วัน 160

รักษาความจงรักภักดี

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 14:15-24
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 5:12-42
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 14:1-15:12

เกริ่นนำ

ในปี คศ. 2007 กลุ่มมิชชันนารีชาวเกาหลีใต้ 23 คน ถูกจับโดยพวกตาลิบันในอัฟกานิสถาน พวกเขาหวาดกลัว พวกตาลิบันแยกกลุ่มพวกเขาออก เอาไปขังเดี่ยว และยึดข้าวของไป ผู้หญิงเกาหลีคนหนึ่งพยายามที่จะยึดมั่นในพระคัมภีร์ของเธอ เธอฉีกพระคัมภีร์ออกเป็น 23 ส่วน และแอบเอาแต่ละส่วนให้พวกเขาแต่ละคน เพื่อให้แต่ละคนสามารถอ่านพระคัมภีร์ตอนนั้นได้เมื่อไม่มีใครเฝ้าดู

คนทั้งกลุ่มรู้ว่าพวกตาลิบันตัดสินใจจะฆ่าพวกเขาทีละคน พวกมิชชันนารียอมสละชีวิตของตนอีกครั้งเพื่อพระเยซู กล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ทรงต้องการให้ลูกตายเพื่อพระองค์ ลูกจะยอมทำตามนั้น’ จากนั้นศิษยาภิบาลกล่าวว่า ‘ผมคุยกับเขา (พวกตาลิบัน) เพราะว่าพวกนั้นเริ่มจะฆ่าเรา และผมบอกหัวหน้าของพวกนั้นว่า ถ้าต้องมีใครตาย ผมขอตายก่อน เพราะว่าผมเป็นศิษยาภิบาล’ อีกคนบอกว่า ‘ไม่ได้ เพราะผมก็เป็นศิษยาภิบาลเหมือนกัน และผมยังเป็นผู้อาวุโสอีกด้วย ผมต้องตายก่อน’

จากนั้นศิษยาภิบาลก็กลับมา และพูดว่า ‘คุณยังไม่ได้รับการสถาปนา ผมได้รับการสถาปนาแล้ว ผมต้องตายก่อน’ และแน่นอนว่า เขาตายก่อน อีกสองคนถูกฆ่า ก่อนที่คนที่เหลือจะได้รับการช่วยออกมาในที่สุด พวกเขาได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า และต่อกันและกันแบบไม่ธรรมดาเลย

ความจงรักภักดี เป็นส่วนผสมระหว่างความรัก และความสัตย์ซื่อ เป็นคุณสมบัติซึ่งบ่อยครั้งขาดหายไปจากสังคมของเราในปัจจุบัน ความไม่จงรักภักดีทำลายครอบครัว คริสตจักร ธุรกิจ พรรคการเมือง และแม้แต่ประเทศชาติ

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 14:15-24

15คนรู้น้อยเชื่อทุกอย่าง
 แต่คนสุขุมพิเคราะห์ดูย่างก้าวของตน
16คนมีปัญญาย่อมระวังตัว และหันจากความยุ่งยาก
 แต่คนโง่ขาดการยับยั้งตนและประมาท
17คนขี้โมโหทำสิ่งโง่เขลา
 และคนเจ้าเล่ห์เป็นที่เกลียดชัง
18คนรู้น้อยได้ความโง่เป็นมรดก
 แต่คนสุขุมจะมีความรู้เป็นมงกุฎ
19คนชั่วกราบคนดี
 คนอธรรมกราบอยู่ที่ประตูบ้านของคนชอบธรรม
20คนยากจนนั้นแม้เพื่อนบ้านของตนก็รังเกียจ
 แต่คนมั่งคั่งมีสหายมากมาย
21คนที่ดูหมิ่นเพื่อนบ้านของตนก็เป็นคนบาป
 แต่คนที่เมตตาคนยากจนก็เป็นสุข
22คนที่คิดการชั่วนั้นไม่ผิดหรือ?
 ส่วนคนที่คิดการดีก็พบความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์
23มีกำไรอยู่ในงานที่เหนื่อยยากทุกอย่าง
 การเพียงแต่พูดนั้นโน้มไปทางความขาดแคลน
24มงกุฎของคนมีปัญญาคือความมั่งคั่งของเขา
 แต่ความโง่เป็นพวงมาลัยของคนโง่

อรรถาธิบาย

แสวงหาความภักดีต่อพระเจ้าในแผนการต่าง ๆ ของคุณ

ความจงรักภักดีอันดับแรกของเราคือต่อพระเจ้า ความโปรดปรานของพระองค์อยู่กับผู้ที่ ‘จงรักภักดีต่อพระเจ้า’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระธรรมสุภาษิตนั้นเต็มไปด้วยปัญญาที่นำไปใช้ได้จริง ซึ่งหนุนใจคุณ ตัวอย่างเช่น เพื่อพิจารณาเรื่องที่คุณเชื่อ ‘คนใจเบาเชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกมา แต่คนรอบคอบกลั่นกรองและชั่งน้ำหนักทุกคำ’(ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ปัญญาสูงสุดคือวิธีการที่คุณสัมพันธ์กับพระเจ้า ‘คนมีปัญญาย่อมระวังตัวและหันจากความยุ่งยาก’ (ข้อ 16)

‘ความยำเกรงพระเจ้า’ เป็นท่าทีแห่งความเคารพและจงรักภักดีที่เหมาะสม นี่หมายถึงการรวมพระองค์เข้ามาอยู่ในแผนการทุกอย่างของคุณ จงระวังอย่างยิ่งเรื่องแผนที่คุณวาง ว่ามันเป็นแผนการที่ดีและไม่ใช่แผนที่ชั่วร้าย ในที่สุด แม้แต่ ‘คนชั่วร้ายจะเคารพคนที่ภักดีต่อพระเจ้า’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘ส่วนคนที่คิดการดีก็พบความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์’ (ข้อ 22ข) คำว่า ‘พบ’ บางครั้งถูกแปลว่า ‘แสดง’ ทั้งสองคำเป็นความจริง คนที่คิดการดีไม่เพียงแค่พบความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ พวกเขาแสดงความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน นี่เป็นหัวใจของความจงรักภักดี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ นี่ขัดแย้งกับผู้ที่วางแผนชั่วร้ายด้วยความเห็นแก่ตัวและหลงผิดไป

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะมีปัญญาและจงรักภักดีต่อพระเจ้าในแผนการของข้าพระองค์ ขอให้เราในฐานะชุมชนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า วางแผนการดีและพบ แสดงความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 5:12-42

พวกอัครทูตรักษาคนเจ็บป่วยหลายคน

12มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระเจ้าทรงทำด้วยมือของบรรดาอัครทูตท่ามกลางประชาชน และพวกเขารวมกันอยู่ที่เฉลียงของซาโลมอน 13ส่วนคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้ามาร่วมกับพวกเขา แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก 14และชายหญิงจำนวนมากก็เชื่อถือและเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน 15จนเขาทั้งหลายต่างหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนโดยวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อว่าเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกพวกเขาบางคน 16ประชาชนจากเมืองที่อยู่รอบกรุงเยรูซาเล็มมารวมกัน และพาบรรดาคนป่วยและคนมีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย

พวกอัครทูตถูกข่มเหง

17มหาปุโรหิตและพรรคพวกคือพวกสะดูสีมีความอิจฉาอย่างยิ่ง 18จึงจับพวกอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19แต่ในเวลากลางคืนทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเปิดประตูคุกพาพวกอัครทูตออกไป และบอกว่า 20“จงไปยืนในบริเวณพระวิหารประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง” 21เมื่อพวกอัครทูตได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าไปในบริเวณพระวิหารตอนรุ่งเช้าและสั่งสอน
 แต่มหาปุโรหิตกับพรรคพวกเรียกประชุมสภายิวและสมาชิกสภาทั้งหมดของคนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกเพื่อพาพวกอัครทูตออกมา 22พวกเจ้าหน้าที่ก็ไปแต่ไม่พบพวกอัครทูตในคุก จึงกลับมารายงานว่า 23“เราเห็นคุกปิดอยู่แน่นหนามั่นคงและพวกยามยืนเฝ้าอยู่ตามประตู แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป ไม่เห็นใครอยู่ข้างใน” 24เมื่อหัวหน้ารักษาพระวิหารกับพวกหัวหน้าปุโรหิตได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของพวกอัครทูตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป 25มีคนมาบอกพวกเขาว่า “นี่แน่ะ บรรดาคนที่ท่านทั้งหลายขังไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในบริเวณพระวิหาร” 26แล้วหัวหน้ารักษาพระวิหารกับพวกเจ้าหน้าที่ก็ไปพาพวกอัครทูตมาโดยไม่ได้ทำอะไรรุนแรง เพราะกลัวว่าประชาชนจะเอาหินขว้าง
 27เมื่อพวกเขาพาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า 28“เรากำชับพวกเจ้าอย่างแข็งขันแล้วว่าอย่าสอนโดยออกชื่อนี้ นี่แน่ะ พวกเจ้าทำให้คำสอนของพวกเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้ความผิดเรื่องการตายของคนนั้นตกอยู่กับเรา” 29เปโตรกับอัครทูตคนอื่นๆ ตอบว่า “เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 30พระเยซูผู้ซึ่งพวกท่านฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงให้เป็นขึ้นมาแล้ว 31พระเจ้าทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงอภัยบาปของเขาทั้งหลาย 32เราคือสักขีพยานของเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานกับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย”
 33เมื่อพวกเขาฟังแล้วก็โกรธมาก คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย 34แต่มีคนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นพวกฟาริสีและเป็นอาจารย์สอนธรรมบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน เขายืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง 35ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอล สิ่งที่ท่านทั้งหลายคิดจะทำกับคนเหล่านี้นั้น จงระวังให้ดี 36เพราะก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งชื่อธุดาสซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าและคนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 37ต่อจากคนนี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาส เป็นชาวกาลิลีปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เขาเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามเขาไป และคนนั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจาย 38เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกพวกท่านว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรพวกเขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ มันจะล่มสลายไปเอง 39แต่ถ้ามาจากพระเจ้า พวกท่านจะไม่สามารถทำลายพวกเขาได้ เกรงว่าพวกท่านกลับจะเป็นฝ่ายสู้รบกับพระเจ้า”
 40พวกเขาจึงยอมฟังกามาลิเอล และเมื่อเรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว ก็เฆี่ยนและกำชับไม่ให้สอนในนามของพระเยซูแล้วปล่อยไป 41พวกอัครทูตจึงออกจากสภาไปด้วยความยินดี ที่พระเจ้าทรงนับว่าพวกเขามีค่าสมควรได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น 42พวกเขาสั่งสอนและประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ทุกๆ วันไม่ได้ขาด ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน

อรรถาธิบาย

แสวงหาความจงรักภักดีต่อพระเยซูในคำพูดของคุณ

ในฐานะของอัครทูตที่ออกไปและเทศนาข่าวประเสริฐ พวกเขาแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายท่ามกลางฝูงชน ‘และชายหญิงจำนวนมากก็เชื่อถือและเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน’ (ข้อ 14) ผลก็คือ 'ประชาชนจากเมืองที่อยู่รอบกรุงเยรูซาเล็มมารวมกัน...พาบรรดาคนป่วยมา...ทุกคนก็หาย’ (ข้อ 15–16)

น่าเศร้าที่ความสำเร็จของพวกเขานำไปสู่ ‘ความอิจฉา’ จากพวกผู้นำศาสนา (ข้อ 17) นี่เป็นการเตือนใจ ความริษยาช่างเป็นการทดลองต่อพวกเราผู้ที่ถูกมองว่าเป็นพวก ‘เคร่งครัดในความเชื่อ’ ด้วยความอิจฉา พวกเขาจับกุมพวกอัครทูตและนำไปคุมขัง (ข้อ 18) แต่อีกครั้งที่พระเจ้าทรงสำแดงการอัศจรรย์ พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาเปิดประตูคุกและนำพวกเขาออกมา

ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่ง พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งที่ว่า ‘จงไปยืนในบริเวณพระวิหารประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟัง’ (ข้อ 20)

เมื่อพวกเขาถูกจับกุมในการทำแบบเดียวกันกับครั้งแรกที่พวกเขาโดนคุมตัว พวกเขาถูกจับซ้ำอีกครั้งและนำไปต่อหน้าสภาแซนเฮดรินเพื่อไต่สวนโดยมหาปุโรหิต ผู้พูดกับพวกเขาว่า ‘เรากำชับพวกเจ้าอย่างแข็งขันแล้วว่าอย่าสอนโดยออกชื่อนี้ นี่แน่ะ พวกเจ้าทำให้คำสอนของพวกเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้ความผิดเรื่องการตายของคนนั้นตกอยู่กับเรา’ (ข้อ 28)

เปโตรและอัครทูตคนอื่น ๆ จงรักภักดีต่อพระเจ้า และต่อการทรงเรียกของพวกเขา พวกเขาตอบว่า ‘เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์!’ (ข้อ 29)

พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า’ (มัทธิว 22:21) ในการตรัสเช่นนั้น พระองค์ทรงระบุขอบเขตของสิทธิอำนาจของมนุษย์ และความจงรักภักดีของเราต่อสิทธิอำนาจนั้น เมื่อสิ่งนี้ขัดแย้งกับความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงสำคัญกว่า ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาเทศนาข่าวประเสริฐต่อไป แม้กระทั่งในขณะที่ถูกไต่สวน

ข้อโต้แย้งสั้น ๆ ของพวกเขา (มีแค่เพียงสามข้อ – กิจการ 5:30–32) เป็นรูปแบบของคำเทศนา ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของพระเยซู เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่พวกเขายังคงสามารถพูดถึงเรื่องมากมายได้ในการนำเสนอแค่สั้น ๆ พวกเขาเทศนาเรื่องกางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และการถูกรับขึ้นของพระเยซู พวกเขาประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด คำกล่าวนี้รวมเอาคำอธิบายวิถีแห่งความรอดด้วย การกลับใจใหม่และการทรงอภัยบาป

นอกจากนี้พวกเขายังสามารถรวมตรีเอกานุภาพทั้งหมด: พระเจ้าพระบิดา (พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ข้อ 30) พระเจ้าพระบุตร (พระเยซู ข้อ 30) และพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 32) ในคำเทศนานี้บันดาลให้เกิดโทสะ เช่นเดียวกับที่มิชชันนารีชาวเกาหลี พวกเขาเผชิญกับคำขู่เอาชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า มีชายที่เฉลียวฉลาดในสภาแซนเฮดริน เป็นฟาริสีชื่อ กามาลิเอล ผู้ซึ่งชี้ให้เพื่อนสมาชิกสภาที่เหลือให้เห็น (โดยให้ตัวอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้) ว่า ‘เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ [ของพวกอัครทูต] มันจะล่มสลายไปเอง 39แต่ถ้ามาจากพระเจ้า พวกท่านจะไม่สามารถทำลายพวกเขาได้ เกรงว่าพวกท่านกลับจะเป็นฝ่ายสู้รบกับพระเจ้า’ (ข้อ 38–39)

แม้ว่าคำแถลงของเขาจะชักจูงสมาชิกสภาได้ แต่กระนั้นพวกอัครทูตยังคงถูกเฆี่ยน​และ ‘กำชับไม่ให้สอนในนามของพระเยซู‘ (ข้อ 40)

อีกครั้ง ด้วยความกล้าหาญเหนือธรรมดา และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า และต่อการทรงเรียกของพวกเขา ‘พวกอัครทูตจึงออกจากสภาไปด้วยความยินดี ที่พระเจ้าทรงนับว่าพวกเขามีค่าสมควรได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น พวกเขาสั่งสอนและประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ทุกๆ วันไม่ได้ขาด ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน’ (ข้อ 41–42)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้เราได้รับแรงบันดาลใจจากตัวอย่างของเหล่าอัครสาวก และผู้ที่เหมือนมิชชันนารีชาวเกาหลี ซึ่งดำเนินตามรอยเท้าของพวกเขาไป ขอให้เราไม่เคยหยุดสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 14:1-15:12

2 ซามูเอล 14

อับซาโลมกลับเยรูซาเล็ม

 1ฝ่ายโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ทราบว่าพระราชาทรงคิดถึงอับซาโลม 2โยอาบจึงใช้คนไปยังเมืองเทโคอา พาหญิงฉลาดคนหนึ่งมาจากที่นั่น บอกนางว่า “ขอจงแสร้งทำเป็นคนไว้ทุกข์ สวมเสื้อของคนไว้ทุกข์ อย่าทาน้ำมัน แต่แสร้งทำเหมือนผู้หญิงไว้ทุกข์ให้ผู้ตายมาหลายวันแล้ว 3จงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลข้อความนี้แก่พระองค์” แล้วโยอาบก็บอกถ้อยคำให้หญิงนั้น
 4เมื่อหญิงชาวเทโคอามาเฝ้าพระราชา นางก็ย่อตัวลงซบหน้าลงถึงดิน แล้วทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงช่วยข้าพระบาท” 5พระราชาตรัสถามหญิงนั้นว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร?” นางทูลว่า “ที่จริง ข้าพระบาทเป็นหญิงม่าย สามีตายแล้ว 6สาวใช้ของฝ่าพระบาทมีบุตรชายสองคน ทั้งสองวิวาทกันที่ทุ่งนา ไม่มีใครแยกพวกเขาออก บุตรคนหนึ่งจึงฆ่าอีกคนหนึ่งตาย 7ดูเถิด หมู่ญาติทั้งหมดรุมกันมาหาสาวใช้ของฝ่าพระบาทบอกว่า ‘จงมอบผู้ฆ่าพี่ชายของตัวมาให้เรา เพื่อเราจะฆ่าเขาเสีย เนื่องจากชีวิตของพี่ชายที่เขาฆ่านั้น และเราจะได้ทำลายผู้รับมรดกเสียด้วย’ พวกเขาจะดับถ่านที่คุเหลืออยู่ของข้าพระบาทเสีย ไม่ให้สามีของข้าพระบาทมีชื่อหรือมีบุตรเหลืออยู่บนพื้นโลกเลย”
 8พระราชาจึงรับสั่งแก่หญิงคนนั้นว่า “ไปบ้านของเจ้าเถิด เราเองจะสั่งการเรื่องเจ้า” 9หญิงชาวเทโคอาทูลพระราชาว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอให้โทษตกอยู่กับข้าพระบาท และกับพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระบาท แต่พระราชาและราชบัลลังก์ของฝ่าพระบาทอย่าให้มีโทษเลย” 10พระราชาตรัสว่า “ถ้ามีใครกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา คนนั้นจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย” 11นางก็ทูลว่า “ขอพระราชาทรงกล่าวในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท เพื่อผู้อาฆาตจะไม่เตรียมฆ่าอีกต่อไป และบุตรของข้าพระบาทจะไม่ต้องถูกทำลาย” พระองค์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรของเจ้าสักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน”
 12แล้วหญิงนั้นทูลว่า “ขอสาวใช้ของฝ่าพระบาททูลอีกสักคำหนึ่งแก่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท” พระองค์ตรัสว่า “พูดไป” 13หญิงนั้นจึงทูลว่า “เหตุใดฝ่าพระบาททรงดำริอย่างนี้ต่อประชากรของพระเจ้า ในการตรัสเช่นนี้พระราชาทรงกล่าวโทษฝ่าพระบาทเอง ที่พระราชาไม่ได้ทรงนำผู้ถูกเนรเทศกลับมา 14คนเราจะต้องตายแน่ เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ พระเจ้าไม่ทรงทำลายชีวิต แต่ทรงดำริวิธีเพื่อไม่ทรงทอดทิ้งผู้ถูกเนรเทศจากพระองค์ 15ที่ข้าพระบาทมาทูลเรื่องนี้ต่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะญาติพี่น้องทำให้ข้าพระบาทกลัว และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า ‘ฉันจะทูลพระราชา บางทีพระราชาจะทรงทำตามคำขอของสาวใช้ของฝ่าพระบาท 16ด้วยพระราชาจะทรงสดับฟังและทรงช่วยกู้สาวใช้ของฝ่าพระบาท จากมือของผู้จะทำลายทั้งข้าพระบาทและลูกของข้าพระบาทเสียจากมรดกของพระเจ้า’ 17และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า ‘ขอให้พระดำรัสของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเป็นที่พักพิง’ เพราะพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเปรียบประดุจทูตของพระเจ้า ผู้ทรงทราบความดีและความชั่ว ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทสถิตกับฝ่าพระบาทเถิด”
 18แล้วพระราชาทรงตอบหญิงนั้นว่า “เราเองจะถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าอย่าปิดบังจากเรานะ” ผู้หญิงนั้นทูลว่า “ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตรัสเถิด” 19พระราชาจึงตรัสถามว่า “ในเรื่องทั้งสิ้นนี้มือของโยอาบเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือเปล่า?” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครหนีไปทางขวาหรือทางซ้ายได้ จากทุกสิ่งที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตรัสไว้ โยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั่นแหละสั่งข้าพระบาททูล เขาบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่สาวใช้ของฝ่าพระบาท 20โยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททำสิ่งนี้ก็เพื่อจะแก้ไขเหตุการณ์นี้ แต่เจ้านายของข้าพระบาททรงมีสติปัญญา ดังสติปัญญาของทูตของพระเจ้า ทรงทราบทุกสิ่งที่อยู่บนพิภพ”
 21พระราชาตรัสสั่งโยอาบว่า “ดูเถิด เราอนุมัติตามคำขอนี้แล้ว จงไปพาอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา” 22โยอาบก็ย่อตัวลงซบหน้าลงถึงดิน แล้วขอบพระคุณพระราชา โยอาบทูลว่า “วันนี้ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททราบว่า ข้าพระบาทรับความโปรดปรานจากพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ในการที่พระราชาทรงอนุมัติ ตามคำทูลขอของข้าพระบาท” 23โยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์ และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม 24และพระราชารับสั่งว่า “ให้เขากลับไปวังของเขาเถิด อย่าให้เข้าเฝ้าเรา” อับซาโลมก็ไปอยู่วังของท่าน ไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา

ดาวิดยกโทษให้อับซาโลม

 25ทั่วอิสราเอล ไม่มีชายใดรูปงามและรับคำชมเชยมากเท่ากับอับซาโลม ในตัวท่าน ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อม ไม่มีตำหนิเลย 26เมื่อท่านตัดผม (ท่านเคยตัดผมสิ้นปีทุกปีเพราะผมหนักแล้วท่านก็ตัดเสีย) ท่านก็ชั่งผมของท่านได้หนัก 2 กิโลกรัมกว่า 27อับซาโลมมีบุตรชาย 3 คน และบุตรีคนหนึ่งชื่อทามาร์ เธอเป็นหญิงที่สวยงาม
 28อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มได้ 2 ปีเต็ม โดยไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา 29แล้วอับซาโลมก็ส่งคนไปตามโยอาบ จะใช้ให้เข้าไปเฝ้าพระราชา แต่โยอาบไม่ยอมมาหาท่าน ท่านก็ส่งคนไปครั้งที่สอง แต่โยอาบก็ไม่ยอมมาเหมือนกัน 30ท่านจึงสั่งพวกมหาดเล็กของท่านว่า “ดูสิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น จงไปเอาไฟเผาเสีย” พวกมหาดเล็กของอับซาโลมก็ไปเอาไฟเผานา 31โยอาบก็ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของท่าน ถามท่านว่า “ทำไมพวกมหาดเล็กของท่านจึงเอาไฟเผานาของกระหม่อม?” 32อับซาโลมตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า ‘มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหาพระราชาทูลว่า “ให้ข้าพระบาทมาจากเกชูร์ทำไม? ข้าพระบาทอยู่ที่นั่นก็ดีกว่า” บัดนี้ขอให้เราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา ถ้าเรามีความผิด ก็ให้พระองค์ทรงประหารเราเสีย’ ” 33โยอาบจึงเข้าเฝ้าพระราชาทูลพระองค์ให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงเรียกอับซาโลม ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระราชาย่อตัวลงซบหน้าลงถึงดินเฉพาะพระพักตร์พระราชา พระราชาก็ทรงจูบอับซาโลม

2 ซามูเอล 15

อับซาโลมกบฏต่อดาวิด

 1ต่อมาภายหลัง อับซาโลมจัดรถรบและม้ากับทหารวิ่งนำหน้า 50 คนให้ตนเอง 2อับซาโลมตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ ทรงยืนริมทางเข้าประตูเมือง ถ้าใครมีเรื่องถวายพระราชาให้ทรงตัดสิน อับซาโลมก็เรียกผู้นั้น ถามว่า “เจ้ามาจากเมืองไหน?” และเมื่อเขาทูลตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเผ่าหนึ่งในอิสราเอล” 3อับซาโลมจะบอกเขาว่า “ดูสิ คำร้องของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่พระราชาไม่ได้ทรงตั้งใครไว้ฟังเจ้า” 4อับซาโลมเคยกล่าวยิ่งกว่านั้นว่า “เออ ถ้าใครตั้งข้าเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ก็จะดี เมื่อใครมีข้อขัดแย้งหรือต้องการคำตัดสินจะได้มาหาข้า และข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เขา” 5เมื่อมีใครเข้ามาใกล้จะย่อตัวลงคำนับท่าน ท่านจะยื่นมือพยุงคนนั้นไว้และจูบเขา 6อับซาโลมทำอย่างนี้แก่คนอิสราเอลทั้งหมด ที่มาเฝ้าพระราชาเพื่อขอการพิพากษา อับซาโลมก็ชนะใจบรรดาคนอิสราเอล
 7เมื่อล่วงมาได้ 4 ปี อับซาโลมทูลพระราชาว่า “ขอทรงอนุญาตให้ข้าพระบาทไปแก้บน ซึ่งข้าพระบาทได้บนไว้ต่อพระยาห์เวห์ที่เมืองเฮโบรน 8เพราะว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้บนไว้ เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ประเทศซีเรียว่า ‘ถ้าพระยาห์เวห์ทรงนำข้าพระองค์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระยาห์เวห์’ ” 9พระราชาตรัสตอบท่านว่า “จงไปเป็นสุขเถิด” ท่านก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน 10แต่อับซาโลมได้ส่งผู้สื่อสารลับไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่าว่า “พวกท่านได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไร จงกล่าวกันว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่เฮโบรน’ ” 11มีชาย 200 คนไปกับอับซาโลมจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นคนที่ถูกเชิญไป คนเหล่านี้ไปอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้นเลย 12ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่ ท่านส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ที่ปรึกษาของดาวิดมาจากเมืองของเขา คือกิโลห์ การคบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็มากขึ้น

อรรถาธิบาย

แสวงหาความจงรักภักดีต่อกันและกันในหัวใจของคุณ

ความจงรักภักดีช่างเป็นคุณสมบัติที่น่าดึงดูดใจของคน ๆ หนึ่ง การขาดความจงรักภักดีนั้นล้มล้างและทรยศต่อความไว้วางใจ การขาดความจงรักภักดีสามารถบ่อนทำลายความเป็นผู้นำในคริสตจักรธุรกิจหรือแม้แต่ประเทศชาติ

ในกรณีของดาวิด การขาดความจงรักภักดีมาจากลูกชายของตนเอง นี่น่าจะเป็นเรื่องเจ็บปวดต่อเขาอย่างมาก ดาวิดรักอับซาโลม ‘พระราชาทรงคิดถึงอับซาโลม’ (14:1) พระเจ้าตรัสกับดาวิดผ่านทางสตรีผู้เฉลียวฉลาดจากเมืองเทโคอา ผลก็คือ ดาวิดกล่าวว่า ‘จงไปพาอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา’ (ข้อ 21) เมื่อเขากลับมาถึง ‘พระราชาก็ทรงจูบอับซาโลม' (ข้อ 33) ดาวิดให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่งที่จะเป็นโอรสที่จงรักภักดี

น่าเศร้าที่ความรักและความจงรักภักดีของดาวิดต่ออับซาโลมไม่ได้รับกลับคืนมา เราเห็นตรงจุดนี้ถึงการอธิบายอันทรงพลังว่าการขาดความจงรักภักดีส่งผลอย่างไร

การขาดความจงรักภักดีมีโอกาสเกิดขั้นได้เสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างในรัฐบาล ที่ทำงาน หรือคริสตจักร จะต้องมีขอบเขตสำหรับผู้ที่บ่นว่า (15:2) ถ้าคุณเป็นคนที่จงรักภักดี คุณจะช่วยรับมือกับคำบ่นว่าเหล่านั้น และพยายามจะเผยแพร่คำอธิบายออกไป

มีคำกล่าวว่า ‘ความจงรักภักดีหมายถึง ฉันอยู่กับคุณไม่ว่าคุณจะผิดหรือจะถูก แต่ฉันจะบอกคุณเมื่อคุณผิด และช่วยคุณทำให้ถูกต้อง’

อับซาโลมล้มเหลวเรื่องการทดสอบความจงรักภักดี เขาพูดกับคนที่มาร้องเรียนว่า “‘เอาละ คำร้องของเจ้าก็ดีมาก แต่กษัตริย์จะไม่รับฟังเจ้า’ จากนั้นเขาก็จะพูดว่า ‘ทำไมไม่มีใครตั้งข้าเป็นผู้พิพากษาสำหรับแผ่นดินนี้หนอ? คนที่มีคดีความจะได้นำเรื่องมาหาข้า และข้าจะจัดการทุกสิ่งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม’” (ข้อ 3–4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

แน่นอน นี่เป็นเรื่องไร้สาระที่สุด แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะให้สัญญาแบบนี้ คนที่ขาดความจงรักภักดีกล่าวว่า ‘หากแค่ข้าได้เป็นคนที่จัดการ ทุกสิ่งจะดีกว่านี้มาก’ ด้วยวิธีนี้ อับซาโลม ‘ชนะใจบรรดาคนอิสราเอล’ (ข้อ 6) การขาดความจงรักภักดีเริ่มต้นที่หัวใจของเรา และในความคิดของเรา ดังนั้นจงมีความจงรักภักดี ปกป้องหัวใจและความคิดของคุณ และอย่ายอมให้ใจของคุณถูกใครมาเอาไป

อย่างไรก็ตาม ตรงนี้พวกเขาพบจุดชุมนุมรอบอับซาโลม และ ‘การคบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็มากขึ้น’ (ข้อ 12) ผู้ที่รู้สึกไม่พอใจในสถานการณ์ใด ๆ มักจะมองหาจุดรวมตัว พวกเขาหาบางคนในทีมผู้นำที่พวกเขาสามารถใช้เป็นจุดรวมตัวได้ หากทั้งทีมผู้นำยังคงสัตย์ซื่อ ความไม่พอใจนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยเราให้จงรักภักดีกับบรรดาผู้นำของเรา ต่อผู้นำประเทศและรัฐบาล พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้นำคริสตจักร และเจ้านาย ข้าแต่พระเจ้าขอปกป้องหัวใจของเรา และขอให้เราจงรักภักดี รัก และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ และต่อกันและกัน

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 ซามูเอล 14:1–15:12

การที่มีความงดงามภายนอก ไม่ได้ทำให้คุณงดงามภายใน อับซาโลมมีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่อยู่ภายในค่อนข้างจะต่างกันเลยทีเดียว คนเราใช้เวลาหลายชั่วโมงไปเข้ายิม ทำผม แต่งหน้า ซื้อหาเสื้อผ้า และจัดการกับรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน เราล้วนจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นในเรื่องความงามภายใน ฉันรู้ว่า ฉันจำเป็นต้องทำค่ะ

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 14:21

‘… คนที่เมตตาคนยากจนก็เป็นสุข’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม