วัน 170

วิธีค้นพบขุมทรัพย์ในพระคัมภีร์

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 75:1-10
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 13:13-41
พันธสัญญาเดิม 1 พงศ์กษัตริย์ 6:1-7:22

เกริ่นนำ

ผมพบกับพระเยซูครั้งแรกผ่านทางการอ่านพระคัมภีร์ ตั้งแต่นั้นมา ผมได้อ่านแทบทุกวันในชีวิต กระนั้นผมยังคงได้เห็นและค้นพบสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

ดังที่อิมมานูเอล คานท์ กล่าวไว้ ‘พระคัมภีร์นั้นเป็นน้ำพุแห่งความจริงที่ไม่มีวันเหือดแห้ง การดำรงอยู่ของพระคัมภีร์เป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติเคยประสบมา’ นี่เป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดไปสำหรับคุณ เพื่อให้อ่านและแยกแยะ และผ่านสิ่งนี้คุณสามารถพบกับพระเจ้าได้

กระนั้น นี่ไม่ใช่หนังสือที่จะอ่านเข้าใจง่าย องค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งเพื่อให้เข้าใจพระคัมภีร์ได้ดีขึ้น คือ การระลึกถึงภาษาและประเภทที่ผู้เขียนใช้ ประเภทของวรรณกรรม และสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจไว้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 75:1-10

คำขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระราชกิจอันอัศจรรย์

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองอย่าทำลาย เพลงสดุดีของอาสาฟ บทเพลง

1ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอขอบพระคุณพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้ง
หลายขอขอบพระคุณ
 พระนามของพระองค์อยู่ใกล้ พวกเขาเล่าถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์
2พระเจ้าตรัสว่า “ถึงเวลาซึ่งเราได้กำหนดไว้
 เราจะพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม
3เมื่อแผ่นดินโลกโคลงเคลง พร้อมทั้งชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้นนั้น
 ผู้ที่รักษาบรรดาเสาหานหมายถึง เสาคู่ที่ตั้งอยู่หน้าสุดของอาคารของมันให้มั่นอยู่ คือเราเอง
4“เราพูดกับคนโอ้อวดว่า ‘อย่าโอ้อวด’
 และกับคนอธรรมว่า ‘อย่ายกเขาของเจ้าขึ้น
5อย่ายกเขาของเจ้าขึ้นให้สูง
 หรือพูดจาอย่างยโส’ ”
6เพราะการยกขึ้นสูงนั้นมิได้มาจากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก
 และมิใช่มาจากถิ่นทุรกันดาร
7แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงพิพากษา
 ทรงให้คนหนึ่งลง และทรงยกอีกคนหนึ่งขึ้น
8เพราะในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีจอกใบหนึ่ง
 มีเหล้าองุ่นเป็นฟอง ผสมไว้ดี
พระองค์ทรงเทจากจอกนั้น
 และคนอธรรมทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก
 จะดื่มหมดทั้งตะกอนแน่ทีเดียว
9แต่ข้าพเจ้าจะป่าวร้องเป็นนิตย์
 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีพระเจ้าของยาโคบ
10พระเจ้าตรัสว่า “เราจะตัดเขาทุกเขาของคนอธรรมออก
 แต่บรรดาเขาของผู้ชอบธรรมจะถูกยกขึ้น”

อรรถาธิบาย

คำอุปมาอันทรงพลัง

บางสิ่งอาจเป็น ‘จริง’ โดยไม่ได้ ‘ตรงตามตัวอักษร’ ในสดุดีบทนี้ เราเห็นตัวอย่างของความจริงที่แสดงอยู่ในรูปแบบคำอุปมา

ความยุติธรรมของพระเจ้าเป็นรากฐานของสรรพสิ่งทั้งปวงของเรา ในสดุดีวันนี้ เราพบอย่างน้อยสี่คำอุปมาเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า

  1. ความชั่วร้ายและผลกระทบของมัน
    ผู้เขียนสดุดีทราบดีเหมือนกับพวกเราว่า โลกไม่ได้ตั้งอยู่บน เสาหาน เขาจงใจใช้ภาษาแบบอุปมาซึ่งจำเป็นต้องอ่านแบบนั้น นี่เป็นภาษาแห่งบทกวีและนี่เป็นความจริงทุกอณูเช่นเดียวกับ ‘ความจริงตามตัวอักษร’

ความ​โคลง​เคลงของแผ่นดินโลก (ข้อ 3ก) และชาวแผ่นดินโลกก็เป็นคำอุปมาสำหรับผลของความชั่วร้าย การผิดศีลธรรมทำลายความมั่นคงของโลกและสังคม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักษาสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างด้วยพระคุณ ‘ผู้ที่รักษาบรรดาเสาหานของมัน ให้มั่นอยู่คือเราเอง’ (ข้อ 3ข)

  1. อำนาจและปัญหาของอำนาจ
    เขา’ (ข้อ 4) เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ อีกครั้งที่ถ้อยคำถูกใช้แบบเปรียบเปรย นี่เป็นภาษาแบบบทกวี พระเจ้าทรงยกเขา(สัตว์)ขึ้น (นั่นก็คือ อำนาจ) แห่งความชอบธรรม และตัดเขา(อำนาจ) ทุกเขาของคนอธรรมออก (ข้อ 10) อำนาจนั้นทำให้ไขว้เขวได้อย่างง่ายดาย และนำไปสู่ความหยิ่งผยอง พระเจ้าตรัสกับผู้ที่หยิ่งยโสว่า ‘อย่าโอ้อวด’ (ข้อ 4)

  2. พันธกิจและอำนาจของมันพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์’ (ข้อ 8) นั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของฤทธิ์เดชและอำนาจของทุกคน นี่คือภาษามานุษยวิทยา คำที่ใช้เรียกลักษณะหรือคุณลักษณะของมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์

เมื่อเรา ‘วางมือลงไป' ในพันธกิจ มือของพวกเราสามารถทำได้เพียงเล็กน้อย แต่มือของเราเป็นสัญลักษณ์ของฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทำกิจผ่านเรา

  1. การพิพากษาและพระเยซู การเปรียบการพิพากษาของพระเจ้า เป็น ‘จอกใบหนึ่ง’ เป็นคำอุปมาอีกอันหนึ่ง ‘เพราะในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มีจอกใบหนึ่ง มีเหล้าองุ่นเป็นฟอง ผสมไว้ดี พระองค์ทรงเทจากจอกนั้น และคนอธรรมทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก จะดื่มหมดทั้งตะกอน!’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

บนกางเขน พระเยซูทรงแบกรับเอาถ้วยแห่งการพิพากษาของพระเจ้าไว้ในพระกายของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสถึงเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า (มาระโก 10:38 ลูกา 22:42 ยอห์น 18:11) และรับเอาการพิพากษาซึ่งเราสมควรได้รับไว้บนพระองค์เอง

คำอธิษฐาน

‘ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอขอบพระคุณพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอขอบพระคุณ พระนามของพระองค์อยู่ใกล้’ (สดุดี 75:1) ขอบพระคุณที่วันหนึ่งเราจะได้กำจัดความชั่วร้ายออกไปจากโลก และความดีงามและชอบธรรมทั้งหมดนั้นจะมีชัยตลอดไป
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 13:13-41

เปาโลและบารนาบัสที่เมืองอันทิโอกในปิสิเดีย

 13แล้วเปาโลกับพวกของท่านแล่นเรือออกจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย และยอห์นผละจากพวกเขาและกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14แต่พวกเขาเดินทางต่อไปจากเมืองเปอร์กาถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย แล้วเข้าไปนั่งในธรรมศาลาในวันสะบาโต 15เมื่ออ่านธรรมบัญญัติกับคำของพวกผู้เผยพระวจนะแล้ว บรรดานายธรรมศาลาจึงส่งคนไปบอกบารนาบัสกับเปาโลว่า “พี่น้องเอ๋ย ถ้าพวกท่านมีคำหนุนใจที่จะให้กับคนทั้งปวง ก็เชิญกล่าวเถิด” 16เปาโลจึงยืนขึ้นโบกมือแล้วกล่าวว่า
 “ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล และท่านทั้งหลายผู้เกรงกลัวพระเจ้า จงฟังเถิด 17พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลนี้ทรงเลือกบรรดาบรรพบุรุษของเราไว้ และให้เขาทั้งหลายเจริญขึ้นครั้งเมื่อยังเป็นคนต่างด้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ และทรงนำพวกเขาออกจากประเทศนั้นด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 18พระองค์ทรงอดทนต่อความประพฤติของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารประมาณสี่สิบปี 19เมื่อพระองค์ทรงทำลายชนเจ็ดชาติออกจากแผ่นดินคานาอันแล้ว ก็ทรงแบ่งแผ่นดินของชนชาติเหล่านั้นประทานแก่บรรพบุรุษของเราเป็นมรดก 20รวมเวลาทั้งหมดประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี ภายหลังพระองค์ประทานผู้วินิจฉัยทั้งหลาย แก่พวกเขาจนถึงสมัยของซามูเอลผู้เผยพระวจนะ 21เวลานั้นพวกเขาขอให้มีกษัตริย์ พระเจ้าจึงทรงให้ซาอูลบุตรคีชจากเผ่าเบนยามิน เป็นกษัตริย์อยู่สี่สิบปี 22เมื่อทรงถอดซาอูลแล้ว พระองค์ทรงตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา และทรงเป็นพยานกล่าวถึงดาวิดดังนี้ ‘เราพบว่าดาวิดบุตรของเจสซีเป็นคนที่ใจเราชื่นชอบ เป็นคนที่จะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ’ 23และจากเชื้อสายของดาวิดนี้ พระเจ้าประทานผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูผู้ทรงบังเกิดมาเพื่อชนชาติอิสราเอลตามพระสัญญาของพระองค์ 24ก่อนพระเยซูเสด็จมา ยอห์นก็ได้ประกาศถึงบัพติศมาที่แสดงถึงการกลับใจใหม่ ต่อประชาชนอิสราเอลทั้งหมดแล้ว 25และเมื่อยอห์นทำงานใกล้จะเสร็จ ท่านกล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายคิดว่าข้าพเจ้าเป็นใคร? ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้นั้น แต่นี่แน่ะ จะมีผู้หนึ่งมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์’
 26“พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม และคนทั้งหลายในพวกท่านซึ่งเป็นพวกที่เกรงกลัวพระเจ้า ข่าวเรื่องความรอดนี้ถูกส่งมาถึงเรา 27เพราะว่าชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกผู้ปกครองบ้านเมืองไม่รู้จักพระองค์ หรือเข้าใจคำของพวกผู้เผยพระวจนะที่อ่านกันทุกวันสะบาโต เขาทั้งหลายทำให้คำเหล่านั้นสำเร็จโดยการพิพากษาพระองค์ 28ถึงแม้ว่าไม่ได้พบความผิดใดที่มีโทษถึงตาย พวกเขายังขอให้ปีลาตประหารพระองค์เสีย 29เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์แล้ว จึงเอาพระศพลงมาจากต้นไม้หมายถึง กางเขนและวางไว้ในอุโมงค์ 30แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย 31พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อยู่หลายวันกับคนจากแคว้นกาลิลีที่มากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนี้คนเหล่านั้นคือสักขีพยานของพระองค์ต่อคนทั้งหลาย 32เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งกับท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาที่ประทานแก่บรรดาบรรพบุรุษของเรานั้น 33พระเจ้าทรงให้สำเร็จตามนั้นเพื่อเรา ผู้เป็นลูกหลานของเขาทั้งหลาย โดยการที่พระองค์ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมา ดังมีคำเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีบทที่สองว่า

‘เจ้าเองเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า’

 34ส่วนข้อที่ว่า พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ไม่ให้เน่าเปื่อยอีกนั้น พระองค์ตรัสดังนี้ว่า

‘เราจะให้พรอันบริสุทธิ์และมั่นคงที่เราสัญญาไว้กับดาวิดแก่พวกท่าน’

35เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสไว้ที่อื่นอีกว่า

 ‘พระองค์จะไม่ให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์ ประสบความเปื่อยเน่า’

 36เพราะว่าแม้แต่ดาวิดหลังจากที่ปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้าในชั่วอายุของท่านแล้ว ท่านล่วงหลับไป และถูกฝังไว้กับบรรดาบรรพบุรุษของท่านแล้วก็เปื่อยเน่าไป 37ส่วนพระองค์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นมานั้นไม่ได้ประสบความเปื่อยเน่าเลย 38เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์ จึงมีการประกาศการยกโทษบาปแก่ท่านทั้งหลาย 39และโดยพระองค์นี้เอง ทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษบาปได้ทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้โดยธรรมบัญญัติของโมเสส 40เพราะฉะนั้นจงระวังให้ดี เพื่อคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้นจะไม่เกิดกับท่านทั้งหลาย คือ

41 ‘นี่แน่ะ เจ้าพวกหมิ่นประมาท
 จงอัศจรรย์ใจและพินาศ
เพราะเราจะทำการในสมัยของพวกเจ้า
 ซึ่งเจ้าจะไม่เชื่อ แม้จะมีคนมาบอกพวกเจ้าแล้ว ’ ”

อรรถาธิบาย

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

คุณสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณได้รับการอภัย? คุณสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าความตายไม่ใช่จุดจบ? คุณสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณจะได้มีชีวิตนิรันดร์?

คุณสามารถแน่ใจได้ในเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะว่า ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แห่งชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

ลูกากำลังเขียนประวัติศาสตร์ ในตอนเริ่มต้นของหนังสือสองเล่มของท่าน (ลูกา และ กิจการอัครทูต) ลูกากล่าวว่า หลักฐานของเรื่องราวจาก ‘พยานผู้เห็นเหตุการณ์’ ได้ส่งต่อให้พวกเขา ท่านได้สืบเสาะเรื่องราวเหล่านี้อย่างละเอียด และเรียบเรียงเรื่องตามลำดับ ‘เพื่อให้ท่านรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้นที่เคยมีผู้แจ้งให้ท่านทราบ’ (ลูกา 1:3–4)

พระธรรมในวันนี้อธิบายประวัติศาสตร์การเดินทางของอาจารย์เปาโล และรายงานคำพูดของเขา ทำนองเดียวกัน ในแถลงการณ์ของเขา อาจารย์เปาโลพูดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เขาเล่าซ้ำถึงประวัติศาสตร์ประชากรของพระเจ้า ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จากพระธรรมอพยพ หลายปีในถิ่นทุรกันดาร การพิชิตแผ่นดินคานาอัน ยุคผู้วินิจฉัย และบรรดากษัตริย์ ทั้งหมดนำไปสู่ดาวิด ซึ่งเชื้อสายของท่านไล่เรียงไปถึงพระเยซูในประวัติศาสตร์

จากนั้นอาจารย์เปาโลเน้นไปที่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เรื่องการสิ้นพระชนม์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ท่านยืนยันสี่ประการเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตาย:

1. การกระทำของพระเจ้า
‘พวกเขาจึงเอาพระศพลงมาจากต้นไม้ และวางไว้ในอุโมงค์ แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย’ (กิจการ 13:29–30 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงทำให้สำเร็จในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ โดย ‘ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย’ (ข้อ 33) ซึ่งมีการทำนายไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (ข้อ 34) ‘พระองค์ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมา ตามที่อธิบายไว้ในพระธรรมสดุดีบทที่ 2’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

*2. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์*
‘ข้อที่ว่า พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย…’ (ข้อ 34) การเป็นขึ้นจากความตายไม่ใช่คำอุปมา ไม่ใช่บางสิ่งที่แค่เป็นประสบการณ์ที่มีอยู่ในใจของเราเท่านั้น อาจารย์เปาโลกล่าวว่า นี่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูเกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายฝ่ายกายจริงๆ

‘ไม่มีการโต้แย้งว่า พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง หลายสถานที่กับคนจากแคว้นกาลิลีที่มากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนี้คนเหล่านั้นคือสักขีพยานว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

3. เหตุการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์
การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ซ้ำใครในประวัติศาสตร์ อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบพระเยซูกับดาวิด ผู้ซึ่ง ‘ถูกฝังไว้ กลายเป็นฝุ่นและขี้เถ้าไปนานแล้ว’ (ข้อ 36ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คนอื่นอาจฟื้นขึ้นมามีชีวิต (และจากนั้นก็ตายไปในภายหลัง) แต่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และพระกายของพระองค์ก็ไม่เคยเปื่อยเน่า ‘เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงทำครั้งเดียวเป็นพอ ไม่มีการย้อนคืนไปสู่การเน่าเปื่อย' (ข้อ 34ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

4. ข่าวประเสริฐ
นี่เป็นข่าวประเสริฐ (ข้อ 32) ซึ่งอาจารย์เปาโลเทศนา การเป็นขึ้นจากความตายหมายถึง กางเขนนั้นได้ผล และการประกาศการยกโทษบาปนั้นเป็นไปได้ (ข้อ 38) ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อนั้นเป็นผู้ชอบธรรม (ข้อ 39) อดีตของคุณได้ถูกจัดการ และคุณสามารถดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าได้

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของการเป็นขึ้นจากตายนั้นมีความหมายมากสำหรับชีวิตของคุณ และอนาคตของคุณ หากพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และจากนั้นก็เป็นขึ้นจากตายโดยพระเจ้า นั้นหมายถึง วันหนึ่ง ผู้ที่เชื่อในพระองค์ และเสียชีวิต จะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยพระเจ้าสู่ชีวิตนิรันดร์ (ดู 1 โครินธ์ 15 และ 1 เธสะโลนิกา 4:13–18)

เมื่อคุณ ‘ปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้า’ ‘ในชั่วอายุ’ ของคุณ คุณเองก็จะ ‘ล่วงหลับไป’ (กิจการ 13:36) และจากนั้นพระเจ้าทรงทำให้เป็นขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์

คำอธิษฐาน

ขอบพระคุณพระองค์ สำหรับข่าวประเสริฐอันน่าทึ่งในการเป็นขึ้นจากความตาย ขอบคุณที่ความบาปของข้าพระองค์ได้รับการอภัย ที่ข้าพระองค์ได้รับความชอบธรรมและข้าพระองค์ไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป ขอทรงช่วยข้าพระองค์เหมือนกับดาวิดที่จะปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้าในชั่วอายุของข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

1 พงศ์กษัตริย์ 6:1-7:22

ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหาร

 1ต่อมาในปีที่สี่ร้อยแปดสิบ หลังจากที่ชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ในปีที่สี่ที่ซาโลมอนทรงครองอิสราเอล ในเดือนศิฟเดือนที่สองตามปฏิทินของคนอิสราเอล ประมาณกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นเดือนที่สอง พระองค์ทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 2พระนิเวศซึ่งพระราชาซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระยาห์เวห์นั้นยาว 27 เมตร กว้าง 9 เมตรและสูง 13.5 เมตร 3เฉลียงหน้าห้องโถงของพระนิเวศนั้นยาว 9 เมตร เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และลึกเข้าไปหน้าพระนิเวศ 4.5 เมตร 4และพระองค์ทรงสร้างหน้าต่างสำหรับพระนิเวศ โดยให้ข้างในกว้างและข้างนอกแคบ 5พระองค์ทรงสร้างห้องระเบียงติดผนังพระนิเวศโดยรอบห้องโถงและห้องชั้นในสุดหมายถึง ห้องอภิสุทธิสถาน 6โดยห้องชั้นล่างสุดกว้าง 2.2 เมตร ชั้นกลางกว้าง 2.7 เมตร และชั้นที่สามกว้าง 3.1 เมตร เพราะรอบด้านนอกของพระนิเวศ พระองค์ทรงสร้างขอบยื่นออกมาจากผนัง เพื่อคานหนุนจะไม่ได้ทะลวงเข้าไปในผนังพระนิเวศ
 7ขณะกำลังก่อสร้าง พระนิเวศนั้นก็สร้างด้วยศิลา ซึ่งเตรียมมาจากบ่อศิลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวาน หรือเครื่องมือเหล็กใดๆ ในพระนิเวศ ขณะทำการก่อสร้าง
 8ทางเข้าห้องชั้นกลางฉบับกรีกว่า ทางเข้าห้องชั้นล่างสุดอยู่ด้านขวาด้านใต้ของพระนิเวศ และคนขึ้นไปยังห้องชั้นกลางทางบันไดเวียน และขึ้นจากห้องชั้นกลางไปห้องชั้นที่สาม 9พระองค์ทรงสร้างพระนิเวศจนเสร็จ และทรงมุงพระนิเวศด้วยไม้คร่าวและกระดานไม้สนสีดาร์ 10พระองค์ทรงสร้างห้องรอบพระนิเวศสูง 2.2 เมตร โดยเชื่อมติดกับตัวพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์
 11และพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า 12“เกี่ยวด้วยพระนิเวศนี้ซึ่งเจ้าสร้างอยู่ ถ้าเจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเชื่อฟังกฎหมายของเรา และรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา โดยดำเนินตาม เราก็จะสถาปนาถ้อยคำของเรากับเจ้า ซึ่งเราพูดกับดาวิดบิดาของเจ้า 13และเราจะอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล และจะไม่ทอดทิ้งอิสราเอลประชากรของเราเลย”
 14ซาโลมอนได้ทรงสร้างพระนิเวศสำเร็จ 15พระองค์ทรงกรุผนังข้างในด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ 16พระองค์ทรงสร้างด้านหลังของพระนิเวศ ด้วยกระดานไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงไม้เพดานฉบับฮีบรูว่า ฝาผนังสูง 9 เมตร และพระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายในให้เป็นห้องชั้นในสุด คืออภิสุทธิสถาน 17ตัวพระนิเวศคือห้องโถงซึ่งอยู่ส่วนหน้า ห้องชั้นในสุดนั้นยาว 18 เมตร 18ส่วนข้างในพระนิเวศที่เป็นไม้สนสีดาร์นั้นแกะเป็นรูปน้ำเต้า และดอกไม้บาน ทั้งหมดเป็นไม้สนสีดาร์ ในที่นั่นแลไม่เห็นหินเลย 19พระองค์ทรงจัดเตรียมห้องชั้นในสุดไว้ข้างในพระนิเวศ เพื่อจะวางหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้ที่นั่น 20ห้องชั้นในสุดนั้นยาว 9 เมตร กว้าง 9 เมตร และสูง 9 เมตร และพระองค์ทรงบุที่นั่นด้วยทองคำบริสุทธิ์ พระองค์ทรงบุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย 21และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงขึงโซ่ทองคำหน้าห้องชั้นในสุด ซึ่งบุด้วยทองคำ 22และพระองค์ทรงบุพระนิเวศทั้งหลังด้วยทองคำ จนพระนิเวศนั้นสำเร็จทั้งสิ้น พระองค์ก็ทรงบุแท่นบูชาทั้งแท่นที่เป็นของห้องชั้นในสุดด้วยทองคำ

การตกแต่งพระวิหาร

 23ในห้องชั้นในสุด พระองค์ทรงสร้างเครูบสองรูปด้วยไม้มะกอก แต่ละตัวสูง 4.5 เมตร 24ปีกข้างหนึ่งของเครูบยาว 2.25 เมตร ปีกอีกข้างหนึ่งของเครูบยาว 2.25 เมตร จากปลายปีกข้างหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งยาว 4.5 เมตร 25เครูบอีกรูปหนึ่งก็วัดได้ 4.5 เมตรด้วย เครูบทั้งสองมีขนาดเท่ากัน และรูปอย่างเดียวกัน 26ความสูงของเครูบรูปหนึ่งเป็น 4.5 เมตร และเครูบอีกรูปหนึ่งก็เหมือนกัน 27พระองค์ทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระนิเวศ ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่อให้ปีกหนึ่งจดผนังข้างหนึ่ง และปีกของเครูบอีกรูปหนึ่งจดผนังอีกข้างหนึ่ง ส่วนปีกข้างอื่นก็มาจดกันตรงกลางพระนิเวศ 28และพระองค์ทรงบุเครูบด้วยทองคำ
 29พระองค์ทรงสลักผนังของพระนิเวศนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานทั้งห้องข้างในและห้องข้างนอก 30พื้นของพระนิเวศนั้น พระองค์ทรงบุด้วยทองคำทั้งข้างในและข้างนอก
 31สำหรับทางเข้าสู่ห้องชั้นในสุด พระองค์ทรงทำบานประตูคู่ด้วยไม้มะกอก กรอบประตูเป็นรูปห้าเหลี่ยม 32บานประตูทั้งคู่ทรงทำด้วยไม้มะกอกแกะสลักเป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน ทรงบุบานประตูด้วยทองคำ ทรงแผ่ทองคำหุ้มเครูบและหุ้มต้นอินทผลัม
 33พระองค์ทรงทำวงกบประตูทางเข้าห้องโถงด้วยไม้มะกอกเป็นรูปสี่เหลี่ยม 34และทรงทำประตูสองประตูด้วยไม้สนสามใบ บานประตูสองบานของประตูหนึ่งพับหากันได้ และอีกสองบานของอีกประตูหนึ่งก็พับได้เช่นกัน 35พระองค์ทรงแกะสลักเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานบนบานประตูนั้น และทรงบุด้วยทองคำสม่ำเสมอกันบนงานแกะสลักนั้น 36พระองค์ทรงสร้างลานชั้นในด้วยกำแพงหินสกัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น
 37ในปีที่สี่ เดือนศิฟเดือนที่สองตามปฏิทินของคนอิสราเอล ประมาณกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม พระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็ถูกวางรากฐาน 38และในปีที่สิบเอ็ด ในเดือนบูลเดือนที่แปดตามปฏิทินของคนอิสราเอล ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนที่แปด พระนิเวศนั้นก็สำเร็จหมดทุกส่วน ตามที่กำหนดไว้ทุกอย่าง พระองค์ทรงสร้างพระนิเวศนั้นเจ็ดปี

1 พงศ์กษัตริย์ 7

พระราชวังและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ของซาโลมอน

 1ซาโลมอนทรงใช้เวลาสิบสามปี สร้างพระราชวังของพระองค์จนเสร็จสิ้น
 2พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักพนาเลบานอน ยาว 44 เมตร กว้าง 22 เมตร และสูง 13.5 เมตร อยู่บนเสาไม้สนสีดาร์สี่แถว มีคานไม้สนสีดาร์อยู่บนเสา 3มุงด้วยไม้สนสีดาร์ บนคานซึ่งอยู่บนเสา 45 ต้น แถวละ 15 ต้น 4มีกรอบหน้าต่างสามแถว หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามแถว 5ประตูและวงกบทั้งหมดเป็นรูปสี่เหลี่ยม และหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามแถว
 6และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงเสาหาน ยาว 22 เมตรและกว้าง 13.5 เมตร มีเฉลียงด้านหน้ารองรับด้วยเสาหาน และมีหลังคาด้านหน้า
7และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงพระที่นั่ง เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงให้คำพิพากษา คือท้องพระโรงวินิจฉัย ซึ่งปิดด้วยไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน
 8พระราชวังของพระองค์ที่พระองค์จะประทับนั้น อยู่ที่ลานอีกแห่งหนึ่งหลังท้องพระโรง ก็เป็นฝีมือช่างอย่างเดียวกัน ซาโลมอนยังทรงสร้างวังเหมือนท้องพระโรงนี้สำหรับพระราชธิดาของฟาโรห์ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาเป็นมเหสี
 9สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสร้างด้วยหินอันมีค่าที่สกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อยเลื่อยทั้งด้านในและด้านนอก ตั้งแต่ฐานถึงด้านบนสุด และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่ 10ฐานนั้นทำด้วยหินมีค่า หินก้อนมหึมา หินบางก้อนยาว 4 เมตรและบางก้อน 3.5 เมตร 11ข้างบนก็เป็นหินมีค่า สกัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์ 12ลานใหญ่มีหินสกัดโดยรอบสามชั้นและไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น เหมือนอย่างลานชั้นในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และเฉลียงพระนิเวศ

ผลงานของฮูรามช่างทองสัมฤทธิ์

 13พระราชาซาโลมอนทรงใช้คนไปนำฮูรามมาจากเมืองไทระ 14ฮูรามเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี และบิดาของเขาเป็นชาวเมืองไทระ และเป็นช่างทองสัมฤทธิ์ ฮูรามเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา ความเข้าใจ และฝีมือที่จะทำงานทองสัมฤทธิ์ทุกอย่าง เขามาเฝ้าพระราชาซาโลมอนและทำงานทั้งสิ้นของพระองค์
 15ฮูรามทำเสาทองสัมฤทธิ์สองเสา เสาต้นแรกสูง 8 เมตร เสาต้นที่สองวัดเส้นรอบวงได้ 5.3 เมตร 16ท่านทำบัวหัวเสาสองอันด้วยทองสัมฤทธิ์หล่อ เพื่อจะวางไว้บนยอดเสา บัวหัวเสาแต่ละอันสูง 2.2 เมตร 17แล้วมีตาข่ายเป็นตาหมากรุก พร้อมด้วยมาลัยโซ่สำหรับบัวที่อยู่บนหัวเสา เจ็ดอันสำหรับบัวหัวเสาแต่ละอัน 18ท่านทำลูกทับทิมสองแถวล้อมทับตาข่ายผืนหนึ่ง เพื่อคลุมบัวที่อยู่บนยอดเสา และท่านก็ทำแบบเดียวกันสำหรับบัวอีกอันหนึ่ง 19ส่วนบัวซึ่งอยู่บนยอดเสาที่อยู่ในเฉลียงนั้นเป็นดอกพลับพลึง สูง 1.8 เมตร 20 บัวอยู่บนเสาสองต้นนั้น และอยู่เหนือคิ้วซึ่งอยู่ถัดตาข่ายด้วย มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่ล้อมรอบเป็นสองแถว บัวหัวเสาอีกอันหนึ่งก็มีเหมือนกัน 21ท่านตั้งเสาไว้ที่เฉลียงพระวิหาร ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคี และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส 22และบนยอดเสาเหล่านั้นเป็นลายดอกพลับพลึง ดังนั้นงานสร้างเสาก็เสร็จสมบูรณ์

อรรถาธิบาย

การแสดงสัญลักษณ์

คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงสนพระทัยรายละเอียดในชีวิตของคุณอย่างยิ่ง? ขณะที่เราอ่านคำแนะนำที่ชัดเจนในการสร้างพระวิหาร เราเห็นถึงวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม คาดการณ์ และกำหนดพระวิหารที่ใหญ่กว่ามากไว้ล่วงหน้า ซึ่งเปิดเผยในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หากพระเจ้าทรงห่วงใยรายละเอียดของตัวอาคาร คุณสามารถแน่ใจว่าพระองค์ยิ่งทรงสนพระทัยมากขึ้นกับรายละเอียดในชีวิตของคุณ หากบางสิ่งสำคัญสำหรับคุณ สิ่งนั้นสำคัญต่อพระเจ้า

การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและสัญลักษณ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงสัญลักษณ์ นี่เป็นส่วนสำคัญในความเข้าใจของเราต่อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมในฐานะคริสเตียน ความจริงอันยิ่งใหญ่บางประการในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ถูกเล็งไว้ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ตัวอย่างเช่น อาดัมถูกอธิบายว่าเป็น ลักษณะหนึ่งของพระคริสต์ (โรม 5:14, New American Standard Bible)

พระวิหารในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสามารถมองว่าเป็น ‘ลักษณะหนึ่ง’ ของพระวิหารในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (ประชากรของพระเจ้า) ในพระธรรมตอนนี้ เรามีคำอธิบายของพระวิหาร ซึ่งซาโลมอนที่ใช้เวลาเจ็ดปีในการสร้างพระวิหาร (1 พงศ์กษัตริย์ 6:38) นี่ถูกออกแบบให้เป็นที่ประทับสำหรับการประทับของพระเจ้าบนโลก ‘และเราจะอยู่ในที่ประทับของเรา’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ดังนั้นความเป็นเลิศจึงมีความสำคัญสูงสุดเพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า พระนามของพระเจ้าเป็นเดิมพัน พวกเขาทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เป็นสิ่งที่ ‘แพรวพราว’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และ ‘ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่หวงไว้’ (7:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากความเป็นเลิศมีคุณค่าสูงสำหรับพวกเขา ก็ควรยิ่งสูงค่าสำหรับเราในเวลานี้ต่อการทรงสถิตของพระเจ้าที่ประทับอยู่ในเรา

เป็นที่น่าสังเกตว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงรีบร้อน! ‘ต่อมาในปีที่สี่ร้อยแปดสิบ หลังจากที่ชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ในปีที่สี่ที่ซาโลมอนทรงครองอิสราเอล...พระองค์ทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์’ (6:1)

พระนิเวศในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมชี้ไปยังประชากรของพระเจ้า เราเป็นนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงประทับอยู่ในเราแต่ละคน ร่างกายของคุณเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 โครินธ์ 6:19) คริสตจักรปัจจุบันนี้เป็นพระวิหารอันบริสุทธิ์สำหรับพระเจ้าให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 2:21–22) นี่เป็น ‘นิเวศ’ ของพระเจ้าในปัจจุบัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ให้เห็นขุมทรัพย์อันไม่มีวันเหือดหายในพระวจนะของพระองค์ เหนือสิ่งอื่นใด โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ให้เห็นพระเยซูถูกตรึงและฟื้นจากความตาย ผู้ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดถึง

เพิ่มเติมโดยพิพพา

กิจการ 13:38ข–39

‘เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์ จึงมีการประกาศการยกโทษบาปแก่ท่านทั้งหลาย และโดยพระองค์นี้เอง ทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษบาปได้ทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้โดยธรรมบัญญัติของโมเสส’

เราอาจดีไม่พอไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน ความอัศจรรย์ของกางเขนคือทำให้ทุกสิ่งได้รับการอภัยอย่างหมดจด ไม่ว่าเราต้องเผชิญการปล้ำสู้อะไรก็ตามในวันนี้ ขอนำพวกเรากลับไปสู่กางเขนของพระคริสต์

ข้อพระคำประจำวัน

กิจการ 13:39, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

’…ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นจะได้รับการประกาศว่า ดีและถูกต้อง และสมบูรณ์ต่อหน้าพระเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม