วัน 164

ชนชาติของคุณเปลี่ยนแปลงได้

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 14:25-35
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 8:4-40
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 20:1-21:22

เกริ่นนำ

มีหญิงขายบริการจำนวน 10,000 คน ได้ทำธุรกิจบนถนนในกรุงลอนดอน การดื่มสุราและการพนันก็แพร่กระจายไปทั่ว สหราชอาณาจักรได้ตกสู่ความเสื่อมโทรมและผิดศีลธรรม สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในศตวรรษที่สิบแปด สมาชิกคริสตจักรลดจำนวนลงอย่างมาก (เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา) บางส่วนของคริสตจักรแทบจะกลายเป็นลัทธินอกรีต

กระนั้นประเทศก็เปลี่ยนไปด้วย ในคำเทศนาของจอห์น เวสลีย์และจอร์จ ไวท์ฟิลด์ ที่เริ่มส่งอิทธิพล หลายพันคนตอบสนองต่อคำเทศนาของพวกเขาและได้พบกับพระเยซู โรเบิร์ต เรคส์ เริ่มต้นโรงเรียนรวีวารศึกษาแห่งแรกของเขาในปี ค.ศ. 1780 การเติบโตนี้ทำให้เด็กที่ไม่ได้ไปคริสตจักร 300,000 คนภายในเวลาห้าปี จนถึงปี ค.ศ. 1910 ได้ไปคริสตจักร จนมีเด็กกว่า 5 ล้านคนในโรงเรียนรวีวารศึกษา พระเจ้าทรงยกวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ ลอร์ดแชฟต์สบิวรี่ และคนอื่น ๆ ขึ้น ไม่เพียงแค่จิตใจของแต่ละคนเปลี่ยนไปเท่านั้น ประเทศชาติก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

เมื่อเรามองไปยังโลกของเราในวันนี้ เราเห็นว่าโลกเปลี่ยนไปเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน ในยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง การเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงมหาศาลเข้าสู่หลายประเทศ และสภาพฝ่ายวิญญาณในชาติของคุณจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 14:25-35

25พยานที่พูดความจริงเป็นผู้ช่วยชีวิต
 แต่ผู้ที่หายใจออกมาเป็นคำมุสาก็เป็นคนขายเพื่อน
26ผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ย่อมมีสวัสดิภาพ
 ลูกหลานของเขาจะมีที่ลี้ภัย
27ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต
 เพื่อให้คนหลีกจากบ่วงมรณาได้
28ศักดิ์ศรีของพระราชาอยู่ในมวลชน
 หากไร้ประชาชน เจ้านายก็วิบัติ
29คนที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก
 แต่คนที่โกรธเร็วก็ยกย่องความโง่
30จิตใจสงบให้ชีวิตแก่เนื้อหนัง
 แต่ความอิจฉาทำให้กระดูกผุ
31ผู้กดขี่คนยากจนก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา
 แต่ผู้เมตตาคนขัดสนก็ถวายพระเกียรติแด่พระองค์
32คนอธรรมถูกคว่ำลงตามกรรมชั่วของเขา
 แต่คนชอบธรรมมีที่ลี้ภัยเมื่อเขาตาย
33ปัญญาอาศัยอยู่ในใจของคนที่มีความเข้าใจ
 และปัญญาเป็นที่ประจักษ์แม้ในความคิดของคนโง่
34ความชอบธรรมย่อมเชิดชูประชาชาติ
 แต่บาปเป็นสิ่งที่น่าอายมากแก่ชนชาติ
35ข้าราชการที่ฉลาดย่อมได้รับความโปรดปรานจากพระราชา
 แต่พระพิโรธของพระองค์ก็ตกแก่ผู้ที่ประพฤติน่าอับอาย

อรรถาธิบาย

ประชากรที่สงบสุข

ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า ‘ความชอบธรรมย่อมเชิดชูประชาชาติ แต่บาปเป็นสิ่งที่น่าอายมากแก่ชนชาติ’ (ข้อ 34) (‘การอุทิศตัวต่อพระเจ้าทำให้ชนชาติเข้มแข็ง’ ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความบาปทำลายชนชาติ ความชอบธรรมเชิดชูชนชาติ ความชอบธรรมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ถูกต้องหลากหลายรูปแบบ:

  1. อยู่อย่างสงบสุขกับพระเจ้า
    ความชอบธรรมเริ่มต้นด้วยการอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า (โรม 5:1) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า (เป็นจิตสำนึกของความยำเกรงพระเจ้า)

‘ผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์เกิดความมั่นใจ และทำให้ลูกหลานปลอดภัย ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นน้ำพุแห่งชีวิต’ (สุภาษิต 14:26–27ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  1. อยู่อย่างสงบสุขกับผู้อื่น
    เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับคุณ ‘จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน’ (โรม 12:18) ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับคนอื่น ๆ มีลักษณะเฉพาะด้วยคำพูดและการกระทำที่ชอบธรรม:
  • อันดับแรก คำพูดของเราต้องสัตย์ซื่อมากกว่าล่อลวง ‘พยานที่พูดความจริงเป็นผู้ช่วยชีวิต’ (สุภาษิต 14:25)

  • อย่างที่สอง การกระทำของเราเป็นการแสดงความปรารถนาต่อการอยู่ดีมีสุขของคนอื่น ๆ ให้อดทนดีกว่าโกรธง่าย (ข้อ 29) ให้ใจดีต่อผู้ที่ขัดสน ‘ผู้กดขี่คนไร้อำนาจก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่ผู้เมตตาคนขัดสนก็ถวายพระเกียรติแด่พระองค์’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แสดงความยินดีต่อผู้ที่ประพฤติด้วยปัญญา (ข้อ 33,35)

  1. อยู่อย่างสงบสุขกับตัวเราเอง
    ความชอบธรรมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับตัวเราเอง คุณสามารถรู้จักความสงบสุขได้: ‘ความคิดและจิต​ใจ​สงบและไม่มีสิ่งรบกวนให้​ชีวิต​และพลานามัยที่ดีแก่ร่างกาย’ (ข้อ 30ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความโกรธ การไม่ยอมให้อภัย ความอิจฉาและริษยาสามารถทำลายสุขภาพของคุณได้ การขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิตของคุณ และมี ‘ความสงบสุขในจิตใจ’ เป็นสิ่งดีต่อสุขภาพของคุณ

ท้ายที่สุด ความสงบสุขนี้ มาจากความพึงพอใจทั้งในปัจจุบันและอนาคต ‘แต่คนชอบธรรมมีที่ลี้ภัยเมื่อเขาตาย’ (ข้อ 32ข) สำหรับผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงกลายเป็นที่ลี้ภัยทั้งในปัจจุบัน (ข้อ 26) และในอนาคต (ข้อ 32ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานว่าประชาชาติของเราจะหันกลับมายังพระองค์ และพระนามของพระองค์จะเป็นที่เคารพสักการะอีกครั้งในรัฐสภา รัฐบาล โรงเรียน และศาลยุติธรรม ขอทรงช่วยเราให้เห็นความสำคัญของคนยากจน และเมตตาต่อผู้ที่ขัดสน
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 8:4-40

การประกาศข่าวประเสริฐในสะมาเรีย

 4พวกที่กระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น 5ส่วนฟีลิปไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง 6ฝูงชนต่างสนใจฟังถ้อยคำของฟีลิปขณะฟังท่านประกาศ และเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่ท่านทำ 7เพราะว่าพวกผีโสโครกที่สิงอยู่ในหลายๆ คนพากันร้องเสียงดังแล้วออกจากคนเหล่านั้น พวกที่เป็นอัมพาตกับเป็นง่อยก็หายเป็นปกติ 8จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
 9และมีคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยเล่นคาถาอาคมในเมืองนั้นมาก่อน เขาทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ 10คนทั้งหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยไปจนถึงคนใหญ่โตต่างสนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “คนนี้คือฤทธานุภาพของพระเจ้าที่เรียกว่ามหิทธิฤทธิ์” 11คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาทำวิทยาคมให้ผู้คนพิศวงหลงใหลมานานแล้ว 12แต่เมื่อฟีลิปประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าและพระนามของพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง 13ซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นหมายสำคัญกับการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่ฟีลิปทำ
 14เมื่อพวกอัครทูตที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้ยินว่าชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขาทั้งหลาย 15เมื่อเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 16เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับใคร พวกเขาเพียงแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น 17เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนพวกเขา แล้วพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 18เมื่อซีโมนเห็นว่าคนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือของอัครทูตทั้งสอง จึงนำเงินมาให้ท่านทั้งสอง 19กล่าวว่า “ขอช่วยให้ข้าพเจ้ามีอำนาจแบบนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าวางมือให้คนไหน คนนั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” 20เปโตรจึงกล่าวกับซีโมนว่า “เงินของเจ้าจงพินาศพร้อมกับตัวเจ้า เพราะเจ้าคิดว่าของประทานจากพระเจ้าสามารถซื้อด้วยเงินได้ 21เจ้าไม่มีหุ้นหรือส่วนใดๆ ในการงานนี้ เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า 22เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้า และอธิษฐานขอต่อพระเจ้า พระองค์อาจจะทรงยกความผิดที่เจ้าคิดอยู่ในใจ 23เพราะข้าเห็นแล้วว่าเจ้าตกอยู่ในความขมขื่นและการผูกมัดของความอธรรม” 24ซีโมนจึงตอบว่า “ขอพวกท่านช่วยอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเหตุการณ์ที่พวกท่านกล่าวนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าแม้แต่อย่างเดียว”
 25เมื่ออัครทูตทั้งสองเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง

ฟีลิปและขันทีชาวเอธิโอป

 26แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปลี่ยว) 27ฟีลิปก็ลุกไป และนี่แน่ะ มีขันทีชาวเอธิโอปคนหนึ่ง เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอป และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีองค์นั้น ท่านมานมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม 28ขณะนั่งรถม้ากลับไปนั้น ท่านกำลังอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ 29พระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปชิดรถม้าคันนั้นเถิด” 30ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่อ่านหรือไม่?” 31ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย จะเข้าใจได้อย่างไร?” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับท่าน 32พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้

“ท่านถูกนำไปฆ่าเหมือนอย่างแกะ
 ลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันอย่างไร
 ท่านก็ไม่ปริปากของท่านอย่างนั้น
 33ในเวลาที่ท่านถูกเหยียดหยาม ท่านไม่ได้รับความยุติธรรม
 ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่าน?
 เพราะชีวิตของท่านถูกตัดขาดจากแผ่นดินโลก”

34ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนี้เล็งถึงใคร เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงคนอื่น? ขอบอกข้าพเจ้าเถิด” 35ฟีลิปจึงเริ่มเล่าโดยตั้งต้นจากพระคัมภีร์ตอนนั้น ท่านประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูกับขันทีผู้นั้น 36ขณะกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่ที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา” [ 37ฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” ขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า]” 38แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ คนทั้งสองก็ลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปให้ท่านรับบัพติศมา 39เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไป และขันทีคนนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี 40แต่มีคนพบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อท่านเดินทางไป ท่านก็ประกาศข่าวประเสริฐทั่วทุกเมืองจนกระทั่งท่านไปถึงเมืองซีซารียา

อรรถาธิบาย

คำเทศนาอันทรงพลัง

คริสตจักรในยุคแรกเต็มไปด้วยคนธรรมดาอย่างคุณและผม กระนั้นก็ยังเปลี่ยนแปลงโลกได้ โลกที่เคยรู้จักกันทั้งหมดเปลี่ยนไป หลังจากการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระธรรมกิจการบอกเราว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ทุกแห่งที่พวกเขากระจายไป พวกเขาก็เทศนาเรื่องพระเยซู (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นว่าพวกเขาเทศนากับกลุ่มคน และเทศนาให้ฟังส่วนตัวเหมือนกับซีโมน พ่อมดหมอผี และขันทีชาวเอธิโอเปีย

ประเทศประกอบด้วยเมืองใหญ่ เมืองเล็ก และหมู่บ้าน พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐทั้งสามพื้นที่ ฟีลิปประกาศในเมืองใหญ่ในแคว้นสะมาเรีย (ข้อ 5) เปโตรและยอห์นประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านหลายแห่งในแคว้นสะมาเรีย (ข้อ 25) ฟีลิปประกาศข่าวประเสริฐทั่วทุกเมืองจนกระทั่งท่านไปถึงเมืองซีซารียา (ข้อ 40)

คำเทศนาของพวกเขามาพร้อมกับปัจจัยสามอย่าง:

  1. การข่มเหง
    เริ่มต้นด้วยการถูกข่มเหง ‘พวกที่กระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น’ (ข้อ 4) การกระจายตัวออกไปทำให้เป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ ทุกที่ซึ่งพวกเขาไปนั้น พวกเขา ‘ประกาศเรื่องพระคริสต์’ (ข้อ 5)

ครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์คริสตจักรที่การข่มเหงและการต่อต้าน นำไปสู่การเกิดผลเกินคาด และเป็นเรื่องง่ายที่จะสูญเสียกำลังใจไปเมื่อเราเจอกับประสบการณ์ของความพ่ายแพ้ แต่สิ่งนี้เตือนใจเราว่า พระเจ้าทรงสามารถใช้พวกเขาได้ในแบบที่น่าทึ่ง

  1. การอธิษฐาน
    เราเห็นความสำคัญของการอธิษฐานในพระธรรมตอนนี้ เปโตร และยอห์นอธิษฐานเผื่อชาวสะมาเรียให้พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 15–17)

ซีโมนเป็นผู้วิเศษอันโด่งดัง ผู้ทำให้ทุกคนพิศวงหลงใหลกับคาถาอาคมของเขา และทุกคนก็เชื่อถือเขา (ข้อ 9–11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ตัวเขาเองก็ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูและรับบัพติศมา แต่ก็ยังคงทำในแบบเดิม ๆ เมื่อเขานำเงินมาวางเพื่อจะซื้อพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 19)

เปโตรกลับไม่ประทับใจ ‘ลงนรกไปพร้อมกับเงินของเจ้าเถิด!…จงทูลขอองค์เจ้านายให้ทรงอภัยให้เจ้าในการที่พยายามจะใช้พระเจ้าเพื่อหาเงินทอง ข้าเห็นสันดานเดิมนี้ในตัวเจ้า เจ้าโชยกลิ่นกระหายเงิน’ (ข้อ 20–23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ซีโมนตระหนักว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ จึงขอให้พวกเขาอธิษฐานเผื่อตัวเขา (ข้อ 24)

  1. ฤทธิ์เดช
    คริสตจักรในยุคแรกมีประสิทธิภาพมหาศาล: ‘ฝูงชนต่างสนใจฟังถ้อยคำของฟีลิปขณะฟังท่านประกาศ และเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่ท่านทำ 7เพราะว่าพวกผีโสโครกที่สิงอยู่ในหลายๆ คนพากันร้องเสียงดังแล้วออกจากคนเหล่านั้น พวกที่เป็นอัมพาตกับเป็นง่อยก็หายเป็นปกติ’ (ข้อ 6–7)

พวกเขาพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง การพบกันของฟีลิปและขันทีชาวเอธิโอเปีย ไม่ใช่ผลจากการพบกันผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ แต่เป็น ‘พระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า…’ (ข้อ 29) ผลของการที่ท่านทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ บทสนทนาที่น่าจดจำระหว่างชาวเอธิโอเปีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชนชาติเอธิโอเปียเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คริสตจักรซึ่งถือกำเนิดในวันนั้นยังคงตั้งอยู่ในประเทศนั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง พระองค์สามารถนำการเปลี่ยนแปลงมายังประเทศชาติได้ การเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้คน เป็นเรื่องน่าสังเกตถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในเอธิโอเปียนี้

  • อันดับแรก พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเตรียมใจของเขา
    ขันทีเอธิโอเปียนั้นจริงใจเรื่องความไม่รู้ของเขา (ข้อ 31) ค้นหาคำตอบ (ข้อ 32) และไม่หยิ่งยโสที่จะขอความช่วยเหลือ (ข้อ 34) ไม่ต้องอายที่ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณอ่านพบในพระคัมภีร์เสมอ ๆ มันเป็นการฉลาดที่จะขอความช่วยเหลือจากคนที่เชื่อถือได้ หรือจากหนังสืออรรถาธิบายพระคัมภีร์เพื่อช่วยให้คุณประยุกต์ใช้พระวจนะได้ในชีวิตของคุณ

  • อย่างที่สอง พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำกิจผ่านทางพระวจนะพระเจ้า
    เมื่อขันทีชาวเอธิโอเปียอ่านพระธรรมอิสยาห์ เขาก็เริ่มพบคำตอบ (ข้อ 32–33) บ่อยครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ตัวแทนที่เป็นมนุษย์ที่จะช่วยเปิดเผย อธิบาย และประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงจุดนี้ เริ่มต้นด้วย อิสยาห์ 53 ฟีลิปอธิบายว่า ‘ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู‘ (ข้อ 35)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของขันทีชาวเอธิโอเปียในแบบที่สุดขั้ว และสมบูรณ์แบบจนเขาเชื่อวางใจทันที และขอรับบัพติศมาในน้ำ ไม่มีอะไรตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลงใดจะทรงพลังไปกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ของทรงช่วยข้าพระองค์ให้เป็นเหมือนคริสตจักรยุคแรกยิ่งขึ้น ขอทรงช่วยเราให้อธิษฐานมากขึ้น และทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบวันต่อวัน ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อประเทศชาติของเราที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อประชาชนได้มารู้จักกับพระองค์
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 20:1-21:22

เชบากบฏ

 1และที่นั่นมีคนก่อกวนคนหนึ่งชื่อเชบาบุตรบิครีคนเบนยามิน เขาเป่าเขาสัตว์ขึ้น กล่าวว่า

“เราไม่มีส่วนในดาวิด
เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี
โอ อิสราเอล กลับไปที่อยู่ของตนเถิด”

 2ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงละจากการตามดาวิด และไปตามเชบาบุตรบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตามพระราชาของพวกเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดนไปถึงเยรูซาเล็ม
 3ดาวิดเสด็จกลับพระราชวังที่เยรูซาเล็ม พระราชารับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบคน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปไว้ในบ้านที่มียามเฝ้าหลังหนึ่ง ทรงเลี้ยงดูแต่ไม่ได้เสด็จไปหาพวกนาง พวกนางจึงถูกกักไว้ให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนวันตาย
 4พระราชาตรัสสั่งอามาสาว่า “จงระดมคนยูดาห์ให้มาหาเราพร้อมกันภายในสามวัน ตัวท่านจงมาที่นี่ด้วย” 5อามาสาก็ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาก็ทำงานล่าช้าเกินเวลาที่พระองค์กำหนด 6ดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า “บัดนี้เชบาบุตรบิครีจะทำร้ายเรามากกว่าอับซาโลม ท่านจงนำบรรดาข้าราชการทหารของเจ้านายของท่านไปไล่ตามเขา เกรงว่าเขาจะหาบรรดาเมืองที่มีป้อมได้ และหนีพ้นสายตาเรา” 7มีพวกของโยอาบออกไปตามเขาและคนเคเรธีกับคนเปเลทกับนักรบทั้งหมด และพวกเขาออกจากเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรบิครี 8เมื่อพวกเขามาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบพวกเขา ฝ่ายโยอาบสวมเครื่องแต่งกายทหาร มีเข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝัก คาดอยู่ที่บั้นเอว เมื่อท่านเดินไปดาบก็ตกลง 9โยอาบจึงถามอามาสาว่า “พี่ชายของข้า สบายดีหรือ?” และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจูบเขา 10แต่อามาสาไม่ได้ระวังดาบซึ่งอยู่ในมือของโยอาบ โยอาบจึงเอาดาบแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน ไม่แทงครั้งที่สอง แล้วเขาก็ตาย
 แล้วโยอาบกับอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาบุตรบิครีไป 11ทหารหนุ่มคนหนึ่งของโยอาบมายืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า “ใครเห็นด้วยกับโยอาบและใครอยู่ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้นติดตามโยอาบไป” 12อามาสาก็นอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ที่ในทางหลวง เมื่อชายคนนั้นเห็นพวกทหารทั้งสิ้นมายืนอยู่ เขาก็ย้ายศพอามาสาจากทางหลวงไปทิ้งในทุ่งนาและเอาเสื้อผ้าปิดไว้ เพราะเมื่อใครมาก็เข้าไปดูและยืนอยู่ 13เมื่อเอาศพออกจากทางหลวงแล้ว ทหารทั้งปวงก็ตามโยอาบเพื่อไล่ตามเชบาบุตรบิครี 14เชบาก็ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบล แขวงเมืองเบธมาอาคาห์ และคนเบรีทั้งหมด พวกเขาก็มารวมกันและติดตามเขาไป 15พวกทหารที่อยู่กับโยอาบก็มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ พวกเขาก่อเนินขึ้นซึ่งอยู่ตรงข้ามป้อมเพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น ทหารทั้งหมดที่อยู่กับโยอาบก็ทะลวงกำแพงเพื่อให้พัง 16มีหญิงฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า “ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อย ได้โปรดบอกโยอาบให้เข้ามาใกล้ ฉันอยากจะพูดกับท่าน” 17โยอาบก็เข้ามาใกล้หญิงนั้น นางนั้นก็พูดว่า “ท่านคือโยอาบหรือ?” เขาตอบว่า “ใช่แล้ว” นางจึงเรียนท่านว่า “ขอท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย” ท่านก็ตอบว่า “เรากำลังฟังอยู่แล้ว” 18นางก็พูดว่า “สมัยโบราณพวกเขาพูดกันว่า ‘ให้พวกเขาขอคำปรึกษาที่อาเบลเถิด’ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงกันได้ 19ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและซื่อสัตย์ในอิสราเอล ท่านหาช่องที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระยาห์เวห์เสีย?” 20โยอาบจึงตอบว่า “ซึ่งเราจะกลืนหรือทำลายนั้น ขอให้ห่างไกล ขอให้ห่างไกลจากเรา 21เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเชบาบุตรบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาเท่านั้น แล้วเราจะละจากการต่อสู้เมืองนี้” หญิงนั้นจึงตอบโยอาบว่า “ดูเถิด ศีรษะของเขาจะถูกโยนข้ามกำแพงมาให้ท่าน” 22แล้วหญิงนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดด้วยปัญญาของนาง พวกเขาก็ได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรบิครีโยนให้โยอาบ โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ ต่างก็แยกกันไปจากเมืองนั้น กลับไปยังที่อยู่ของตน โยอาบก็กลับไปเฝ้าพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
 23โยอาบเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมดในอิสราเอล และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชากองคนเคเรธีและคนเปเลท 24และอาโดรัมดูแลคนงานโยธา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 25เชวาเป็นราชเลขา ศาโดกกับอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต 26อิราตระกูลยาอีร์เป็นปุโรหิตของดาวิดด้วย

2 ซามูเอล 21

ดาวิดทรงแก้แค้นให้คนกิเบโอน

 1ในสมัยของดาวิดมีการกันดารอาหารอยู่สามปี ปีแล้วปีเล่า และดาวิดก็ทูลถามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เพราะซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขาแปดเปื้อนโลหิต พวกเขาฆ่าคนกิเบโอน” 2พระราชาจึงทรงเรียกคนกิเบโอนมาตรัสแก่พวกเขา (ฝ่ายคนกิเบโอนนั้นไม่ใช่พงศ์พันธุ์อิสราเอล แต่เป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลได้ปฏิญาณต่อพวกเขา แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารพวกเขาเสีย เพราะความกระตือรือร้นเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์) 3ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า “เราจะทำอะไรให้แก่พวกท่านได้? เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระยาห์เวห์?” 4คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า “ระหว่างพวกข้าพระบาทกับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้นไม่ใช่เรื่องเงินหรือทอง ทั้งไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระบาทที่จะประหารชีวิตใครในอิสราเอล” พระองค์จึงตรัสว่า “พวกท่านพูดว่าอย่างไร เราก็จะทำให้พวกท่าน” 5พวกเขากราบทูลพระราชาว่า “สำหรับชายผู้ที่ล้างผลาญพวกข้าพระบาท และวางแผนทำลายพวกข้าพระบาท เพื่อไม่ให้พวกข้าพระบาทมีที่อยู่ในเขตแดนสักแห่งของอิสราเอล 6ขอทรงมอบบุตร 7 คนของเขาให้พวกข้าพระบาท เพื่อจะได้แขวนคอพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้รับการเลือกสรรของพระยาห์เวห์”แปลได้อีกว่า ที่กิเบอาห์บนภูเขาของพระยาห์เวห์ และพระราชาตรัสว่า “เราจะมอบพวกเขาให้”
 7แต่พระราชาทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชทบุตรของโยนาธานโอรสของซาอูล ด้วยเหตุคำปฏิญาณที่ทั้งสองทำในพระนามพระยาห์เวห์ คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานโอรสของซาอูล 8แต่พระราชานำเอาบุตรสองคนของนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ ซึ่งเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับเมฟีโบเชท กับบุตรห้าคนของเมราบสำเนาโบราณฉบับฮีบรูอื่นว่า มีคาล ราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอลบุตรบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ 9พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน พวกเขาจึงแขวนคอคนเหล่านี้ไว้บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทั้งเจ็ดคนก็ตายไปด้วยกัน พวกเขาถูกฆ่าตายในวันแรกของฤดูเกี่ยวข้าว ในวันเริ่มต้นการเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
 10แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนฝนจากท้องฟ้าตกบนพวกเขา กลางวันนางก็ไม่ยอมให้นกในอากาศมาเกาะ และกลางคืนก็ไม่ให้สัตว์ป่าทุ่งมา 11เมื่อเขาทูลดาวิดให้ทรงทราบว่านางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์นางสนมของซาอูลทำอย่างไร 12ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสมาจากเมืองยาเบชกิเลอาด จากผู้ที่ลักลอบเอาไปจากลานเมืองเบธชาน ที่พวกฟีลิสเตียได้แขวนทั้งสองพระองค์ไว้ ในวันที่พวกฟีลิสเตียประหารซาอูลบนเขากิลโบอา 13พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสของพระองค์ขึ้นมาจากที่นั่น และรวบรวมกระดูกของบรรดาผู้ที่ถูกแขวนคอตาย 14และพวกเขาก็ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสของพระองค์ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศ-ลาในอุโมงค์ของคีชบิดาของพระองค์ พวกเขาก็ทำตามทุกอย่างที่พระราชาทรงบัญชาไว้ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น

ความกล้าหาญของทหารดาวิด

 15พวกฟีลิสเตียมาทำสงครามกับคนอิสราเอลอีก ดาวิดก็เสด็จลงไปพร้อมกับบรรดาข้าราชการทหารของพระองค์ และทรงสู้รบกับคนฟีลิสเตีย และดาวิดก็ทรงอ่อนเพลีย 16อิชบีเบโนบผู้เป็นคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ถือหอกทองสัมฤทธิ์หนักสามกิโลกรัมครึ่ง มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะฆ่าดาวิดเสีย 17แต่อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์เข้ามาช่วยพระองค์ไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนั้น ฆ่าเขาเสีย แล้วเหล่าทหารของดาวิดก็ทูลปฏิญาณต่อพระองค์ว่า “ขอฝ่าพระบาทอย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวกข้าพระบาทอีกต่อไปเลย เพื่อฝ่าพระบาทจะไม่ดับประทีปของอิสราเอล”
 18ต่อมาภายหลัง มีการรบกับพวกฟีลิสเตียอีกที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟผู้เป็นคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ 19และมีการรบกับพวกฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันบุตรยาอาเรโอเรกิม ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัทว่า น้องชายของโกลิอัท ชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า 20มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็สืบเชื้อสายมาจากพวกคนยักษ์ด้วย 21เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรของชิเมอีเชษฐาของดาวิดก็ฆ่าเขาเสีย 22คนทั้งสี่นี้สืบเชื้อสายคนยักษ์ในเมืองกัท พวกเขาล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของเหล่าข้าราชการทหารของพระองค์

อรรถาธิบาย

คำอธิษฐานที่ร้อนรน

ดูเหมือนสงครามในชีวิตของดาวิดไม่เคยจบสิ้น ในพระธรรมวันนี้ เราได้เห็นสงครามอีกสองครั้ง

ครั้งแรก มี ‘คนก่อกวนคนหนึ่งชื่อเชบา‘ (20:1) นี่เป็นเสียงสะท้อนของการต่อสู้ของดาวิดกับอับซาโลม (16:22) คนอิสราเอลดูเหมือนจะหวั่นไหวง่ายสุด ๆ ‘ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงละจากการตามดาวิด และไปตามเชบา‘ (20:2) พระเจ้าประทานชัยชนะเหนือเชบาให้กับดาวิด แต่ทันใดนั้นก็มีสงครามอีกอันหนึ่งรออยู่ข้างหน้า

มีการกันดารอาหารอยู่สามปี (21:1ก) เมื่อประเทศชาติต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ‘ดาวิด​ก็​ทูล​ถาม​พระ​ยาห์​เวห์’ (ข้อ 1ข) บางเวลาต้องใช้ภัยพิบัติหนักหนาเพื่อทำให้เราคุกเข่าลง พระเจ้าตรัสกับดาวิดเมื่อเขาอธิษฐาน

พระองค์ทรงจัดการกับอิสราเอลตามพันธสัญญาที่พวกเขาทำกับชาวกิเบโอน (ดู โยชูวา บทที่ 9) แม้จะทำพันธสัญญากัน ซาอูลพยายามที่จะทำลายล้างคนกิเบโอน แต่พันธสัญญาซึ่งทำไว้ต่อพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งและไม่สามารถหักล้างได้ง่าย ๆ (คำมั่นสัญญาที่สามัญที่สุดในปัจจุบัน คือ ในพิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์ และการสาบานตนในศาล) ต่อเมื่อดาวิดทำทุกอย่างให้ถูกต้องและเคารพพันธสัญญาที่ทำต่อพระเจ้า หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น (2 ซามูเอล 21:14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ในฐานะตัวแทนชนชาติของข้าพระองค์ ขอทรงเมตตาเรา ขอทรงช่วยเราให้เป็นประชาชาติที่ถวายเกียรติพระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญาในชีวิตสมรสของเรา และสัตย์สุจริตเมื่อสาบานตนในศาล ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งเพื่อแผ่นดินของเรา ขอชนชาติของเราหันกลับไปหาพระองค์ ขอพระนามของพระองค์ได้รับเกียรติ ขอแผ่นดินของพระองค์จะมาตั้งอยู่

เพิ่มเติมโดยพิพพา

กิจการอัครทูต 8:39–40

‘พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไป...แต่มีคนพบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส …’

ฉันไม่รู้ว่านี่ควรน่าตื่นเต้นหรือน่าตกใจ (หรือแค่เป็นประโยชน์) ที่จะอยู่ที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน ในกรุงลอนดอนนาทีหนึ่ง และนาทีถัดมาก็อยู่ที่เมืองไบร์ตัน! มันจะเกิดขึ้นกับฉันก็ต่อเมื่อฉันขับรถออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางสิ้นเชิง!

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 14:31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘… เมื่อคุณเมตตาต่อคนยากจน คุณถวายเกียรติแด่พระเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม