สามองค์ประกอบสำคัญสำหรับมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
เกริ่นนำ
เครือข่ายร้านค้าปลีกในสหราชอาณาจักร ที่ชื่อ ท็อปช้อป ได้จัดทำแบบสำรวจ โดยทีมนักจิตวิทยาในกลุ่มลูกค้าหลักของพวกเขา คนยุคมิลเลเนียม (คนที่เกิดระหว่าง ค.ศ. 1981 และต้นปีค.ศ. 2000 และยังเป็นที่รู้จักในฐานะคนเจ็น วาย) พวกเขาสัมภาษณ์ลูกค้า 800 คน ผลลัพธ์นั้นช่างน่าตกใจจนพวกเขาไม่เชื่อเลยทีเดียว พวกเขาสัมภาษณ์ลูกค้าอีก 800 คน และได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม
ผลลัพธ์แสดงให้เห็นภาพที่น่าตกใจของคนรุ่นหลังที่โดดเดี่ยวและหลงทางมากขึ้น หลายคนใช้ชีวิตตามลำพังยิ่งกว่าจุดอื่นใดในบันทึกประวัติศาสตร์ทางสังคมของเรา โดยเฉลี่ย คนยุคมิลเลเนียมใช้เวลาหกชั่วโมงครึ่งต่อวันกับสื่อโซเชียล หลายคนที่ถูกสัมภาษณ์พิจารณาว่างานที่ทำจะเป็นบางสิ่งเข้ากันได้ระหว่างโซเชียลมีเดียกับมื้อกลางวัน! พวกเขาพบอีกว่าผู้คนเหล่านั้นมี ‘เพื่อน’ จำนวนมาก แต่กลับทวีขึ้นด้วยความรู้สึกที่โดดเดี่ยว
ไม่มีอะไรผิดเรื่องสื่อโซเชียล แต่ไม่มีอะไรแทนที่มิตรภาพที่แท้จริงแบบเจอตัวเป็นๆ เราถูกสร้างมาเพื่อมีมิตรภาพกับพระเจ้า (ปฐมกาล 3:8) และกับคนอื่น ๆ (2:18)
การสมรสเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเรื่องความโดดเดี่ยว มิตรภาพซึ่งมีความสำคัญในการแต่งงาน ก็เป็นส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาเช่นกัน พระเยซูทรงทำเป็นแบบอย่างเรื่องมิตรภาพที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างชายและหญิง พระองค์ทรงสำแดงว่าชีวิตสมรสไม่ใช่เป็นเพียงวิธีเดียวที่ใช้ในการแก้ปัญหาความโดดเดี่ยว ในแง่มุมหนึ่ง มิตรภาพก็สำคัญยิ่งกว่าการสมรส การสมรสเป็นสิ่งชั่วคราว มิตรภาพเป็นสิ่งนิรันดร์ ‘มิตรภาพ’ ดังเช่นที่ซี.เอส. ลูอิสเขียนไว้ว่า เป็นดังเช่น ‘มงกุฎแห่งชีวิต และโรงเรียนแห่งคุณธรรม’ มิตรภาพทวีความชื่นบาน และแบ่งปันความโศกเศร้า
พระคัมภีร์นั้นเกี่ยวกับความจริงเป็นอย่างมาก เราเห็นตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด แต่เราก็ยังได้เห็นมิตรภาพที่อ่อนแอและล้มเหลว ผ่านทางตัวอย่างเหล่านี้และคำสอนตามพระคัมภีร์ เราได้เห็นสามประการ
สดุดี 77:10-20
10และข้าพเจ้ากล่าวว่า “นั่นแหละเป็นความทุกข์ของข้าพเจ้า
คือที่พระหัตถ์ขวาขององค์ผู้สูงสุดเปลี่ยนไป”
11ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งหลายของพระยาห์เวห์
ใช่แล้ว ข้าพระองค์จะระลึกถึงบรรดาการอัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยก่อนๆ
12ข้าพระองค์จะใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
และตรึกตรองถึงกิจการของพระองค์
13ข้าแต่พระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์
พระองค์ใดจะยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย?
14พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์
ผู้ทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
15ด้วยพระกร พระองค์ได้ทรงไถ่ประชากรของพระองค์
คือลูกหลานของยาโคบและโยเซฟ
16ข้าแต่พระเจ้า เมื่อทะเลเห็นพระองค์
ทะเลเห็นพระองค์ มันก็เกรงกลัว
แน่ทีเดียว บรรดาที่ลึกก็สั่นสะท้าน
17เมฆเทน้ำลงมา
ท้องฟ้าก็คะนองเสียง
ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา
18เสียงฟ้าร้องของพระองค์อยู่ในพายุหมุน
ฟ้าแลบทำให้พิภพสว่าง
แผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือนและหวั่นไหว
19พระมรรคาของพระองค์อยู่ในทะเล
พระวิถีของพระองค์อยู่ในน้ำกว้างใหญ่
ถึงกระนั้น รอยพระบาทของพระองค์ก็ไม่มีใครเห็น
20พระองค์ได้ทรงนำประชากรของพระองค์เหมือนนำฝูงแพะแกะ
โดยมือของโมเสสและอาโรน
อรรถาธิบาย
ให้คุณค่ากับพันธมิตร
แม่ชีเทเรซ่ากล่าวว่า ‘สิ่งที่ฉันทำได้ คุณทำไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้ ฉันทำไม่ได้ แต่ร่วมกัน เราสามารถทำสิ่งที่สวยงามเพื่อพระเจ้าได้’
เราได้เห็นเมื่อวานนี้ถึงวิธีที่ผู้เขียนสดุดี ในความทุกข์ใจของเขา ร้องทูลพระเจ้า ในครึ่งหลังของสดุดี เขาระลึกถึงบรรดาการอัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยก่อนๆ (ข้อ 11–12)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขามองย้อนไปถึงการช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ปลดปล่อยประชากรของพระองค์ในอพยพ เขาอธิษฐานว่า ‘พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์ ผู้ทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย' (ข้อ 14) เขาใคร่ครวญเรื่องการแยกทะเลแดง (ข้อ 16–19) และสรุปว่า ‘พระองค์ได้ทรงนำประชากรของพระองค์เหมือนนำฝูงแพะแกะ
โดยมือของโมเสสและอาโรน’ (ข้อ 20)
‘โมเสส และอาโรน’ เป็นหุ้นส่วนฝ่ายมนุษย์ที่เกี่ยวข้องในพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า นี่เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของประชากรพระเจ้า
มันเกิดขึ้นเพราะพวกเขามีส่วนร่วมในอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง พวกเขามองไปนอกตัวเองในทิศทางเดียวกัน ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็มีทักษะและบทบาทต่างกันมาก ในขณะที่โมเสสเป็นผู้นำ อาโรนก็รับผิดชอบด้านการสื่อสาร (อพยพ 7:1–2) และนำผู้คนในการนมัสการ (28:1)
เราจำเป็นต้องมีหุ้นส่วนที่ดีในทุกวันนี้ มีเหตุผลที่ดีหลายอย่างว่าทำไมพระเยซูจึงทรงส่งสาวกของพระองค์ออกไปเป็นคู่ๆ พันธกิจอาจเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวอย่างยิ่ง การออกไปเป็นคู่ทำให้แตกต่างกันอย่างมาก นี่เป็นวิธีที่มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางอย่างได้เกิดขึ้น
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 15:22-41
จดหมายจากที่ประชุมถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ
22ขณะนั้นพวกอัครทูตและพวกผู้ปกครองกับทุกคนในคริสตจักร เห็นชอบที่จะเลือกบางคนไปยังเมืองอันทิโอกพร้อมกับเปาโลและบารนาบัส พวกเขาเลือกยูดาสผู้ที่มีอีกชื่อว่าบารซับบาส และสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพี่น้อง 23พวกเขาเขียนจดหมายฝากท่านทั้งสองไปว่า “พี่น้องที่เป็นอัครทูตและผู้ปกครอง ขอส่งคำทักทายมายังพี่น้องชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองอันทิโอก อยู่ในแคว้นซีเรีย และอยู่ในแคว้นซิลีเซีย 24เนื่องจากเราได้ยินว่ามีบางคนในเรา แม้ว่าจะไม่ได้รับคำสั่งจากเราก็ตาม ได้ไปพูดให้ท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจและทำให้ความคิดของท่านสับสนวุ่นวาย 25เราจึงเห็นพ้องกันที่จะเลือกบางคนไปหาพวกท่านพร้อมกับบารนาบัสและเปาโลผู้เป็นที่รักของเรา 26และเป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่อพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 27เพราะฉะนั้นเราจึงส่งยูดาสกับสิลาสมา พวกเขาจะเล่าเรื่องเดียวกันนี้ให้ท่านทั้งหลายฟังด้วยวาจา 28เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และเราเห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนพวกท่านเว้นแต่สิ่งต่างๆ ที่จำเป็น 29คือให้ละเว้นการกินอาหารที่ถูกนำไปบูชารูปเคารพ การกินเลือด การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าพวกท่านละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ก็เท่ากับท่านได้ทำสิ่งที่ดี ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด”
30เมื่อลาจากกันแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ลงไปยังเมืองอันทิโอก และเมื่อเรียกคนทั้งปวงประชุมกันแล้ว จึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้ 31เมื่ออ่านแล้วต่างก็มีความชื่นชมยินดีในคำหนุนใจนั้น 32ยูดาสกับสิลาสเป็นผู้เผยพระวจนะด้วย จึงกล่าวคำหนุนใจพี่น้องหลายประการและช่วยให้มีกำลังใจ 33เมื่อพักอยู่ระยะหนึ่งแล้ว พี่น้องก็ส่งท่านทั้งสองกลับมายังคริสตจักรที่ส่งท่านมาโดยอวยพรให้มีสันติสุข 34ส่วนสิลาสนั้นเห็นชอบที่จะอยู่ต่อที่นั่น 35เปาโลกับบารนาบัสก็ยังอยู่ต่อที่เมืองอันทิโอกเพื่อสั่งสอนและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันกับคนอื่นอีกหลายคน
เปาโลแยกจากบารนาบัส
36เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เปาโลจึงพูดกับบารนาบัสว่า “ไปกันเถอะ กลับไปเยี่ยมพี่น้องในทุกเมืองที่เราประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดูว่าเขาทั้งหลายเป็นอย่างไรกันบ้าง” 37บารนาบัสนั้นอยากจะพายอห์นผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย 38แต่เปาโลเห็นว่าไม่ควรพาไป เพราะครั้งก่อนยอห์นละท่านทั้งสองที่แคว้นปัมฟีเลียและไม่ได้ไปทำงานด้วยกัน 39ทั้งสองเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนต้องแยกกัน บารนาบัสจึงพามาระโกลงเรือไปยังเกาะไซปรัส 40แต่เปาโลนั้นเลือกสิลาส และเมื่อพี่น้องฝากท่านทั้งสองไว้ในพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วท่านก็ไป 41ท่านเข้าไปในแคว้นซีเรียกับแคว้นซิลีเซียหนุนใจคริสตจักรให้เข้มแข็งขึ้น
อรรถาธิบาย
ปกป้องมิตรภาพไว้
จากตั้งแต่แรกเริ่มของคริสตจักรคริสเตียน เราได้เห็นตัวอย่างของการที่เพื่อนทำงานร่วมกันแบบหุ้นส่วน เปาโลกับบารนาบัสเป็นหุ้นส่วนกันในพระกิตติคุณ (ข้อ 22) พวกเขาถูกส่งออกไปด้วยกันเพื่อนำสารไปถึงสภาในกรุงเยรูซาเล็ม ถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ (ข้อ 23)
พวกเขาถูกอธิบายว่าเป็น ‘บารนาบัสและเปาโลผู้เป็นที่รักของเรา เป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่อพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา’ (ข้อ 26)
พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ผู้นำอีกสองคน ยูดาส (ผู้ที่มีอีกชื่อว่าบารซับบาส) และสิลาส (ข้อ 22) ยูดาสและสิลาสเป็นผู้เผยพระวจนะผู้ซึ่ง ‘กล่าวคำหนุนใจพี่น้องหลายประการและช่วยให้มีกำลังใจ’ (ข้อ 32) อีกครั้งนี่เป็นสิ่งดีสำหรับผู้เผยพระวจนะที่จะไม่ได้ทำการด้วยความโดดเดี่ยว แต่ทำกิจร่วมกันกับพี่น้องคนอื่นๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดี แต่เมื่อเราอ่านต่อไป เราได้เห็นการแบ่งแยก แม้แต่ในคริสตจักรยุคแรก ไม่เพียงแค่เรื่องหลักข้อเชื่อ (ข้อ 2) แต่ยังแบ่งแยกในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว (ข้อ 39) ดังที่แซนดี้ มิลล่าร์พูดไว้เสมอคือ ‘การทรงเรียกนั้นเป็นแบบพระเจ้า แต่ความสัมพันธ์เป็นแบบมนุษย์’ เปาโลกับบารนาบัสแยกจากกัน (ข้อ 36–38) พวกเขามี ‘ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง’ และผลก็คือ พวกเขา ‘จึงต้องแยกกัน’ (ข้อ 39) พวกเขาจบลงด้วยการแยกไปคนละทาง
ในการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี บารนาบัสพบกับหุ้นส่วนคนใหม่ในตัวมาระโก ผู้ซึ่งเป็นญาติของเขา (ดู โคโลสี 4:10) อาจารย์เปาโลพบหุ้นส่วนคนใหม่ในตัวสิลาส และ เข้าไปในแคว้นซีเรียกับแคว้นซิลีเซียหนุนใจคริสตจักรให้เข้มแข็งขึ้น’ (กิจการ 15:41) บางทีอาจารย์เปาโลกับบารนาบัสได้กลับมาคืนดีกันในภายหลัง (ดู 1 โครินธ์ 9:6)
ความเป็นจริงคือ บางครั้งแม้แต่หุ้นส่วนคริสเตียนก็ต้องปล้ำสู้และล้มลง พระเจ้าทรงสามารถนำความหวังเข้ามาในสถานการณ์นี้ได้ นี่ไม่ใช่จุดจบของโลกเมื่อคริสเตียนแยกกัน และไปกันคนละทาง พระธรรมตอนนี้แสดงให้เห็นว่า การขัดแย้งกันของพวกเขาไม่ได้นำไปสู่การถอนเอาพระพรของพระเจ้าไปจากพวกท่าน
อย่างไรก็ตาม ดังที่จอห์น สต็อทท์ชี้ให้เห็นว่า ‘ตัวอย่างของการจัดเตรียมของพระเจ้าไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทะเลาะกันของคริสเตียน’ เราควรทำให้ดีที่สุดเสมอเพื่อแก้ปัญหาความแตกต่างของเราและหลีกเลี่ยงการแยกจากกันแบบเจ็บปวดเช่นนั้น
จงปกป้องมิตรภาพของคุณ เมื่อมีการแยกจากกัน พยายามคืนดีกัน และจำไว้ว่า ดังที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวไว้ ‘การให้อภัยไม่ใช่การกระทำแบบครั้งคราว เป็นท่าทีที่ถาวร’
คำอธิษฐาน
1 พงศ์กษัตริย์ 11:14-12:24
บรรดาศัตรูของซาโลมอน
14พระยาห์เวห์ทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม ท่านเป็นเชื้อกษัตริย์แห่งเอโดม 15เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น โยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า และได้ฆ่าชายทุกคนในเอโดมเสีย 16(เพราะโยอาบและคนอิสราเอลทั้งสิ้นยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้ตัดชีวิตชายทุกคนในเอโดม) 17แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาท่าน เวลานั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ 18พวกเขาออกจากมีเดียนมายังปาราน พาคนจากปารานที่มากับเขาทั้งหลายเข้าไปยังอียิปต์ และเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และพระองค์ประทานบ้านหลังหนึ่งแก่ฮาดัด และทรงกำหนดให้ได้รับปันอาหาร และประทานที่ดินให้ท่านด้วย 19และฮาดัดเป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของพระองค์เอง คือน้องสาวของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาของท่าน 20และน้องสาวของทาเปเนสก็คลอดบุตรชายคือเกนูบัทแก่ท่าน และทาเปเนสให้เขาหย่านมในวังของฟาโรห์ และเกนูบัทอยู่ในวังของฟาโรห์ในหมู่โอรสของฟาโรห์ 21แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่า ดาวิดล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพระบาทไป และข้าพระบาทจะกลับไปประเทศของข้าพระบาท” 22แต่ฟาโรห์ตรัสกับท่านว่า “ท่านอยู่กับเรา ท่านขาดอะไรหรือ? ท่านจึงหาทางที่จะกลับไปประเทศของท่าน” และท่านทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดอะไร พ่ะย่ะค่ะ แต่ขอให้ข้าพระบาทไปเถิด”
23พระเจ้าทรงให้ปฏิปักษ์อีกคนหนึ่งเกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือเรโซนบุตรของเอลียาดา ผู้ที่หนีไปจากฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์เจ้านายของตน 24เมื่อดาวิดเข่นฆ่าชาวโศบาห์นั้น เรโซนได้รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา และได้กลายเป็นหัวหน้ากองปล้น พวกเขาไปอาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส และครอบครองเมืองดามัสกัส 25เขาเป็นปฏิปักษ์ของอิสราเอลตลอดรัชสมัยของซาโลมอน และก่อการร้ายเหมือนที่ฮาดัดได้ทำ และเขาเกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองซีเรีย
เยโรโบอัมก่อการกบฏ
26เยโรโบอัมบุตรเนบัท คนเอฟราอิม จากเมืองเศเรดาห์ ข้าราชการคนหนึ่งของซาโลมอน มารดาของท่านเป็นหญิงม่ายชื่อเศรุอาห์ ท่านได้กบฏต่อพระราชาด้วย 27ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่ท่านกบฏต่อพระราชา คือซาโลมอนทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดรอยแยกของกำแพงนครดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ 28เยโรโบอัมเป็นนักรบกล้าหาญ เมื่อซาโลมอนทรงเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนขยัน จึงตั้งให้ดูแลแรงงานทั้งสิ้นที่ถูกเกณฑ์มาจากพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ 29ต่อมาในเวลานั้นเมื่อเยโรโบอัมออกจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ได้พบท่านกลางทาง อาหิยาห์คลุมกายด้วยเสื้อคลุมใหม่ และทั้งสองคนก็อยู่ลำพังในทุ่งนา 30แล้วอาหิยาห์ก็จับเสื้อคลุมใหม่ที่สวมอยู่ฉีกออกเป็นสิบสองชิ้น 31และท่านพูดกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอาไปสิบชิ้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เรากำลังจะฉีกอาณาจักรจากมือของซาโลมอน และจะให้เจ้าสิบเผ่า 32(แต่เขาจะมีเผ่าหนึ่งเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล) 33เพราะเขาทอดทิ้งเรา ไปนมัสการเจ้าแม่อัชโทเรทพระของชาวไซดอน เคโมชพระของโมอับ และมิลโคมพระของคนอัมโมน และไม่ดำเนินในทางของเราคือทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายตาของเรา อีกทั้งไม่รักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา ไม่เหมือนอย่างดาวิดบิดาของเขา 34อย่างไรก็ตาม เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากมือของเขา แต่เราจะให้เขาเป็นผู้ครอบครองตลอดชีวิตของเขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ที่เราเลือกไว้ ผู้รักษาบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา 35แต่เราจะเอาอาณาจักรไปจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบให้เจ้าสิบเผ่า 36เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้าเราตลอดเวลาในเยรูซาเล็ม เมืองซึ่งเราเลือกให้ตัวเองเพื่อประดิษฐานชื่อของเราไว้ที่นั่น 37เราจะเอาตัวเจ้า และเจ้าจะปกครองทุกอย่างที่ใจของเจ้าประสงค์ และเจ้าจะเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล 38และถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า และดำเนินในทางทั้งหลายของเรา และทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราได้ทำ แล้วเราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างราชวงศ์ที่มั่นคงให้เจ้า เหมือนที่เราได้สร้างให้ดาวิด และเราจะให้อิสราเอลแก่เจ้า 39เพราะเหตุนี้ เราจะให้ความทุกข์ใจแก่เชื้อสายของดาวิด แต่ไม่ใช่ตลอดไป’ ” 40ดังนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องทางที่จะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีไปอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนกระทั่งซาโลมอนสิ้นพระชนม์
ซาโลมอนสิ้นพระชนม์
41ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของซาโลมอน และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และพระสติปัญญาของพระองค์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอนไม่ใช่หรือ? 42และเวลาที่ซาโลมอนทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มเหนืออิสราเอลทั้งสิ้นนั้นคือ 40 ปี 43และซาโลมอนทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน
1 พงศ์กษัตริย์ 12
เผ่าเหนือแยกตัวออก
1เรโหโบอัมได้ไปยังเมืองเชเคม เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นได้มายังเชเคม เพื่อจะตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ 2เมื่อเยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่องนี้แล้ว ท่านยังคงอยู่ในอียิปต์ (ที่เยโรโบอัมต้องอาศัยอยู่ในอียิปต์ เพราะท่านหนีจากพระพักตร์พระราชาซาโลมอน) 3เขาทั้งหลายก็ใช้คนไปเรียกท่าน เยโรโบอัมกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดได้มาทูลเรโหโบอัมว่า 4“พระราชบิดาของฝ่าพระบาทได้ทำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนักนัก เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงลดงานหนักของพระราชบิดาของฝ่าพระบาท และทำให้แอกหนักของพระองค์ที่อยู่เหนือพวกข้าพระบาทเบาลง แล้วพวกข้าพระบาทจะปรนนิบัติฝ่าพระบาท” 5พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงกลับไปก่อน แล้วสักสามวันจึงมาหาเราอีก” ประชาชนจึงกลับไป
6แล้วพระราชาเรโหโบอัมก็ทรงปรึกษากับบรรดาผู้อาวุโส ผู้ได้ปรนนิบัติซาโลมอนพระราชบิดาของพระองค์ เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ว่า “ท่านทั้งหลายจะแนะนำเราให้ตอบประชาชนนี้อย่างไร?” 7เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “ถ้าฝ่าพระบาทจะทรงเป็นผู้รับใช้ประชาชนนี้ในวันนี้ และปรนนิบัติพวกเขา และตรัสตอบคำดีแก่พวกเขา เขาทั้งหลายก็จะเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทตลอดไป” 8แต่พระองค์ทรงปฏิเสธคำปรึกษาที่บรรดาผู้อาวุโสถวายนั้น และไปปรึกษากับพวกคนหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ ซึ่งอยู่ปรนนิบัติพระองค์ 9และพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านจะแนะนำเราอย่างไร เพื่อพวกเราจะตอบประชาชนนี้ผู้ที่ทูลเราว่า ‘ขอทรงทำให้แอกซึ่งพระราชบิดาของฝ่าพระบาทวางอยู่เหนือพวกข้าพระบาทเบาลง’ ” 10และคนหนุ่มเหล่านั้นผู้ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ขอฝ่าพระบาทตรัสดังนี้แก่ประชาชนนี้ผู้ทูลพระองค์ว่า ‘พระราชบิดาของฝ่าพระบาทได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนัก แต่ขอฝ่าพระบาททรงทำให้เบาลง’ นั้น ขอฝ่าพระบาทตรัสแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า ‘นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระราชบิดาเรา 11พระราชบิดาของเราได้วางแอกหนักบนท่านทั้งหลาย ส่วนเราก็จะเพิ่มภาระบนแอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้ แต่เราจะตีสอนท่านด้วยแมงป่อง’ ”
12เยโรโบอัมกับประชาชนทั้งหมด จึงเข้ามาเฝ้าเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่พระราชารับสั่งว่า “จงกลับมาหาเราในวันที่สาม” 13และพระราชาตรัสตอบประชาชนอย่างดุดัน พระองค์ทรงปฏิเสธคำปรึกษาที่บรรดาผู้อาวุโสได้ถวายนั้น 14และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่มว่า “พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มภาระบนแอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้ แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแมงป่อง” 15พระราชาไม่ทรงฟังประชาชน เพราะการแปรเปลี่ยนนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะทรงทำให้พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรเนบัท
16และเมื่ออิสราเอลทั้งสิ้นเห็นว่าพระราชาไม่ได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบพระราชาว่า
“พวกข้าพระบาทมีส่วนอะไรในดาวิด
พวกข้าพระบาทไม่มีมรดกในบุตรเจสซี
โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของท่านเถิด
ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด”
อิสราเอลจึงจากไปยังเต็นท์ของเขา 17แต่เรโหโบอัมทรงปกครองประชาชนอิสราเอล ผู้อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 18แล้วพระราชาเรโหโบอัมทรงใช้อาโดรัมผู้ดูแลคนงานโยธาไป และอิสราเอลทั้งสิ้นก็เอาหินขว้างเขาตาย แล้วพระราชาเรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถรบหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 19อิสราเอลจึงกบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดจนถึงทุกวันนี้
ราชวงศ์ที่หนึ่ง : เยโรโบอัมทรงปกครองอิสราเอล
20และต่อมาเมื่ออิสราเอลทั้งปวงได้ยินว่าเยโรโบอัมได้กลับมาแล้ว พวกเขาก็ใช้ให้ไปเชิญท่านมายังที่ประชุม แล้วก็ตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น ไม่มีใครติดตามเชื้อวงศ์ของดาวิด นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
21เมื่อเรโหโบอัมทรงมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ทรงระดมพลจากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมดและเผ่าเบนยามิน เป็นนักรบที่คัดเลือกแล้ว 180,000 คน เพื่อจะสู้รบกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะเอาราชอาณาจักรคืนมาให้แก่เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอน 22แต่พระวจนะของพระเจ้ามายังเชไมยาห์คนของพระเจ้าว่า 23“จงไปทูลเรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอน พระราชาแห่งยูดาห์ และบอกกับพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของยูดาห์และเบนยามิน และกับประชาชนที่เหลืออยู่ว่า 24‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับประชาชนอิสราเอลพี่น้องของเจ้าเลย ทุกคนจงกลับบ้านของตนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’ ” แล้วพวกเขาจึงเชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และกลับไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์
อรรถาธิบาย
จัดลำดับความสำคัญของความจงรักภักดี
ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นความสัมพันธ์แบบมนุษย์แบบที่ตกต่ำที่สุด ซาโลมอนเริ่มต้นเก็บเกี่ยวสิ่งที่ตนได้หว่านลงไป เขาได้หว่านความไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า และบัดนี้เขาเริ่มเก็บเกี่ยวความไม่ภักดีในทุกเรื่อง ปฏิปักษ์คนแรกคือฮาดัด (11:14) คนที่สองคือเรโซน (ข้อ 23) ‘หัวหน้ากองปล้น’ (ข้อ 24)
บัดนี้ เยโรโบอัมกบฏต่อพระราชา (ข้อ 26) เขาเป็นหนึ่งในข้าราชการของซาโลมอน เป็นคน ‘คนขยัน’ เป็นคนที่ซาโลมอนตั้งให้ ‘ดูแลแรงงานทั้งสิ้นที่ถูกเกณฑ์มาจากพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ’ (ข้อ 28) ซาโลมอนจบชีวิตของตนด้วยการแวดล้อมด้วยปฏิปักษ์ และพยายามประหารเยโรโบอัม (ข้อ 40)
เรโหโบอัม โอรสของซาโลมอนได้รับมรดกความยุ่งเหยิงนี้มา เขาไม่รับมืออย่างชาญฉลาดกับศัตรู เขาไม่ฟังใคร ‘ไม่ทรงฟังประชาชน’ (12:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาตระหนักว่า เรโหโบอัม ‘ไม่ทรงฟังสิ่งที่พวกเขาพูดสักคำ’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาปฏิเสธคำแนะนำที่พวกผู้อาวุโส ผลก็คือ อิสราเอลส่วนใหญ่ต่อต้านเรโหโบอัม 'ไม่มีใครติดตามเชื้อวงศ์ของดาวิด นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น’ (ข้อ 20) อีกครั้ง สงครามปะทุขึ้น (ข้อ 21) ผลลัพธ์ก์คือ อาณาจักรถูกแบ่งแยก แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบของปัญหา พระเจ้าทรงสัญญากับเยโรโบอัมด้วยพระพรอันน่าทึ่ง ‘ถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า และดำเนินในทางทั้งหลายของเรา’ (ข้อ 38) น่าเศร้า (ดังที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า) เยโรโบอัมไม่ได้ทำเช่นนั้นและผลก็คือหายนะ
ส่วนนี้ในประวัติศาสตร์ของประชากรพระเจ้าเป็นเรื่องราวของการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า ไม่จงรักภักดีต่อพระราชา กบฏ และการต่อสู้ประจัญบาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น คุณถูกเรียกให้รัก เป็นหนึ่งเดียวกัน และจงรักภักดี ความจงรักภักดีของคุณควรสะท้อนความภักดีของพระเจ้าที่มีต่อคุณ
หากคุณหว่านความไม่จงรักภักดี คุณจะเก็บเกี่ยวความไม่จงรักภักดี หากคุณหว่านความจงรักภักดี คุณจะเก็บเกี่ยวความจงรักภักดี คุณแสดงความภักดีได้โดยการกระทำและคำพูดของคุณ จงภักดีต่อผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ในการทำเช่นนั้น คุณจะสร้างความไว้วางใจกับผู้ที่อยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างไรก็ตาม พระเจ้ายังทรงสัตย์ซื่อตามพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับดาวิด (ดู 2 ซามูเอล 7) และไม่ได้ทรงปฏิเสธประชากรของพระองค์อย่างสิ้นเชิง (1 พงศ์กษัตริย์ 11:32,34,36) แม้ว่าพระองค์ทรงลงวินัยเรา ‘พราะเหตุนี้ เราจะให้ความทุกข์ใจแก่เชื้อสายของดาวิด แต่ไม่ใช่ตลอดไป’ (ข้อ 39) การลงวินัยของพระองค์เป็นสิ่งชั่วคราว ความสัตย์ซื่อของพระองค์เป็นนิจนิรันดร์ ‘แต่พระองค์ทรงตีสอนเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์’ (ฮีบรู 12:10)
พันธสัญญาและความซื่อสัตย์ภักดีของพระเจ้าต่อคุณเช่นนั้นทำให้ไม่มีอะไรสามารถทำให้คุณ ‘ขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้’ (โรม 8:39)
นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้อิ่มใจ แต่เป็นแรงจูงใจที่จะปีติยินดีอีกครั้งในพระคุณของพระเจ้า และมอบถวายตัวคุณเองสู่การนมัสการหมดทั้งหัวใจ คุณสามารถเลือกได้อีกครั้งที่จะตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตคุณ ‘ถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า และดำเนินในทางทั้งหลายของเรา และทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายตาของเรา’ (1 พงศ์กษัตริย์ 11:38)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กิจการ 15:37–39
เป็นสิ่งที่เมื่อคนของพระเจ้ายืนหยัดเคียงข้างคุณ บารนาบัสยืนหยัดเพื่อมาระโก และให้โอกาสเขาอีกครั้ง มีใครบ้างไหมที่คุณควรพูดถึงด้วยถ้อยคำที่ดีในวันนี้?
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 77:14
พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์ ผู้ทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)