วัน 166

เมื่อคุณไม่เข้าใจพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 74:1-9
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 9:32-10:23ก
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 23:8-24:25

เกริ่นนำ

จอห์น นิวตัน ผู้ที่เรากล่าวถึงเมื่อวานนี้ พูดถึงชายคนหนึ่ง วิลเลียม คาวเปอร์ (ค.ศ. 1731–1800) คาวเปอร์ เคยเจอกับเรื่องเศร้าใจ คุณแม่ของเขาเสียชีวิตเมื่อเขาอายุได้หกปี และคุณพ่อก็ตายไปเมื่อเขาอายุยังน้อย เขาเป็นทนายความ ภายนอกเขาอาจจะประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม เขาทรมานกับอาการซึมเศร้าขั้นรุนแรง เมื่อสมัครตำแหน่งบริหารในสภาขุนนางซึ่งเขาต้องสอบเข้าอย่างเป็นทางการเขารู้สึกกระวนกระวายใจกับความคาดหวังในการสอบจนพยายามฆ่าตัวตายชีวิตที่เหลือของเขา เขาทรมานกับอาการเจ็บป่วยทางจิต

เมื่อคาวเปอร์อายุราวสามสิบปี จอห์น นิวตัน หนุนใจให้เขาเริ่มประพันธ์เพลงนมัสการ คาวเปอร์แต่งเพลงอย่างทรงพลังถึงความชื่นชมยินดีและความโศกเศร้าในชีวิตประจำวัน ในปี ค.ศ. 1774 เขาทรมานจากอาการเจ็บป่วยทางจิตที่มาเป็นระลอก จนเขาถูกขัดขวางไม่ให้เข้าสู่การแต่งงานกับแมรี่ อันวิน เขารู้สึกแย่มาก หลังจากนั้นไม่นาน ในเพลงนมัสการที่อาจมีชื่อเสียงที่สุดของเขา เขาเขียนว่า:

พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในทางที่ลึกลับ
พระองค์ทรงทำการอย่างอัศจรรย์

พระเจ้าทรงแสนดี พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระเจ้าทรงรักคุณ พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองอย่างสูงสุดผ่านทางพระเยซู พวกเรารู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่เมื่อคุณอ่านพระธรรมในพระคัมภีร์ ดูเหมือนไม่ตรงกับความเข้าใจของคุณเรื่องพระเจ้า คุณอาจเคยมีประสบการณ์ในชีวิตที่ดูเหมือนไม่ตรงกันด้วยเช่นกัน

คุณไม่สามารถเอาพระเจ้าใส่ไว้กรอบความเข้าใจของคุณได้ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าที่คุณจะสามารถนึกฝันได้ พระธรรมบางตอนในพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ลึกลับ ครั้งหนึ่งพระเยซูเคยตรัสไว้ว่า ‘สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ’ (ยอห์น 13:7) บางทีความเข้าใจอาจเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเรา บางสิ่งอาจเข้าใจได้ต่อเมื่อเราได้ล่วงหลับไปอยู่กับพระเจ้า

คุณตอบสนองอย่างไร เมื่อคุณไม่เข้าใจพระเจ้า?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 74:1-9

คำทูลขอความช่วยเหลือยามบ้านเมืองย่ำแย่

มัสคิลบทหนึ่งของอาสาฟ

1ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นนิตย์?
 ไฉนความกริ้วของพระองค์จะกรุ่นขึ้นต่อแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์?
2ขอทรงระลึกถึงชุมนุมชนของพระองค์ ซึ่งทรงได้มาแต่ดึกดำบรรพ์
 ซึ่งทรงไถ่ไว้ให้เป็นเผ่าของพระองค์โดยเฉพาะ
 ขอทรงระลึกถึงภูเขาศิโยน ซึ่งพระองค์เคยประทับนั้น
3ขอทรงนำย่างพระบาทของพระองค์ไปยังที่ซึ่งปรักหักพังเป็นนิตย์
 ศัตรูได้ทำลายทุกสิ่งในสถานนมัสการ
4พวกคู่อริของพระองค์คำรามอยู่กลางสถานที่ประชุมของพระองค์
 พวกเขาตั้งหมายสำคัญของเขาเองขึ้น
5พวกเขาเป็นเหมือนคนที่เงื้อขวานขึ้น
 ตัดพงไม้ทึบ
6แล้วบรรดาไม้ที่แกะสลักทั้งสิ้น
 พวกเขาก็พังลงมาเสียด้วยขวานและค้อน
7เขาทั้งหลายเอาไฟเผาสถานนมัสการของพระองค์จนวอดวาย
 พวกเขาทำให้ที่ประทับแห่งพระนามของพระองค์เป็นมลทินไป
8เขาทั้งหลายรำพึงในใจว่า “เราจะเอาชนะเขาให้สิ้นเชิง”
 พวกเขาเผาสถานที่ประชุมทุกแห่งของพระเจ้าในแผ่นดิน
9พวกเราไม่เห็นหมายสำคัญทั้งหลายของเรา
 ไม่มีผู้เผยพระวจนะอีกแล้ว
 ในพวกเรา ไม่มีใครทราบว่านานเท่าใด

อรรถาธิบาย

จริงใจกับพระเจ้า

มีช่วงเวลาไหนในชีวิตคุณบ้างไหม ที่คุณแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมบางสิ่งถึงเกิดขึ้นกับคุณ? เกือบรู้สึกเหมือนว่าพระเจ้าทรงปฏิเสธคุณไหม? ถ้าเคย ประสบการณ์ของคุณเป็นเรื่องปรกติในประวัติศาสตร์ของประชากรของพระเจ้า สดุดีบทนี้เริ่มต้นด้วยคำถามนี้ ‘ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นนิตย์? ' (ข้อ 1)

บางครั้งอาจดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเงียบ และไม่ได้ช่วยเหลือคุณในทางใดทางหนึ่ง ดังที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ ‘ไม่มีหมายสำคัญหรือสัญลักษณ์ของพระเจ้าให้เห็น ไม่มีผู้ใดตรัสในพระนามของพระองค์อีกแล้ว ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น’ (ข้อ 9 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อคุณผ่านช่วงเวลาเช่นนี้ คุณไม่รู้เลยว่า ‘อีกนานเท่าใด’ ที่สิ่งนี้ยังคงเกิดขึ้น (ข้อ 9) คุณอาจมีคำถามต่าง ๆ ว่าทำไมบางด้านในชีวิตถึงได้เกิดขึ้นอย่างที่มันเป็น หรือบางทีคุณแค่รู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างไกล เซนต์จอห์นแห่งกางเขน (ค.ศ. 1542–1591) อ้างถึงช่วงเวลาเหล่านี้ว่าเป็น ‘คืนที่มืดมิดของจิตวิญญาณ’

คุณควรทำอะไรในช่วงเวลาแบบนี้?

  1. ถามคำถาม
    ผู้เขียนสดุดีไม่ได้พูดอ้อมค้อมเลย เขาเทใจของเขาออกมาให้กับพระเจ้า เขาทูลถามคำถามยาก ๆ กับพระเจ้า ‘พระองค์ทรงเดินหนีไป และทิ้งเราไว้ และไม่เคยหันกลับมามอง ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เราเป็นแกะของพระองค์ พระองค์ทรงเหยียบย่ำด้วยความกริ้วได้อย่างไร?’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  2. ทูลขอคำตอบ
    ‘ขอทรงระลึกถึงชุมนุมชนของพระองค์...ครั้งหนึ่งพระองค์เคยประทับที่นี่ ขอเสด็จมาและไปยังที่ซึ่งปรักหักพังเป็นนิตย์...’ (ข้อ 2–3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คุณไม่ได้เป็นคนเดียวเมื่อคุณมีประสบการณ์และอารมณ์ทำนองนี้ หนึ่งในพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสดุดี คือ คุณสามารถหันไปอ่านได้ในช่วงเวลาที่ในช่วงเวลาที่ทนทุกข์ และเลียนแบบคำอธิษฐานเหล่านี้ในใจของคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่แม้ว่าเมื่อข้าพระองค์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์สามารถจริงใจกับพระองค์เมื่อข้าพระองค์อธิษฐานและเทใจออกมากับพระองค์
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 9:32-10:23ก

ไอเนอัสหายโรค

 32ขณะที่เปโตรเดินทางไปๆ มาๆ ทั่วทุกแห่งนั้น ท่านก็ลงไปหาพวกธรรมิกชนที่อาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย 33เปโตรพบคนหนึ่งชื่อไอเนอัสที่นั่น เขาเป็นอัมพาตต้องนอนอยู่บนเตียงมาแปดปีแล้ว 34เปโตรกล่าวกับเขาว่า “ไอเนอัส พระเยซูคริสต์ทรงให้ท่านหายโรค จงลุกขึ้นเก็บที่นอนของท่านเถิด” ทันใดนั้นไอเนอัสก็ลุกขึ้น 35เมื่อคนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองลิดดาและที่ราบชาโรนเห็นแล้วก็กลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า

เปโตรที่เมืองลิดดาและยัฟฟา

 36ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งที่เป็นสาวกชื่อทาบิธาตามภาษากรีกว่าโดรคัสแปลว่า กวาง หญิงคนนี้เคยทำคุณประโยชน์และสงเคราะห์คนจนมากมาย 37เวลานั้นหญิงคนนี้ป่วยจนถึงแก่ความตาย พวกเขาจึงอาบน้ำศพและตั้งไว้ในห้องชั้นบน 38เมืองลิดดานั้นอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา เมื่อพวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้คนสองคนไปขอร้องท่านว่า “เชิญมาหาโดยด่วน” 39เปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขาทั้งสอง เมื่อถึงแล้วพวกเขาก็พาท่านขึ้นไปที่ห้องชั้นบน พวกหญิงม่ายก็ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ท่านและชี้ให้ท่านดูเสื้อผ้าต่างๆ ที่โดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ 40เปโตรจึงให้คนทั้งหลายออกไปข้างนอก และคุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธา จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง 41เปโตรยื่นมือออกมาพยุงเธอ แล้วเรียกพวกธรรมิกชนกับบรรดาแม่ม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่มีชีวิตนั้นให้กับพวกเขา 42เหตุการณ์นั้นลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา คนจำนวนมากก็พากันมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า 43เปโตรอาศัยอยู่ในเมืองยัฟฟาหลายวัน โดยพักอยู่กับซีโมนที่เป็นช่างฟอกหนัง

กิจการ 10

เปโตรและโครเนลิอัส

 1และมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัสอาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยในกองพันทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลียน 2ท่านและครอบครัวเป็นคนเคร่งศาสนาและเกรงกลัวพระเจ้า ท่านให้ทานแก่ประชาชนอย่างมากมายและอ้อนวอนพระเจ้าอยู่เสมอ 3เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยคนนั้นเห็นนิมิตชัดเจนว่ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้ามาหาตน และกล่าวว่า “โครเนลิอัส” 4โครเนลิอัสจ้องมองทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว และถามว่า “นี่หมายความถึงอะไร ท่านเจ้าข้า?” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและการให้ทานของท่านขึ้นไปถึงพระเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ทรงระลึกถึงท่านแล้ว 5บัดนี้จงใช้คนไปเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา 6ท่านอาศัยอยู่กับซีโมนที่เป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล” 7เมื่อทูตสวรรค์ที่พูดกับท่านจากไปแล้ว ท่านก็เรียกหาคนใช้สองคนกับทหารที่เคร่งศาสนาคนหนึ่งซึ่งเคยปรนนิบัติท่านเสมอ 8เมื่อโครเนลิอัสเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเขาฟังแล้ว ท่านก็ใช้พวกเขาไปเมืองยัฟฟา  9วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณเที่ยง ขณะที่คนกลุ่มนี้เดินทางใกล้จะถึงเมืองยัฟฟา เปโตรขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่ออธิษฐาน 10ขณะนั้นท่านหิวอยากจะรับประทานอาหาร และในระหว่างที่ยังจัดอาหารกันอยู่ เปโตรก็ตกอยู่ในภวังค์ 11และท่านเห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งมุมทั้งสี่ถูกหย่อนลงมายังพื้นโลก 12ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง ทั้งสัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ 13แล้วมีพระสุรเสียงกล่าวกับท่านว่า “เปโตร จงลุกขึ้นฆ่ากิน” 14เปโตรจึงทูลว่า “ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสิ่งไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย” 15แล้วมีพระสุรเสียงมาเป็นครั้งที่สองกล่าวกับท่านว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์” 16สิ่งนี้ปรากฏถึงสามครั้ง แล้วถูกรับขึ้นไปในท้องฟ้าทันที
 17เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ในทันใดนั้น คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้นก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้วหลังจากถามหาจนพบตึกของซีโมน 18พวกเขาร้องถามว่าซีโมนที่เรียกว่าเปโตรพักอยู่ที่นี่หรือไม่? 19ขณะเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตอยู่นั้น พระวิญญาณตรัสกับท่านว่า “นี่แน่ะ มีชายสามคนมาหาเจ้า 20จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับพวกเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราใช้พวกเขามา” 21เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าคือคนที่พวกท่านตามหา พวกท่านมีธุระอะไรหรือ?” 22เขาทั้งหลายจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัสเป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกยิว โครเนลิอัสผู้นี้ได้รับคำบอกจากทูตสวรรค์บริสุทธิ์ให้มาเชิญท่านไปบ้านเพื่อฟังถ้อยคำของท่าน” 23เปโตรจึงเชิญพวกเขาเข้าไปข้างในและให้พักอยู่ที่นั่น

อรรถาธิบาย

เปิดใจกับพระเจ้า

พระเยซูทรงสั่งพวกสาวกให้จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย จงทำให้คนตายแล้วเป็นขึ้น และจงเทศนาข่าวประเสริฐ คริสตจักรในยุคแรกทำตามที่พระเยซูทรงสั่งให้พวกเขาทำ พวกเขาคงต้องประหลาดใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น กระนั้นพวกเขาก็เปิดใจต่อการทรงนำของพระองค์

  1. ความล้ำลึกของการเยียวยารักษา
    พวกเขาได้เห็นอย่างต่อเนื่องถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ทรงทำกิจ เปโตรกล่าวกับชายที่นอนอยู่บนเตียงมาแปดปีว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงให้ท่านหายโรค' (9:34) ทันใดนั้นเขาก็ ‘กระโดดลุกขึ้นจากเตียง’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ทุกคน...ก็ตาสว่างต่อความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่และทรงทำกิจอยู่ท่ามกลางพวกเขา’ (ข้อ 35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

กระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่หาย ทำไมพระเจ้าจึงไม่ได้รักษาทุกคนล่ะ? ผมก็ไม่ทราบ บางทีอาจเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะทำความเข้าใจว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักษาบางคนที่เราอธิษฐานเผื่ออย่างมาก นี่เป็นเรื่องลึกลับ

  1. ความล้ำลึกของการทำให้คนตายกลับเป็นขึ้น
    ต่อมา เปโตรทำให้คนตายกลับเป็นขึ้น เปโตรชุบชีวิตคนตายได้! เรื่องของคนที่ตายแล้วฟื้นหายากในพระคัมภีร์ เกิดขึ้นสองครั้งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ครั้งหนึ่งกับเอลียาห์ และอีกครั้งกับเอลีชา พระเยซูทรงทำให้คนตายกลับเป็นขึ้นสามครั้ง อาจารย์เปาโลหนึ่งครั้ง และเปโตรทำให้โดรคัสเป็นขึ้นจากความตาย คำบัญชาในการทำให้คนตายกลับเป็นขึ้น ปรากฎเพียงแค่ครั้งเดียว (มัทธิว 10:8)

ในเกือบทุกกรณี เป็นคนหนุ่มสาวที่เป็นขึ้นจากความตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้จบลงก่อนวัยอันควร บางโอกาสพระเจ้าทรงแทรกแซงเข้ามาด้วยวิธีนี้ เราไม่รู้สาเหตุว่าทำไม นี่เป็นเรื่องลึกลับ

นี่เป็นจุดที่พระเจ้าทรงแทรกแซง โดรคัส ‘หญิงคนนี้เคยทำคุณประโยชน์และสงเคราะห์คนจนมากมาย’ (กิจการ 9:36) เธอได้ล้มป่วยและเสียชีวิต เปโตรคุกเข่าลงและอธิษฐาน เธอลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่ง และเปโตรยื่นมือออกมาพยุงเธอให้ยืนขึ้น! ผลก็คือ ‘คนจำนวนมากก็พากันมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า' (ข้อ 42)

  1. ความล้ำลึกแห่งพระกิตติคุณ ภายหลังอัครสาวกเปาโลอธิบายว่า ‘เรื่องความล้ำลึกของพระคริสต์...นั่นก็คือคนต่างชาติได้เป็นผู้ร่วมรับมรดกเป็นอวัยวะของกายเดียวกัน และเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาในพระเยซูคริสต์โดยทางข่าวประเสริฐ’ (เอเฟซัส 3:6)

จนกระทั่งถึงจุดนี้ในพระธรรมกิจการ สาวกทุกคนของพระเยซูล้วนเป็นชาวยิว ที่จริง พวกเขาคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมาเป็นคริสเตียนโดยไม่ได้เป็นคนยิว แต่พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาประหลาดใจ พระองค์ทรงเตรียมเปโตรไว้ด้วยนิมิต เขามองเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเขาก็ถูกสั่งให้ฆ่าและรับประทานสัตว์และนกซึ่ง ‘ไม่บริสุทธิ์’ และ ‘เป็นมลทิน’ การตอบสนองของเขาคือ ‘ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า' (กิจการอัครทูต 10:14)

นิมิต และพระสุรเสียงของพระเจ้าซึ่งมาพร้อมกันนั้น ท้าทายเปโตรให้ไม่สร้างความแตกต่างระหว่างอาหารที่สะอาดและไม่สะอาด (ข้อ 13–15) อย่างไรก็ตามเปโตรยังได้ตระหนักว่า นิมิตนี้คือ การที่เขาไม่ควรสร้างความแตกต่างระหว่างคนที่ ‘ไม่เป็นมลทิน’ และ ‘เป็นมลทิน’ นั่นคือ คนยิว กับคนที่ไม่ใช่ยิว ในเนื้อหาพรุ่งนี้ เราจะพบว่า เปโตรกล่าวว่า ‘ไม่มีชนชาติใดดีกว่าชนชาติอื่น ๆ’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในตอนนั้น นี่เป็นความล้ำลึก ‘เปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่าง' (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำอยู่ ภายหลังเขาจึงเข้าใจ พระเจ้าทรงมีแผนการซึ่งใหญ่กว่าพวกเขาเอง ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูไม่ได้จำกัดอยู่แต่พวกยิว แต่มีไว้เพื่อทุกคนในโลก น่าขอบคุณที่เปโตรเปิดใจมากพอที่จะตอบสนองต่อการทรงนำของพระเจ้า ไม่ว่าจะผ่านทางนิมิต หรือแม้แต่เมื่อ ‘พระวิญญาณทรงกระซิบกับท่าน’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่แม้ว่าข้าพระองค์ไม่ได้เข้าใจความล้ำลึกบางอย่างในชีวิตนี้ ข้าพระองค์ก็สามารถวางใจพระองค์และรู้ว่าพระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 23:8-24:25

นักรบของดาวิด

 8ต่อไปนี้เป็นชื่อนักรบที่ดาวิดทรงมีอยู่คือโยเชบบัสเชเบธ ตระกูลทัคโมนี เป็นหัวหน้าของคนทั้งสามนั้น เขาเหวี่ยงหอกเข้าแทงคน 800 คนซึ่งเขาได้ฆ่าเสียในครั้งเดียว
 9ในจำนวนนักรบสามคน คนที่รองคนนั้นมาคือเอเลอาซาร์บุตรโดโด ผู้เป็นบุตรของอาโหอาห์ ท่านอยู่กับดาวิด ตั้งแต่ครั้งที่พวกเขาพูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อทำสงคราม และคนอิสราเอลก็ถอยทัพ 10ท่านลุกขึ้นฆ่าฟันพวกฟีลิสเตีย จนมือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พวกทหารก็กลับตามท่านมา เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น
 11รองเขามาคือชัมมาห์บุตรอาเกชาวฮาราร์ พวกฟีลิสเตียมาชุมนุมกันอยู่ที่เลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็มไปหมด พวกทหารก็หนีไปต่อหน้าพวกฟีลิสเตีย 12แต่ท่านยืนมั่นอยู่ในผืนดินผืนนั้น และป้องกันผืนดินนั้นไว้ และฆ่าฟันพวกฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ทรงทำให้มีชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
 13ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้น มี 3 คนที่ลงมาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัมในฤดูเกี่ยวข้าว มีพวกฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14คราวนั้นดาวิดประทับในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำการของพวกฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15ดาวิดตรัสด้วยความปรารถนาว่า “ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมที่อยู่ข้างประตูเมืองมาให้เราดื่มได้” 16วีรบุรุษสามคนนั้นก็แหกค่ายคนฟีลิสเตียเข้าไป ตักน้ำจากบ่อเบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมือง และนำมาถวายแก่ดาวิด แต่ดาวิดไม่ทรงยอมดื่มน้ำนั้น แต่พระองค์ทรงเทน้ำนั้นถวายแด่พระยาห์เวห์ 17และตรัสว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ซึ่งข้าพระองค์จะทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ที่จะดื่มโลหิตของบรรดาผู้ไปด้วยการเสี่ยงชีวิตของพวกเขาหรือ?” พระองค์จึงไม่ทรงยอมดื่ม นักรบทั้งสามได้ทำสิ่งเหล่านี้
 18อาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทั้งสามสิบคนนั้น ท่านได้ยกหอกต่อสู้ทหาร 300 คน และฆ่าพวกเขา และมีชื่อเสียงดังวีรบุรุษสามคนนั้น 19ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสามสิบคนนั้นแปลได้อีกว่า ท่านเป็นผู้ได้รับเกียรติมากที่สุดในจำนวนสามคนนั้นไม่ใช่หรือ? ฉะนั้นได้เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น
 20เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นคนเข้มแข็งแห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนทำมหกิจหลายอย่าง ท่านฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ ท่านได้ลงไปฆ่าสิงโตในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 21ท่านฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นชายรูปงาม คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหาเขาและแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง 22เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาทำกิจเหล่านี้จึงมีชื่อเสียงดั่งนักรบสามคนนั้น 23ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าสามสิบคนนั้น แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น และดาวิดก็ทรงตั้งท่านให้เป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
 24ในสามสิบคนนั้น มีอาสาเฮลน้องชายของโยอาบ เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม 25ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคาชาวเมืองฮาโรด 26เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรอิกเขชชาวเมืองเทโคอา 27อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์ 28ศัลโมนชาวอาโหอาห์ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์ 29เฮเลบบุตรบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรรีบัยชาวกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน 30เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัยชาวลำธารกาอัช 31อาบีอัลโบนชาวอารบาห์ อัสมาเวทชาวบาฮูริม 32เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน 33ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมบุตรของชาราร์ชาวฮาราร์ 34เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ 35เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอารบี 36อิกาลบุตรนาธันชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด 37เศเลกคนอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ 38อิราตระกูลอิทรี กาเรบตระกูลอิทรี 39อุรียาห์คนฮิตไทต์ รวมทั้งหมด 37 คน

2 ซามูเอล 24

ดาวิดทรงให้นับอิสราเอลและยูดาห์

 1พระพิโรธของพระยาห์เวห์เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จึงทรงเร้าใจดาวิดต่อสู้พวกเขา ตรัสว่า “จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” 2พระราชาจึงทรงรับสั่งกับโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า “จงไปให้ทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน” 3แต่โยอาบกราบทูลพระราชาว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาททรงเพิ่มประชาชนที่มีอยู่อีกร้อยเท่า ขอพระเนตรของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทได้ทรงเห็น เหตุใดพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจึงพอพระทัยทรงทำเรื่องนี้?” 4แต่พระดำรัสของพระราชาบังคับโยอาบและบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพ โยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพจึงออกไปจากพระพักตร์พระราชา เพื่อจะนับประชาชนอิสราเอล 5พวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่อยู่กลางหุบเขากาดถึงยาเซอร์ 6แล้วพวกเขาก็มายังกิเลอาดและมาถึงคาเดชในดินแดนของคนฮิตไทต์ และพวกเขามาถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปถึงไซดอน 7และมาถึงป้อมของไทระ และเมืองทั้งหมดของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน และพวกเขาออกไปยังเนเกบแห่งยูดาห์ที่เมืองเบเออร์เชบา 8เมื่อพวกเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว พวกเขาจึงมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้น 9 เดือนกับ 20 วัน 9และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่พระราชาในอิสราเอล มีทหารหาญ 800,000 คน ผู้พร้อมทำศึกภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ผู้ชักดาบได้ และคนยูดาห์มี 500,000 คน

การพิพากษาบาปของดาวิด

 10เมื่อนับจำนวนประชาชนเสร็จแล้ว พระทัยของดาวิดก็ทรงสำนึกผิด และดาวิดกราบทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่หลวงในเรื่องซึ่งข้าพระองค์ได้ทำนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ขอพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทำอย่างโง่เขลายิ่งนัก” 11และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระยาห์เวห์ก็มายังกาดผู้เผยพระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า 12“จงไปบอกดาวิดว่า พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เรากำหนด 3 อย่างให้เจ้า จงเลือกอย่างหนึ่งจาก 3 อย่างนี้ เพื่อเราจะได้ทำต่อเจ้า’ ” 13กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและทูลพระองค์ว่า “จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของฝ่าพระบาท 7 ปี หรือฝ่าพระบาทจะยอมหนีต่อหน้าศัตรูของฝ่าพระบาทเป็นเวลา 3 เดือนเพราะเขาไล่ตามฝ่าพระบาท หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของฝ่าพระบาท 3 วัน บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงตรึกตรอง และตัดสินว่าจะให้ข้าพระบาทกลับไปกราบทูลสิ่งใดต่อพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระบาทมา” 14ดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า “เราเป็นทุกข์มาก ขอให้พวกเราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ เพราะพระกรุณาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย”
 15ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตายตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบามี 70,000 คน 16และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำลายเมืองนั้น พระยาห์เวห์กลับพระทัยเรื่องเหตุร้ายนั้น ทรงบัญชาทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายท่ามกลางประชาชนว่า “พอแล้ว ยั้งมือของเจ้า” ส่วนทูตของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 17เมื่อดาวิดทอดพระเนตรทูตสวรรค์ผู้กำลังสังหารประชาชนนั้น พระองค์กราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “นี่แหละข้าพระองค์เองทำผิด ข้าพระองค์เองทำบาป แต่บรรดาแกะเหล่านี้ พวกเขาได้ทำอะไร ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์และพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระองค์เถิด”

แท่นบูชาของดาวิดบนลานนวดข้าว

 18ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า “ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์บนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส” 19ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตามคำของกาดตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 20เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นพระราชาและบรรดาข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปย่อตัวลงซบหน้าถึงดินต่อพระราชา 21และอาราวนาห์ทูลว่า “เหตุใดพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จึงเสด็จมาหาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท?” ดาวิดตรัสว่า “มาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อระงับโรคร้ายจากประชาชน” 22อาราวนาห์จึงทูลดาวิดว่า “ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ทรงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ที่นี่มีวัวสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน 23ข้าแต่พระราชา ของทั้งสิ้นนี้อาราวนาห์ขอถวายแด่พระราชา” และอาราวนาห์ทูลพระราชาอีกว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาททรงโปรดปรานฝ่าพระบาท” 24แต่พระราชาตรัสกับอาราวนาห์ว่า “ไม่ได้ เพราะเราจะซื้อจากท่านจริงๆ ตามราคานั้น เราจะถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา โดยที่เราไม่เสียอะไรเลยนั้นไม่ได้” ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงิน 50 แผ่น 25ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องศานติบูชา พระยาห์เวห์ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ถูกระงับเสียจากอิสราเอล

อรรถาธิบาย

อัศจรรย์ใจโดยพระเจ้า

นี่เป็นหนึ่งในพระธรรมตอนที่ล้ำลึกที่สุดในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ทั้งหมดดูเหมือนกำลังไปได้ดี ดาวิดมีคนดี ๆ ล้อมรอบตัวเขา เขาได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนอย่างยิ่งจากชายสามคนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เท่า ๆ กับ ‘นักรบสามสิบคน’

กระนั้นบางสิ่งที่เลวร้ายก็เกิดขึ้น ใครเป็นผู้ยุยงให้ดาวิดนับพลรบของเขา? ในพระธรรมตอนนี้ ปรากฎว่าเป็นองค์พระเจ้าเอง แต่ในข้อความที่เทียบเท่ากันในพงศาวดารเราได้รับการบอกเล่าว่า ‘ซาตานยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล และดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล’ (1 พงศาวดาร 21:1) นี่เป็นหนึ่งในสามครั้งที่ซาตานถูกระบุไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ดาวิดรู้ชัดว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง (‘เนื่องจากท่านนับจำนวนประชากร แทนการวางใจด้วยสถิติ’ 2 ซามูเอล 24:10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) จิตใจของดาวิดก็ ‘สำนึกผิด’ และดาวิดกราบทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่หลวงในเรื่องซึ่งข้าพระองค์ได้ทำนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ขอพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทำอย่างโง่เขลายิ่งนัก’ (ข้อ 10)

ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้ให้ทางเลือกหลายอย่าง ท่านเลือกที่จะตกลงในพระหัตถ์ของพระเจ้า ‘เพราะพระกรุณาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก’ (ข้อ 14) ท่านปฏิเสธที่จะถวายเครื่องเผาบูชาโดยที่เราไม่เสียอะไรเลยนั้นไม่ได้ (ข้อ 24) หลังจากที่ท่านถวายเครื่องเผาบูชาแล้ว ‘พระยาห์เวห์ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น’ (ข้อ 25)

ยังมีอีกมากที่ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่พระธรรมตอนนี้จบลงด้วยความหวัง และการฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นใหม่

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้วางใจในพระองค์ท่ามกลางความสับสน และไม่แน่นอน ขอบพระคุณพระองค์ที่วันหนึ่ง สติปัญญาของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยสำแดงทั้งหมด ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงแสนดี และความรักของพระองค์มั่นคงนิรันดร์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 ซามูเอล 24

มีใครงงเรื่องการสำรวจสำมะโนประชากรบ้างมั้ยคะ?

ข้อพระคำประจำวัน

กิจการอัครทูต 9:34

‘พระเยซูคริสต์ทรงให้ท่านหายโรค’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม