คุณเปลี่ยนแปลงได้
เกริ่นนำ
มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่บนถนนใกล้กับคริสตจักรของเรา เธอมักจะขอเงินและตอบโต้อย่างก้าวร้าวต่อคนที่ปฎิเสธ เมื่อเธอเสียชีวิต ผมได้จัดงานศพให้ และผมพบหลังจากนั้นว่า ผู้หญิงคนนี้ได้รับมรดกก้อนใหญ่ เธอได้รับห้องพักหรูหราและภาพเขียนมูลค่าสูงหลายภาพ แต่เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตบนถนนกับถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยเศษขยะ เธอไม่สามารถละชีวิตที่เธอคุ้นเคยไว้เบื้องหลัง และเธอก็ไม่เคยใช้ประโยชน์จากมรดกของเธอ
บางคนกลัวการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้เชื่อบางคน กระนั้นข่าวที่น่าอัศจรรย์คือ โดยความช่วยเหลือของพระเจ้า คุณเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต การเติบโต และการปรับเปลี่ยนฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงการกระทำ หรือรูปลักษณ์ของเรา; เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงภายใน เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงที่หัวใจ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
สดุดี 73:1-14
บรรพ 3
คำวิงวอนขอการบรรเทาจากผู้ข่มเหง
เพลงสดุดีของอาสาฟ
1แน่ทีเดียว พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล
ต่อบุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์
2แต่ข้าพเจ้าเล่า เท้าของข้าพเจ้าเกือบสะดุด
ย่างเท้าของข้าพเจ้าจวนพลาดเต็มทีแล้ว
3เพราะข้าพเจ้าริษยาคนจองหอง
เมื่อข้าพเจ้าเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของคนอธรรม
4เพราะเขาทั้งหลายไม่มีความเจ็บปวด
ร่างกายของพวกเขาปกติและสมบูรณ์
5เขาทั้งหลายไม่ลำบากอย่างคนอื่นๆ
พวกเขาไม่รับภัยอย่างคนอื่นๆ
6เพราะฉะนั้น ความเย่อหยิ่งจึงเป็นสร้อยคอของเขาทั้งหลาย
ความทารุณคลุมพวกเขาไว้อย่างเครื่องแต่งกาย
7ตาของเขาทั้งหลายพองด้วยความอ้วนพี
ใจของพวกเขาเต็มด้วยความคิดชั่ว
8เขาทั้งหลายเย้ยหยันและพูดด้วยความมุ่งร้าย
พวกเขายโส ขู่ว่าจะบีบบังคับ
9เขาทั้งหลายอ้าปากสู้ฟ้าสวรรค์
และลิ้นของพวกเขาก็ตระเวนไปในโลก
10เพราะฉะนั้น ประชาชนของพระองค์จึงกลับมาที่นี่
และพวกเขาดื่มน้ำแห่งความบริบูรณ์
11และเขาทั้งหลายพูดว่า “พระเจ้าทรงทราบได้อย่างไร?
พระเจ้าผู้สูงสุดมีความรู้หรือ?”
12ดูเถิด คนอธรรมเป็นเช่นนี้แหละ
อยู่อย่างสบายเป็นนิตย์ และร่ำรวยขึ้น
13ข้าพเจ้าได้รักษาใจให้สะอาด
และชำระมือด้วยความบริสุทธิ์ก็เปล่าประโยชน์แน่ทีเดียว
14เพราะข้าพเจ้ารับภัยอยู่วันแล้ววันเล่า
และถูกตีสอนอยู่ทุกเช้า
อรรถาธิบาย
มีมุมมองแบบพระเจ้า
คุณเคยสงสัยไหมว่า ความเชื่อของคุณคุ้มค่าจริงหรือ? คุณเคยหันมองรอบตัวไปยังคนที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อ และสงสัยว่าพวกเขาอาจเหนือกว่าคุณ และแม้แต่ถูกทดลองให้รู้สึกอิจฉาพวกเขา?
ผู้เขียนสดุดีได้รักษาจิตใจที่บริสุทธิ์ของตน (ข้อ 1) แต่เขาพบว่าชีวิตนั้นยากเย็นเหลือเกิน เขามีการปล้ำสู้ของตัวเองและเคย ‘รับภัย’ (ข้อ 5) ด้วยการทดลอง การสงสัย ความกลัว และความวิตกกังวลในความคิด
เขามองไปรอบ ๆ ในสังคมที่ร่ำรวยซึ่งดูเหมือนเป็นไปได้ดีโดยปราศจากพระเจ้า เขา ‘เกือบสะดุด’ (ข้อ 2) ‘เพราะข้าพเจ้าริษยาคนจองหอง เมื่อข้าพเจ้าเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของคนอธรรม’ (ข้อ 3)
คุณอาจเห็นคนรอบตัวที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ แม้ว่า ‘ใจของพวกเขาเต็มด้วยความคิดชั่ว’ (ข้อ 7) พวกเขาดูเหมือนไม่เคยเดือดร้อน (ข้อ 4) พวกเขาดูเหมือนสมบูรณ์พร้อมและไม่ต้องแบกรับอะไร (ข้อ 4–5) พวกเขาหยิ่งและยโสโอหัง และปรากฎว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า (ข้อ 6–11)
หากคุณพบว่าตัวเองไถลไปบนหนทางแห่งความสงสัยและสิ้นหวัง (ข้อ 2) สงสัยว่าคุณได้รักษาใจให้สะอาด โดยเปล่าประโยชน์ (ข้อ 13) จากนั้นสดุดีบทนี้บอกคุณว่าต้องทำอะไร
อย่างที่เราได้เห็น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเมื่อเราเข้าสู่ 'สถานนมัสการของพระเจ้า’ (ข้อ 17) และมองเห็นจากมุมมองของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีเปลี่ยนแปลงหัวใจไปหมด เขา ‘พิเคราะห์เห็นปลายทางของเขาทั้งหลาย’ เขาตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างปลายทางของคนเหล่านั้นกับตัวเขาเอง (ข้อ 17)
สดุดีบทนี้เริ่มต้นด้วย ‘แน่ทีเดียว พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล ต่อบุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์’ (ข้อ 1) และจบลงด้วย ‘แต่ส่วนข้าพระองค์ ที่จะเข้าใกล้พระเจ้านั้นดี ข้าพระองค์ได้ให้พระยาห์เวห์องค์เจ้านายเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์’ (ข้อ 28)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 7:44-8:3
44“บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีเต็นท์แห่งสักขีพยาน ตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้เมื่อตรัสกับโมเสสว่าให้ทำเต็นท์ตามแบบที่ได้เห็น 45บรรพบุรุษของเราเมื่อได้รับเต็นท์นั้นจึงขนตามโยชูวาไป หลังจากเข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติที่พระเจ้าทรงขับไล่ให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเราแล้ว เต็นท์นั้นก็ยังคงอยู่จนถึงสมัยของดาวิด 46ดาวิดนั้นได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า และทรงขออนุญาตที่จะจัดเตรียมพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ 47แต่ซาโลมอนเป็นผู้ที่ได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระเจ้า 48ถึงกระนั้นก็ดี องค์ผู้สูงสุดก็ไม่ได้ประทับในพระนิเวศที่มือมนุษย์ทำไว้ ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า
49 *‘สวรรค์เป็นที่ประทับของเรา
และแผ่นดินโลกเป็นที่รองเท้าของเรา
พวกเจ้าจะสร้างนิเวศชนิดไหนสำหรับเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
หรืออะไรจะเป็นที่พำนักของเรา?
*50 สิ่งเหล่านี้มือของเราทำไว้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?’
51“เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น 52มีใครบ้างในบรรดาผู้เผยพระวจนะที่บรรพบุรุษทั้งหลายของพวกท่านไม่ได้ข่มเหง? พวกเขาฆ่าคนทั้งหลายที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของ ‘องค์ผู้ชอบธรรม’ และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ 53คือพวกท่านที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น”
สเทเฟนถูกขว้างด้วยก้อนหิน
54เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเดือดดาล และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน 55ส่วนสเทเฟนเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเขม้นดูสวรรค์เห็นพระรัศมีของพระเจ้า และเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ 56แล้วท่านกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และเห็นบุตรมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” 57แต่พวกเขาร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปหาสเทเฟน 58แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง และพวกสักขีพยานที่ปรักปรำสเทเฟน ก็ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล 59ขณะที่พวกเขาเอาหินขว้างสเทเฟนอยู่นั้น ท่านร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” 60แล้วสเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษพวกเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้วก็สิ้นใจ
กิจการ 8
1และเซาโลก็เห็นชอบด้วยกับการฆ่าสเทเฟน
เซาโลข่มเหงคริสตจักร
ขณะนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และบรรดาสาวกกระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียเว้นแต่พวกอัครทูต 2บรรดาคนที่ยำเกรงพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง 3ส่วนเซาโลพยายามทำลายคริสตจักรโดยเข้าไปฉุดลากเอาพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงตามบ้านเรือนไปจำไว้ในคุก
อรรถาธิบาย
เข้าสุหนัตจิตใจของคุณเอง
คุณเคยมองไปที่บางคนที่ข่มเหงความเชื่อคริสเตียนแบบสุด ๆ และสงสัยว่าพวกเขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหม? ในพระธรรมของวันนี้ เราได้เห็นว่า ผู้ข่มเหงคนหนึ่งที่ใจแข็งกระด้างที่สุดยังสามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่ได้
เพื่อที่จะเป็นคนยิวอย่างแท้จริง นั่นหมายถึงการเข้าสุหนัตทางร่างกาย ผู้ชายทุกคนต้องเข้าสุหนัตในวันที่แปดของชีวิต แต่การเข้าสุหนัตทางร่างกายนั้นตั้งใจว่าจะให้เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสุหนัตทางจิตใจ
เมื่อคำแถลงของสเทเฟนมาถึงในตอนท้าย ด้วยความกล้าหาญและความชัดเจนอย่างยิ่ง เขาพูดกับผู้ที่กล่าวหาว่า ‘เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น’ (7:51) เขากล่าวโทษบรรดาคนเหล่านั้นที่สังหารพระเยซู (‘องค์ผู้ชอบธรรม’ ข้อ 52)
แก่นเรื่องหลักตลอดคำแถลงของสเทเฟนนั่นคือ พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในสถานที่หนึ่งที่ใด ‘องค์ผู้สูงสุดก็ไม่ได้ประทับในพระนิเวศที่มือมนุษย์ทำไว้’ (ข้อ 48)
ไม่ใช่ทั้งเต็นท์นัดพบ (ข้อ 44–45) ไม่ใช่ทั้งพระวิหาร (ข้อ 46–47) อาจถูกมองว่าเป็นนิเวศของพระเจ้าในความหมายตามตัวอักษร (ข้อ 48) ดังที่พระเจ้าตรัสผ่านอิสยาห์ ‘สวรรค์เป็นที่ประทับของเรา และแผ่นดินโลกเป็นที่รองเท้าของเรา’ (ข้อ 49) พระเยซูเสด็จมาเพื่อแทนที่เต็นท์นัดพบกับพระวิหาร จำเพาะพระพักตร์พระเยซู ผู้คนจะมาที่พระวิหารเพื่อพบพระเจ้า ด้วยการเสด็จมาของพระเยซู สถานที่นัดพบกับพระเจ้าคือองค์พระเยซูเอง
บัดนี้ ผ่านทางองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงสำแดงกับประชากรของพระองค์ (มัทธิว 18:20) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนที่รวมตัวกัน คริสตจักรซึ่งพระเจ้าทรงสถิตโดยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 2:22) โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงสถิตกับเราแต่ละคน ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 โครินธ์ 6:19) การทรงสถิตของพระเจ้าบัดนี้อยู่กับสเทเฟน ผู้ซึ่ง ‘เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (กิจการ 7:55)
สเทเฟนกำลังพูดกับปุโรหิตของพระวิหาร ซึ่งบัดนี้ถูกแทนที่โดยพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ ‘เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเดือดดาล และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน’ (ข้อ 54) แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง (ข้อ 58)
หนึ่งในประชากรคนที่ ‘จิตใจยังไม่ได้เข้าสุหนัต’ คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเซาโล ‘และพวกผู้นำก็ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเซาโล’ (ข้อ 58, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขา ‘ก็อยู่ที่นั่น แสดงความยินดีกับคนที่ฆ่าสเทเฟน’ (8:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เซาโล ชายหนุ่มคนนี้ ‘พยายามทำลายคริสตจักรโดยเข้าไปฉุดลากเอาพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงตามบ้านเรือนไปจำไว้ในคุก’ (ข้อ 3)
เป็นเรื่องยากที่จะพบใครสักคนในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงจิตใจได้มากกว่าชายหนุ่มคนนี้ จากคนที่เป็นคนเข่นฆ่าคริสเตียน เขากลายเป็นอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้เทศนาไปทั่วโลกว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (9:20) ลองจินตนาการว่าอดีตสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ลงเอยด้วยการเป็นพระสันตะปาปา แล้วคุณจะเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัครสาวกเปาโล
ความเปลี่ยนแปลงจิตใจได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? บางทีเมล็ดพันธุ์ถูกปลูกเมื่อเขาเห็นการเสียชีวิตของสเทเฟน ‘ส่วนสเทเฟนเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเขม้นดูสวรรค์เห็นพระรัศมีของพระเจ้า และเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วท่านกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และเห็นบุตรมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”’ (7:55–56)
จากนั้น ‘ขณะที่พวกเขาเอาหินขว้างสเทเฟนอยู่นั้น ท่านร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” แล้วสเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษพวกเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้วก็สิ้นใจ’ (ข้อ 59–60)
ภายหลังเซาโลคนเดียวกันนี้ หรือรู้จักกันในชื่อเปาโล เขียนว่า ‘… คนเป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ’ (โรม 2:29)
การเข้าสุหนัตคือการขลิบออก คริสเตียนแท้ทุกคนได้เข้าสุหนัตโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อหัวใจของคุณเข้าสุหนัตคุณมองหาที่จะขลิบท่าทีที่ไม่ถูกต้องทุกอย่างที่เข้ามาในหัวใจและความคิดของคุณให้ออกไป การพูดว่า ‘ไม่’ ต่อบางอย่างที่จะหยุดหัวใจของคุณและหันกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้องจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า เหมือนกับสเทเฟนที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้ความรัก ความกล้าหาญ และการให้อภัยนั้นไหลล้นออกมาจากภายใน
คำอธิษฐาน
2 ซามูเอล 18:19-19:43
ดาวิดทรงทราบข่าวอับซาโลมสวรรคต
19อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลพระราชาว่า พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์แล้ว” 20โยอาบก็ตอบเขาว่า “ท่านอย่าเป็นคนนำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสของพระราชาสวรรคตแล้ว” 21โยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า “จงไปทูลพระราชาให้ทรงทราบ ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น” ชาวคูชคนนั้นก็ย่อตัวลงคำนับโยอาบ แล้วก็วิ่งไป 22อาหิมาอัสบุตรศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า “จะอย่างไรก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย” โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม? เพราะว่าการส่งข่าวนี้จะไม่มีรางวัลให้แก่เจ้า” 23เขาตอบว่า “จะอย่างไรก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะขอวิ่งไป” โยอาบจึงบอกเขาว่า “วิ่งไปเถอะ” และอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบ ขึ้นหน้าชาวคูชนั้นไป
24ดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาของประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู นี่แน่ะมีชายคนหนึ่งวิ่งมาตามลำพัง 25ทหารยามคนนั้นก็ร้องกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า “ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา” ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้ 26ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้องบอกไปที่นายประตูเมืองว่า “ดูสิ มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง” พระราชาตรัสว่า “เขาเป็นคนนำข่าวมาด้วย” 27ทหารยามนั้นกราบทูลว่า “ข้าพระบาทคิดว่าคนที่วิ่งมาก่อน วิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก” และพระราชาตรัสว่า “คนนี้เป็นคนดี เขามาด้วยข่าวดี”
28แล้วอาหิมาอัสร้องทูลพระราชาว่า “ขอสวัสดิภาพมีแด่พระราชา” เขาก็ย่อตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระราชา ซบหน้าลงถึงพื้นดินทูลว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท พระองค์ได้ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของพวกเขาต่อสู้กับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทแล้ว” 29พระราชาตรัสถามว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสบายดีไหม?” อาหิมาอัสทูลตอบว่า “เมื่อโยอาบใช้ผู้รับใช้ของพระราชามา และข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเห็นผู้คนสับสนกันใหญ่ แต่ไม่ทราบเหตุ” 30พระราชาตรัสว่า “จงหลีกมายืนตรงนี้” เขาจึงหลีกไปยืนนิ่งอยู่
31นี่แน่ะ ชาวคูชนั้นก็มาถึง ชาวคูชนั้นกราบทูลว่า “มีข่าวดีถวายแด่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นให้ฝ่าพระบาทพ้นจากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ฝ่าพระบาท” 32พระราชาตรัสถามชาวคูชนั้นว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสบายดีไหม?” ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า “ขอให้บรรดาศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และคนทั้งปวงที่ลุกขึ้นทำร้ายฝ่าพระบาทเป็นเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด”
ดาวิดทรงคร่ำครวญถึงอับซาโลม
33พระราชาทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และทรงกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า “โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราเองอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา”
2 ซามูเอล 19
1เขาเรียนโยอาบว่า “ดูสิ พระราชาทรงกันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม” 2เพราะฉะนั้น ชัยชนะในวันนั้นก็กลายเป็นการไว้ทุกข์ของทหารทั้งปวง เพราะในวันนั้นพวกทหารได้ยินว่า “พระราชาทรงโทมนัสเพราะโอรสของพระองค์” 3ในวันนั้นพวกทหารแอบเข้ามาในเมืองอย่างกับพวกทหารที่แอบมา เมื่อละอายใจหนีศึกกลับมา 4พระราชาคลุมพระพักตร์ ทรงกันแสงเสียงดังว่า “โอ อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา” 5โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า “วันนี้ฝ่าพระบาททรงทำให้ข้าราชการทหารทั้งสิ้นของฝ่าพระบาทรับความละอาย คือ พวกเขาซึ่งวันนี้ได้ช่วยชีวิตของฝ่าพระบาท ทั้งชีวิตของบรรดาราชโอรสและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสีและชีวิตของบรรดาสนมของฝ่าพระบาท 6เพราะว่าฝ่าพระบาททรงรักผู้ที่เกลียดชังฝ่าพระบาท และทรงเกลียดชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท เพราะในวันนี้ ฝ่าพระบาททรงทำให้ประจักษ์แล้วว่า บรรดานายทหารและข้าราชการไม่มีค่าสำหรับฝ่าพระบาท ในวันนี้ข้าพระบาททราบว่า ถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และในวันนี้ข้าพระบาททั้งหลายตายสิ้น ฝ่าพระบาทก็จะพอพระทัย 7ขอฝ่าพระบาททรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ ขอเสด็จออกไปตรัสให้กำลังใจบรรดาข้าราชการ เพราะข้าพระบาทปฏิญาณในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ถ้าฝ่าพระบาทไม่เสด็จ จะไม่มีชายสักคนหนึ่งค้างอยู่กับฝ่าพระบาทในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆ ทั้งสิ้น ซึ่งบังเกิดแก่ฝ่าพระบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้”
ดาวิดเสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
8พระราชาก็ทรงลุกขึ้น ประทับที่ประตู พวกเขาไปบอกพวกทหารว่า “ดูสิ พระราชาประทับอยู่ที่ประตู” ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้าพระราชา
ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยังที่อาศัยของตนหมดแล้ว 9ประชาชนทั้งสิ้นก็หมางใจกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า “พระราชาเคยทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือบรรดาศัตรูของเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือพวกฟีลิสเตีย บัดนี้พระองค์ทรงหนีอับซาโลมออกจากแผ่นดิน 10แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมตั้งไว้เหนือเรานั้นก็สวรรคตเสียแล้วในสงคราม บัดนี้ทำไมพวกเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะทูลเชิญพระราชาให้เสด็จกลับ?”
11กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตทั้งสอง รับสั่งว่า “จงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของคนยูดาห์ว่า ‘ทำไมพวกท่านจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะทูลเชิญพระราชาเสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ ในเมื่อมีถ้อยคำมาจากอิสราเอลทั้งปวงถึงพระราชา ให้เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์? 12ท่านเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและเนื้อของเรา ทำไมท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับ?’ 13และจงบอกอามาสาว่า ‘ท่านไม่ได้เป็นกระดูกและเนื้อของเราหรือ? ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพต่อหน้าเราแทนโยอาบสืบต่อไป ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และทรงเพิ่มโทษนั้น’ ” 14 กษัตริย์ดาวิดชักจูงจิตใจของคนยูดาห์ทั้งปวงดังกับจิตใจของชายคนเดียว พวกเขาจึงส่งคนไปทูลพระราชาว่า “ขอฝ่าพระบาทเสด็จกลับพร้อมกับข้าราชการทั้งหมด” 15พระราชาก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จพระราชาและนำพระราชาเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
16ชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17มีคนจากเผ่าเบนยามินพร้อมกับท่าน 1,000 คน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตร 15 คน กับคนใช้อีก 20 คน ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนเฉพาะพระพักตร์พระราชา
ความเมตตาของดาวิดต่อชิเมอี
18ขณะที่ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของพระราชา และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอีบุตรเก-รา โน้มตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระราชาขณะที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน 19ทูลพระราชาว่า “ขอเจ้านายของข้าพระบาทอย่าทรงถือโทษการล่วงละเมิดของข้าพระบาท และขออย่าทรงจดจำความผิดที่ข้าพระบาททำในวันที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ขอพระราชาอย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย 20ด้วยผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททราบแล้วว่าข้าพระบาทเองได้ทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพระบาทได้มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟทั้งหมด ที่ลงมารับเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท” 21อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงตอบว่า “ที่ชิเมอีทำเช่นนี้ไม่ควรจะถึงที่ตายดอกหรือ? เพราะเขาได้แช่งด่าผู้ที่รับการเจิมของพระยาห์เวห์” 22แต่ดาวิดตรัสว่า “บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่านจะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา ในวันนี้น่ะควรที่จะให้ใครในอิสราเอลมีโทษถึงตาย ในวันนี้เราไม่ทราบหรือว่า เราเองเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล?” 23และพระราชาตรัสกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ตาย” แล้วพระราชาก็ทรงปฏิญาณให้เขา
ดาวิดทรงพบเมฟีโบเชท
24เมฟีโบเชท พระราชนัดดาของซาอูลก็ลงมารับเสด็จ โดยไม่ได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่พระราชาเสด็จจากไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ 25เมื่อเมฟีโบเชทมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะรับเสด็จ พระราชาตรัสถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมท่านไม่ได้ไปกับเรา?” 26ท่านทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท มหาดเล็กของข้าพระบาทหลอกลวงข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทบอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จพระราชา’ เพราะว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นง่อย 27เขากลับไปทูลพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ใส่ร้ายผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท แต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเหมือนทูตของพระเจ้า เมื่อฝ่าพระบาททรงเห็นสมควรจะทำแก่ข้าพระบาทประการใด ก็ขอทรงทำเถิด พ่ะย่ะค่ะ 28เพราะว่าเชื้อวงศ์ราชบิดาของข้าพระบาททั้งสิ้นนั้นเป็นแต่คนสมควรตาย เฉพาะพระพักตร์พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ฝ่าพระบาทก็ทรงแต่งตั้งผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไว้ในหมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะมีความชอบธรรมประการใดเล่าที่จะร้องทูลต่อพระราชาอีก?” 29พระราชาจึงตรัสกับท่านว่า “ท่านจะพูดเรื่องราวของท่านต่อไปทำไม เราตัดสินใจว่า ท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน” 30เมฟีโบเชททูลพระราชาว่า “เมื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทได้เสด็จกลับสู่พระราชวังโดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
31ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเก-ลิม และไปกับพระราชาถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
ความกรุณาของดาวิดต่อบารซิลลัย
32บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุ 80 ปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายพระราชาขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก 33พระราชาจึงตรัสกับบารซิลลัยว่า “จงข้ามมาอยู่กับเรา เราจะเลี้ยงดูท่านให้อยู่กับเราที่เยรูซาเล็ม” 34แต่บารซิลลัยทูลพระราชาว่า “ข้าพระบาทจะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี? ที่ข้าพระบาทจะขึ้นไปอยู่กับพระราชาที่เยรูซาเล็ม 35วันนี้ข้าพระบาทมีอายุ 80 ปีแล้ว ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ? ข้าพระบาทจะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ? ข้าพระบาทจะฟังเสียงนักร้องชายหญิงร้องเพลงได้อีกหรือ? ทำไมจะให้ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นภาระเพิ่มแก่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทอีกเล่า? 36ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะตามเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปอีกหน่อยกับพระราชา ไฉนพระราชาจะทรงตอบแทนด้วยรางวัลเช่นนี้เล่า? 37ขอให้ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทกลับไปเพื่อจะตายในเมืองของข้าพระบาท ใกล้ที่ฝังศพบิดามารดาของข้าพระบาท แต่นี่คือคิมฮามผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท โปรดให้เขาตามเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทไป ขอทรงทำต่อเขาแล้วแต่ทรงเห็นควร” 38พระราชาตรัสตอบว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะทำคุณแก่เขาตามที่ท่านเห็นควร ทุกสิ่งที่ท่านต้องการให้เราทำเพื่อท่าน เรายินดีทำให้ท่าน” 39แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระราชาเสด็จข้ามไป พระราชาทรงจูบบารซิลลัย และอวยพรท่าน ท่านก็กลับไปยังที่อยู่ของท่าน 40พระราชาเสด็จข้ามไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามเสด็จไปด้วย ประชาชนยูดาห์ทั้งหมดกับประชาชนอิสราเอลครึ่งหนึ่งได้นำพระราชาข้ามมา
41นี่แน่ะ คนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้าพระราชา ทูลพระราชาว่า “ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงลักพาฝ่าพระบาทไปเสีย พาพระราชาและราชวงศ์ของพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของดาวิดทั้งหมด?” 42คนยูดาห์ทั้งปวงจึงตอบคนอิสราเอลว่า “เพราะพระราชาเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า เราได้อยู่กินผลาญพระราชทรัพย์ของพระราชาหรือ? พระองค์ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ?” 43คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า “เรามีส่วนในพระราชาสิบส่วนและในดาวิดเราก็มีมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า? เราไม่ได้เป็นพวกแรกที่พูดเรื่องการนำพระราชากลับหรือ?” แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์ก็รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
อรรถาธิบาย
เติบโตผ่านความทุกข์ยาก
คุณอยู่ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากหรือโศกเศร้าอยู่ไหม? บ่อยครั้งที่พระเจ้าทรงใช้ช่วงเวลาเหล่านี้เปลี่ยนแปลงหัวใจของคุณ และเพิ่มพูนความเมตตาของคุณต่อคนอื่น ๆ
หัวใจของดาวิดถูกชำระผ่านความทุกข์ยาก และความโศกเศร้า ราวกับว่าเขายังทรมานไม่พอ จนถึงตอนนี้เขาได้รับข่าวว่าอับซาโลมลูกชายของตนตายแล้ว เขา ‘ใจสลาย’ (18:33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาร้องครวญว่า ‘โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราเองอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา’ (ข้อ 33)
จากนั้นโยอาบบอกกับดาวิดด้วยเงื่อนไขว่า เขาจำเป็นต้องรวบรวมสติ และออกไป และให้กำลังใจกองทัพที่เพิ่งจะชนะศึกครั้งใหญ่ต่อศัตรูเพื่อเขา (19:1–7) โยอาบบอกดาวิดว่า ‘ใส่พระทัยกับกองทหารของพระองค์ด้วย!’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ดาวิดเปลี่ยนแปลงท่าทีของเขา เขาลุกขึ้น และทำตามสิ่งที่ถูกขอให้ทำ (ข้อ 8) ‘กษัตริย์ดาวิดชักจูงจิตใจของคนยูดาห์ทั้งปวงดังกับจิตใจของชายคนเดียว’ (ข้อ 14)
ดาวิดไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงจิตใจ ชิเมอีก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เขาโน้มตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระราชาขณะที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน 'ขอเจ้านายของข้าพระบาทอย่าทรงถือโทษการล่วงละเมิดของข้าพระบาท และขออย่าทรงจดจำความผิดที่ข้าพระบาททำในวันที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ขอพระราชาอย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย ด้วยผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททราบแล้วว่าข้าพระบาทเองได้ทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพระบาทได้มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟทั้งหมด ที่ลงมารับเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท’ (ข้อ 19–20)
ดาวิดถูกชำระด้วยความทุกข์ยากของท่าน ส่องประกายออกไปเหมือนกับแสงที่เจิดจ้าต่อคนที่อยู่รอบตัวเขา พระองค์ทรงเมตตาต่อชิเมอี พระองค์ทรงรับมือกับเมฟีโบเชท ศิบา และบารซิลลัย อย่างชาญฉลาด (ข้อ 24–39)
แต่ดาวิดกำลังจะเผชิญกับการศึกอีกหลายครั้งในภายหน้า ในแบบสงครามคำพูดระหว่างอิสราเอลและยูดาห์ (ข้อ 41–43)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กิจการ 7:56
“นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และเห็นบุตรมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”’
การถูกหินขว้างตายฟังดูเป็นวิธีที่น่ากลัวในการเสียชีวิต และกระนั้นมีบางสิ่งซึ่งน่าทึ่งในเหตุการณ์นี้ ฉันไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เคยเห็นพระบิดาและพระบุตรพร้อมกัน ฝูงชนที่กำลังฆ่าสตีเฟนมีจำนวนไม่มากนัก แต่พระเจ้าพระบิดา และพระเจ้า พระบุตร พระเยซู ทรงต้อนรับเขากลับบ้าน
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 73:1
‘พระเจ้าทรงดี…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)