การติดตามและไม่ต่อต้านพระเจ้า
เกริ่นนำ
ผมจำได้ดีถึงช่วงเวลาที่อัลฟ่าเริ่มต้นในคริสตจักรคาทอลิก บิชอปแอมโบรสแห่งนิวคาสเทิลและเฮ็กซ์แฮม ได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัลฟ่าในคริสตจักรแองกลิกันบางแห่ง ท่านเริ่มสนใจและอยากจะค้นหามากขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่านไม่อยากให้เรารู้ว่าท่านสนใจ ดังนั้น ท่านจึงส่งนักบวชคาทอลิกสองคนมายังการประชุมอัลฟ่าที่กรุงลอนดอนแบบไม่เผยตัว พวกเขากลับไปยังอารามของพวกเขาและเริ่มต้นจัดอัลฟ่า ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
ผลก็คือ พระคาร์ดินัลฮูมเชิญเราไปจัดการประชุมสำหรับนิกายคาทอลิกในมหาวิหารเวสท์มินส์เตอร์ ซึ่งแน่นไปด้วยนักบวชและฆราวาสชาวคาทอลิก 450 คน มีไม่กี่คนที่วิพากษ์วิจารณ์เรามากในการจัดการประชุมสำหรับชาวคาทอลิก คริสตจักรหนึ่งหรือสองแห่งถึงกับขู่ว่าจะหยุดจัดอัลฟ่า ถ้าเรายังคงยืนยันที่จะจัดการประชุมต่อไป เมื่อมองย้อนกลับไปดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดาอย่างที่มีคนคัดค้าน แต่ในเวลานั้นมันก็น่ากังวลอยู่บ้าง
ในคืนแรกของการประชุม มีการเทลงมาอย่างยิ่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการร้องเพลงในภาษาแปลก ๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมกลับบ้านคืนนั้น และอ่านพระธรรมสำหรับวันนี้: ‘เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าประทานแก่พวกเขาเหมือนแก่เรา…ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะขัดขืนพระเจ้าได้?’ (กิจการ 11:17) เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกันที่เทลงมาบนพวกเขาเช่นเดียวกับบนเรา ผมตระหนักว่า หากเราไม่ร่วมกันทำงานต่อไป ผมอาจกำลังต่อต้านพระเจ้าได้
สิ่งที่โง่เขลาที่สุดที่มนุษย์สามารถทำได้คือการต่อต้านพระเจ้า พระเยซูทรงถูกต่อต้าน: ‘พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนไว้ที่ต้นไม้หมายถึง กางเขน และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายและทรงให้ปรากฏ’ (10:39–40) ในทางตรงกันข้ามสิทธิพิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่มนุษย์ทุกคนสามารถมีได้ คือการเป็นผู้ติดตามพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้ซึ่ง ‘คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิม...ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ’ (10:38)
สดุดี 74:10-17
10ข้าแต่พระเจ้า คู่อริจะเย้ยอยู่นานเท่าใด?
ศัตรูจะกล่าวหยาบช้าต่อพระนามของพระองค์เป็นนิตย์หรือ?
11ไฉนพระองค์จึงหดพระหัตถ์ของพระองค์เสีย คือพระหัตถ์ขวาของพระองค์?
ขอเหยียดพระหัตถ์จากพระทรวงของพระองค์ทำลายพวกเขาเถิด
12ถึงกระนั้น พระเจ้า ผู้เป็นกษัตริย์ของข้าพระองค์ตั้งแต่กาลก่อน
ทรงทำกิจแห่งความรอดในแผ่นดินโลก
13พระองค์เองทรงแยกทะเลด้วยฤทธานุภาพของพระองค์
พระองค์ทรงหักหัวมังกรทั้งหลายในน้ำ
14พระองค์เองทรงขยี้หัวทั้งหลายของเลวีอาธาน
พระองค์ประทานมันให้เป็นอาหารของสรรพสัตว์แห่งถิ่นทุรกันดาร
15พระองค์เองทรงเปิดตาน้ำพุและลำธาร
พระองค์เองทรงให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เสมอแห้งไป
16วันเป็นของพระองค์ คืนเป็นของพระองค์เช่นกัน
พระองค์เองทรงสถาปนาดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
17พระองค์เองทรงจัดเขตทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก
พระองค์เองทรงสร้างฤดูร้อนและฤดูหนาว
อรรถาธิบาย
ฤทธานุภาพของพระเจ้า
เมื่อคุณเผชิญกับการข่มเหง เป็นการดีที่จะระลึกถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีเผชิญกับศัตรูที่เยาะเย้ยพระนามของพระเจ้า (ข้อ 10) เขาระลึกถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าในชีวิตของเขาก่อน (ข้อ 12) และจากนั้นในทุกสิ่งแห่งการทรงสร้าง (ข้อ 13–17)
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้วาดภาพตำนานอันยาวนานของตะวันออกโบราณ การทรงสร้างนั้นเห็นได้ในชัยชนะของเทพเจ้าเหนือพลังแห่งความวุ่นวายและทำลายล้าง ซึ่งบ่อยครั้งแสดงด้วยทะเลที่บ้าคลั่ง และ ‘มังกร’ ที่เรียกว่า ‘เลวีอาธาน’ (ข้อ13–14) ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ถูกนมัสการในฐานะเทพเจ้า กระนั้นในสดุดีบทนี้ ผู้เขียนได้กวาดเอาตำนานเหล่านี้ออกไป และประกาศว่า นั่นคือ พระเจ้า ผู้ทรงสร้าง และสถาปนาโลกไว้ นำเอาระเบียบมาจากความว่างเปล่า และ ‘พระองค์เองทรงสถาปนาดวงจันทร์และดวงอาทิตย์’ (ข้อ 16)
มีการทดลองเสมอที่จะให้มี ‘สิ่งอื่น ๆ’ ที่สำคัญกว่าความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า การอุทิศตัวต่อ ‘พระอื่น ๆ’ นั้นเป็นหนึ่งในการทดลอง และความอ่อนแอของประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สดุดีบทนี้เตือนเราว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด และทำไมจึงเป็นการโง่เขลาที่จะต่อต้านพระเจ้าโดยไปติดตามพระอื่น
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 10:23ข-11:18
วันรุ่งขึ้นเปโตรลุกขึ้นไปกับพวกเขา และพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย 24วันต่อมาเขาทั้งหลายไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทมาประชุมร่วมกัน 25เมื่อเปโตรมาถึง โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตรและทรุดตัวลงแทบเท้าท่าน 26เปโตรจึงประคองโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์เหมือนกัน” 27ระหว่างที่กำลังสนทนากัน เปโตรเข้าไปและเห็นคนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน 28จึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านทราบแล้วว่า การที่คนยิวจะคบหาหรือเยี่ยมเยียนคนต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรถือว่าคนหนึ่งคนใดไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทิน 29เพราะเหตุนี้เมื่อท่านใช้คนไปเชิญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงมาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าขอถามว่า ที่ท่านเชิญข้าพเจ้ามานี้มีจุดประสงค์อะไร?”
30โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันที่แล้วขณะข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าราวๆ ตอนนี้คือบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้ามันวาวระยิบระยับ 31คนนั้นกล่าวว่า ‘โครเนลิอัส พระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐาน และการทำทานของท่านแล้ว 32เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ท่านอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ริมฝั่งทะเล’ 33ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที การที่ท่านมาก็ดีแล้ว เวลานี้เราอยู่กันพร้อมหน้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อฟังสิ่งสารพัดที่พระองค์ตรัสสั่งท่านไว้”
เปโตรเทศนาที่บ้านของโครเนลิอัส
34แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง 35ทุกคนในทุกชนชาติที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ 36เรื่องที่พระองค์ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอลคือการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือคนทั้งหลาย 37พวกท่านก็รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแปลได้อีกว่า รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เล่ากันทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มต้นที่แคว้นกาลิลีหลังจากยอห์นประกาศเรื่องบัพติศมานั้น 38คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์ 39เราคือสักขีพยานของกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนไว้ที่ต้นไม้ 40และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายและทรงให้ปรากฏ 41ไม่ใช่ให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ให้ปรากฏแก่เรา คือบรรดาสักขีพยานที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้ว คือทรงปรากฏแก่เราที่กินและดื่มกับพระองค์หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย 42พระองค์ทรงสั่งให้เราประกาศกับคนทั้งหลาย และเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงตั้งพระองค์เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย 43บรรดาผู้เผยพระวจนะก็เป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของพวกเขาโดยพระนามของพระองค์”
คนต่างชาติได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
44ขณะเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น 45บรรดาคนเข้าสุหนัตที่เชื่อแล้วซึ่งมาพร้อมกับเปโตรต่างประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย 46เพราะเขาทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงถามว่า 47“ใครจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเราจากการรับบัพติศมาด้วยน้ำ?” 48เปโตรจึงสั่งให้เขาทั้งหลายรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ แล้วพวกเขาขอให้เปโตรพักอยู่กับพวกเขาอีกสักระยะหนึ่ง
กิจการ 11
เปโตรรายงานต่อคริสตจักรที่กรุงเยรูซาเล็ม
1ส่วนบรรดาอัครทูตกับพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียได้ข่าวว่าคนต่างชาติยอมรับพระวจนะของพระเจ้าด้วย 2เมื่อเปโตรขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกเข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่านว่า 3“ทำไมท่านไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับพวกเขา?” 4เปโตรจึงอธิบายให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า 5“เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟาและกำลังอธิษฐานอยู่ก็ได้เห็นนิมิตในภวังค์เป็นสิ่งหนึ่งที่เหมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งมุมผ้าทั้งสี่ด้านถูกกางออกและหย่อนจากฟ้าลงมาใกล้ข้าพเจ้า 6เมื่อข้าพเจ้าจ้องดู ก็เห็นพวกสัตว์บกสี่เท้า พวกสัตว์ป่า พวกสัตว์เลื้อยคลานและพวกนกในอากาศ 7แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด’ 8แต่ข้าพเจ้าทูลว่า ‘ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทินยังไม่เคยเข้าปากข้าพระองค์เลย’ 9แต่มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์’ 10เป็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง 11และในทันใดนั้นมีชายสามคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านที่ข้าพเจ้าอาศัย พวกเขาถูกส่งจากเมืองซีซารียามาหาข้าพเจ้า 12พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับพวกเขาโดยไม่ลังเลใจ และพี่น้องทั้งหกคนนี้ก็ไปกับข้าพเจ้าด้วย เราจึงเข้าไปในบ้านของชายคนนั้น 13ชายคนนั้นจึงเล่าให้เราฟังว่าท่านได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏในบ้านของท่านอย่างไร และบอกท่านว่า ‘จงใช้คนไปที่เมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกกันว่าเปโตรมา 14เขาจะกล่าวถ้อยคำกับท่าน ซึ่งจะช่วยท่านกับครอบครัวของท่านให้รอด’ 15เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับเขาทั้งหลายเหมือนกับที่เคยเสด็จลงมาสถิตกับเราเมื่อเริ่มแรกนั้น 16แล้วข้าพเจ้าก็ระลึกถึงพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 17เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าประทานแก่พวกเขาเหมือนแก่เราเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะขัดขืนพระเจ้าได้” 18เมื่อคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ แล้วสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระเจ้าก็ทรงโปรดแก่คนต่างชาติให้กลับใจใหม่จนได้ชีวิตรอดด้วย”
อรรถาธิบาย
พระวิญญาณของพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเปโตรผ่านทางนิมิตไปที่บ้านของโครเนลิอัส เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็พบว่า พระเจ้าได้ตรัสกับโครเนลิอัสผ่านทางนิมิตอีกอันด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เปโตร ‘จึงกล่าวเรื่องข่าวประเสริฐของพระองค์’ (10:34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือคนทั้งหลาย (ข้อ 36)
คำว่า ‘สันติสุข’ ในภาษากรีก ใช้ตามความหมายของคำภาษาฮีบรูว่า ‘ชาโลม’ คำนี้มีความหมายมากกว่าแค่การปราศจากการเป็นปรปักษ์กัน คำนี้หมายถึง ‘ความพรั่งพร้อม' ‘ความผาสุก’ ‘ความเป็นอยู่ที่ดี’ ‘พระพรและความดีงามทุกอย่าง’ คำนี้หมายถึง ความสามัคคีและปรองดองกันระหว่างผู้คน คำนี้หมายถึง ความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตวิญญาณ การดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความโปรดปรานของพระเจ้า
ข่าวดีคือ เมื่อคุณมีสันติสุขกับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนกางเขนทำให้คุณคืนดีกันกับพระเจ้า พระองค์ทรงมีสันติสุข และคุณได้รับสันติสุขนั้นในฐานะของประทาน
คุณเองก็ควรเป็นผู้สร้างสันติเมื่อคุณแสวงหาการนำคนอื่น ๆ มาสู่สันติสุขกับพระเจ้า และเมื่อคุณนำสันติสุขไปยังบ้านของคุณ ที่ทำงาน ชุมชน และประเทศชาติ
เปโตรพูดต่อไปเรื่อง ‘พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์’ (ข้อ 38) เขาบอกพวกเขาเรื่องกางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย เรื่องความเชื่อ และการอภัยบาป (ข้อ 43)
เมื่อเปโตรยังคงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น (ข้อ 44) ‘พวกยิวที่เชื่อแล้วซึ่งมาพร้อมกับเปโตรไม่อาจเชื่อได้ว่า ของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกเทลงบนคนต่างชาติที่ไม่ใช่พวกยิวด้วย’ (ข้อ 45, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พวกเขารู้ว่า นี่เป็นการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกอัครทูตในวันเพ็นเทคอสต์ บัดนี้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ ‘เพราะเขาทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า’ (ข้อ 46)
การตอบสนองของเปโตรคือ ‘ใครจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเราจากการรับบัพติศมาด้วยน้ำ?’ (ข้อ 47)
ข่าวเดินทางไปได้เร็ว พวกผู้เชื่อชาวยิวกังวลว่า ‘การกระทบไหล่’ กับพวก ‘ต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว’ จะทำให้พวกเขาเสียชื่อเสียง (11:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คนที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้น ‘ต่อว่าท่าน’ (ข้อ 2) แต่เปโตรอธิบาย (ข้อ 4) เล่าเรื่องราวว่าเขาได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร ‘พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้า…’ (ข้อ 12)
ท่านเล่าต่อไป ‘เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับเขาทั้งหลายเหมือนกับที่เคยเสด็จลงมาสถิตกับเราเมื่อเริ่มแรกนั้น...เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าประทานแก่พวกเขาเหมือนแก่เราเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะขัดขืนพระเจ้าได้?’ (ข้อ 15–17)
‘เมื่อคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็เงียบลง แล้วสรรเสริญพระเจ้าว่า “มันเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงทะลุทะลวงไปยังชนชาติอื่น ๆ ให้กลับใจใหม่จนได้ชีวิตรอดด้วย!”’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำอธิบายของเปโตรเป็นคำตอบให้กับผู้ที่ต่อว่า บางครั้งเมื่อคุณถูกต่อว่า คำตอบก็เพียงแค่ให้คำอธิบาย
คำอธิษฐาน
1 พงศ์กษัตริย์ 1:-2:12
ศึกชิงบัลลังก์
1กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้จะห่มผ้าให้หลายผืน พระองค์ก็ยังไม่อบอุ่น 2ดังนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า “โปรดให้คนไปเสาะหาหญิงสาวพรหมจารีมาถวายพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และให้เธออยู่งานเฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท และดูแลฝ่าพระบาท ให้เธอนอนในพระทรวงของฝ่าพระบาท เพื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจะได้ทรงอบอุ่น” 3พวกเขาจึงเสาะหาสาวงามทั่วทั้งดินแดนอิสราเอล แล้วได้พบอาบีชากหญิงชาวชูเนม จึงได้นำเธอมาเฝ้าพระราชา 4หญิงสาวคนนั้นงามยิ่งนัก เธอได้เป็นผู้ดูแลพระราชาและอยู่ปรนนิบัติพระองค์ แต่พระราชาไม่ได้ทรงมีเพศสัมพันธ์กับเธอ
5ส่วนอาโดนียาห์ พระราชโอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้น กล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา” และท่านได้เตรียมรถรบและกองทหารม้า กับคนห้าสิบคนไว้วิ่งนำหน้าตนเอง 6พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านสักครั้งโดยถามว่า “ทำไมเจ้าทำเช่นนี้?” ท่านมีรูปร่างหน้าตาดีด้วย ท่านเกิดถัดจากอับซาโลม 7ท่านได้คบคิดกับโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งสองก็ติดตามและช่วยเหลืออาโดนียาห์ 8แต่ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา นาธันผู้เผยพระวจนะ ชิเมอีและเรอี อีกทั้งพวกทหารเอกของดาวิดไม่ได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์
9อาโดนียาห์ได้ฆ่าแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ ศิลาแห่งโศเฮเลท ซึ่งอยู่ข้างๆ น้ำพุเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือบรรดาพระราชโอรสของพระราชา และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ ที่เป็นข้าราชการของพระราชา 10แต่ท่านไม่ได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ หรือเบไนยาห์หรือพวกทหารเอก หรือซาโลมอนพระอนุชาของท่าน
11แล้วนาธันก็ทูลพระนางบัทเชบาพระราชมารดาของซาโลมอนว่า “พระนางไม่ทรงสดับหรือว่า อาโดนียาห์พระราชโอรสของพระนางฮักกีททรงครองราชย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของพวกข้าพระบาทก็ไม่ทรงทราบเรื่อง 12ดังนั้นโปรดให้ข้าพระบาทถวายคำปรึกษา เพื่อพระนางจะได้ทรงช่วยชีวิตของพระนางเอง และชีวิตของซาโลมอนพระราชโอรสของพระนาง 13ขอเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาดาวิดทันที และกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเราไม่ใช่หรือ?” แล้วทำไมอาโดนียาห์จึงเป็นกษัตริย์เล่า เพคะ?’ 14นี่แน่ะ ขณะที่พระนางกราบทูลพระราชาอยู่ ข้าพระบาทจะตามเข้าไปเฝ้า และสนับสนุนถ้อยคำของพระนาง”
15แล้วพระนางบัทเชบา ก็เข้าไปเฝ้าพระราชาที่ห้องบรรทม (พระราชาทรงพระชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็กำลังปรนนิบัติพระราชาอยู่) 16เมื่อพระนางบัทเชบากราบถวายบังคมพระราชาแล้ว พระราชาก็ตรัสถามว่า “เจ้าต้องการอะไร?” 17พระนางทูลพระองค์ว่า “เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของฝ่าพระบาทต่อสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า ‘ซาโลมอนลูกของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 18ดูสิ บัดนี้อาโดนียาห์ทรงครองราชย์แล้ว แม้แต่ฝ่าพระบาท คือพระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ก็ไม่ทรงทราบ 19เขาหมายถึง อาโดนียาห์ได้ฆ่าวัว สัตว์อ้วนพี และแกะจำนวนมากเป็นเครื่องบูชา และได้เชิญบรรดาพระราชโอรสของพระราชากับอาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่ไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท 20ฝ่าพระบาทคือพระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน บัดนี้อิสราเอลทั้งสิ้นก็เพ่งดูฝ่าพระบาท เพื่อฝ่าพระบาทจะตรัสแก่พวกเขาว่า จะทรงให้ใครนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันแทนฝ่าพระบาท 21มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้คือ เมื่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนลูกของหม่อมฉันก็จะถูกถือว่าเป็นฝ่ายผิด”
22ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลพระราชาอยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็เข้ามา 23เขาทั้งหลายจึงทูลพระราชาว่า “นี่คือนาธันผู้เผยพระวจนะ” เมื่อนาธันเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา เขาก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคมพระราชา 24และนาธันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะเป็นกษัตริย์ต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา?’ 25เพราะวันนี้พระโอรสได้ลงไปฆ่าวัว สัตว์อ้วนพีและแกะจำนวนมากเป็นเครื่องบูชา และได้เชิญบรรดาพระราชโอรสของพระราชา ทั้งผู้บัญชาการกองทัพและอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูสิ เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าท่าน และกล่าวว่า ‘ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ’ 26แต่ส่วนข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และศาโดกปุโรหิตกับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ท่านไม่ได้เชิญ 27เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทหรือ? และฝ่าพระบาทไม่ได้ตรัสแก่พวกผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทว่า จะทรงให้ใครนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ต่อจากฝ่าพระบาท”
ซาโลมอนขึ้นครองราชย์
28แล้วพระราชาดาวิดตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบามาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา และทรงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระราชา 29แล้วพระราชาทรงปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากความทุกข์ยากทั้งสิ้น ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด 30วันนี้เราก็จะทำอย่างที่ได้ปฏิญาณต่อเจ้า ในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลฉันนั้น คือว่า ‘ซาโลมอนลูกของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา’ เราจะทำอย่างนั้นวันนี้แหละ” 31แล้วพระนางบัทเชบาก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน ถวายบังคมพระราชา และทูลว่า “ขอพระราชาดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันทรงพระเจริญเป็นนิตย์”
32พระราชาดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดามาหาเรา” เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา 33และพระราชาตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของนายพวกเจ้า ไปจัดให้ซาโลมอนลูกของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่น้ำพุกีโฮน 34และให้ศาโดกปุโรหิตและนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วท่านทั้งหลายจงเป่าเขาสัตว์ และประกาศว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ’ 35แล้วท่านทั้งหลายจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้ตั้งเขาให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์” 36และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้กราบทูลตอบพระราชาว่า “อาเมน ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งพระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ตรัสดังนั้นเทอญ 37พระยาห์เวห์สถิตกับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทมาแล้วอย่างไร ก็ขอสถิตกับซาโลมอนอย่างนั้น และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่ยิ่งกว่าบัลลังก์ของพระราชาดาวิดเจ้านายของข้าพระบาท”
38ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน 39แล้วศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ของพระเจ้า และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้งหลายก็เป่าเขาสัตว์ และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ” 40และประชาชนทั้งปวงก็ตามเสด็จขึ้นไป พร้อมกับเป่าขลุ่ยและเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก จนแผ่นดินสะเทือนเพราะเสียงของเขาทั้งหลาย
41เมื่ออาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับท่านรับประทานเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงเขาสัตว์ ก็พูดว่า “ทำไมพระนครจึงมีเสียงอึกทึกครึกโครม? 42ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ นี่แน่ะ โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด เพราะเจ้าเป็นคนดีแปลได้อีกว่า คนเก่งกล้า และคงนำข่าวดีมา” 43โยนาธานกราบเรียนอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่ข่าวดี เพราะพระราชาดาวิดเจ้านายของพวกเราได้ทรงให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ 44และพระราชามีรับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดากับคนเคเรธีและคนเปเลทตามซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชา 45และศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์ ณ น้ำพุกีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน 46นอกจากนี้ซาโลมอนได้ประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย 47และยิ่งกว่านั้นอีก พวกข้าราชการของพระราชาก็เข้าไปถวายพระพรแด่พระราชาดาวิดเจ้านายของพวกเราว่า ‘ขอพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงทำให้พระนามของซาโลมอนเลื่องลือไปยิ่งกว่าพระนามของฝ่าพระบาท และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของฝ่าพระบาท’ แล้วพระราชาก็โน้มพระกายลงบนแท่นบรรทม 48และพระราชาก็ตรัสด้วยว่า ‘สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ประทานคนหนึ่งให้นั่งบนบัลลังก์ของเราในวันนี้ และตาของเราเองได้เห็นแล้ว’ ”
49แล้วแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัวจนตัวสั่นและลุกขึ้น ต่างคนต่างไปตามทางของตน 50ส่วนอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา 51มีคนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูสิ อาโดนียาห์กลัวพระราชาซาโลมอน เพราะนี่แน่ะ ท่านจับเชิงงอนที่แท่นบูชาอยู่ กล่าวว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า จะไม่ทรงประหารผู้รับใช้ของท่านด้วยดาบ’ ” 52และซาโลมอนตรัสว่า “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้าพบความอธรรมอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย” 53พระราชาซาโลมอนทรงใช้คนไปนำท่านลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อพระราชาซาโลมอน และซาโลมอนตรัสกับท่านว่า “จงกลับไปวังของท่านเถิด”
1 พงศ์กษัตริย์ 2
คำสั่งเสียของดาวิดแก่ซาโลมอน
1เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงกำชับซาโลมอนพระราชโอรสของพระองค์ว่า 2“เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและแสดงว่าตัวเป็นลูกผู้ชาย 3และจงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ พระบัญญัติ กฎหมาย และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป 4เพื่อพระยาห์เวห์จะสถาปนาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัดระวังที่จะดำเนินในทางของเขาต่อหน้าเรา ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาแล้ว เจ้าจะไม่ขาดทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’
5“ยิ่งกว่านั้นอีก ซาโลมอน เจ้าเองก็รู้ว่า โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ได้ทำอะไรแก่เรา คือเขาได้ทำอะไรแก่ผู้บัญชาการทั้งสองของกองทัพอิสราเอล คือทำแก่อับเนอร์ บุตรเนอร์ และแก่อามาสา บุตรเยเธอร์ที่โยอาบได้ฆ่าเสีย เขาได้ทำให้โลหิตแห่งสงครามตกในยามสงบสุข และทำให้โลหิตแห่งสงครามเลอะเข็มขัดรอบเอวของเขา และเลอะรองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเขา 6เพราะฉะนั้นเจ้าจงทำตามปัญญาของเจ้า อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบสุข 7แต่จงแสดงความเมตตาแก่บุตรทั้งหลายของบารซิลลัยคนกิเลอาด จงให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานที่โต๊ะของเจ้า เพราะเมื่อเราหนีอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น เขาทั้งหลายได้ช่วยเราไว้ด้วยความเมตตา 8และนี่แน่ะ ชิเมอีบุตรเก-รา คนเบนยามิน จากบ้านบาฮูริมก็อยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้แช่งชักหักกระดูกเรา ในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขาลงมาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน เราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ 9เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีโทษ เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะรู้ว่าควรจะทำอะไรกับเขา และเจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายพร้อมกับโลหิต”
ดาวิดสิ้นพระชนม์
10แล้วดาวิดทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิดหมายถึงกรุงเยรูซาเล็ม 11ดาวิดทรงครองอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี พระองค์ทรงครองราชย์ในเฮโบรน 7 ปี และในกรุงเยรูซาเล็ม 33 ปี 12ดังนั้น ซาโลมอนจึงประทับบนบัลลังก์ของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ตั้งมั่นคงยิ่งนัก
อรรถาธิบาย
การเจิมของพระเจ้า
ซาโลมอน เป็นผู้สืบทอดของดาวิดที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ปุโรหิตศาโดกและผู้เผยพระวจนะนาธันเจิมเขาไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (1:34)
อาโดนียาห์ทำพลาดไปเมื่อพยายามจะตั้งตนเป็นกษัตริย์โดยไม่ได้อ้างอิงไปยังพระเจ้า ‘อาโดนียาห์ได้ยกตัวเองขึ้น กล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา”’ (ข้อ 5) นี่เป็นสิ่งโง่เขลาที่ไม่สนใจพระเจ้าเลย และในกรณีนี้ ที่จริงแล้วเป็นการต่อต้านแผนการของพระเจ้าที่มีต่อซาโลมอน เขาจึงทำไม่สำเร็จ
ดาวิดมอบหน้าที่นี้ให้กับผู้สืบทอดที่ถูกเจิมของตน: ‘เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว แต่เจ้าจงเข้มแข็งและแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร! จงทำสิ่งที่พระเจ้าสั่งเจ้า จงดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ จงปฏิบัติตามแผนที่ชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จับตาที่ป้ายบอกทางที่พระองค์ทรงกำหนดเส้นทางเพื่อชีวิต ตามที่ทรงกำหนดไว้ในการเปิดเผยสำแดงต่อโมเสส; เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป’ (2:2–3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ถ้อยคำดาวิดเป็นการเตือนใจครั้งใหญ่สำหรับเรา พระเจ้าทรงเจิมตั้งผู้เชื่อทุกคนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า การเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 3ก) ต้องมาควบคู่กับการเจิมของพระเจ้า (ข้อ 3ข) คุณได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างกำลังให้คุณเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นดาวิดหรือซาโลมอน หรือกษัตริย์องค์ใดของอิสราเอลที่ไม่สามารถรักษาพระโอวาทและพระบัญชาของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงพระเยซู เชื้อสายคนสุดท้ายของกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่งเชื่อฟังอย่างเต็มที่ และถูกเจิมตั้งไว้เป็นกษัตริย์ชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่ ‘ดำเนินในทางของพระเจ้าต่อหน้า(พระเจ้า) ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยสุดจิตสุดใจ(ของเขา)‘ (ข้อ 4)
พระธรรมพงศ์กษัตริย์นั้นเป็นสิ่งที่ยูจีน ปีเตอร์สัน พูดถึงว่าเป็น ‘การแสดงความล้มเหลวอย่างไม่หยุดยั้ง’ กระนั้นพระเจ้ายังทรงทำตามพระประสงค์สูงสุดของพระองค์ บ่อยครั้งอย่างเงียบ ๆ และถูกซ่อนไว้ อธิปไตยของพระเจ้าจะไม่ถูกยกเลิกแม้โดยผู้นำที่มีความผิดบาปอย่างลึกซึ้ง (‘พงศ์กษัตริย์’) นี่หมายความว่า คุณสามารถวางใจในอธิปไตยของพระองค์ในชีวิตของคุณ ในคริสตจักรของคุณ และในวัฒนธรรมของคุณ
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 พงศ์กษัตริย์ 1:1–2
‘กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้จะห่มผ้าให้หลายผืน พระองค์ก็ยังไม่อบอุ่น ดังนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า “โปรดให้คนไปเสาะหาหญิงสาวพรหมจารีมาถวายพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และให้เธออยู่งานเฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท และดูแลฝ่าพระบาท ให้เธอนอนในพระทรวงของฝ่าพระบาท เพื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจะได้ทรงอบอุ่น”’
ฉันรู้สึกเห็นใจกษัตริย์ดาวิดอย่างยิ่ง ฉันรู้สึกถึงความหนาวอย่างมาก แต่ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องวิธีแก้ปัญหาของเขา ฉันคิดว่า ฉันนอนกอดขวดน้ำร้อนจะดีกว่า
ข้อพระคำประจำวัน
กิจการ 10:43
ทุกคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของพวกเขาโดยพระนามของพระองค์
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)