วัน 169

การกลับใจสามครั้งที่ทุกคนต้องการ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 74:18-23
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 12:19ข-13:12
พันธสัญญาเดิม 1 พงศ์กษัตริย์ 3:16-5:18

เกริ่นนำ

ที่การประชุมอัลฟ่า มีคนส่งกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้ผม ที่เขียนอธิบายไว้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเธอ

‘ซู (ผู้ไม่ได้เป็นคริสเตียน) ไปเข้าร่วมคลีนิกกายภาพบำบัดสำหรับคนที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจรุนแรง เธอมีอาการโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD: Chronic Obstructive Pulmonary Disease)อาการเรื้อรังของเธอทรุดลงเรื่อย ๆ คลีนิกพบกันที่อาคารคริสตจักรของเรา เมื่อเธอมาถึงคลีนิก แต่ว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น (เธอมาผิดวัน) เธอคงรออยู่และมองที่ใบปลิวของอัลฟ่ารอบถัดไปของเรา

’ซูมาที่หลักสูตรของเราในค่ำวันพุธ เธอซึมซับทุกอย่างและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนใจ เธอมาที่คริสตจักรในวันอาทิตย์และกลับมาอีกครั้งในวันพุธ ทันใดนั้นซูก็เข้าใจว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นเหมือนตัวต่อจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่สำหรับเธอ เธอมอบชีวิตของเธอให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างน่าทึ่ง เธอโทรหาน้องสาวของเธอเพื่อบอกว่า เธอเป็นคริสเตียนแล้ว และน้องสาวของเธอก็กำลังอยู่ในการประชุมกับเพื่อน เพื่ออธิษฐานเผื่อซูอยู่น้องสาวได้อธิษฐานเผื่อซูมาเป็นเวลาถึงยี่สิบห้าปี!

วันอาทิตย์ถัดมา ซูมาที่คริสตจักร ออกมาด้านหน้าเพื่อรับอธิษฐานเผื่อการรักษา และได้รับการเยียวยาอย่างน่าทึ่งจากโรคหลอดลมอุดตันเรื้อรัง (เธอเคย) วิ่งขึ้น ๆ ลง ๆ บันไดที่บ้าน หยุดใช้ยา และอื่น ๆ เธอพบกับนักกายภาพบำบัดของเธอที่คลีนิกแพทย์ ผู้ซึ่งประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งแตกต่างกันอย่างน่าทึ่ง เธอได้รับการรักษาและตั้งแต่นั้นมาก็อธิษฐานเผื่อ และเห็นคนอื่น ๆ หายโรค รวมทั้งโรคมะเร็งคนหนึ่งด้วย

’ในวันที่ 30 เมษายน ซูรับบัพติศมาในน้ำ และพาเพื่อนและครอบครัวกว่า 150 คนมาฉลองกับเธอ เธอมีแรงจูงใจอย่างยิ่งกับคนอื่น ๆ เธอประกาศกับใครก็ตามที่ยืนอยู่นานพอที่จะฟัง’

จอห์น วิมเบอร์เคยกล่าวไว้บ่อย ๆ ว่า เราจำเป็นต้องมีการกลับใจ เปลี่ยนแปลง สามครั้ง กลับใจมาหาพระคริสต์ กลับใจมาหาคริสตจักรของพระองค์ และเปลี่ยนแปลงเพื่อเป้าหมายของพระองค์ เห็นได้ชัดว่า ซูไม่เพียงแค่กลับใจมาหาพระคริสต์ แต่ยังกลับใจมายังคริสตจักรของพระองค์ และเปลี่ยนแปลงเพื่อเป้าหมายของพระองค์ทันที! พระธรรมวันนี้เน้นการเปลี่ยนแปลงประการที่สามเป็นพิเศษ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 74:18-23

18ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกถึงข้อนี้ว่า ศัตรูได้เยาะเย้ยพระองค์
 และชนชาติโง่เขลาได้กล่าวหยาบช้าต่อพระนามของพระองค์
19ขออย่าทรงมอบชีวิตนกเขาของพระองค์ชีวิตนกเขาของพระองค์
 ขออย่าทรงลืมชีวิตคนยากจนของพระองค์เป็นนิตย์
20ขอทรงพิเคราะห์ดูพันธสัญญาของพระองค์
 เพราะสถานที่มืดของแผ่นดินเต็มไปด้วยที่อาศัยของความทารุณ
21ขออย่าให้ผู้ที่ถูกเหยียบย่ำขายหน้า
 ขอให้คนยากจนและคนขัดสนสรรเสริญพระนามของพระองค์
22ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นสู้คดีของพระองค์
 ขอทรงระลึกว่าคนโง่เขลาเยาะเย้ยพระองค์อยู่เสมอ
23ขออย่าทรงลืมเสียงคู่อริของพระองค์
 เสียงอึงคะนึงของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้พระองค์ ซึ่งขึ้นไปอยู่เสมอ

อรรถาธิบาย

ร้อนรนเพื่อพระเจ้า

‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นสู้คดีของพระองค์’ ผู้เขียนสดุดีเขียนไว้ (ข้อ 22) เขาร้อนรนเรื่องคดีของพระเจ้า และได้เห็น อย่างที่พวกเราได้เห็นในปัจจุบัน ผู้คนเยาะเย้ย (ข้อ 18ก) และแม้กระทั้งกล่าวหยาบช้าต่อพระเจ้า (ข้อ 18ข) เขาร้องเรียกพระเจ้า ‘โปรดทรงอย่าลืมเรา โปรดทรงรำลึกถึงพระสัญญาของพระองค์’ (ข้อ 19ข–20ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะท้อใจเมื่อเราเห็นคนโจมตีเป้าหมายของพระเจ้า วิธีตอบสนองที่ดีที่สุดคือการอธิษฐานอย่างร้อนรน จงนำเอาความผิดหวังขุ่นใจไปยังพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นสู้คดีของพระองค์ ขอทรงระลึกว่าคนโง่เขลาเยาะเย้ยพระองค์อยู่เสมอ ขออย่าทรงลืมเสียงคู่อริของพระองค์ เสียงอึงคะนึงของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้พระองค์ ซึ่งขึ้นไปอยู่เสมอ” (ข้อ 22–23)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า เมื่อเรามองไปรอบ ๆ ในสังคมของเราในปัจจุบัน เราเห็นคนมากมายเยาะเย้ยและดูหมิ่นพระนามของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นสู้คดีของพระองค์ ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขออาณาจักรของพระองค์ทรงมาถึง
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 12:19ข-13:12

 19เมื่อเฮโรดทรงหาตัวเปโตรไม่พบ จึงทรงไต่สวนพวกทหารยาม และมีรับสั่งให้ประหาร แล้วท่านก็ออกจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียา

มรณกรรมของเฮโรด

 20เฮโรดนั้นกริ้วชาวเมืองไทระและเมืองไซดอน ชาวเมืองจึงพากันมาหาท่าน หลังจากเอาใจบลัสทัสกรมวังของกษัตริย์แล้ว ก็ขอกลับเป็นไมตรีกันอีก เพราะเมืองของพวกเขาต้องอาศัยอาหารจากแผ่นดินของกษัตริย์ 21เมื่อถึงวันนัดหมาย เฮโรดทรงเครื่องกษัตริย์คำราชาศัพท์หมายถึง การแต่งชุดกษัตริย์เสด็จประทับบนบัลลังก์ แล้วทรงกล่าวคำปราศรัยต่อพวกเขา 22คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นว่า “นี่เป็นเสียงของพระไม่ใช่เสียงมนุษย์” 23ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าทำให้ท่านเกิดโรคร้าย เพราะท่านไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แล้วท่านก็ถูกตัวหนอนกัดกินร่างกายจนสิ้นพระชนม์
 24แต่พระวจนะของพระเจ้าจำเริญขึ้นและแพร่ขยายออกไป
 25ส่วนบารนาบัสกับเซาโลนั้น หลังจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้ว ก็กลับจากกรุงเยรูซาเล็ม พายอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย

กิจการ 13

บารนาบัสและเซาโลถูกส่งไปประกาศ

 1เวลานั้นคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอันทิโอกมีบางคนที่เป็นผู้เผยพระวจนะและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ ลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอนผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล 2ระหว่างที่เขาทั้งหลายกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหารอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาทำนั้น” 3หลังจากถืออดอาหารและอธิษฐานแล้ว เขาทั้งหลายวางมือบนตัวบารนาบัสกับเซาโล แล้วส่งท่านทั้งสองไป

อัครทูตประกาศข่าวประเสริฐที่เกาะไซปรัส

 4เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งสองจึงลงไปที่เมืองเซลูเคีย และโดยสารเรือจากที่นั่นไปยังเกาะไซปรัส 5เมื่อมาถึงเมืองซาลามิส พวกท่านประกาศพระวจนะของพระเจ้าในธรรมศาลาของพวกยิว ยอห์นก็อยู่ช่วยด้วย 6เมื่อเดินไปทั่วเกาะจนมาถึงเมืองปาโฟสแล้ว ก็พบชาวยิวคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเล่นคาถาอาคมและเป็นผู้ทำนายเท็จชื่อ บารเยซู 7อยู่กับผู้สำเร็จราชการชื่อเสอร์จีอัส เปาลุสภาษากรีกเป็นคำเดียวกับเปาโลซึ่งเป็นคนฉลาดรอบรู้ ท่านเชิญบารนาบัสกับเซาโลมาเพื่อจะฟังพระวจนะของพระเจ้า 8แต่เอลีมาสนักเล่นคาถาอาคม (เพราะชื่อของเขามีความหมายอย่างนั้น) ต่อต้านบารนาบัสกับเซาโล พยายามจะไม่ให้ผู้สำเร็จราชการเชื่อ 9แต่เซาโลที่มีอีกชื่อว่าเปาโลเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จ้องดูเอลีมาส 10แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนเต็มด้วยอุบายและสิ่งเลวร้ายทุกอย่าง เป็นลูกของมารร้าย เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดความพยายามทำทางตรงของพระเจ้าให้เขวไปหรือ? 11บัดนี้จงฟัง พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษเจ้า เจ้าจะเป็นคนตาบอดไม่เห็นดวงอาทิตย์ไปชั่วระยะหนึ่ง” ทันใดนั้นความมืดมัวก็เกิดกับเอลีมาส เอลีมาสจึงคลำหาคนให้จูงมือไป 12เมื่อผู้สำเร็จราชการเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เชื่อ เพราะอัศจรรย์ใจในคำสอนเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า

อรรถาธิบาย

แสวงหาเป้าหมายของพระเจ้า

ในท้ายที่สุด ไม่มีอะไรสามารถหยุดเป้าหมายของพระเจ้าได้

เฮโรดมีทั้งความสำเร็จ ความนิยม อำนาจ และความมั่งคั่งอย่างยิ่ง ผู้คนยกยอท่านและร้องขึ้นว่า ‘นี่เป็นเสียงของพระไม่ใช่เสียงมนุษย์’ (12:22) อย่างไรก็ตาม 'ที่เป็นฟางเส้นสุดท้าย พระเจ้าทรงพอแล้วกับความหยิ่งผยองของเฮโรด และส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจัดการท่าน เฮโรดไม่ได้ถวายเกียรติใด ๆ แด่พระเจ้า ท่านล้มลง เน่าเปื่อยไปจนถึงข้างใน เป็นชายชราที่ถูกตัวหนอนกัดกินจนสิ้นพระชนม์’ (ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ชีวิตของเฮโรดตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่มีวันสูญสิ้น ‘แต่พระวจนะของพระเจ้าจำเริญขึ้นและแพร่ขยายออกไป’ (ข้อ 24) ซึ่งขยายไปอย่าง ‘ก้าวกระโดด’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เราเห็นสถานการณ์เดียวกับเมื่อเป้าหมายของพระเจ้ารุ่งเรืองแม้ว่าจะถูกต่อต้านอีกครั้ง แต่เซาโล (‘ที่มีอีกชื่อว่าเปาโล’ 13:9) และบารนาบัส ก็เผชิญหน้ากับนักเล่นคาถาอาคมที่บารเยซู ผู้ ‘คดในข้องอในกระดูก’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาพยายามหยุดผู้สำเร็จราชการที่จะกลับใจมาหาพระคริสต์

อาจารย์เปาโล ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จ้องนัยน์ตาของเอลีมาส’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เผชิญหน้ากับเขาด้วยการพูดว่าเขาเต็มไปด้วย ‘อุบายที่จะทำให้คนหลงไปจากพระเจ้า’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) บารเยซูนั้นก็ตามืดมัวไป และผู้สำเร็จราชการ ‘ก็กลายเป็นผู้เชื่อ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นต่อคำสอนเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความพยายามของบารเยซูที่จะขัดขวางพระเจ้าบรรลุผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาหวังไว้

คริสตจักรยุคแรกมุ่งมั่นที่จะแสวงหาว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรและร่วมกับพระองค์ พวกเขารวมตัวนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหาร (ข้อ 2) ระหว่างที่เขาทั้งหลายทำเช่นนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งว่า ‘“จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาทำนั้น” หลังจากถืออดอาหารและอธิษฐานแล้ว เขาทั้งหลายวางมือบนตัวบารนาบัสกับเซาโล แล้วส่งท่านทั้งสองไป’ (ข้อ 2–3)

บารนาบัสและเปาโล ‘ไปตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้’ (ข้อ 4) พวกเขากำลังติดตามเป้าหมายของพระเจ้า พวกเขา ‘ประกาศพระวจนะของพระเจ้า’ (ข้อ 5) พวกเขา ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 9) แม้ว่าผู้สำเร็จราชการซึ่งเป็นคนฉลาดรอบรู้ (ข้อ 7) ก็ยังอัศจรรย์ใจในคำสอน ‘เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ของอาจารย์เปาโล (ข้อ 12)

นี่เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องแสวงหาการทรงนำและความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในพันธกิจของคุณและในชีวิตของคุณ เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ข้างคุณ คุณสามารถบรรลุผลได้มากกว่าตามกำลังของตัวเองอย่างที่คุณเคยคิดฝันไว้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดตรัสกับข้าพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รู้ว่าพระองค์ทรงเรียกให้ข้าพระองค์ทำอะไร ข้าพระองค์อยากประกาศพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเสาะหาเป้าหมายของพระองค์ด้วยความร้อนรน
พันธสัญญาเดิม

1 พงศ์กษัตริย์ 3:16-5:18

การวินิจฉัยอันชาญฉลาดของซาโลมอน

 16แล้วหญิงโสเภณีสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 17หญิงคนหนึ่งทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในบ้าน 18เมื่อข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครอยู่กับพวกข้าพระบาทในบ้านนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น 19แล้วบุตรของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับ 20พอเที่ยงคืนนางลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปจากข้างกายข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทนอนหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของนาง และนางเอาบุตรของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท 21เมื่อข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม นี่แน่ะ เขาตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูสิ เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดออกมา” 22แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นลูกของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นของข้า” เขาทั้งสองพูดเถียงกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา
 23แล้วพระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นลูกของข้า ส่วนลูกของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ ลูกของเจ้าตายเสียแล้ว และลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่’ ” 24และพระราชาตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงเอาดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา 25และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง” 26แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของนางสงสารบุตรของนาง นางจึงกราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เธอไป อย่าฆ่าเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ” 27แล้วพระราชาตรัสตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น” 28เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม

1 พงศ์กษัตริย์ 4

เจ้าหน้าที่บริหารของซาโลมอน

 1พระราชาซาโลมอนเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น 2ต่อไปนี้เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของพระองค์ คือ อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต 3เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชิชาเป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 4เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต 5อาซาริยาห์บุตรนาธันเป็นหัวหน้าข้าหลวง ศาบุดบุตรนาธันเป็นปุโรหิต และเป็นพระสหายของพระราชาแปลได้อีกว่า ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของพระราชา 6อาหิชาร์เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรอับดาเป็นผู้ดูแลคนงานโยธา
 7ซาโลมอนทรงมีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับพระราชาและสำหรับพระราชสำนัก ข้าหลวงคนหนึ่งจัดหาเสบียงอาหารสำหรับเดือนหนึ่งในหนึ่งปี 8ต่อไปนี้เป็นชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ ประจำที่แดนเทือกเขาเอฟราอิม 9เบนเดเคอร์ ประจำที่มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน 10เบนเฮเสด ประจำที่อารุบโบท (โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ขึ้นอยู่กับเขา) 11เบนอาบีนาดับ ประจำที่นาฟาทโดร์ทั้งหมด (เขาได้ทาฟัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นภรรยา) 12บาอานาบุตรอาหิลูดประจำที่ทาอานาค เมกิดโด และเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้างศาเรธานที่อยู่ใต้ลงไปจากเมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์ไปจนถึงอีกด้านหนึ่งของเมืองโยกเมอัม 13เบนเกเบอร์ ประจำที่ราโมทกิเลอาด (เขามีหมู่บ้านต่างๆ ของยาอีร์บุตรมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดและเขามีท้องถิ่นอารโกบ ซึ่งอยู่ในบาชาน คือเมืองใหญ่หกสิบเมืองซึ่งมีกำแพงเมือง และสลักกลอนทองสัมฤทธิ์) 14อาหินาดับบุตรอิดโด ประจำที่มาหะนาอิม 15อาหิมาอัส ประจำที่นัฟทาลี (ท่านก็ได้บาเสมัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นภรรยาเช่นกัน) 16บาอานาบุตรหุซัย ประจำที่อาเชอร์และเบอาโลท 17เยโฮชาฟัทบุตรปารูอาห์ ประจำที่อิสสาคาร์ 18ชิเมอีบุตรเอลา ประจำที่เบนยามิน 19เกเบอร์บุตรอุรี ประจำที่แผ่นดินกิเลอาด แผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน มีข้าหลวงคนเดียวที่ประจำที่แผ่นดินนั้น

ความรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของซาโลมอน

 20คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวนมากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินดื่มและมีจิตใจเบิกบาน 21และซาโลมอนทรงปกครองเหนือทุกอาณาจักร ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายถวายบรรณาการ และปรนนิบัติซาโลมอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์
 22เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น คือแป้งอย่างดี 3 ตันและแป้ง 6 ตัน 23วัวอ้วน 10 ตัว วัวจากทุ่งหญ้า 20 ตัว แกะ 100 ตัว นอกจากนี้มีกวางตัวผู้ เนื้อสมัน อีเก้ง และไก่อ้วน 24เพราะพระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่นทั้งสิ้นฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงเมืองกาซา และทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำนั้น และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่รอบด้านของพระองค์ 25ยูดาห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดวันเวลาของซาโลมอน 26ซาโลมอนมีคอกม้า 40,000 คอกสำหรับรถรบของพระองค์ และมีทหารม้า 12,000 คน 27และข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารแด่พระราชาซาโลมอน และทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของพระราชาซาโลมอน พวกข้าหลวงต่างก็ถวายสิ่งของตามเดือนของตน โดยไม่ให้สิ่งใดบกพร่องเลย 28ทั้งข้าวบาร์เลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าพันธุ์ดี เขานำมายังสถานที่ของมัน ตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน

พระสติปัญญาของซาโลมอนเลื่องลือ

 29และพระเจ้าประทานสติปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนมากยิ่งนัก อีกทั้งความรอบรู้ก็กว้างขวางดุจทรายริมทะเล 30และสติปัญญาของซาโลมอนเหนือกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและของอียิปต์ 31เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญายิ่งกว่าทุกคน ยิ่งกว่าเอธานตระกูลเอศราค และเฮมาน คาลโคล์ และดารดา บุตรทั้งหลายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วชนทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ 32พระองค์ตรัสสุภาษิต 3,000 ข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มี 1,005 บท 33พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ต่างๆ ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลาน และปลา 34คนจากชนชาติทั้งหลายก็มาเพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน พวกเขามาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์

1 พงศ์กษัตริย์ 5

การตระเตรียมวัสดุเพื่อสร้างพระวิหาร

 1ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระ ได้ส่งข้าราชการของท่านมาเฝ้าซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่า เขาได้เจิมตั้งพระองค์ไว้แทนพระราชบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามเป็นสหายของดาวิดอยู่เสมอ 2และซาโลมอนได้ส่งพระดำรัสไปยังฮีรามว่า 3“ท่านคงทราบอยู่แล้วว่า ดาวิดพระราชบิดาของเราไม่ทรงสามารถสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ เพราะสงครามล้อมรอบพระองค์อยู่ จนกว่าพระยาห์เวห์จะทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์ 4แต่บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าได้หยุดพักรอบด้าน ปฏิปักษ์หรือเหตุร้ายก็ไม่มี 5ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘บุตรชายของเจ้า ผู้ที่เราจะตั้งไว้บนบัลลังก์แทนเจ้า จะสร้างพระนิเวศสำหรับนามของเรา’ 6ฉะนั้น บัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์จากเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีใครรู้จักตัดไม้เหมือนชาวไซดอน”
 7ต่อมาเมื่อฮีรามได้ยินพระดำรัสของซาโลมอน ท่านก็ชื่นชมยินดียิ่งนักและว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ในวันนี้ ผู้ประทานบุตรชายที่มีปัญญาคนหนึ่งแก่ดาวิด ให้อยู่เหนือชนชาติใหญ่นี้” 8และฮีรามก็ใช้คนไปยังซาโลมอน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทราบข่าวที่ท่านส่งไปยังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมจะทำตามที่ท่านปรารถนาในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ 9ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำไม้ลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่วังของข้าพเจ้า นี่ก็สมประสงค์ข้าพเจ้าแล้ว” 10ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอน ตามพระประสงค์ทุกประการ 11แล้วซาโลมอนได้ประทานข้าวสาลีให้เป็นอาหารแก่วังของฮีราม 2,000 ตัน และน้ำมันบริสุทธิ์ 4,000 ลิตรสำเนาโบราณบางฉบับว่า 400,000 ลิตร ซาโลมอนประทานอย่างนี้แก่ฮีรามทุกปี 12และพระยาห์เวห์ประทานสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่ทรงสัญญาไว้ และมีสันติภาพระหว่างฮีรามกับซาโลมอน และทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน
 13พระราชาซาโลมอนทรงเกณฑ์คนงานโยธาจากอิสราเอลทั้งหมด คนที่ถูกเกณฑ์มีจำนวน 30,000 คน 14และพระองค์ทรงใช้เขาทั้งหลายไปยังเลบานอน โดยผลัดเปลี่ยนเวรกัน ผลัดละ 10,000 คนต่อเดือน พวกเขาจะอยู่ที่เลบานอนเดือนหนึ่งและอยู่บ้านสองเดือน และอาโดนีรัมเป็นผู้ดูแลคนงานโยธา 15ซาโลมอนมีคนขนของหนัก 70,000 คน และคนสกัดหินในถิ่นเทือกเขา 80,000 คน 16นอกจากนี้ยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ของซาโลมอนอีก 3,300 คน เป็นผู้ดูแลการงาน และเป็นหัวหน้าดูแลประชาชนผู้ปฏิบัติงาน 17พระราชาทรงบัญชา และเขาทั้งหลายได้สกัดก้อนหินใหญ่ล้ำค่าออกมา เพื่อวางรากฐานของพระนิเวศด้วยหินที่แต่งแล้ว 18ดังนั้นคนงานก่อสร้างของซาโลมอน คนงานก่อสร้างของฮีราม และชาวเกบาลก็ตระเตรียมไม้และหินเพื่อสร้างพระนิเวศ

อรรถาธิบาย

พระประสงค์ในเป้าหมายของพระเจ้า

ซาโลมอนได้รับการทรงเรียกเพื่อเป้าหมายของพระเจ้าในแบบพิเศษ

ดาวิดรับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในยุคของเขา (กิจการ 13:36) อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างพระวิหาร พระเจ้าประทานการทรงเรียกแก่ซาโลมอน ‘บุตรชายของเจ้า ผู้ที่เราจะตั้งไว้บนบัลลังก์แทนเจ้า จะสร้างพระนิเวศสำหรับนามของเรา’ (1 พงศ์กษัตริย์ 5:5)

ซาโลมอนต้องการสติปัญญาอย่างยิ่งเพื่อทำให้การทรงเรียกของท่านสำเร็จ ท่านอธิษฐานทูลขอสติปัญญา พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของท่านเกินกว่าที่ท่านทูลขอหรือจินตนาการไว้ พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานสติปัญญาแบบเดียวกันให้แก่คุณ หากคุณทูลขอ (‘แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ’, ยากอบ 1:5) จงทูลขอสติปัญญาในด้านเหล่านี้:

  1. สติปัญญาในการตัดสินใจ
    พระเจ้าประทานสติปัญญาให้แก่ซาโลมอนเพื่อบริหาร ‘ความยุติธรรม’ (1 พงศ์กษัตริย์ 3:28) เมื่อได้รับมอบหมายงานที่เป็นไปไม่ได้ในการตัดสินว่าทารกเป็นของมารดาคนไหน เขากลับมีความคิดที่แยบยล

คำขู่เอาชีวิตของทารกที่รอดตายก็เพียงพอแล้วที่จะเปิดเผยว่า ใครเป็นมารดาตัวจริง: 'เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม’ (ข้อ 28)

  1. สติปัญญาในการเลือกทีมงาน ซาโลมอนรวบรวมทีมผู้นำรอบตัวเพื่อเป็นฝ่ายปกครองของตน ซึ่งรวมเอาบรรดาปุโรหิต ผู้จัดการ สหาย เลขานุการ นักประวัติศาสตร์ และผู้บัญชาการสำหรับกองทัพทั้งหมดมีกันสิบเอ็ดคน รวมเป็นทีมสิบสองคน เป็นจำนวนเดียวกับทีมหลักของพระเยซู (สาวกสิบสองคน) ดูเหมือนจะเป็นจำนวนที่เหมาะสมสำหรับทีมผู้นำ

  2. สติปัญญาในการมอบหมายงาน นอกเหนือไปจากนี้ซาโลมอนมีอีกทีมหนึ่งที่เป็นข้าหลวงสิบสองคนกระจายอยู่ทั่วอิสราเอล ซึ่งรวมเอาบุตรเขยสองคนของตนไว้ด้วย (4:11,15) การมอบหมายงานเป็นกุญแจสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการหมดไฟ และเป็นการดำเนินบทบาทความเป็นผู้นำ

  3. สติปัญญาในการสร้างสันติ
    ภายใต้นการนำของเขา มีการเติบโตอย่างมากจนผู้คน ‘มีจำนวนมากมายหนาแน่น’ (ข้อ 20ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่างไรก็ตาม ‘ทุกความต้องการของพวกเขาได้รับการตอบสนอง พวกเขากินและดื่มและมีความสุข’ (ข้อ 20ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพวกเขา ‘มีสันติภาพอยู่รอบด้านของพระองค์ (พวกเขา)ก็อยู่อย่างปลอดภัย’ (ข้อ 24–25)

  4. สติปัญญาในการรู้แจ้งและวินิจฉัย ‘และพระเจ้าประทานสติปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนมากยิ่งนัก อีกทั้งความรอบรู้ก็กว้างขวางดุจทรายริมทะเล (ข้อ 29)… พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป (ข้อ 31)…พระองค์ตรัสสุภาษิต 3,000 ข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มี 1,005 บท (ข้อ 32)’ สดุดี 72 และ 127 สุภาษิต 10:1–22:16, 25:1–29:27 เป็นผลงานของซาโลมอน คนจากชนชาติทั้งหลายก็มาเพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน (1 พงศ์กษัตริย์ 4:34)

ซาโลมอนมีสติปัญญาที่จะรู้ว่าเมื่อใดควรรับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า (บทที่ 5) ‘และพระยาห์เวห์ประทานสติปัญญาแก่ซาโลมอนดังที่ทรงสัญญาไว้’ (5:12)

  1. สติปัญญาในการแสวงหาเป้าหมายของพระเจ้า ซาโลมอนมีนิมิตที่จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์ (ข้อ 4–5) หนึ่งในวิธีที่คุณจะแสวงหาเป้าหมายของพระเจ้าในปัจจุบัน คือ การแสวงหาที่จะเห็นคริสตจักร (พระวิหารใหม่) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระนามของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์เพื่อทำให้การทรงเรียกของข้าพระองค์สำเร็จ ช่วยข้าพระองค์ให้ถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ และทำให้เป้าหมายของพระเยซูบนโลกก้าวหน้าไป

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 พงศ์กษัตริย์ 4:24–25

‘เพราะพระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่นทั้งสิ้นฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงเมืองกาซา และทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำนั้น และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่รอบด้านของพระองค์ ยูดาห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดวันเวลาของซาโลมอน’

นี่คงเป็นหนึ่งในน้อยครั้งในประวัติศาสตร์อิสราเอลและยูดาห์ เมื่อมีสันติภาพและความปลอดภัยทั้งประเทศ การปกครองที่ฉลาดสามารถเปลี่ยนประเทศได้จริง ๆ สันติภาพและความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในหลายประเทศทั่วโลก เราจำเป็นต้องอธิษฐานต่อไปค่ะเพื่อให้มีผู้นำที่ฉลาด

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 74:18–20 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘ข้าแต่พระเจ้า… โปรดทรงอย่าลืมข้าพระองค์ โปรดทรงรำลึกถึงพระสัญญาของพระองค์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม