วัน 179

การเผชิญหน้าอันทรงพลัง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 78:32-39
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 18:9-19:13
พันธสัญญาเดิม 1 พงศ์กษัตริย์ 20:1-21:29

เกริ่นนำ

หลายปีก่อน เดวิด (ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา) ทนายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในอัลฟ่ากลุ่มย่อยของเรา เขาบอกเราว่า เขาเป็นผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจริง และมาด้วยวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือเพื่อป่วนกลุ่มย่อยของเรา ซึ่งเขาพยายามทำอย่างนั้นทุกครั้งที่มา ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มาด้วยท่าทีแบบนี้ เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยตลอดหลักสูตร

หลังจากการบรรยายหัวข้อ ‘ฉันจะต่อต้านสิ่งชั่วร้ายได้อย่างไร?' หญิงสาวคนหนึ่ง ซาราห์ (ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ) ซึ่งไม่ได้เป็นคริสเตียน พูดว่า เธอไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่ามีพลังแห่งวิญญาณชั่ว นี่เป็นหินสะดุดก้อนใหญ่สำหรับเธอในการมาเป็นคริสเตียน

แต่ภายหลังในเย็นวันนั้น เดวิดโกรธจัดโดยไม่ทราบสาเหตุ และราวกับว่าเขาถูกผีสิง เขาได้ข่มขู่ผู้ช่วยคนหนึ่งในกลุ่มของเราอย่างน่ากลัว ซาราห์บังเอิญได้เห็นเหตุการณ์นั้น เธอได้เห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงานอย่างอ่อนสุภาพ โดยยับยั้งการตอบโต้ของผู้ช่วยในกลุ่ม ตาของเธอเปิดออกต่อโลกฝ่ายวิญญาณ คืนนั้นเธอวางความเชื่อของเธอไว้ในพระเยซู

จอห์น วิมเบอร์ จำกัดความคำว่า ‘การเผชิญหน้าอันทรงพลัง’ ว่าเป็น การปะทะกันของแผ่นดินของพระเจ้า และแผ่นดินของมาร

อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า ‘เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ’ (เอเฟซัส 6:12) ฤทธิ์เดชของพระเจ้าซึ่งอยู่ในคุณยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของมาร

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 78:32-39

32ถึงมีเรื่องทั้งสิ้นนี้ พวกเขาก็ยังทำบาป
 และมิได้เชื่อถือการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์
33พระองค์จึงทรงทำให้วันของพวกเขาหายไปดังลมหายใจ
 และทรงให้ปีของเขาหายไปอย่างน่าสยดสยอง
34เมื่อพระองค์ทรงสังหารพวกเขา เขาก็แสวงหาพระองค์
 เขาได้กลับมาเสาะหาพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้น
35พวกเขาระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลาของเขา
 และพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเขา
36แต่พวกเขาลวงพระองค์ด้วยปาก
 และด้วยลิ้น พวกเขาก็มุสาต่อพระองค์
37เพราะใจของพวกเขาไม่ภักดีต่อพระองค์
 เขาไม่ซื่อตรงต่อพันธสัญญาของพระองค์
38ถึงกระนั้น ด้วยพระกรุณา
 พระองค์ทรงอภัยความชั่วของเขา
และมิได้ทรงทำลายเขา
 พระองค์ทรงยับยั้งความกริ้วของพระองค์บ่อยๆ
 และมิได้กวนพระพิโรธทั้งสิ้นของพระองค์ขึ้นมา
39พระองค์ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงเนื้อหนัง
เป็นลมที่ผ่านไปแล้วมิได้กลับมาอีก

อรรถาธิบาย

เข้าใจธรรมชาติของความชั่วร้าย

พระเจ้าทรงต้องการให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา และไม่ได้ทำบาปเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ประวัติศาสตร์ประชากรของพระเจ้าคือ ‘ถึงจะมี’ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อพวกเขา ‘พวกเขาก็ยังทำบาป’ (ข้อ 32ก)

พระเจ้าเคารพเสรีภาพของเราในความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา แม้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจที่จะลบล้างเสรีภาพของเรา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงกระทำเช่นนั้น พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติในนามประชากรของพระองค์ กระนั้น ‘​ได้​เชื่อ​ถือ​การ​อัศ​จรรย์​ต่าง ๆ ของ​พระ​องค์’ (ข้อ 32ข)

พระองค์ทรงลงวินัยพวกเขา และพวกเขาก็หันกลับมาหาพระองค์ (ข้อ 34) ‘แต่พวกเขาไม่ได้หมายความตามนั้น พวกเขาโกหกด้วยลมปากตลอดเวลา พวกเขาไม่ควรใส่ใจพระองค์น้อยลง’ (ข้อ 36–37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) 'ถึงกระนั้น ด้วยพระกรุณา
 พระองค์ทรงอภัยความชั่วของเขา และมิได้ทรงทำลายเขา’ (ข้อ 38)

เหตุใดความชั่วจึงปรากฏอยู่บ่อยครั้งทั้ง ๆ ที่มีอำนาจของพระเจ้าอยู่? บางทีพระธรรมตอนนี้จะให้คำตอบบางส่วนแก่เรา ไม่ใช่แค่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างฤทธิ์อำนาจอันเหนือธรรมชาติของพระเจ้ากับอำนาจเหนือธรรมชาติของมาร มนุษย์และเสรีภาพของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสมการ ดังที่อัครสาวกยากอบเขียนไว้ว่า ‘แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ’ (ยากอบ 1:14)

เมื่อเราอ่านถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าในสดุดีตอนนี้ จำไว้ว่า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ บัดนี้ฤทธิ์เดชนั้นอยู่ในคุณแล้ว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับพระกรุณาและการทรงอภัยของพระองค์ และสำหรับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ดำรงอยู่ในข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ภักดีต่อพระองค์เสมอ (สดุดี 78:37)
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 18:9-19:13

 9และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเปาโลทางนิมิตในคืนหนึ่งว่า “อย่ากลัวเลย แต่จงกล่าวต่อไป อย่านิ่งเสีย 10เพราะว่าเราอยู่กับเจ้าและจะไม่มีใครต่อสู้ทำร้ายเจ้า เพราะว่ามีคนจำนวนมากในนครนี้ที่เป็นประชากรของเรา” 11เปาโลจึงอยู่ต่อไป และสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าตลอดปีหนึ่งกับหกเดือน 12แต่เมื่อกัลลิโอเป็นผู้สำเร็จราชการแคว้นอาคายา พวกยิวรวมตัวกันขึ้นต่อสู้เปาโลและนำตัวท่านไปศาล 13ฟ้องว่า “คนนี้ชักชวนคนทั้งหลายให้นับถือพระเจ้าในทางที่ผิดกฎหมาย” 14เมื่อเปาโลกำลังจะพูด กัลลิโอก็กล่าวกับพวกยิวว่า “นี่แน่ะพวกยิว ถ้าเป็นเรื่องการอธรรมหรือเรื่องอาชญากรรม ข้าก็เห็นสมควรที่จะฟังพวกเจ้า 15แต่ในเมื่อเป็นการโต้แย้งกันเรื่องถ้อยคำกับเรื่องชื่อและธรรมบัญญัติของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงวินิจฉัยกันเอาเองเถิด ข้าไม่อยากเป็นผู้พิพากษาตัดสินข้อความเหล่านั้น” 16ท่านจึงไล่พวกนั้นไปจากศาล 17เขาทั้งหลายจึงจับโสสเธเนสนายธรรมศาลามาเฆี่ยนข้างหน้าศาล แต่กัลลิโอไม่สนใจเรื่องนี้เลย

เปาโลกลับสู่เมืองอันทิโอก

 18เปาโลพักอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน แล้วท่านจึงลาพวกพี่น้องลงเรือไปยังแคว้นซีเรีย และปริสสิลลากับอาควิลลาก็ไปด้วย เปาโลกล้อนผมที่เมืองเคนเครียเพราะท่านบนตัวไว้ 19เมื่อมาถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลก็ละปริสสิลลากับอาควิลลาไว้ที่นั่น ตัวท่านเองเข้าไปในธรรมศาลาและถกปัญหากับพวกยิว 20เมื่อคนเหล่านั้นขอให้ท่านอยู่กับพวกเขาต่อไปอีก ท่านก็ไม่ยอม 21แต่ลาพวกเขาไปโดยกล่าวว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาพวกท่านอีก” แล้วเปาโลก็ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส
 22เมื่อมาถึงเมืองซีซารียา ท่านขึ้นไปคำนับคริสตจักรแล้วลงไปยังเมืองอันทิโอก 23เมื่อพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ท่านจึงจากที่นั่นและเดินทางต่อไปจนทั่วแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อจะช่วยชูกำลังพวกสาวก

พันธกิจของอปอลโล

 24มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดีและชำนาญมากในเรื่องพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส 25อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจกระตือรือร้นกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู แม้ว่าท่านจะรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น 26ท่านเข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนด้วยความกล้าหาญ แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาฟังท่านแล้ว ก็รับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น 27เมื่ออปอลโลต้องการจะข้ามไปยังแคว้นอาคายา พี่น้องก็หนุนใจท่านและเขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้รับรองท่านไว้ เมื่อไปถึงแล้วท่านก็ได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย 28เพราะท่านโต้แย้งกับพวกยิวอย่างแข็งขันต่อหน้าคนทั้งปวง และอ้างพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์

กิจการ 19

เปาโลมาที่เมืองเอเฟซัส

 1ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลเดินทางบกผ่านแคว้นฟรีเจียเดินทางบกผ่านแคว้นฟรีเจีย มายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น 2จึงถามเขาทั้งหลายว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า?” พวกเขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเรายังไม่เคยได้ยินเลย” 3เปาโลจึงถามพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้รับบัพติศมาอะไร?” พวกเขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” 4เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาที่แสดงการกลับใจใหม่ และบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” 5เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า 6เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ 7คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน
 8เปาโลเข้าไปในธรรมศาลาและกล่าวด้วยใจกล้าเป็นเวลาสามเดือน ถกปัญหาและชักชวนเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า 9แต่บางคนมีใจแข็งกระด้างไม่ยอมเชื่อและพูดหยาบช้าเรื่อง “ทางนั้น” ต่อหน้าชุมนุมชน เปาโลจึงแยกจากพวกเขาและพาพวกสาวกไปด้วย แล้วท่านไปอภิปรายในห้องประชุมของท่านผู้หนึ่งชื่อทีรันนัสทุกวัน 10ท่านทำเช่นนั้นติดต่อกันสองปีจนชาวแคว้นเอเชียทั้งพวกยิวและพวกกรีกได้ยินพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

บุตรของเส-วา

 11พระเจ้าทรงทำอิทธิฤทธิ์ใหญ่หลวงด้วยมือของเปาโล 12จนเขานำผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนที่ถูกต้องตัวเปาโลไปวางบนตัวของบรรดาคนเจ็บป่วย แล้วโรคก็หายและผีร้ายก็ออกจากเขา 13แต่พวกยิวบางคนที่เที่ยวเป็นหมอผี พยายามใช้พระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้ากับพวกที่มีผีเข้าว่า “ข้าสั่งเจ้าโดยพระเยซูผู้ที่เปาโลประกาศนั้น”

อรรถาธิบาย

รับเอาสิทธิอำนาจเหนืออำนาจของมาร

อัครสาวกเปาโลเต็มล้นด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาต่อกรกับอำนาจของมาร เผชิญกับการ 'รวมตัวกันขึ้นต่อสู้’ (18:12) ‘และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเปาโลทางนิมิตในคืนหนึ่งว่า “อย่ากลัวเลย แต่จงกล่าวต่อไป อย่านิ่งเสีย เพราะว่าเราอยู่กับเจ้าและจะไม่มีใครต่อสู้ทำร้ายเจ้า’ (ข้อ 9–10) ‘นั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องยึดเอาไว้’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

สันนิษฐานว่า พระเจ้าตรัสกับเปาโลในแบบนี้เพราะเขาถูกทดลองในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย (ถูกลากขึ้นศาลอีกครั้งในข้อกล่าวหาเท็จ) ในความกลัว ในการล้มเลิกที่จะพูดต่อไป และถูกทำให้เงียบ อย่ายอมแพ้ในการเผชิญกับการต่อต้าน

เปาโลเห็นการเผชิญหน้าอันทรงพลังระหว่างความดีและความชั่ว ‘พระเจ้าทรงทำอิทธิฤทธิ์ใหญ่หลวงด้วยมือของเปาโล จนเขานำผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนที่ถูกต้องตัวเปาโลไปวางบนตัวของบรรดาคนเจ็บป่วย แล้วโรคก็หายและผีร้ายก็ออกจากเขา’ (19:11–12)

ฤทธิ์เดชของพระเจ้าในพันธกิจของเปาโลนั้นน่าประทับใจมาก จนกระทั่งคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนพยายามจะใช้ ‘พระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้ากับพวกที่มีผีเข้าว่า “ข้าสั่งเจ้าโดยพระเยซูผู้ที่เปาโลประกาศนั้น’ (ข้อ 13) พรุ่งนี้เราจะได้เห็นอันตรายของแนวทางนี้ (ข้อ 14–16) ความพยายามที่จะ ‘เปิดก๊อกฤทธิ์เดช’ ของพระนามพระเยซูโดยพวกหมอผีชาวยิวเหล่านี้มีผลร้ายติดตามมา

เปาโลชนะอำนาจแห่งความชั่วร้ายผ่านทางฤทธิ์เดชของพระเยซูในการทำการอัศจรรย์ นี่เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการอันหลากหลายซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในพันธกิจของพระองค์ เราได้เห็นตรงนี้ถึงบางด้านที่แตกต่างกันในพันธกิจซึ่งเราจำเป็นต้องรับการอบรม และโรงเรียนพระคริสต์ธรรม โรงเรียนฝึกอบรม และการสร้างสาวกในสมาชิกคริสตจักรทุกคนจำเป็นต้องครอบคลุม

1. การสั่งสอน
‘เปาโลจึงอยู่ต่อไป และสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าตลอดปีหนึ่งกับหกเดือนอย่างสัตย์ซื่อต่อชาวเมืองโครินธ์’ (18:11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. การเป็นพี่เลี้ยง
เปาโลใช้เวลามากมาย ‘ชูกำลังพวกสาวก’ (ข้อ 23) ปริสสิลาและอาควิลลาอาจเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่เขาให้คำปรึกษา บ่อยครั้งที่ผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีกลายเป็นพี่เลี้ยงที่ดีที่สุด

ตัวอย่าง จากนั้นปริสสิลาและอาควิลลาเลี้ยงดูอปอลโล อปอลโลนั้นเป็น ‘คนมีโวหารดี มีวาทศิลป์และทรงพลังในการเทศนาของพระคัมภีร์ เขาได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจกระตือรือร้นกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู’ (ข้อ 24–25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ปริสสิลาและอาควิลลารับเขามาอยู่ด้วย 'เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาฟังท่านแล้ว ก็รับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น’ (ข้อ 26) จากนั้นท่านก็มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม ‘ท่านก็ได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย’ (ข้อ 27)

3. ‘พันธกิจ’
เราเห็นตัวอย่างของ ‘พันธกิจ’ ในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขา (ชาวเอเฟซัส) แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลก ๆ และเผยพระวจนะ’ (19:6) ทุกอัลฟ่าสุดสัปดาห์ เราได้มีสิทธิพิเศษอย่างยิ่งในการวางมือบนผู้คน และอธิษฐานเผื่อพวกเขาให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

4. การอภิปราย*
เปาโล ‘ไปอภิปรายในห้องประชุมของท่านผู้หนึ่งชื่อทีรันนัสทุกวัน ’ (ข้อ 9) บางทีกลุ่มย่อยในการอภิปรายในอัลฟ่าอาจเป็นส่วนสำคัญที่สุดของหลักสูตร ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สำรวจ พูดคุยในประเด็นต่าง ๆ และเริ่มต้นค้นพบบางคำตอบในคำถามของพวกเขา

5. การปกป้องหลักข้อเชื่อ
บางส่วนของการอภิปรายเกี่ยวข้องกับ (‘apologetics’) ‘ศาสตร์ของการปกป้องหลักข้อเชื่อคริสเตียน' คำนี้มาจากคำว่า (‘apologia’) ‘แก้ข้อกล่าวหา” ซึ่งอาจารย์เปาโลใช้คำนี้ในการไต่สวนของตน เมื่อเขากล่าวว่า ‘เพื่อแก้​ข้อ​กล่าว​หา​ (apologia) ทั้ง​หมด​ของ​พวก​ยิว’ (26:2) นี่หมายถึงการนำเสนอพื้นฐานที่มีเหตุผลสำหรับความเชื่อของคริสเตียนในการต่อต้านการคัดค้านและการบิดเบือนความจริง

เปาโล ‘ถกปัญหา​‘ กับพวกยิว (18:19) ท่านถกปัญหา​ ‘เป็นเวลาสามเดือน (และ) กล่าวด้วยใจกล้าหาญ ชักชวน และถกเถียง และโต้แย้งเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า’ (19:8, Amplified Bible โดยผู้แปล) เขาสอนอปอลโลผู้ซึ่งเข้าไปในการโต้วาทีสาธารณะ ‘อ้างพระคัมภีร์ ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์’ (18:28)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ทำพันธกิจเหมือนอย่างเปาโลในฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยประกาศพระวจนะของพระเจ้า และมีชัยเหนืออำนาจของความชั่วร้ายผ่านทางพระนามของพระเยซู
พันธสัญญาเดิม

1 พงศ์กษัตริย์ 20:1-21:29

อาหับทรงรบกับคนซีเรีย

 1เบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรียทรงรวบรวมกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ มีกษัตริย์ 32 องค์ขึ้นกับพระองค์ พร้อมกับม้าและรถรบ และพระองค์เสด็จขึ้นไปล้อมกรุงสะมาเรีย สู้รบกับเมืองนั้น 2และได้ส่งผู้สื่อสารเข้าไปในเมืองหาอาหับกษัตริย์อิสราเอล 3ทูลพระองค์ว่า “เบนฮาดัดตรัสดังนี้ว่า ‘เงินและทองของท่านเป็นของเรา บรรดาภรรยาและบุตรที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นของเราด้วย’ ” 4และกษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า ดังที่ท่านว่ามานั่นแหละ ข้าพเจ้าเป็นของท่าน รวมทั้งทุกอย่างที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้นด้วย” 5บรรดาผู้สื่อสารได้กลับมาอีกกล่าวว่า “เบนฮาดัดตรัสดังนี้ว่า ‘เราส่งข่าวมายังท่านว่า “จงมอบเงินและทองของท่าน ภรรยา และบุตรของท่านแก่เรา” 6แต่พรุ่งนี้ ประมาณเวลานี้ เราจะส่งข้าราชการของเราไปหาท่าน พวกเขาจะค้นวังของท่าน ค้นบ้านข้าราชการของท่าน สิ่งใดที่ต้องตาของท่าน เขาจะหยิบเอาไป’ ”
 7แล้วกษัตริย์อิสราเอลได้เรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของแผ่นดิน ตรัสว่า “ขอตรองดูเถิด ดูว่าชายผู้นี้หาเรื่องเดือดร้อนให้เราเพียงไร เพราะเขาให้คนมาเอาเมียและลูกของเรา ทั้งเงินและทองของเรา และเราก็ไม่ได้ปฏิเสธเขา” 8บรรดาผู้ใหญ่และประชาชนทั้งสิ้นก็ทูลพระองค์ว่า “อย่าทรงฟัง อย่าทรงยอม พ่ะย่ะค่ะ” 9พระองค์จึงรับสั่งแก่ผู้สื่อสารของเบนฮาดัดว่า “จงไปทูลพระราชาเจ้านายของเราว่า ‘ทุกสิ่งที่ท่านเรียกร้องจากผู้รับใช้ของท่านในครั้งแรกนั้น เราจะทำตาม แต่สิ่งนี้เราทำไม่ได้’ ” แล้วผู้สื่อสารก็จากไป และกลับมารายงาน 10เบนฮาดัดส่งข่าวกลับมาอีกว่า “ถ้าผงคลีแห่งสะมาเรียจะพอแก่คนที่ติดตามเรามาสักคนละหยิบมือหนึ่ง ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า” 11และกษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบว่า “จงทูลท่านว่า ‘ขอท่านผู้ที่สวมเกราะ อย่าอวดอ้างอย่างผู้ที่ถอดเกราะแล้วเลย’ ” 12เบนฮาดัดทราบข่าวนี้ ขณะที่กำลังดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ที่ในเพิง ท่านก็สั่งพวกข้าราชการของท่านว่า “จงเข้าประจำที่” และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น

คำเผยพระวจนะให้อาหับพร้อมรบ

 13นี่แน่ะ ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เข้ามาใกล้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นี้หรือ? นี่แน่ะ เราจะมอบไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์” 14และอาหับตรัสถามว่า “ทรงใช้ใครทำ?ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า โดยใคร?” เขาทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า โดยมือของมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดทั้งหลาย” แล้วอาหับตรัสว่า “ใครจะเริ่มรบ?” เขาทูลตอบว่า “ฝ่าพระบาท พ่ะย่ะค่ะ” 15พระองค์จึงทรงเกณฑ์มหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้น ซึ่งมี 232 คนด้วยกัน และภายหลังเกณฑ์ประชาชนทั้งสิ้น คือคนอิสราเอลทั้งหมด 7,000 คน
 16เขาทั้งหลายยกออกไปในเวลาเที่ยงวัน ส่วนเบนฮาดัดกำลังดื่มจนเมาอยู่ในเพิง ทั้งพระองค์และกษัตริย์อีก 32 องค์ที่ช่วยพระองค์ 17พวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดได้ยกออกไปก่อน เบนฮาดัดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป เขาทั้งหลายทูลรายงานพระองค์ว่า “มีคนยกออกมาจากสะมาเรีย” 18แล้วพระองค์ตรัสว่า “ถ้าพวกเขาออกมาด้วยสันติ จงจับเขามาเป็นๆ หรือถ้าเขาออกมาทำศึก ก็จงจับเขามาเป็นๆ”
 19พวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัด และกองทัพที่ติดตามพวกเขาได้เคลื่อนออกจากเมือง 20และต่างก็ฆ่าคู่ต่อสู้ของตน คนซีเรียหนี และคนอิสราเอลไล่ติดตามเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงม้าหนีไปกับทหารม้า 21กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ออกไปโจมตีม้าและรถรบ และประหารคนซีเรียมากมาย
 22แล้วผู้เผยพระวจนะคนนั้นได้เข้ามาใกล้กษัตริย์แห่งอิสราเอล ทูลพระองค์ว่า “ไปเถิด ขอเสริมกำลังของพระองค์ และตรึกตรองดูว่า พระองค์จะทรงทำประการใด เพราะในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า กษัตริย์แห่งซีเรียจะยกกองทัพมาสู้กับพระองค์อีก”

คนซีเรียแพ้สงคราม

 23ข้าราชการของกษัตริย์ซีเรียทูลพระองค์ว่า “พระทั้งหลายของเขาเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา เขาทั้งหลายจึงเข้มแข็งกว่าเรา แต่ขอให้เราสู้รบกับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องเข้มแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว 24ขอทรงทำอย่างนี้ ขอทรงปลดกษัตริย์เสียทุกองค์จากตำแหน่ง และตั้งนายทหารขึ้นแทน 25และเกณฑ์กองทัพเข้าแทนส่วนที่ล้มตายไปในคราวก่อน ม้าแทนม้า รถรบแทนรถรบ แล้วเราทั้งหลายจะสู้รบกับเขาในที่ราบ เราจะต้องเข้มแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว” และพระองค์ก็ทรงเชื่อฟังเสียงของเขาทั้งหลาย และทรงทำตาม
 26เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เบนฮาดัดทรงเกณฑ์คนซีเรีย ยกขึ้นไปรบกับอิสราเอลที่เมืองอาเฟก 27และคนอิสราเอลก็ถูกเกณฑ์ รับเสบียงอาหาร และยกออกไปต่อสู้กับพวกเขา คนอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าพวกเขาเหมือนแพะสองฝูงเล็กๆ แต่คนซีเรียเต็มท้องทุ่งไปหมด 28และคนของพระเจ้าคนหนึ่งได้เข้าไปใกล้ และทูลกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะคนซีเรียกล่าวว่า “พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าแห่งภูเขา พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าแห่งที่ลุ่ม” เพราะฉะนั้น เราจะมอบกองทัพใหญ่ทั้งหมดนี้ไว้ในมือของเจ้า และพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์’ ” 29แล้วเขาทั้งหลายก็ตั้งค่ายตรงข้ามกันอยู่เจ็ดวัน แล้วในวันที่เจ็ดก็ปะทะกัน คนอิสราเอลฆ่าคนซีเรีย ซึ่งเป็นทหารราบเสีย 100,000 คนในวันเดียว 30พวกที่เหลือก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองล้มทับคนเหล่านั้นเสีย 27,000 คน
 เบนฮาดัดก็หนีเข้าไปในห้องชั้นในที่ในเมือง 31และข้าราชการของเบนฮาดัดทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะ เราได้ยินว่าบรรดาพระราชาแห่งวงศ์วานอิสราเอลเป็นพระราชาที่ทรงเมตตา ขอให้เราเอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล บางทีพระองค์จะไว้ชีวิตฝ่าพระบาท” 32เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงเอาผ้ากระสอบคาดเอว เอาเชือกพันศีรษะ และไปเฝ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอล ทูลว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทให้มากราบทูลว่า ‘ได้โปรดเถิด ขอให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตอยู่’ ” และพระองค์ตรัสว่า “ท่านยังมีชีวิตหรือ? ท่านเป็นน้องของเรา” 33คนเหล่านั้นสังเกตเห็นเป็นลางดี ก็รีบตอบโดยเร็วว่า “พ่ะย่ะค่ะ เบนฮาดัดเป็นพระอนุชาของฝ่าพระบาท” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปนำท่านมาเถอะ” แล้วเบนฮาดัดก็เสด็จออกมาหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ให้ท่านขึ้นไปบนรถรบ 34และเบนฮาดัดทูลพระองค์ว่า “เมืองต่างๆ ซึ่งบิดาของข้าพเจ้ายึดเอาไปจากพระราชบิดาของท่านนั้น ข้าพเจ้าขอคืนให้ท่าน ท่านจะสร้างย่านการค้าของท่านในเมืองดามัสกัสก็ได้ อย่างที่บิดาข้าพเจ้าทำไว้ในสะมาเรีย” แล้วอาหับตรัสว่า “เราจะยอมให้ท่านไป ตามข้อตกลงนี้” พระองค์จึงทรงทำพันธสัญญากับท่าน และปล่อยท่านไป

ผู้เผยพระวจนะกล่าวโทษอาหับ

 35มีคนหนึ่งในกลุ่มผู้เผยพระวจนะพูดกับเพื่อนของตน ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ว่า “ได้โปรดเถอะ ขอตีข้าที” แต่ชายคนนั้นก็ปฏิเสธไม่ยอมตีท่าน 36แล้วท่านจึงพูดกับเขาว่า “เพราะท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ นี่แน่ะ พอท่านจากข้าไป สิงโตตัวหนึ่งจะสังหารท่าน” พอเขาจากท่านไป สิงโตตัวหนึ่งก็มาพบเขา และสังหารเขาเสีย 37แล้วท่านไปพบชายอีกคนหนึ่ง และท่านว่า “ได้โปรดเถอะ ขอตีข้าที” ชายคนนั้นได้ตีท่านและทำให้ท่านบาดเจ็บ 38ผู้เผยพระวจนะนั้นจึงจากไป และคอยพบพระราชาอยู่ที่หนทาง โดยปลอมตัวเอาผ้าพันตา 39พอพระราชาทรงผ่านไป ท่านก็ร้องทูลพระราชาว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเข้าไปในกลางศึก และดูเถิด ทหารคนหนึ่งหันมา และนำชายคนหนึ่งมาให้ข้าพระบาท บอกว่า ‘จงระวังชายคนนี้ไว้นะ ถ้าเขาหลุดไปได้โดยเหตุใดๆ ชีวิตของท่านจะต้องแทนชีวิตของเขา หรือมิฉะนั้นท่านจะต้องเสียเงินตะลันต์หนึ่ง’ 40และเมื่อผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทติดธุระอยู่ที่นี่ที่นั่น เขาก็หายไป” กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสกับเขาว่า “โทษของเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะเจ้าเองได้ตัดสินแล้ว” 41แล้วท่านก็รีบเอาผ้าพันตาออกเสีย และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จำท่านได้ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง 42และท่านจึงทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ปล่อยชายคนที่อยู่ในมือของเจ้า ผู้ซึ่งเราได้กำหนดให้ทำลายนั้น ดังนั้นชีวิตของเจ้าจะต้องแทนชีวิตของเขา และประชาชนของเจ้าแทนประชาชนของเขา’ ” 43และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เสด็จเข้าไปในพระราชวัง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและกลัดกลุ้มยิ่งนัก และเสด็จมาสะมาเรีย

1 พงศ์กษัตริย์ 21

สวนองุ่นของนาโบท

 1และต่อมาหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ข้างพระราชวังของอาหับพระราชาแห่งสะมาเรีย 2อาหับตรัสกับนาโบทว่า “จงให้สวนองุ่นของเจ้าแก่เราเถิด เพื่อเราจะได้ทำสวนผัก เพราะอยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกสวนนี้ หรือถ้าเจ้าเห็นชอบ เราจะให้เงินสมกับราคาสวนนั้น” 3แต่นาโบททูลอาหับว่า “โดยพระยาห์เวห์ ขอให้เรื่องนี้ห่างจากข้าพระบาทเถิด คือที่จะยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ฝ่าพระบาท” 4อาหับจึงเสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและกลัดกลุ้มยิ่งนัก ด้วยเรื่องที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระบาทจะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท” และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น เบือนพระพักตร์ ไม่เสวยอาหาร
 5แต่เยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมจิตใจของฝ่าพระบาทจึงกลัดกลุ้มจนไม่เสวยอาหาร?” 6และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน’ แต่เขาตอบว่า ‘ข้าพระบาทจะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท’ ” 7และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ฝ่าพระบาทเป็นผู้ครอบครองอิสราเอลอยู่หรือ เพคะ? เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยอาหารเถิด และให้พระทัยของฝ่าพระบาทร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลให้แก่ฝ่าพระบาทเอง”
 8พระนางจึงทรงพระอักษรในพระนามของอาหับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปยังผู้ใหญ่และเจ้านายผู้อยู่ในเมืองกับนาโบท 9พระนางทรงพระอักษรว่า “จงประกาศให้ถืออดอาหาร และให้นาโบทนั่งในที่นั่งอันมีเกียรติท่ามกลางประชาชน 10และให้คนอันธพาลสองคนนั่งตรงข้ามกับเขา ให้ฟ้องเขาว่า ‘เจ้าได้แช่งพระเจ้าและพระราชา’ แล้วพาเขาออกไปและเอาหินขว้างเสียให้ตาย” 11และคนของเมืองนั้น คือผู้ใหญ่และเจ้านายผู้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ได้ทำตามที่เยเซเบลมีพระอักษรสั่งไปถึงพวกเขา ตามที่ปรากฏในลายพระหัตถ์คำราชาศัพท์หมายถึง ลายมือซึ่งพระนางทรงมีไปถึงพวกเขานั้น 12พวกเขาได้ประกาศให้ถืออดอาหาร และได้ให้นาโบทนั่งในที่นั่งอันมีเกียรติท่ามกลางประชาชน 13และคนอันธพาลสองคนนั้นก็เข้ามา นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา และคนถ่อยนั้นได้ฟ้องนาโบทต่อหน้าประชาชนกล่าวว่า “นาโบทได้แช่งพระเจ้าและพระราชา” เขาทั้งหลายจึงพานาโบทออกไปนอกเมือง และเอาหินขว้างเขาจนตาย 14แล้วพวกเขาก็ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว”
 15พอเยเซเบลทรงได้ยินว่า นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า “ขอเชิญเสด็จไปยึดสวนของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายแก่พระองค์ เพราะว่านาโบทไม่มีชีวิตอยู่ เขาตายแล้ว” 16และต่อมาพออาหับได้ยินว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ทรงลุกขึ้น ลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลเพื่อยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์

เอลียาห์ประกาศคำพิพากษาของพระเจ้า

 17แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 18“จงลุกขึ้นไปพบอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในกรุงสะมาเรีย ดูสิ เขาอยู่ในสวนของนาโบทที่เขาลงไปยึดเอาเป็นกรรมสิทธิ์ 19เจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ?” ’ และเจ้าจงพูดกับเขาว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ในที่ที่สุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย” ’ ”
 20อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า “โอ ศัตรูของเรา เจ้าพบเราเข้าแล้วหรือ?” ท่านทูลตอบว่า “ข้าพระบาทพบฝ่าพระบาทเข้าแล้ว เพราะว่าฝ่าพระบาทยอมขายพระองค์เข้าทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ 21นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเจ้า เราจะกวาดเจ้าออกไปเสียให้สิ้น และจะกำจัดผู้ชายทุกคนเสียจากอาหับในอิสราเอล ไม่ว่าทาสหรือไท 22และเราจะทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ เพราะเจ้าทำให้เราโกรธ และเพราะเจ้าทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย 23และส่วนเยเซเบล พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘สุนัขจะกินเยเซเบลภายในเขตยิสเรเอล’ 24คนใดในวงศ์อาหับที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และคนใดในวงศ์ของเขาตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน”
 25ไม่มีใครได้ขายตนเอง เพื่อทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุยง 26พระองค์ทรงทำสิ่งที่น่าเกลียดชังยิ่งนัก คือดำเนินตามรูปเคารพ ตามธรรมเนียมทุกอย่างของคนอาโมไรต์ ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเหวี่ยงออกไปให้พ้นหน้าคนอิสราเอล
 27และต่อมาเมื่ออาหับทรงได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ ทรงสวมผ้ากระสอบ ถืออดอาหาร บรรทมในผ้ากระสอบ และทรงดำเนินไปมาด้วยความสำนึกผิด 28และพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 29“เจ้าได้เห็นอาหับถ่อมตัวลงต่อหน้าเราแล้วหรือ? เพราะเขาได้ถ่อมตัวลงต่อเรา เราจะไม่นำเหตุร้ายมาในสมัยของเขา แต่เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเขาในสมัยบุตรของเขา”

อรรถาธิบาย

จงเตรียมพร้อมในการเผชิญกับความชั่วร้าย

เราส่วนมากไม่ชอบการเผชิญหน้า แต่บางครั้งพระเจ้าทรงเรียกเราให้เผชิญหน้ากับความชั่วร้าย

ในพระธรรมตอนนี้เราได้อ่านเกี่ยวกับอาหับผู้ซึ่ง ‘ถูกยุยงโดยเยเซเบลมเหสีของท่าน และในการต่อต้านพระเจ้าอย่างเปิดเผย และทำสถิติใหม่ในการทำสิ่งชั่วร้ายอย่างยิ่ง’ (21:25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อันดับแรก เราได้อ่านถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างความชั่วร้ายและความชั่วร้าย เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมโจมตีอาหับ ถ้อยคำที่ชาญฉลาดออกจากปากคนที่ชั่วร้าย: ‘ขอท่านผู้ที่สวมเกราะ อย่าอวดอ้างอย่างผู้ที่ถอดเกราะแล้วเลย’ (20:11) ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะโอ้อวดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นการดีกว่าถ้าจะรายงานหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว!

จากนั้น เราได้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของชาวอารัม (บทที่ 20)

จากนั้น เราได้เห็นว่าอาหับและเยเซเบลชั่วร้ายเพียงใดในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อนาโบท (บทที่ 21) เพื่อขโมยที่ดินของเขา พวกเขาวางแผนที่จะล่อนาโบทให้ออกมาและขว้างหินเขาให้ตาย จากนั้นพวกเขาก็เอาไร่องุ่นของนาโบทไป

เอลียาห์เป็นชายที่มีความกล้าหาญเป็นพิเศษ เขาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย พระเจ้าทรงสั่งให้เขาไป และ ‘เผชิญหน้ากับอาหับ’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เอลียาห์กล่าวหาอาหับเรื่องการขโมยและฆาตกรรมและบอกว่าพระองค์ได้ ‘ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ท้าทายพระเจ้า’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ท่านเตือนอาหับว่า การพิพากษาของพระเจ้าจะตกลงบนพระองค์

ถ้อยคำของเอลียาห์นั้นช่างทรงพลัง และเมื่ออาหับได้ยิน เขาก็กลับใจ ‘พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ ทรงสวมผ้ากระสอบ ถืออดอาหาร...และทรงดำเนินไปมาด้วยความสำนึกผิด’ (ข้อ 27) ช่างน่าทึ่ง พระเจ้าทรงสำแดงพระกรุณาต่อเขา (ข้อ 29) ไม่สำคัญว่าเราเคยทำอะไร ไม่เคยสายเกินไปที่จะกลับใจและแสวงหาพระกรุณาของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ เหมือนกับเอลียาห์และอัครทูตเปาโล ที่จะไม่หวาดกลัวในการต่อกรกับอำนาจแห่งความชั่วร้าย ขอทรงประทานความกล้าหาญให้แก่เราที่จะเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย ขอทรงเติมเราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 พงศ์กษัตริย์ 21

จงเลือกคู่ครองที่ดี เยเซเบลเป็นสตรีที่ชั่วร้ายที่สุดที่เราได้ยินในพระคัมภีร์ อาหับอาจไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายนัก หากพระองค์ทรงเลือกภรรยาที่ดี

ข้อพระคำประจำวัน

กิจการ 18:9-10

‘อย่ากลัวเลย แต่จงกล่าวต่อไป อย่านิ่งเสีย เพราะว่าเราอยู่กับเจ้า…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม