วัน 161

ความทุกข์ยากไม่ใช่สิ่งสุดท้าย

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 71:19-24
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 6:1-7:19
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 15:13-16:14

เกริ่นนำ

จอร์จ แมทธีสัน (George Matheson) เกิดในเมืองกลาสโกว์ เป็นลูกคนโตจากจำนวนแปดคน เขามองเห็นแค่บางส่วนตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ยี่สิบปี เขาก็ตาบอดสนิท เมื่อคู่หมั้นของเขารู้ว่าเขากำลังจะตาบอด และไม่มีอะไรที่แพทย์จะรักษาได้ เธอบอกเขาว่า เธอไม่สามารถร่วมชีวิตกับชายตาบอดได้ เขาจึงไม่เคยแต่งงาน

เขาได้รับความช่วยเหลือจากน้องสาวผู้อุทิศตัวตลอดพันธกิจของเขา เธอเรียนภาษากรีก ลาติน และฮีบรู เพื่อช่วยในการศึกษาของเขา แม้ว่าจะตาบอด แมทธีสันก็มีอาชีพที่รุ่งโรจน์ที่สถาบันกลาสโกว์ มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ และสถาบันพระคริสตธรรมเชิร์ชออฟสก็อตแลนด์

เมื่อเขาอายุสี่สิบปี บางสิ่งที่หวานปนขมก็เกิดขึ้น น้องสาวของเขาแต่งงาน นี่ไม่ได้หมายความแค่เขาสูญเสียความเป็นเพื่อนของเธอไป ยังเป็นการเตือนความจำของเขาเองเรื่องการอกหักของเขา ท่ามกลางความเสียใจอันหนักหน่วงนี้ ในคืนก่อนพิธีสมรสของน้องสาว เขาได้เขียนหนึ่งในเพลงฮิมน์ที่โด่งดังและเป็นที่รักที่สุดในคริสตจักรคริสเตียน ‘โอ ความรัก ซึ่งไม่ปล่อยข้าไป’ เขาเขียนจบทั้งเพลงภายในห้านาที และไม่เคยต้องกลับไปปรับเนื้อ แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงเนื้อเลย ‘สิ่งนี้มา’ เขาเขียน ‘เหมือนรุ่งอรุณจากเบื้องสูง’

โอ ความชื่นชมยินดีที่แสวงหาข้าแม้ว่าจะเจ็บปวด
ข้าไม่สามารถปิดใจกับพระองค์
ข้าเสาะหารุ้งงามผ่านทางสายฝน
และรู้ได้ว่าสัญญานั้นไม่ไร้ผล
เช้าวันนั้นจะไม่มีน้ำตา

ความทุกข์ยากต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พระเยซูทรงเผชิญปัญหา และอัครทูตของพระองค์ก็เช่นกัน ดาวิด และประชาการทุกคนของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเพลงฮิมน์ของแมทธีสันที่ร้อยเรียงไว้อย่างสวยงามว่า ความทุกข์ยากไม่ใช่สิ่งสุดท้าย

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 71:19-24

19ข้าแต่พระเจ้า ความชอบธรรมของพระองค์
 ไปถึงฟ้าสวรรค์ที่สูงนั้น
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงกระทำการใหญ่
 ผู้ใดจะเหมือนพระองค์?
20พระองค์ผู้ทรงทำให้ข้าพระองค์ประสบความทุกข์ยากลำบากเป็นอันมาก
 จะทรงชุบชีวิตข้าพระองค์ขึ้นมาอีก
จากที่ลึกของโลก
 พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาอีก
21พระองค์จะทรงเพิ่มเกียรติแก่ข้าพระองค์
 และจะทรงหันมาปลอบโยนข้าพระองค์
22ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ด้วยพิณใหญ่
 เนื่องด้วยความซื่อสัตย์ของพระองค์
ข้าแต่องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
 ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ด้วยพิณเขาคู่
23ริมฝีปากของข้าพระองค์จะร้องเพลงด้วยความยินดี
 เมื่อข้าพระองค์ร้องเพลงสดุดีพระองค์
 และจิตใจของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ก็เช่นกัน
24และลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์วันยังค่ำ
 เพราะผู้ที่หาทางทำอันตรายข้าพระองค์
 จะอับอายและอดสู

อรรถาธิบาย

การฟื้นฟูหลังจากความทุกข์ยากมากมาย

พระเจ้าไม่ได้สัญญาเรื่องหนทางที่ง่ายดายกับคุณ ชีวิตอาจเป็นเรื่องยากเย็นสุด ๆ ผู้เขียนสดุดีเคยเห็น ‘ความทุกข์ยากลำบากเป็นอันมาก’ (ข้อ 20) ความทุกข์ยาก ความกดดัน และความกังวลต่าง ๆ ของท่านไม่ใช่แค่บางครั้งบางคราว หรือเป็นเรื่องเล็กน้อย พวกมันมีมากมายและร้ายแรง เขาให้ตัวอย่างกับคุณถึงวิธีการตอบสนองในสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้

1. วางใจต่อไป
เป็นการง่ายที่จะวางใจพระเจ้าเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไปได้ดี ความท้าทายคือการวางใจต่อไปท่ามกลางความทุกข์ยากต่าง ๆ อย่าหยุดที่จะเชื่อวางใจในความดีงามของพระเจ้า ‘ข้าแต่พระเจ้า ความชอบธรรมของพระองค์ ไปถึงฟ้าสวรรค์ที่สูงนั้น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ผู้ได้ทรงกระทำการใหญ่ ผู้ใดจะเหมือนพระองค์?’ (ข้อ 19)

2. หวังใจต่อไป
ความทุกข์ยากของคุณจะไม่คงอยู่ตลอดไป ท่ามกลางความทุกข์ยาก ยังมีความหวัง ‘พระองค์จะทรงชุบชีวิตข้าพระองค์ขึ้นมาอีก
จากที่ลึกของโลก พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ขึ้นมาอีก พระองค์จะทรงเพิ่มเกียรติแก่ข้าพระองค์ และจะทรงหันมาปลอบโยนข้าพระองค์’ (ข้อ 20ข–21) พระเจ้าจะทรงใช้ความทุกข์ยากของคุณเพื่อการดี พระองค์จะทรงปั้นแต่งคุณลักษณะของคุณผ่านสิ่งเหล่านั้น ผลก็คือ พระองค์จะทรงเพิ่มเกียรติยศของคุณ พระองค์จะทรงปลอบโยนคุณผ่านสิ่งเหล่านั้น เพื่อคุณสามารถไปปลอบโยนคนอื่นได้ (2 โครินธ์ 1:4)

3. นมัสการต่อไป
สรรเสริญพระเจ้าต่อไปแม้ว่าจะมีความทุกข์ยากต่าง ๆ ‘ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ด้วยพิณใหญ่ เนื่องด้วยความซื่อสัตย์ของพระองค์
ข้าแต่องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ด้วยพิณเขาคู่ ริมฝีปากของข้าพระองค์จะร้องเพลงด้วยความยินดี เมื่อข้าพระองค์ร้องเพลงสดุดีพระองค์ และจิตใจของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ก็เช่นกัน’ (สดุดี 71:22–23) การทรงสถิตของพระเจ้าในการนมัสการนำสันติสุขและการปลอบประโลมมาสู่เรา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่แม้ว่าข้าพระองค์อาจเจอความทุกข์ยากมากมาย และขมขื่นใจ พระองค์ทรงสัญญาจะชุบชีวิตข้าพระองค์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ข้าพระองค์ขอสรรเสริญความสัตย์ซื่อของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 6:1-7:19

การเลือกตั้งคณะเจ็ดคน

 1ในเวลานั้นเมื่อพวกสาวกกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น พวกยิวที่พูดกรีกพากันบ่นติเตียนพวกยิวที่พูดฮีบรู เพราะบรรดาแม่ม่ายของพวกเขาถูกทอดทิ้งไม่ได้รับแจกอาหารประจำวัน 2อัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกพวกสาวกมาประชุมกัน แล้วกล่าวว่า “การที่เราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้า มัวไปแจกอาหารก็ไม่สมควร 3เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งให้พวกเขาดูแลงานนี้ 4ส่วนเราจะอุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ” 5คนทั้งหลายก็เห็นชอบกับสิ่งที่กล่าวนี้ จึงเลือกสเทเฟนผู้เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอกซึ่งเป็นคนเข้าจารีตในศาสนายิว 6คนทั้งเจ็ดนี้ พวกเขาให้มายืนต่อหน้าพวกอัครทูต แล้วอัครทูตก็อธิษฐานและวางมือบนตัวเขาทั้งหลาย
 7การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น และจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ

สเทเฟนถูกจับกุม

 8สเทเฟนซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพระคุณและฤทธานุภาพก็ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญใหญ่ท่ามกลางประชาชน 9แต่มีบางคนจากธรรมศาลาที่เรียกว่าธรรมศาลาของทาสอิสระ ชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดรียและบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ลุกขึ้นมาโต้แย้งกับสเทเฟน 10คนเหล่านั้นไม่สามารถต่อสู้ถ้อยคำที่ท่านกล่าวโดยสติปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 11จึงแอบสร้างพยานเท็จกล่าวว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทโมเสสและพระเจ้า” 12เขาทั้งหลายยุยงประชาชนและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ให้เกิดความวุ่นวาย แล้วเข้ามาจับสเทเฟนนำไปยังสภายิว 13ให้พวกสักขีพยานเท็จมาให้การว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย 14เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมที่โมเสสให้ไว้แก่เรา” 15พวกสมาชิกสภาต่างจ้องดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์

กิจการ 7

คำกล่าวของสเทเฟน

 1มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ?” 2สเทเฟนจึงตอบว่า “นี่แน่ะ ท่านพี่น้องและพวกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ ขอฟังเถิด พระเจ้าผู้เต็มด้วยพระสิริทรงปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา เมื่อท่านยังอยู่ในประเทศเมโสโปเตเมีย ก่อนไปอาศัยอยู่ในเมืองฮาราน 3และตรัสกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกจากเมืองและญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงให้เจ้า’ 4อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดียไปอาศัยอยู่ที่เมืองฮาราน หลังจากบิดาของท่านเสียชีวิตแล้วพระองค์ทรงให้ท่านออกจากที่นั่นมาอยู่ในแผ่นดินที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ทุกวันนี้ 5แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดิน ไม่ให้มีแม้แต่ขนาดเท่าฝ่าเท้า และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า จะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านและเชื้อสายของท่าน 6พระเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า เชื้อสายของท่านจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และคนในประเทศนั้นจะเอาพวกเขาเป็นทาส และจะข่มเหงพวกเขานานถึงสี่ร้อยปี 7แล้วพระเจ้าตรัสว่า ‘และประเทศที่พวกเขาปรนนิบัติอยู่นั้น เราจะพิพากษา หลังจากนั้นพวกเขาจะออกมาและปรนนิบัติเรา ณ สถานที่นี้’ 8พระเจ้าจึงประทานพันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัตแก่ท่าน เพราะฉะนั้นเมื่ออับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตพิธีตัดหนังปลายองคชาต โดยพิธีนี้ผู้ชายเข้าในศาสนายิวในวันที่แปด อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบมีบุตรสิบสองคนซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
 9“และบรรพบุรุษเหล่านั้นอิจฉาโยเซฟ จึงขายเขาไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าสถิตกับโยเซฟ 10ทรงช่วยให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งสิ้น ทรงให้มีความชอบและมีสติปัญญาเฉพาะพระพักตร์ฟาโรห์กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ ฟาโรห์จึงตั้งโยเซฟให้ดูแลประเทศอียิปต์และทุกอย่างในพระราชสำนักของพระองค์ 11ต่อมาเกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน และมีความลำบากมาก บรรพบุรุษของเราจึงไม่มีอาหาร 12ยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งที่หนึ่ง 13พอครั้งที่สองโยเซฟแสดงตัวให้พี่น้องรู้ และฟาโรห์ก็ทรงรู้จักญาติของโยเซฟด้วย 14โยเซฟจึงเชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา 15ยาโคบจึงลงไปที่ประเทศอียิปต์ และท่านกับบรรพบุรุษของเราก็เสียชีวิตที่นั่น 16พวกเขาจึงนำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคม ในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่งซื้อจากบุตรของฮาโมร์ในเชเคม
 17“แต่เมื่อใกล้จะถึงเวลาตามพระสัญญาที่พระเจ้าตรัสไว้กับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้ทวีจำนวนมากขึ้นในประเทศอียิปต์ 18จนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟได้ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ 19กษัตริย์องค์นั้นทรงออกอุบายจัดการกับชนชาติของเรา ทรงข่มเหงบรรพบุรุษของเรา ทรงบังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของพวกเขาเพื่อไม่ให้รอดชีวิต

อรรถาธิบาย

การช่วยกู้จากความทุกข์ยากทุกอย่างของเขา

มีบางครั้งที่การทดลองใจว่าชีวิตคริสตจักรยุคแรกช่างเป็นไปตามอุดมคติ ว่าพวกเขามีคริสตจักรที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีปัญหาทุกข์ยากใด ๆ ทั้งสิ้น เราจำเป็นต้องอ่านภาพแห่งอุดมคติของคริสตจักรในกิจการ บทที่ 2 ควบคู่ไปกับเหตุการณ์ในกิจการ บทที่ 6 และแน่นอน อย่าลืมปัญหาต่าง ๆ ที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ในจดหมายของท่าน คริสตจักรในยุคแรกเต็มไปด้วยปัญหา อย่าแปลกใจที่เจอบางอย่างด้านล่างนี้ในคริสตจักรปัจจุบัน:

  1. การบ่นว่า ผู้นำที่ดีจะเลือกการรบของเขาอย่างระมัดระวัง พวกเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในทุกเรื่อง แต่พวกเขารับผิดชอบต่อทุกสิ่ง อัครทูตเผชิญกับการบ่นว่าเรื่องความเป็นธรรมว่า ‘บรรดาแม่ม่ายของพวกเขาถูกทอดทิ้งไม่ได้รับแจกอาหารประจำวัน’ (กิจการ 6:1) กระนั้นพวกเขาก็จำเป็นจะต้องจดจ่อที่ภาระกิจหลัก ‘อุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ’ (ข้อ 4) ทางออกคือการกำหนด (ดังที่ทำกันบ่อย ๆ ) การมอบหมายงานที่มีประสิทธิภาพ

เหล่าอัครสาวกรับมือกับปัญหาโดยการตั้งคนอีกกลุ่มแยกขึ้นมาเพื่อ ‘แจกอาหาร’ (ข้อ 2) พวกเขาเลือกคนที่ ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา (ข้อ 3) ผลก็คือ พวกเขาสามารถรักษาการจดจ่อของตัวเองไว้ได้ และ ‘การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น’ และจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ข้อ 7) ผู้นำที่ดีจะแจกจ่ายงานและปล่อยคนอื่นให้ได้ใช้ของประทานจากพระเจ้าและทำพันธกิจของพระองค์

  1. การยุยง กลุ่มผู้ต่อต้าน ‘ยุยงประชาชน’ (ข้อ 12) และ ‘ให้พวกสักขีพยานเท็จ’ (ข้อ 13) พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำของสเทเฟน และกล่าวว่า ‘คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย’ (ข้อ 13)

  2. การกลัวความเปลี่ยนแปลง
    ฝ่ายตรงข้ามบางคนเกิดจากความกลัวการเปลี่ยนแปลง พวกเขาพูดว่า ‘เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้และจะเปลี่ยนธรรมเนียมที่โมเสสให้ไว้แก่เรา’ (ข้อ 14)

พวกเขาพบว่า พวกเขาไม่สามารถหยุดจ้องสเทเฟนได้ ผู้ซึ่ง ‘เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์’ (ข้อ 15) ท่านกล่าวข้อโต้แย้งของท่าน ท่านทบทวนประวัติศาสตร์เรื่องประชากรของพระเจ้าและเมืองต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์ของท่าน ท่านกล่าวถึงโยเซฟว่า ‘พระเจ้า สถิตกับโยเซฟและทรงช่วยให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งสิ้น ทรงให้มีความชอบและมีสติปัญญา …’ (7:9–10) เหมือนกับที่พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้แก่สเทเฟน (6:10)

การช่วยกู้ของสเทเฟนเอง ก็มาถึงต่อเมื่อพลีชีพ ท่าน ‘เขม้นดูสวรรค์เห็นพระรัศมีของพระเจ้าและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์' (7:55) และสเทเฟนก็ถูกช่วยกู้ไปชั่วนิจนิรันดร์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ไม่ให้ล้มเลิกไปเนื่องด้วยความทุกข์ยาก แต่ให้เป็นเหมือนสเทเฟนที่เต็มไปด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอให้เราเห็นพระวจนะของพระเจ้าแพร่ขยายออกไป และจำนวนสาวกของพระองค์ทวีมากขึ้นทุก ๆ วัน
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 15:13-16:14

ดาวิดหนีจากเยรูซาเล็ม

 13ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิด ทูลให้ทรงทราบว่า “ใจของคนอิสราเอลคล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว” 14แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้น ให้เราหนีไปเถอะ มิฉะนั้นเราจะไม่มีทางหนีจากอับซาโลม จงรีบไป เกรงว่าเขาจะรีบมาและตามเราทันและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ” 15ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระราชาว่า “ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทพร้อมจะทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ” 16พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนทั้งหมดในราชสำนักของพระองค์ เว้นแต่นางสนม 10 คน ได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง 17พระราชาก็เสด็จออกไป ทหารทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไป และเสด็จประทับที่บ้านที่ห่างไกลออกไป 18บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านด้านข้างพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลทกับคนกัท 600 คนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท เดินผ่านนำหน้าพระราชาไป
 19พระราชาจึงตรัสสั่งอิททัยคนกัทว่า “ทำไมเจ้าจะไปกับพวกเราด้วย? จงกลับไปอยู่กับพระราชา เพราะเจ้าเป็นคนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย เจ้าจงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด 20เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปๆ มาๆ กับพวกเราหรือ? ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน? จงกลับไปเถิด พาพวกพี่น้องของเจ้ากลับไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงอยู่กับเจ้าเถิด” 21แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย” 22ดาวิดก็รับสั่งกับอิททัยว่า “จงไปและเดินผ่านไปเถิด” อิททัยชาวเมืองกัทจึงผ่านไปพร้อมกับบรรดาผู้ใหญ่และเด็กทั้งหมด 23เมื่อทหารทั้งหมดเดินผ่านไป ชาวเมืองทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดัง พระราชาก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และทหารทั้งหมดก็เดินผ่านไปยังถิ่นทุรกันดาร
 24และนี่แน่ะ ศาโดกก็มาด้วยพร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และพวกเขาวางหีบของพระเจ้าลง จนประชาชนผ่านออกจากเมืองไปหมด และอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาด้วย 25แล้วพระราชาตรัสสั่งศาโดกว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระยาห์เวห์ทรงโปรดปรานเรา พระองค์จะทรงนำเรากลับ และให้เราเห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย 26แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงทำกับเราตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” 27พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า “ท่านเป็นผู้ทำนายแปลได้อีกว่า ท่านเห็นไหม?ไม่ใช่หรือ? จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพพร้อมกับบุตรชายทั้งสองของพวกท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28นี่แน่ะ เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากพวกท่านให้เราทราบ” 29ศาโดกกับอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น
 30ดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางทรงกันแสงพลาง มีผ้าคลุมพระเศียร เสด็จโดยพระบาทเปล่า และทหารทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง 31มีคนทูลดาวิดให้ทรงทราบว่า “อาหิโธเฟลอยู่ในพวกคิดกบฏของอับซาโลมด้วย” ดาวิดกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลโง่เขลาไป”

หุชัยเป็นสายลับให้ดาวิด

 32ต่อมาเมื่อดาวิดมาถึงยอดเขาซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า นี่แน่ะ หุชัยตระกูลอารคีเข้ามาเฝ้า มีเสื้อผ้าฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะ 33ดาวิดตรัสกับเขาว่า “ถ้าเจ้าข้ามไปกับเรา เจ้าจะเป็นภาระแก่เรา 34แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมือง และกล่าวกับอับซาโลมว่า ‘ข้าแต่พระราชา ข้าพระบาทขอถวายตัวเป็นข้าของฝ่าพระบาท ดังที่ข้าพระบาทเป็นข้าของพระราชบิดาของฝ่าพระบาทมาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระบาทขอเป็นข้าของฝ่าพระบาทฉันนั้น’ แล้วเจ้าจะทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ไปเพื่อเรา 35ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตก็อยู่กับเจ้าที่นั่นไม่ใช่หรือ? ทุกสิ่งที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง จงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตทราบ 36ดูเถิด บุตรสองคนของเขาก็อยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรศาโดก และโยนาธานบุตรอาบียาธาร์ พวกท่านจงใช้เขามาบอกเราทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน” 37หุชัยสหายของดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมกำลังเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

2 ซามูเอล 16

กลุ่มผู้ต่อต้านดาวิด

 1เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง นี่แน่ะ ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปัง 200 ก้อน ลูกเกด 100 พวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกหนึ่งร้อย กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2พระราชาตรัสกับศิบาว่า “เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม?” ศิบาทูลตอบว่า “ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรง ขนมปังและผลไม้ฤดูร้อนสำหรับพวกคนหนุ่มรับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยในถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม” 3 พระราชาตรัสว่า “บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ศิบาทูลพระราชาว่า “ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า ‘วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักรของบิดาของเราให้แก่เรา’ ” 4แล้วพระราชาตรัสกับศิบาว่า “นี่แน่ะ บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า” และศิบาทูลว่า “ข้าพระบาทขอกราบถวายบังคม ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท”

ชิเมอีสาปแช่งดาวิด

 5เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล ชื่อชิเมอีบุตรเก-รา เขาออกมา เดินพลางสาปแช่งพลาง 6และเอาหินขว้างดาวิด และขว้างข้าราชการทั้งหมดของกษัตริย์ดาวิด ทหารทั้งหมดและนักรบทั้งหมดก็อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของพระองค์ 7ชิเมอีสาปแช่งว่า “ไป ไป เจ้าฆาตกร เจ้าวายร้าย 8พระยาห์เวห์ได้ทรงตอบสนองเจ้าในเรื่องโลหิตทั้งสิ้นแห่งพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าเข้าครองแทนอยู่นั้น และพระยาห์เวห์ทรงมอบราชอาณาจักรไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูซิ สิ่งชั่วร้ายตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นฆาตกร”
9อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงทูลพระราชาว่า “ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาสาปแช่งพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท? ขอให้ข้าพระบาทข้ามไปตัดหัวมัน” 10แต่พระราชาตรัสว่า “พวกบุตรของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า? ถ้าเขาสาปแช่งเพราะพระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขาว่า ‘จงสาปแช่งดาวิด’ แล้วใครจะพูดว่า ‘ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนี้?’ ” 11ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเราแท้ๆ ยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมคนเบนยามินคนนี้จะไม่ทำเล่า? ช่างเขาเถิด ให้เขาสาปแช่งไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงบอกเขาแล้ว 12บางทีพระยาห์เวห์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระยาห์เวห์จะทรงตอบสนองเราด้วยการดีแทนคำสาปแช่งของเขาในวันนี้” 13ดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทาง พร้อมกับทหารของพระองค์ ฝ่ายชิเมอีก็เดินไปตามเนินเขาตรงข้าม เขาเดินพลางสาปแช่งพลาง เอาก้อนหินขว้างและเอาฝุ่นซัดใส่ 14พระราชากับทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มาถึงที่หมายด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงทรงพักผ่อนเอาแรง ณ ที่นั่น

อรรถาธิบาย

สดชื่นท่ามกลางความทุกข์ยาก

อับซาโลม โอรสของดาวิดเองได้ต่อต้านเขา และดาวิดได้รับการทูลว่า ‘ใจของคนอิสราเอลคล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว’ (15:13) นี่ควรเป็นข่าวที่ทำลายล้าง ดาวิด บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า กษัตริย์ของประชากรของพระเจ้า และเป็น ‘ลักษณะ’ หนึ่งของพระคริสต์ (โดยแท้จริงแล้วเป็นบรรพบุรุษของพระคริสต์) เผชิญกับความทุกข์ยากมากมายในชีวิตของท่าน หากคุณเผชิญกับความทุกข์ยากแบบเดียวกันในชีวิต ไม่ต้องแปลกใจ หรือคิดว่าคุณทำอะไรผิดพลาดไป บางทีความทุกข์ยากก็เกิดขึ้นเพราะว่าคุณทำบางสิ่งบางอย่างถูกต้อง

1. น้ำตา
เราเห็นว่าดาวิดเสียใจเพียงใด เขา ‘เสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศเสด็จพลางทรงกันแสงพลางมีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า’ (ข้อ 30) ทุกคนล้วน ‘เดินไปพลางร้องไห้พลาง’ (ข้อ 30) อันที่จริง ‘ชาวเมืองทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดัง’ (ข้อ 23)

2. ความผิดหวัง
ไม่เพียงแค่โอรสของดาวิดเองต่อต้านตัวเขา แต่เมฟีโบเชทก็ยังไม่จงรักภักดีต่อเขา แม้ว่าดาวิดจะออกไปจากทางของตนเพื่อช่วยเขา เขายังคงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเพราะเขาคิดว่า ‘วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักร ของบิดาของเราให้แก่เรา’ (16:3) ความไม่จงรักภักดีจากคนที่เรารักยิ่งทำให้ผิดหวังมากขึ้น

3. การวิพากษ์วิจารณ์
ชิเมอีตะโกนลบหลู่ ขว้างก้อนหิน และสาปแช่งดาวิด ดาวิดไม่ได้พยายามจะแก้แค้น กลับกันเขาเลือกที่จะฝากมอบทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า (ข้อ 11–12)

4. ความเหนื่อยอ่อน
ดาวิด ‘พระราชากับทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มาถึงที่หมายด้วยความเหนื่อยอ่อน’ (ข้อ 14) เมื่อเราอ่านถึงสิ่งที่ดาวิดต้องเจอ ไม่น่าแปลกใจว่า เขานั้น ‘เหนื่อยอ่อน’ อย่างแท้จริง

ชีวิตคริสเตียนไม่เคยปราศจากความทุกข์ยาก น้ำตา ความเศร้าเสียใจ และความผิดหวัง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แยกประชากรของพระเจ้าออกมา คือ ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า

ท่ามกลางความทุกข์ยาก ดาวิดอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ขอทรง ให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลโง่เขลาไป’ (15:31) คำอธิษฐานของท่านได้รับคำตอบ แต่ไม่ใช่ในแบบที่ท่านคาดหวัง อาหิโธเฟลให้คำปรึกษาที่ดี แต่ก็ถูกปฏิเสธ ดังนั้นพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานที่มาจากจิตวิญญาณ (17:14)

ท่ามกลางความเหนื่อยอ่อน ดาวิด ‘พักผ่อนเอาแรง’ (16:14) ‘พวกเขาพักผ่อน และฟื้นกำลังขึ้น’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) บางครั้งคุณแค่ต้องการหยุดพัก และพักผ่อนเพื่อฟื้นกำลัง และสดชื่นขึ้นทางฝ่ายกาย จิตวิญญาณ และอารมณ์ เราไม่ได้รับการบอกว่า ดาวิดทำสิ่งนี้อย่างไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม หากดูจากตัวอย่างในสดุดี เราก็รู้ว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าของเขา ทำให้ดาวิดสดชื่นขึ้น

นอกจากนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าดาวิดนั้นได้รับการฟื้นฟูด้านอารมณ์ด้วยความจงรักภักดีของศาโดก เพื่อนของท่าน (15:24) หุชัย (ข้อ 37) ศิบา (16:1–4) และอิททัย ผู้กล่าวกับท่านว่า ‘พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จ ประทับที่ไหนจะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย’ (15:21)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ไม่มีความทุกข์ยากใดที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ที่พระองค์ไม่อาจช่วยกู้ข้าพระองค์ได้ ท้ายที่สุด ด้วยชีวิตนิรันดร์ในการทรงสถิตของพระองค์ ขอบพระคุณที่ท่ามกลางความทุกข์ยากของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สามารถอธิษฐานกับพระองค์ และได้รับการฟื้นฟูด้วยการทรงสถิตของพระเจ้า (กิจการ 3:19)

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 71:24

‘และลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความช่วยเหลืออันชอบธรรมของพระองค์วันยังค่ำ’

สี่ปีก่อน ฉันเขียนไว้ว่า ‘ฉันแค่ลองพยายามคุยกับพระเจ้าในขณะที่เดินไปที่ไปรษณีย์ เกี่ยวกับสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำ ฉันเริ่มต้นได้ดี และจากนั้นก็วอกแวกไป ฉันกำลังหัดที่จะทำแบบ “วันยังค่ำ”’

และฉันก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ในปีนี้!

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 71:20

‘…จะทรงชุบชีวิตข้าพระองค์ขึ้นมาอีก’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม