ใช้เวลาในการเฉลิมฉลอง
เกริ่นนำ
‘แวบหนึ่งของสวรรค์’ คือ สิ่งที่ผู้หญิงอายุยี่สิบเจ็ดปีคนหนึ่งอธิบายถึงประสบการณ์ของเธอในค่าย (โฟกัส) ประจำปีของคริสตจักรเรา เธอยังพูดถึงปีที่เธอพลาดไปเพื่อไปพักผ่อนต่างประเทศแต่ละวันเธอได้แต่คิดว่า เธอรอคอยที่จะได้อยู่ที่ค่ายโฟกัสมานานแค่ไหน แน่นอนว่า ปีนี้เราต้องเลื่อนการจัดค่ายโฟกัสออกไปเพราะโคโรน่าไวรัส นี่ทำให้ความคาดหวังสำหรับค่ายปีหน้ายิ่งทวีมากขึ้น
นี่เป็นเวลาเมื่อทั้งชุมชนมารวมตัวกันในเทศกาล เพื่อเฉลิมฉลอง นมัสการ ขอบพระคุณ และสรรเสริญ บ่อยครั้งที่เรามีประสบการณ์ในการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เทลงมาอย่างยิ่ง นี่เป็นเวลาแห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณเมื่อเราฟังนิมิต และคำสอนที่ประยุกต์ใช้ได้จริงจากคริสตจักร ถึงวิธีที่เราดำเนินชีวิตของเรา นี่เป็นเวลาหัวเราะ และสนุกเมื่อเราพบกันในงานเลี้ยงตลอดทั้งสัปดาห์ การละเล่น การออกไปปิกนิก การร้องเพลง และเต้นรำ เราได้เพื่อนใหม่พอ ๆ กับที่ได้มีวันพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม นี่เป็น ‘แวบหนึ่งของสวรรค์’ จริงๆ
เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา แต่การเฉลิมฉลองเป็นส่วนสำคัญของชีวิต
สดุดี 66:1-12
สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงดีต่ออิสราเอล
ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงสดุดี
1แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระเจ้า
2จงร้องเพลงสดุดีพระสิริแห่งพระนามของพระองค์
จงถวายเพลงสรรเสริญพระสิริของพระองค์
3จงทูลพระเจ้าว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าครั่นคร้าม
ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง จนศัตรูจำต้องหมอบราบต่อพระองค์
4แผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะนมัสการพระองค์
เขาทั้งหลายจะร้องเพลงสดุดีพระองค์
ร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์”
5จงมาดูพระราชกิจของพระเจ้า
กิจการของพระองค์น่าครั่นคร้ามท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย
6พระองค์ทรงเปลี่ยนทะเลให้เป็นดินแห้ง
คนเดินข้ามแม่น้ำไป
ที่นั่นเราได้ยินดีในพระองค์
7ผู้ทรงปกครองด้วยพระอานุภาพของพระองค์เป็นนิตย์
พระเนตรของพระองค์เฝ้าจับจ้องบรรดาประชาชาติอยู่
อย่าให้พวกกบฏยกย่องตนเอง
8ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าของเรา
จงให้เสียงสรรเสริญพระองค์เป็นที่ได้ยิน
9พระองค์ทรงให้เราอยู่ท่ามกลางคนเป็น
และไม่ทรงยอมให้เท้าเราพลาด
10ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงถลุงพวกข้าพระองค์อย่างถลุงเงิน
11พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้ามาในข่าย
พระองค์ทรงวางความทุกข์ยากไว้บนหลังพวกข้าพระองค์
12พระองค์ทรงให้คนขับรถรบแล่นทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พวกข้าพระองค์ต้องลุยน้ำลุยไฟ
แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายมาสู่ที่กว้างใหญ่
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองความดีงามของพระเจ้า
บางครั้งคุณเคยรู้สึกเหมือน คุณ ‘ผ่านความเป็นความตายและรอดออกมาได้’ ไหม? คุณพบว่าตัวเอง ‘ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง’ ไหม? บางทีพระเจ้าอาจกำลังฝึกฝนคุณ เหมือนกับเงินที่ถูกถลุงให้บริสุทธิ์ผ่านไฟ
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านช่วงเวลายากลำบาก
‘พระองค์ทรงฝึกสอนเราก่อน
ทรงถลุงเราอย่างเงินที่ถูกถลุงผ่านไฟ...
ทรงทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของเรา
ทรงทดสอบเราในชีวิตจริงทั้งภายในและภายนอก
ทรงพาเราผ่านความเป็นความตายและรอดออกมาได้
สุดท้ายแล้วพระองค์ทรงพาเรา
ไปยังที่ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำอันอุดม’ (ข้อ 10–12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
อย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านี้หมดไป จงเฉลิมฉลอง การเฉลิมฉลองของพวกเขาฟังดูค่อนข้างอึกทึก ‘ทั้งหมด – จงสรรเสริญพระเจ้า!’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาร้องเพลงสรรเสริญว่า ‘พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าครั่นคร้าม ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง ’ (ข้อ 3) พวกเขาเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ (ข้อ 5) พวกเขาชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าในแบบที่ทุกคนรอบๆ สามารถได้ยิน: ‘ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าของเรา! จงให้เสียงสรรเสริญพระองค์เป็นที่ได้ยินกึกก้อง!’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 12:37-13:17
37ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์ 38ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ?
และพระกรของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?”
39เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อวางใจไม่ได้ เพราะอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า
40“พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขา
และทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไป
เกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา
และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา
ให้เรารักษาเขาให้หาย”
41อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์ 42อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา 43เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า
พระดำรัสของพระเยซูเป็นหลักพิพากษา
44และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา 45และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา 46เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด 47เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด 48ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย 49เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร 50เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา”
ยอห์น 13
การทรงล้างเท้าของพวกสาวก
1ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด 2ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น (มารได้ดลใจยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอทให้ทรยศพระองค์แล้ว) 3พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าและจะไปหาพระเจ้า 4พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์ 5แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น 6เมื่อพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?” 7พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ” 8เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้” 9ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” 10พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน” 11เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทรยศพระองค์ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด”
12เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์แล้วประทับลงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่? 13พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น 14เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 15เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย 16เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้ 17เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองพระเยซู
จะมีช่วงเวลาในชีวิตคุณเมื่อทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี และก็มีช่วงเวลาที่ทุกสิ่งเลวร้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถเฉลิมฉลองได้เสมอ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นอีกครั้งเพื่อคุณ พระเยซูตรัสว่า ‘เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด’ (12:47) พระองค์ตรัสว่า ‘เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด’ (ข้อ 46)
บริบทของการที่พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าสาวกของพระองค์เกิดขึ้นก่อนเทศกาลการฉลองปัสกา (13:1) มีความตื่นเต้นอย่างยิ่งในบรรยากาศของคนหลายแสนคนที่มายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อมาฉลองเทศกาลปัสกา ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่เล็งถึงการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งบัดนี้เราฉลองเป็นพิเศษในเทศกาลอีสเตอร์
เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าพวกเขาเสร็จ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับท่านหรือไม่?’ (ข้อ 12) นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่? พวกเขาต้องเข้าใจอะไร? เราสามารถเห็นภาพสี่ภาพจากพระธรรมตอนนี้:
ความรัก
การที่พระเยซูทรงล้างเท้าเหล่าสาวกของพระองค์แสดงให้เห็นถึง ความรักของพระองค์ที่ทรงรักเขาทั้งหลาย ‘จนถึงที่สุด’ (ข้อ 1) นี่เป็นความแตกต่างที่เด่นชัดมากกับสิ่งที่โลกคิด เมื่อผู้คนใช้คำว่า ‘รัก’ นี่มากกว่าแค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ นี่เป็นการตัดสินใจที่จะปฏิบัติต่อผู้คนในแบบที่พระเยซูทรงปฏิบัติต่อพวกเขา (ข้อ 14–15)การปรนนิบัติรับใช้
ถนนปาเลสไตน์นั้นไม่ได้ปูผิวถนน และไม่สะอาด ในสภาพอากาศแห้ง ถนนอาจจมฝุ่นหนาหลายนิ้ว ในสภาพอากาศที่เปียกชื้น ถนนจะเต็มไปด้วยโคลนเหลวๆ
ในบ้านที่มั่งคั่ง เมื่อมาถึงบ้าน จะมีอ่างน้ำวางไว้ข้างประตู ทาสที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองของบ้านจะมาแก้เชือกผูกรองเท้า ทาสที่ต่ำต้อยที่สุดในบ้านจะมาล้างเท้าให้
เมื่อคนอื่นเอนกายลง พระเยซูทรงลุกขึ้น ถอดเสื้อทูนิคที่ไม่มีแขนออก และถอดเสื้อจนเหลือแค่ผ้าเตี่ยว เหมือนกับทาส พระองค์ทรงเริ่มต้นล้างเท้าของพวกเขา พระเยซูทรงรับเอาฐานะของคนที่ต่ำที่สุดในสังคม คนที่อยู่ท้ายสุด ที่ของทาส คนที่ทำงานสกปรกต่ำต้อย นี่เป็นการกลับด้านของรูปแบบการเป็นผู้นำของโลก
พระเยซู ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์’ ของพวกเขา (ข้อ 14) ทรงเปิดเผยพระองค์ในฐานะผู้ที่ด้อยค่าที่สุดในสังคม คนที่ทำงานสกปรกต่ำต้อย คนที่อยู่ท้ายที่สุด
พระเยซูทรงทำให้เราเห็นว่า หากคุณรักผู้คน คุณจะเต็มใจที่จะปรนนิบัติรับใช้พวกเขา และคนที่รับใช้คุณควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
- ความถ่อมใจ พระเยซูทรงผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ระหว่างความรักอันสมบูรณ์ (ข้อ 1) กับฤทธิ์เดชอันสมบูรณ์ ‘พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 3ก) ด้วยความรัก พระองค์ทรงเลือกที่จะกระทำกิจในความถ่อมใจ และปรนนิบัติรับใช้สาวกของพระองค์
ผู้ที่แสวงหาเกียรติยศให้แก่ตนเอง (เหมือนกับยูดาส ข้อ 2) ก็จะถูกลดค่าลงจนไม่เหลืออะไรเลย ผู้ที่ยกย่องตัวเองจะถูกทำให้ถ่อมใจลง ผู้ที่ถ่อมใจลง พระเจ้าจะทรงยกชู
พระเยซูทรงเปิดเผยถึงวิธีใหม่ที่จะใช้สิทธิอำนาจผ่านทางความรัก การปรนนิบัติรับใช้ และความถ่อมใจ ด้วยวิธีที่น่าทึ่งนี้ พระองค์ทรงเชื่อมช่องว่างระหว่างผู้นำและผู้อยู่ภายใต้การนำของพวกเขา
- การให้อภัย การล้างและชำระเป็นสัญลักษณ์ของการให้อภัย คือการชำระจากความบาป การล้างเท้าเป็นภาพของสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำบนไม้กางเขนเพื่อพวกเขา (ข้อ 7) ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อคุณ คุณได้รับการอภัยหมดแล้ว เหตุใดจากนั้นพระเยซูจึงทรงสอนเราให้อธิษฐานเป็นประจำเพื่อการทรงอภัย?
ผมพบว่าการเปรียบเทียบและภาพที่เป็นประโยชน์มากที่สุดและภาพ เป็นอันซึ่งได้ให้ไว้ที่นี่ เมื่อพระเยซูทรงเคลื่อนไปล้างเท้าให้กับเปโตร เปโตรทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้” ”’ (ข้อ 8) ผลก็คือ ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” 10พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว’ (ข้อ 9-10)
นี่เป็นภาพของการทรงอภัย เมื่อคุณเชื่อในพระเยซู คุณได้ถูกทำให้สะอาดหมดแล้ว และคุณได้รับการทรงอภัย ทุกอย่างถูกจัดการหมดแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องทำการกลับใจและเชื่อวางใจ ซึ่งนำไปสู่การทรงอภัยทั้งหมดซ้ำอีก นี่เท่ากับการอาบน้ำชำระกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใช้ชีวิตในโลก เราทำสิ่งที่แปดเปื้อนความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเรายังมั่นคงเสมอ แต่มิตรภาพเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่คุณเหยียบติดเท้าของคุณ แต่ละวันให้อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงอภัยให้ลูกด้วย ขอทรงชำระลูกให้พ้นจากสิ่งสกปรกต่างๆ’ คุณไม่จำเป็นต้องอาบน้ำอีกครั้ง พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งนั้นแล้วเพื่อคุณ แต่มาตรการชำระให้สะอาดอาจจำเป็นในแต่ละวัน
นอกจากการเฉลิมฉลองอีสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ของเราแล้ว ทุกสัปดาห์เมื่อเรารวมตัวกันในวันฟื้นคืนพระชนม์ (วันอาทิตย์) เราระลึกและเฉลิมฉลองเหตุการณ์อันน่าทึ่งเหล่านี้ ยิ่งกว่า ทุกครั้งที่คุณรับมหาสนิท คุณกำลังฉลองการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นมาจาความตายของพระเยซูเพื่อคุณ
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 10:9-12:25
ซาอูลเผยพระวจนะ
9เมื่อซาอูลหันหลังไปจากซามูเอล พระเจ้าทรงเปลี่ยนจิตใจของซาอูลเป็นอีกแบบ และหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ นี่แน่ะ ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่านและพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสวมทับท่าน และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา 11และเมื่อคนทั้งปวงที่รู้จักท่านมาก่อนเห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช? ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?” 12ชายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นตอบว่า “และบิดาของพวกเขาคือใคร?” ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?” 13เมื่อท่านเผยพระวจนะเสร็จแล้วท่านก็มายังปูชนียสถานสูง
14ลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า “พวกเจ้าไปไหนมา?” และเขาตอบว่า “ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล” 15ลุงของซาอูลกล่าวว่า “ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง? ขอเล่าให้ฟัง” 16และซาอูลตอบลุงของเขาว่า “ท่านบอกเราชัดเจนว่าพบลาแล้ว” แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
แต่งตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์
17ซามูเอลจึงเรียกประชาชนมาชุมนุมต่อพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์ 18และท่านกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า’ 19แต่วันนี้พวกเจ้าละทิ้งพระเจ้า ผู้ซึ่งช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และพวกเจ้ากล่าวว่า ‘เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ เพราะฉะนั้นบัดนี้พวกเจ้าจงเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ตามเผ่าและตามตระกูลของพวกเจ้า”
20แล้วซามูเอลก็นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน 21ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อพวกเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ 22เขาจึงทูลถามพระยาห์เวห์ต่อไปว่า “ชายคนนั้นมาที่นี่หรือยัง?” และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “ดูสิ เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระ” 23เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาเขามาจากที่นั่น และเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป 24ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “พวกเจ้าเห็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกไว้แล้วหรือ? ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนเขา” และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญ”
25แล้วซามูเอลจึงบอกกับประชาชนให้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตำแหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลก็ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน 26ซาอูลก็กลับไปยังบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย และมีนักรบซึ่งพระเจ้าทรงดลจิตใจไปกับท่านด้วย 27แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า “ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร?” และเขาทั้งหลายก็ดูหมิ่นท่าน ไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่ท่านก็นิ่งเสีย
1 ซามูเอล 11
ซาอูลรบชนะคนอัมโมน
1นาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้งค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ขอทำพันธสัญญากับพวกเราและพวกเราจะยอมปรนนิบัติท่าน” 2แต่นาหาชคนอัมโมนพูดกับพวกเขาว่า “เราจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้าตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสียทุกคนให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง” 3ส่วนพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชพูดกับท่านว่า “ขอผ่อนผันให้พวกเราสักเจ็ดวัน เพื่อพวกเราจะได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปให้ทั่วเขตแดนอิสราเอลแล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยกู้พวกเราได้ พวกเราจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน” 4เมื่อพวกผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล พวกเขาก็เล่าเรื่องราวให้เข้าหูของประชาชนและประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง
5นี่แน่ะ ซาอูลต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไป? ทำไมพวกเขาจึงร้องไห้?” ดังนั้นเขาจึงเล่าให้ท่านทราบถึงเรื่องของพวกยาเบช 6เมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและท่านโกรธจัด 7ท่านจึงเอาโคมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลทางมือของพวกผู้สื่อสารกล่าวว่า “ใครที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะทำอย่างนี้แก่โคของเขา” และความเกรงกลัวพระยาห์เวห์ก็มาเหนือประชาชน พวกเขาพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน 8เมื่อซาอูลรวมพลอยู่ที่เบเซก นับพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ 300,000 คน และชายเผ่ายูดาห์ได้ 30,000 คน 9พวกเขาจึงพูดกับพวกผู้สื่อสารที่มานั้นว่า “จงบอกแก่ชาวยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้เวลาแดดร้อนพวกท่านจะได้รับการช่วยกู้’ ” เมื่อพวกผู้สื่อสารกลับมาบอกพวกยาเบช พวกเขาก็ยินดี 10ดังนั้นชาวยาเบชจึงพูดว่า “พรุ่งนี้เราจะมอบตัวของเราไว้ให้แก่ท่าน ท่านจงทำแก่เราตามที่ท่านเห็นควร” 11พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดประชาชนออกเป็นสามหมู่ยกเข้ามากลางค่ายตอนเช้ามืดและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ก็กระจัดกระจายไปรวมกันไม่ได้สักคู่เดียวเลย
12แล้วประชาชนจึงพูดกับซามูเอลว่า “ใครที่พูดว่า ‘ซาอูลจะปกครองเหนือพวกเราหรือ?’ นั้น จงนำคนเหล่านั้นออกมา พวกเราจะได้ฆ่าพวกเขาเสีย” 13แต่ซาอูลกล่าวว่า “ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ประทานการช่วยกู้ในอิสราเอล” 14แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “มาเถิด ให้เราไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่องราชอาณาจักรที่นั่นอีก” 15ประชาชนทั้งปวงจึงไปยังกิลกาล และที่นั่นพวกเขาก็ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล แล้วพวกเขาถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่นั่น
1 ซามูเอล 12
คำอำลาของซามูเอล
1ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ดูสิ ข้าพเจ้าฟังเสียงของพวกท่านทุกเรื่อง ซึ่งพวกท่านได้บอกข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชาเหนือพวกท่านแล้ว 2บัดนี้ กษัตริย์ก็ทรงดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่าน ส่วนข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และนี่แน่ะ พวกบุตรของข้าพเจ้าก็อยู่กับพวกท่านและข้าพเจ้าเองดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่านตั้งแต่หนุ่มๆ มาจนทุกวันนี้ 3ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และต่อหน้าผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของใครบ้างหรือ? หรือข้าพเจ้าเอาลาของใครไปบ้าง? หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อโกงใคร? ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง? ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของใครที่ทำให้ข้าพเจ้าปิดตาของข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าจะคืนให้แก่พวกท่าน” 4พวกเขาพูดว่า “ท่านไม่ได้ฉ้อพวกเราหรือบีบบังคับพวกเราหรือรับสิ่งใดไปจากมือของใคร” 5ท่านก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานต่อสู้พวกท่าน และผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าพวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า” และพวกเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพยาน”
6และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงแต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และผู้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ 7ฉะนั้นขอพวกท่านจงยืนนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยพวกท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เกี่ยวกับพระราชกิจอันชอบธรรมทั้งปวงของพระยาห์เวห์ ที่พระองค์ทรงทำต่อพวกท่านและต่อบรรพบุรุษของพวกท่าน 8เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของพวกท่านร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ท่านทั้งสองได้นำบรรพบุรุษของพวกท่านออกจากอียิปต์และทำให้พวกเขามาอาศัยอยู่ในที่นี้ 9แต่พวกเขาลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พระองค์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของกองทัพของเมืองฮาโซร์ และมอบไว้ในมือของพวกฟีลิสเตีย และในมือของกษัตริย์แห่งโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของพวกท่าน 10และพวกเขาร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว เพราะว่าพวกข้าพระองค์ได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและบรรดาพระอัชทาโรท แต่บัดนี้ขอทรงช่วยกู้พวกข้าพระองค์ให้พ้นมือของพวกศัตรูของพวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์’ 11และพระยาห์เวห์ทรงส่งเยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และทรงช่วยกู้พวกท่านออกจากมือของพวกศัตรูทุกด้านและพวกท่านได้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 12และเมื่อพวกท่านเห็นนาหาชกษัตริย์ของชาวอัมโมนมาต่อสู้พวกท่าน พวกท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่ได้ เพราะเราต้องการกษัตริย์ปกครองเหนือพวกเรา’ แม้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของพวกท่าน 13บัดนี้ จงดูพระราชาที่พวกท่านเลือก ผู้ซึ่งพวกท่านได้ร้องขอ ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงตั้งพระราชาไว้เหนือพวกท่านแล้ว 14ถ้าพวกท่านยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และทั้งพวกท่านและกษัตริย์ผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านก็ดีแล้ว 15แต่ถ้าพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะต่อสู้พวกท่าน ดังเช่นบรรพบุรุษของพวกท่าน 16เพราะฉะนั้นบัดนี้พวกท่านจงยืนนิ่งอยู่ และดูสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงทำต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 17วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ? ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝน และพวกท่านจะได้รู้และเห็นว่าความชั่วร้ายของพวกท่าน ซึ่งพวกท่านได้ทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์นั้นมากมายเพียงใด ในการที่ได้ทูลขอให้มีกษัตริย์สำหรับตน” 18ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนทั้งปวงก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก
19และประชาชนทั้งปวงพูดกับซามูเอลว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อพวกเราจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของพวกเรา คือขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา” 20และซามูเอลพูดกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย แม้พวกท่านได้ทำความชั่วร้ายทั้งปวงนี้ แต่พวกท่านอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ แต่จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน 21และอย่าหันไปติดตามสิ่งไร้สาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือช่วยกู้ไม่ได้เพราะพวกนี้เป็นสิ่งไร้ค่า 22เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ทรงละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์พอพระทัยที่จะทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์ 23ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าเองขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน แต่ข้าพเจ้าจะชี้แนะทางที่ดีและที่ถูกต้องให้พวกท่าน 24เพียงแต่ว่าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน จงพิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน 25แต่ถ้าพวกท่านยังทำชั่วจริงๆ พวกท่านรวมทั้งกษัตริย์ของพวกท่านจะถูกกวาดต้อนไป”
อรรถาธิบาย
เฉลิมฉลองความสำเร็จ
ซาอูลเริ่มรัชสมัยของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ด้วยช่วงเวลาหวานชื่น พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับพระองค์ด้วยฤทธิ์เดช และพระองค์ก็เผยพระวจนะ (10:9–13) พระเจ้าประทานสติปัญญาให้พระองค์ในการรับมือกับผู้ต่อต้าน พระองค์ทรงทราบว่าเมื่อใดควรเงียบ (ข้อ 27)
ไม่ช้าซาอูลก็ต้องรับมือกับ ‘คนอันธพาล’ (ข้อ 27) พระเจ้าทรงเป็นธุระเรื่องการแตะต้องจิตใจของมนุษย์ (ข้อ 26) แต่เช่นเคย พระคัมภีร์นั้นสมจริง พวกอันธพาลก็มีอยู่ทั่ว ไม่ว่าพระเจ้าจะมีอำนาจอยู่ที่ใดก็ตาม ก็คาดว่าจะพบผู้ก่อกวนอยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อประชากรของพระเจ้าเผชิญกับความโหดร้ายที่น่ากลัวจากชายคนหนึ่งที่ต้องการทะลวงตาขวาของทุกคน ‘พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูล’ (11:6) พระเจ้าประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แก่พระองค์ และพระองค์ก็มีสติปัญญาที่จะกล่าวหลังจากนั้นว่า ‘ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ประทานการช่วยกู้ในอิสราเอล’ (ข้อ 13) พวกเขาจึงจัด ‘งานฉลองใหญ่แทน’ (ข้อ 15)
ในสุนทรพจน์อำลาของซามูเอล เขาพูดถึงว่า พระเจ้าประทานความสำเร็จให้แก่ประชากรของพระองค์บ่อยเพียงใดเมื่อพวกเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ (12:8,10–11) เขาเร้าใจพวกเขาให้ 'พิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน' (ข้อ 24) หลายสิ่งมาเป็นผลมาจากคำอธิษฐานของซามูเอล และกล่าวว่า ‘ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าเองขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน’ (ข้อ 23)
อย่าผูกมัดกับความต้องการและความกังวลของตัวเองเสียจนคุณล้มเหลวในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะอธิษฐานเผื่อกันและกัน
พระธรรมสำหรับวันนี้จบลงด้วยการที่ซามูเอลบอกกับประชาชนว่า ‘จงพิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน’ (ข้อ 24) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคุณ มองย้อนไป พิจารณาดู และเฉลิมฉลองการทรงอภัยของคุณ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระสัญญาแห่งความรุ่งโรจน์ และมหกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อคุณ
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ซามูเอล 11:6
‘เมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและท่านโกรธจัด’
ฉันไม่ได้คิดบ่อยๆ ว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับบางคน และนำเอาความโกรธมาให้ ฉันคิดเสมอว่า พระวิญญาณทรงปลดปล่อยผู้คนจากความโกรธ และนำความชื่นบานหรือสันติสุข หรือการสำนึกบาปอย่างลึกซึ้งมาให้ แต่ความโกรธต่อความอยุติธรรมเคลื่อนเราจากความไม่แยแสต่อการ
ข้อพระคำประจำวัน
1 ซามูเอล 12:24
‘… จงพิจารณาถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงทำแก่พวกท่าน’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)