อย่าทำอะไรวู่วามไป 37ท่านทั้งหลายพาคนเหล่านี้มา ซึ่งไม่ได้เป็นพวกปล้นพระวิหารหรือพูดหมิ่นประมาทพระของเราแต่อย่างใด 38เพราะฉะนั้น ถ้าเดเมตริอัสกับพวกช่างที่มีอาชีพอย่างเดียวกันมีเรื่องกับใคร วันกำหนดว่าความก็มี ผู้พิพากษาก็มี ให้พวกเขาไปฟ้องกันเองเถิด 39ถ้าพวกท่านมีข้อหาอย่างอื่นอีก ก็ให้ตกลงกันในที่ประชุมสามัญ 40เพราะเราตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกฟ้องว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลในวันนี้ เนื่องจากเราไม่มีข้ออ้างอะไรที่จะเป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับความวุ่นวายครั้งนี้” 41เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงให้เลิกชุมนุม
อรรถาธิบาย
แผนการของเปาโล
เปาโลเป็นนักคิดแบบยุทธศาสตร์ เขาวางแผนอย่างรอบคอบ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้สิ้นสุดแล้ว เปาโลตั้งใจว่า หลังจากไปทั่วแคว้นมาซิโดเนียกับแคว้นอาคายาแล้ว จะเลยไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ท่านกล่าวว่า “หลังจากข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นกรุงโรมด้วย” ท่านจึงใช้ผู้ช่วยของท่านสองคนคือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ส่วนท่านเองยังอยู่ในแคว้นเอเชียต่อไปอีกระยะหนึ่ง (ข้อ 21–22)
นิมิต พันธกิจ และแผนการของอาจารย์เปาโล หมุนเวียนการประกาศต่อทั้งโลกที่ยังไม่รู้จักพระเยซู ยุทธศาสตร์ของท่านเน้นไปยังเมืองต่าง ๆ: กรุงเยรูซาเล็ม โรม โครินธ์ และเอเฟซัส
เขาใช้เวลาอย่างมากในเมืองเหล่านี้ ในการเทศนาประกาศพระกิตติคุณให้กับคนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นในธรรมศาลา หรือห้องประชุม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ถูกต่อต้าน น่าสนใจว่า ในเมืองเอเฟซัส การต่อต้านไม่ใช่เรื่องหลักข้อเชื่อ หรือหลักศีลธรรมแต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ เดเมตริอัสคิดว่าเขาอาจสูญเงินทองไปเพราะการเทศนาของอาจารย์เปาโล ดังนั้นเขาจึงยุยงให้เกิดการต่อต้านขึ้น (ข้อ 24–29)
แต่พระเจ้ายังคงมีแผนการ สุภาษิตอีกข้อในวันนี้บอกเราว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน’ (สุภาษิต 16:4) ในกรณีนี้ พระเจ้าทำงานผ่านเลขานุการสภาเมือง (กิจการ 19:35) ทั้งที่ดูเหมือนเขาไม่เชื่อในพระเจ้า (ข้อ 35–36) การกระทำของเขาหยุดการจลาจล บ่อยครั้งพระเจ้าทรงทำกิจผ่านคนที่ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อเพื่อบรรลุแผนการของพระองค์
คำอธิษฐาน
1 พงศ์กษัตริย์ 22:1-53
อิสราเอลกับยูดาห์ร่วมกันต่อสู้ซีเรีย
1ซีเรียกับอิสราเอลไม่มีสงครามกันอยู่ 3 ปี 2แต่ในปีที่สาม เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์เสด็จลงไปเฝ้าพระราชาแห่งอิสราเอล 3และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสถามพวกข้าราชการของพระองค์ว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของพวกเรา และพวกเรายังจะนิ่งอยู่ ไม่ยึดคืนจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรียหรือ?” 4และพระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะยกไปทำศึกที่ราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือไม่?” และเยโฮชาฟัทตรัสตอบพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกัน ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นม้าของท่าน”
5และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน” 6แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงเรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะประมาณ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า องค์เจ้านายจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” 7แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ ที่เราจะถามได้?” 8และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่งซึ่งเราจะให้ทูลถามพระยาห์เวห์ได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่เราเองเกลียดชังเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่เรื่องร้าย ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ขอพระราชาอย่าตรัสอย่างนั้นเลย” 9แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง และตรัสสั่งว่า “จงรีบไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มา” 10พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ 11และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนพวกเขาย่อยยับ’ ” 12และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
มีคายาห์พยากรณ์ถึงการพ่ายแพ้
13และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล” 14แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น” 15และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือพวกเราควรล้มเลิก?” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และมีชัยชนะ พระยาห์เวห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” 16แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า “เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” 17และท่านก็ทูลว่า “ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้พวกเขาต่างกลับไปยังบ้านของตนโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” 18พระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายเท่านั้น?” 19และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้น ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ 20และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ใครจะชักนำอาหับให้ขึ้นไป และล้มลงที่ราโมทกิเลอาด?’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น 21แล้วมีวิญญาณหนึ่งออกมายืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะชักนำเขา’ และพระยาห์เวห์ตรัสกับมันว่า ‘จะทำอย่างไร?’ 22และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปชักนำเขาได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’ 23ฉะนั้น ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้ของฝ่าพระบาท พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท”
24แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์เข้ามาใกล้ และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร?” 25และมีคายาห์ตอบว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” 26และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์แล้วส่งเขากลับไปให้อาโมนผู้ว่าราชการเมืองและโยอาชพระราชโอรส 27และบอกว่า ‘พระราชาตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้ไปจำคุกไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะมาโดยสวัสดิภาพ” ’ ” 28และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพได้จริงๆ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท” และท่านกล่าวว่า “ประชาชนทั้งสิ้นเอ๋ย จงฟังเถิด”
อาหับทรงพ่ายแพ้และสิ้นพระชนม์
29พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์จึงเสด็จขึ้นไปยังราโมทกิเลอาด 30และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน” และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์เข้าทำศึก 31พระราชาแห่งซีเรียทรงบัญชาบรรดาแม่ทัพรถรบของพระองค์ทั้ง 32 คนว่า “อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล” 32เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า “เป็นพระราชาอิสราเอลแน่แล้ว” พวกเขาจึงหันไปสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น 33เมื่อบรรดาแม่ทัพรถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับ ไม่ไล่ตามพระองค์ 34แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระคำราชาศัพท์หมายถึง อก พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า “หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว” 35วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็พยุงพระราชาขึ้นในรถรบ ให้หันพระพักตร์ไปทางพวกซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และพระโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองทั่วท้องรถรบ 36ประมาณเวลาดวงอาทิตย์ตก มีเสียงร้องทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับไปเมืองของตัว และภูมิลำเนาของตัว”
37เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็นำมายังกรุงสะมาเรีย และเขาฝังพระราชาในกรุงสะมาเรีย 38เขาล้างรถรบที่สระน้ำแห่งสะมาเรีย ที่ที่พวกหญิงโสเภณีลงอาบน้ำที่ และแล้วพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้ฉบับกรีกว่า พวกเขาล้างรถรบที่สระน้ำแห่งสะมาเรีย และพวกสุกรและพวกสุนัขเลียโลหิต และพวกหญิงโสเภณีอาบน้ำในโลหิตนั้น 39ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาหับ และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งทรงสร้างไว้ ตลอดจนเมืองทั้งหมดที่ทรงสร้าง ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 40อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน
เยโฮชาฟัททรงครองยูดาห์
41เยโฮชาฟัทพระราชโอรสของอาสาทรงครองยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล 42เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของชิลหิ 43พระองค์ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของอาสาพระราชบิดาของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันเหจากทางนั้น ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้นยังไม่ได้รื้อลง ประชาชนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมอยู่บนปูชนียสถานสูงต่างๆ นั้น 44เยโฮชาฟัททรงทำไมตรีกับพระราชาแห่งอิสราเอลด้วย
45ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮชาฟัท และพระราชอำนาจที่ทรงสำแดง และสงครามที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 46ส่วนเทวทาสที่เหลืออยู่คือ ผู้ที่ยังเหลือในสมัยของอาสาพระราชบิดานั้น พระองค์ก็ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน
47ไม่มีพระราชาในเอโดม แต่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปกครองแทน 48เยโฮชาฟัททรงต่อเรือทารชิชหลายลำ เพื่อไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่ไปไม่ถึง เพราะเรือแตกเสียที่เอซิโอนเกเบอร์ 49แล้วอาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้านั่งเรือไปกับข้าราชการของท่าน” แต่เยโฮชาฟัทไม่ทรงยินยอม 50เยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิดหมายถึงกรุงเยรูซาเล็มบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมพระราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์แทน
อาหัสยาห์ทรงปกครองอิสราเอล
51อาหัสยาห์พระราชโอรสของอาหับทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองอิสราเอล 2 ปี 52พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินในทางของพระราชบิดาของพระองค์ และในทางของพระมารดาของพระองค์ และในทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 53พระองค์ทรงปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น และทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงพระพิโรธ โดยทำตามทุกอย่างที่พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้วนั้น
อรรถาธิบาย
แผนการของพระเจ้า
ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะลองดีและชิงไหวพริบกับพระเจ้า นี่เป็นปัญหาของอาหับ เขาพยายามจัดการกับผู้คนและเหตุการณ์เพื่อทำให้แผนการของพระเจ้าล้มเหลว
เยโฮชาฟัททูลพระองค์อย่างฉลาดก่อนที่จะเกิดสงครามกับพวกอารัมว่า พระองค์ควรแสวงหาคำปรึกษาของพระเจ้า: ‘ก่อนที่พระองค์จะทำอะไร จงทูลขอการทรงนำของพระยาห์เวห์‘ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นตัวอย่างอีกอันหนึ่งของหลักการที่สำคัญยิ่ง เมื่อคุณอยากให้แผนการของคุณสำเร็จ คุณจำเป็นต้องทูลถามพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์ในการวางแผนของคุณ
ผู้เผยพระวจนะ ‘หุ่นเชิด’ 400 คนอาจเป็นนกแก้วที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐให้ทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับค่าจ้างให้ทำ นั่นคือ พูดอะไรก็ตามที่พระราชาอยากให้พวกเขาพูด
อย่างไรก็ตาม เยโฮชาฟัทรู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำเผยพระวจนะที่แท้จริง และถามว่า ‘“ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ ที่เราจะถามได้?” (ข้อ 7) ‘และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่งซึ่งเราจะให้ทูลถามพระยาห์เวห์ได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่เราเองเกลียดชังเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่เรื่องร้าย ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย”' (ข้อ 8)
มีคายาห์ ผู้ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะตัวจริง พูดถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับพวกเขา ในขณะที่ผู้เผยพระวจนะ 400 คน เสนอมุมมองที่เป็นที่นิยมชมชอบ มีคายาห์เป็นคนเดียวซึ่งรู้ถึงความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราไม่ควรหวั่นไหวไปกับความคิดเห็นซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบ หากนั่นไม่ได้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้อเท็จจริงว่าเรามีจำนวนมากกว่ายังไม่ได้สรุปแน่ชัด
มีคายาห์กล้าพอที่จะพูดความจริงต่อผู้มีอำนาจ: ‘พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น’ (ข้อ 14 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาเตือนพวกเขาถึงอันตรายในการต่อต้านแผนการของพระเจ้า สำหรับความทุกข์ยากของเขา เขาถูกจำคุกโดยไม่ได้กินอะไรนอกจากขนมปังและน้ำ (ข้อ 27)
อาหับจงใจไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พระองค์ยังคงจัดการในแบบของพระองค์ต่อไป พระองค์คิดว่า พระองค์สามารถชิงไหวพริบกับพระเจ้าได้โดยการพรางตัว (ข้อ 30) แต่ตามที่เราได้อ่านไปแล้ว พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน (สุภาษิต 16:4)
เราเห็นหลักการนี้เป็นจริงเมื่อ ‘แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ…พระราชาสิ้นพระชนม์… พวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้’ (1 พงศ์กษัตริย์ 22:34, 37–38)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สุภาษิต 16:2
‘ทางทุกสายของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาเอง แต่พระยาห์เวห์ทรงตรวจดูจิตใจ’
แรงจูงใจของเราสามารถผสมปนเปกันได้ในบางครั้ง
ข้อพระคำประจำวัน
สุภาษิต 16:3
'จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระยาห์เวห์
แล้วแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา'
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)