ความรักแห่งชีวิตของคุณ
เกริ่นนำ
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 บิชอป เฟสโต้ คิเวน เจเล่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้นำคริสตจักรที่ส่งจดหมายประท้วงถึงเผด็จการ อีดี อามิน โดยกล่าวถึงการเฆี่ยนตี การสังหารตามอำเภอใจ และการหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นทั่วยูกันดาในขณะนั้น วันรุ่งขึ้น อาร์คบิชอป จานามิ ลูวัม เพื่อนและผู้นำของ เฟสโต้ คิเวนเจเล่ ถูก อีดี อามิน สังหารและ บิชอบ เฟสโต้ ต้องหลบซ่อนและถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
หลังจากนั้นไม่นาน เฟสโต้ คิเวน ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ I Love Idi Amin (ผมรักอีดี อามิน) ในหนังสือเขาอธิบายถึงชื่อเรื่องที่พิเศษว่า 'พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าจิตใจข้าพเจ้าเริ่มแข็งกระด้าง… ข้าพเจ้าจึงต้องขอการอภัยจากพระเจ้าและด้วยพระคุณที่จะรักท่านประธานาธิบดี อามิน มากขึ้น… นี่คืออากาศบริสุทธิ์สำหรับจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าได้เห็นพระเจ้าและได้รับการปลดปล่อยแล้ว ดังนั้นความรักเติมเต็มหัวใจของข้าพเจ้า”
ความรักเป็นมากกว่าความรู้สึกหรืออารมณ์ เป็นการตัดสินใจว่าเราปฏิบัติต่อกันอย่างไร พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างสูงสุดของความรักในประวัติศาสตร์โลก พระองค์บอกให้เรารักพระเจ้า รักกัน (ยอห์น 13:34–35) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองและแม้กระทั่งรักศัตรูของเรา พระองค์แสดงให้เห็นทั้งหมดนี้ในชีวิตของพระองค์ผ่านการรักทุกคน (แม้แต่ยูดาสที่ทรยศต่อพระองค์อย่างที่เราเห็นในข้อพระคัมภีร์ในวันนี้) และสละชีวิตของพระองค์เพื่อเราทุกคนด้วยความรัก
สดุดี 66:13-20
13ข้าพระองค์จะมายังพระนิเวศของพระองค์พร้อมด้วยเครื่องบูชาเผาทั้งตัว
ข้าพระองค์จะแก้บนต่อพระองค์
14ตามที่ริมฝีปากข้าพระองค์ได้พูดไว้
และที่ปากข้าพระองค์สัญญา เมื่อมีความทุกข์ลำบาก
15ข้าพระองค์จะถวายสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระองค์
พร้อมกับควันหอมจากแกะผู้
ข้าพระองค์จะถวายบูชาด้วยวัวผู้และแพะผู้
16บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง
และข้าพเจ้าจะบอกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง
17ปากข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระองค์
และลิ้นข้าพเจ้าได้ยกย่องพระองค์
18ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจ
องค์เจ้านายจะไม่ทรงสดับ
19แต่พระเจ้าทรงสดับแน่ทีเดียว
พระองค์ใส่พระทัยในเสียงอธิษฐานของข้าพเจ้า
20สาธุการแด่พระเจ้า
เพราะว่าพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
และไม่ทรงเอาความรักมั่นคงของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า
อรรถาธิบาย
รักพระเจ้า
เมื่อคุณมีปัญหา คุณเคยสัญญาไหมว่าถ้าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของคุณ คุณจะทำบางอย่าง (หรือคุณจะไม่ทำอะไรสักอย่างอีกเลย)? ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้สัญญาไว้เช่นนั้น และเมื่อคำอธิษฐานของเขาได้รับคำตอบ เขาก็ปฏิบัติตามคำสัญญาของเขา เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์จะแก้บนต่อพระองค์ ตามที่ริมฝีปากข้าพระองค์ได้พูดไว้ และที่ปากข้าพระองค์สัญญา เมื่อมีความทุกข์ลำบาก’ (ข้อ 13–14)
พระเจ้ารักคุณ พระองค์ไม่ยับยั้งความรักจากคุณ ผู้เขียนพระธรรมสดุดีสรรเสริญพระเจ้า ‘พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ ภักดีในความรักของพระองค์’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความรักที่คุณมีต่อพระเจ้าและผู้อื่นเป็นการตอบสนองต่อความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ‘เรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน’ (1 ยอห์น 4:19)
ด้วยความรักที่ทรงมีต่อคุณ พระเจ้า ได้ยินและตอบคำอธิษฐานของคุณ หากคุณต้องการเพลิดเพลินกับความรักของพระเจ้าอย่างเต็มที่ มีประสบการณ์การตอบคำอธิษฐาน และแสดงความรักต่อพระองค์ มีสิ่งหนึ่งที่คุณต้องหลีกเลี่ยงผู้เขียนพระธรรมสดุดีเขียนว่า ‘ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจ องค์เจ้านายจะไม่ทรงสดับ’ (สดุดี 66:18)
หากมีบาปในอดีต คุณสามารถสารภาพและกลับใจจากบาปและรับการอภัย สิ่งที่ขัดขวางความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าคือถ้าเราตั้งใจทำบาปในอนาคต จากนั้นเราไม่สามารถเข้ามาในที่ประทับของพระเจ้าด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้อง สิ่งนี้ขัดขวางประสบการณ์ความรักของพระองค์
เป็นเพราะความรักของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรง ‘สดับแน่ทีเดียว พระองค์ใส่พระทัยในเสียงอธิษฐานของข้าพเจ้า’ (ข้อ 19) ซึ่งผู้เขียนพระธรรมสดุดีต้องการให้คนฟัง: ‘บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟังและข้าพเจ้าจะบอกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง’ (ข้อ 16) เป็นการหนุนใจอย่างยิ่งที่ได้ยินคำพยานของคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตพวกเขา เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราที่เหลือและเพิ่มความเชื่อของพวกเรา
คำอธิษฐาน
ยอห์น 13:18-38
18เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน เรารู้จักคนที่เราเลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ‘คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา’ 19เราบอกพวกท่านตอนนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น 20เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครรับคนที่เราใช้ไป คนนั้นก็รับเราด้วย และใครรับเรา คนนั้นก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
การทรงพยากรณ์ถึงการทรยศพระองค์
21เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” 22พวกสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร 23สาวกที่พระเยซูทรงรักเอนกายอยู่ใกล้พระองค์ 24ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร 25ขณะที่ยังเอนกายอยู่ใกล้พระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนั้นเป็นใคร?” 26พระองค์ตรัสตอบว่า “เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้” เมื่อพระองค์ทรงเอาขนมปังนั้นจิ้มแล้วก็ทรงยื่นให้กับยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท 27เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว ซาตานชื่อหนึ่งของมาร หมายความว่า ผู้ขัดขวาง (ปฏิปักษ์)ก็เข้าไปสิงในตัวเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ” 28ไม่มีใครในบรรดาคนที่เอนกายร่วมโต๊ะอาหารที่รู้ว่าทำไมพระองค์ถึงตรัสกับเขาอย่างนั้น 29บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือกระเป๋าเก็บเงิน พระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้อะไรแก่คนจน 30เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
พระบัญญัติใหม่
31เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ 32ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็จะทรงให้บุตรมนุษย์มีเกียรติในตัวเองและจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้ 33ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือ ‘ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้’ 34เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น 35ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”
การทรงพยากรณ์ถึงเรื่องที่เปโตรจะปฏิเสธ
36ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ท่านจะตามไปภายหลัง” 37เปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมข้าพระองค์ถึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้? ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” 38พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
อรรถาธิบาย
รักกันและกัน
ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคต่อข่าวประเสริฐของพระเยซูมากไปกว่าการขาดความรักระหว่างคริสเตียน ถ้าประเทศของเราจะถูกเปลี่ยน ถ้าผู้คนจะหันกลับมาติดตามพระเยซู เราต้องเริ่มรักกัน หมายถึงการรักคริสเตียนจากคริสตจักรต่างๆ นิกายอื่น ประเพณีและมุมมองที่แตกต่างกันจากเรา
หมายถึงการรักกันในคริสตจักรท้องถิ่น ความแตกแยกจะถูกทำลาย รักสามัคคี ความรักจะทำให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความรักดึงดูดผู้อื่นให้มาหาพระเยซู การรักพระเจ้าและการรักซึ่งกันและกันในพระนามของพระเยซูต้องเป็นความปรารถนาทั้งหมดของเราเหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือความรักที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
เรามีชายสามคน (ยูดาส เปโตร และยอห์น ผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพระเยซ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นตัวแทนของเราแต่ละคนในช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของเรา
ยอห์น สาวกผู้เป็นที่รัก รู้จักความรักของพระเยซูอย่างสนิทสนม ในบรรดาสาวกทั้งหมด เขาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพระเยซู เขาเป็นคนที่นั่งอยู่ถัดจากพระเยซู (ข้อ23) มีสี่ครั้งในข่าวประเสริฐนี้ ยอห์นบรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวกที่พระเยซูทรงรัก’ ที่นี่ (ข้อ 23) ที่กางเขน (19:26) ที่หลุมฝังศพที่ว่างเปล่า (20:2) และกับพระเยซูที่ฟื้นคืนพระชนม์ (21 :20) ยอห์นเปิดเผยว่าเราทุกคนถูกเรียกให้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซู
จากประสบการณ์ที่ใกล้ชิดในความรักของพระเยซู พระกิตติคุณและจดหมายหลายฉบับของยอห์นเขียนเกี่ยวกับความรักไว้มาก ยอห์นบันทึกว่าพระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ‘เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น (ข้อ 35) ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา’ (13:34–35)
ผู้คนล้มเหลวที่จะรักด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ยูดาสทรยศพระเยซูทั้งๆ ที่ใกล้ชิดกับพระองค์มาก ‘คนที่รับประทานอาหารของเรายกส้นเท้าใส่เรา’ (ข้อ 18) ซาตานเข้ามาสิงในตัวเขา (ข้อ 27) เราเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรัก ยูดาสเกลียดความรัก เขากบฏต่อพระเยซู แต่พระเยซูทรงรักยูดาสต่อไป
เปโตรรักพระเยซู แต่เขามีบุคลิกที่ซับซ้อนและมองพระเยซูและพันธกิจของพระองค์อย่างสายตามนุษย์ เปโตรกล่าวว่าเขาจะสละชีวิตเพื่อพระเยซู (ข้อ 37) แต่พระเยซูบอกเขาว่า ‘ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ (ข้อ 38) และนั่นคือสิ่งที่เปโตรทำ (18:15–18,25–27) แต่พระเยซูทรงรักเปโตรต่อไป
พระเยซูทรงตั้งข้อท้าทายอันน่าทึ่งนี้ไว้ตรงหน้าคุณว่า ‘เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น’ (13:34) พระเยซูรักคุณโดยสละชีวิตเพื่อคุณ พระองค์บอกว่าคุณต้องทำตามแบบอย่างของพระองค์และแสดงความรักที่เสียสละ นี่คือเครื่องหมายของคริสเตียนแท้ ‘ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา’ (ข้อ 35)
ความรักเป็นรูปแบบของการประกาศข่าวประเสริฐที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อคนเห็นความรักที่แท้จริง พวกเขาเห็นพระเจ้า วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นบอกผู้คนเกี่ยวกับพระเยซูคือการรักพวกเขาและรักผู้ที่ติดตามพระเยซูด้วย
โดยทั่วไป ในโลกนี้ ผู้คนจะเข้ากลุ่มกับคนที่สนใจสิ่งเดียวกันและคิดแบบเดียวกัน เราถูกสร้างมาเพื่อให้แตกต่าง คริสตจักรของพระเยซูคริสต์นำเราเข้ากับผู้คนที่หลากหลายจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน มีความสนใจที่แตกต่างกัน อายุที่แตกต่างกัน ชาติพันธุ์ต่างๆ เชื้อชาติ มุมมอง วิถีชีวิต ความคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่างกัน คือทุกคนที่รักกัน
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 13:1-14:23
ซาอูลกับเครื่องบูชาผิดกฎ
1เมื่อซาอูลทรงเป็นกษัตริย์นั้นมีอายุสามสิบปี และพระองค์ทรงปกครองอิสราเอลสี่สิบสองปี
2ซาอูลทรงคัดเลือกชายอิสราเอล 3,000 คน 2,000 คนอยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีก 1,000 คนนั้นอยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน ประชาชนที่เหลือนั้นพระองค์ก็ทรงปล่อยให้ทุกคนกลับที่พักของตน 3โยนาธานตีกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียซึ่งอยู่ที่เกบาพ่ายแพ้ไป และพวกฟีลิสเตียทราบเรื่อง และซาอูลก็ทรงเป่าเขาสัตว์ทั่วแผ่นดินนั้นว่า “ขอให้พวกคนฮีบรูฟัง” 4คนอิสราเอลทั้งปวงได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูลตีกองทหารรักษาการของฟีลิสเตียพ่ายแพ้ไป และคนอิสราเอลเป็นที่เกลียดชังของพวกฟีลิสเตียยิ่งนัก ประชาชนก็ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล
5และคนฟีลิสเตียรวมพลเพื่อต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบ 30,000 และพลม้า 6,000 และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล พวกเขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทางตะวันออกของเบธอาเวน 6เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าตกอยู่ในที่คับขัน (เพราะพวกทหารถูกกดดัน) แล้วประชาชนก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและในร่อง ในซอกหิน ในอุโมงค์และในบ่อ 7พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ซาอูลยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชนทั้งหมดติดตามพระองค์ไปอย่างหวาดกลัว
8พระองค์ทรงคอยอยู่ 7 วันตามเวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้1 ซมอ.10:8 แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล พวกทหารก็กระจัดกระจายไปจากพระองค์ 9ดังนั้นซาอูลจึงตรัสว่า “จงนำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวมาให้เราที่นี่และเครื่องศานติบูชาด้วย” และพระองค์ก็ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 10พอพระองค์ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวนั้นเสร็จ นี่แน่ะ ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับและทรงคำนับท่าน 11ซามูเอลทูลว่า “ท่านได้ทำอะไรไปแล้วนี่?” และซาอูลตรัสตอบว่า “เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจากข้าพเจ้า และท่านก็ไม่ได้มาภายในวันที่กำหนดไว้ และพวกฟีลิสเตียก็ชุมนุมกันที่มิคมาช 12ข้าพเจ้าจึงว่า ‘บัดนี้ พวกฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังไม่ได้ทูลวิงวอนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์’ ข้าพเจ้าจึงบังคับตัวเองขึ้นไปถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว” 13และซามูเอลทูลซาอูลว่า “ท่านได้ทำการที่โง่เขลา ท่านไม่ได้รักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระยาห์เวห์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลตลอดไป 14แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระยาห์เวห์ทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระยาห์เวห์ทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์ เพราะท่านไม่ได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้”
เตรียมทำสงคราม
15และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ชายประมาณ 600 คน 16ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และทหารที่อยู่กับทั้งสองพระองค์ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่พวกฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17มีกองปล้นออกมาจากค่ายพวกฟีลิสเตียสามกอง กองหนึ่งหันไปทางโอฟราห์สู่แผ่นดินชูอัล 18อีกกองหนึ่งหันไปทางเบธโฮโรน และอีกกองหนึ่งหันไปทางพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบยิมตรงถิ่นทุรกันดาร
19คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอลก็ไม่มี เพราะพวกฟีลิสเตียกล่าวว่า “เกรงว่าพวกฮีบรูจะทำดาบหรือหอก” 20แต่คนอิสราเอลทั้งปวงลงไปหาพวกฟีลิสเตียเพื่อลับผาล พลั่ว ขวานและเคียวของเขา 21ค่าลับนั้นสองส่วนสามเชเขลสำหรับลับผาล และพลั่ว และหนึ่งส่วนสามเชเขลสำหรับสามง่าม ขวานและติดประตัก 22เพราะฉะนั้น เมื่อถึงวันทำศึกจะหาดาบหรือหอกในมือของทหารที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานก็ไม่ได้ แต่ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์มี 23และกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียยกไปถึงทางที่ข้ามไปเมืองมิคมาช
1 ซามูเอล 14
โยนาธานโจมตีฟีลิสเตีย
1วันหนึ่งโยนาธานราชโอรสของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถอะ ให้เราข้ามไปที่กองทหารฟีลิสเตียข้างโน้น” แต่ไม่ได้ทูลพระบิดาให้ทรงทราบ 2ซาอูลทรงพำนักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน ทหารซึ่งอยู่กับพระองค์มีชายประมาณ 600 คน 3กับอาหิยาห์บุตรอาหิทูบพี่ชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัสผู้เป็นบุตรของเอลีปุโรหิตของพระยาห์เวห์ที่เมืองชิโลห์ เป็นผู้สวมเอโฟด และพวกทหารไม่ทราบว่าโยนาธานไปแล้ว 4ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่องที่จะข้ามไปยังกองทหารฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และฟากทางข้างโน้นยอดหินแหลมมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์ 5หินแหลมยอดหนึ่งอยู่ทางเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งอยู่ทางใต้หน้าเกบา
6โยนาธานพูดกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารของพวกนี้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต บางทีพระยาห์เวห์จะทรงทำเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระยาห์เวห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย” 7ผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านจึงตอบท่านว่า “จงทำทุกสิ่งที่ใจของท่านอยากทำ มุ่งไปเถิด นี่แน่ะ ข้าพเจ้าพร้อมร่วมกับท่าน แล้วแต่ใจของท่าน” 8แล้วโยนาธานพูดว่า “นี่แน่ะ เราจะข้ามไปหาพวกนั้นและจะให้พวกเขาเห็นตัว 9ดังนั้นถ้าพวกเขาจะพูดกับเราว่า ‘จงอยู่นิ่งๆ จนกว่าพวกเราจะมาถึงตัวพวกเจ้า’ แล้วเราจะยืนในที่ของเรา จะไม่ขึ้นไปหาพวกเขา 10แต่ถ้าพวกเขาว่า ‘จงขึ้นมาหาพวกเรา’ แล้วเราจะขึ้นไปเพราะพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือเรา แล้วเรื่องนี้จะเป็นสัญญาณแก่เรา” 11ทั้งสองจึงให้กองทหารพวกฟีลิสเตียเห็นตัว และพวกฟีลิสเตียกล่าวว่า “นี่แน่ะ พวกฮีบรูออกมาจากรูที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่แล้ว” 12พวกกองทหารจึงร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงขึ้นมาหาเรา แล้วเราจะบอกให้เจ้ารู้เรื่องสักเรื่องหนึ่ง” และโยนาธานจึงบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า “จงขึ้นตามข้ามา เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว” 13แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านก็ตามไปด้วย พวกนั้นก็ล้มลงต่อหน้าโยนาธาน แล้วผู้ถืออาวุธก็ฆ่าพวกเขาตามท่านไป 14การฆ่าฟันครั้งแรก ที่โยนาธานและผู้ถืออาวุธของท่านฆ่านั้นมีประมาณ 20 คน ในระยะทางประมาณครึ่งรอยไถในนาสักสองไร่ครึ่ง 15และเกิดการสั่นสะท้านในค่ายในทุ่งนาและในพวกทหารทั้งหมด กองทหารนั้นและแม้แต่กองปล้นพวกนี้ก็หวาดกลัวตัวสั่นและแผ่นดินก็ไหว คือการสั่นสะท้านที่มาจากพระเจ้า
16พวกยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามินก็มองดูอยู่ และนี่แน่ะ กองทัพก็สลายไป วิ่งวุ่นไปมา 17แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่ทหารที่อยู่กับท่านว่า “จงนับดูว่าใครไปจากพวกเราบ้าง” และเมื่อพวกเขานับดูแล้ว นี่แน่ะ โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18และซาอูลรับสั่งกับอาหิยาห์ว่า “จงนำหีบของพระเจ้ามาที่นี่” เพราะคราวนั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล 19เมื่อซาอูลตรัสกับปุโรหิต เสียงโกลาหลที่อยู่ในค่ายพวกฟีลิสเตียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลจึงตรัสกับปุโรหิตว่า “หดมือไว้ก่อน” 20ซาอูลกับทหารทั้งหมดที่อยู่ด้วยก็เข้าไปทำศึก และนี่แน่ะ ดาบของทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนของตนมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง 21ส่วนพวกฮีบรูซึ่งเคยอยู่กับพวกฟีลิสเตียก่อนเวลานั้น คือคนที่ไปในค่ายกับพวกเขา แม้แต่คนเหล่านั้นก็กลับมาเข้ากับคนอิสราเอลที่อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน 22ในทำนองเดียวกัน คนอิสราเอลทั้งปวงที่ซ่อนตัวอยู่ในแดนเทือกเขาเอฟราอิมได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ตามพวกเขาในสงครามนั้นด้วย 23พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธาเวนเลยไป
อรรถาธิบาย
รักเหมือนที่พระเจ้ารัก
มีหลายครั้งในชีวิตของคุณที่คุณอาจรู้สึกว่ามีปัญหาท่วมท้น เช่น ความเจ็บป่วย การล่อลวง การโจมตีความเชื่อของคุณ และอื่นๆ แต่พระเจ้าสามารถช่วยคุณได้เมื่อพระองค์ทรงกระทำแทนคุณ ดูเหมือนว่าศัตรูของคุณจะมีจำนวนมากกว่าคุณมากเพียงใด เมื่อพระเจ้าทรงกระทำแทนคุณ คุณก็จะได้รับการช่วยให้รอดพ้นไปได้
วางใจพระเจ้าไม่เพียงแค่เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ในยามยากลำบากด้วย พระเจ้ากำลังมองหาชายและหญิงที่มีความเชื่อ
ซามูเอลกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระยาห์เวห์ทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์’ (13:14)
พระทัยของพระเจ้าเต็มไปด้วยความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา ความยุติธรรม และความคิดสร้างสรรค์ ทรงกำลังมองหาคนที่เป็นเหมือนพระองค์ คือเหมือนพระเยซู เป็นงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจของคุณเท่านั้นที่สามารถทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูได้
ซาอูลล้มเหลว พระเจ้าบอกให้ซาอูลรอจนกว่าซามูเอลจะมาถึง เมื่อซามูเอลมาช้า ผู้คนก็กระสับกระส่าย ซาอูลสนใจสิ่งที่ผู้คนคิดมากกว่าที่พระเจ้าคิด ซาอูลเริ่มหมดความอดทนและตื่นตระหนก (ข้อ 6–12) เช่นเดียวกับที่เราทำบ่อยๆ จงเรียนรู้ที่จะอดทนมากขึ้น รอให้พระเจ้าทรงกระทำ และอย่าตื่นตระหนกหากสิ่งเล็กน้อยผิดพลาด อย่าด่วนสรุปการตัดสินใจในช่วงเวลาที่กดดัน
ในทางกลับกัน โยนาธานวางใจในความรักของพระเจ้าในที่สุด เขากล่าวว่า ‘บางทีพระยาห์เวห์จะทรงทำเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระยาห์เวห์ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย’ (14:6)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 13:35
‘ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา’
ฉันจำได้ว่าครั้งแรกที่ฉันเจอกลุ่มวัยรุ่นที่ทำงานร่วมกัน ฉันรู้สึกประทับใจกับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่พวกเขามีต่อฉันและต่อกันมาก จนฉันอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้อย่างยิ่ง หวังว่านั่นคือสิ่งที่ผู้คนจะได้รับในการมานมัสการในวันอาทิตย์ ที่อัลฟ่า และมีส่วนร่วมกับชุมชนคริสตจักรอื่น ๆ ที่ผู้คนประทับใจในความรักที่พวกเขามีต่อกัน
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 13:34
‘เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)