วัน 141

การปกครองที่ดี?

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 65:1-13
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 12:12-36
พันธสัญญาเดิม 1 ซามูเอล 8:1-10:8

เกริ่นนำ

รัฐบาลคือระบบ หรือกลุ่มคนที่ปกครองชุมชนที่ถูกจัดระเบียบ บ่อยครั้งคือ รัฐ มักประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ รัฐบาลเป็นกลไกในการตัดสินใจนโยบายของรัฐและวิธีการบังคับใช้นโยบายเหล่านั้น ในอดีต รูปแบบของรัฐบาลได้รวมถึงระบอบเผด็จการ (เช่น ราชาธิปไตย) คณาธิปไตย (ปกครองโดยกลุ่มบุคคล เช่น ทหาร หรือกลุ่มปฏิวัติ - ผู้แปล) อภิชนาธิปไตย (ปกครองโดยขุนนางหรืออภิสิทธิ์ชน - ผู้แปล) และประชาธิปไตย

ครั้งหนึ่งเซอร์วินส์ตัน เชอร์ชิลเคยกล่าวว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่แย่ที่สุด ยกเว้นรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมดที่ได้มีการทดลองเป็นครั้งคราว’

รัฐบาลมีขาขึ้นและขาลง นักการเมืองของเราเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนแอแบบมนุษย์เหมือนเราทุกคน

มีความสับสนเกี่ยวกับฝ่ายปกครองของมนุษย์ในพระคัมภีร์ มีบางส่วนที่การปกครองของมนุษย์ได้รับการยืนยันว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ (อาทิเช่น ใน โรม 13) และในที่อื่น ๆ ซึ่งมีภาพของการอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร (อาทิเช่น ใน วิวรณ์ 13) ทั้งหมดรวมกันเป็นตัวแทนของความเป็นจริงของการปกครองของมนุษย์ การปกครองสะท้อนถึงสิ่งที่ดีและจริงปะปนอยู่ในตัวเรา ควบคู่ไปกับสิ่งที่เป็นบาปและข้อบกพร่อง

อย่างไรก็ตาม จงแน่ใจว่า วันหนึ่งจะมีการปกครองแบบใหม่เกิดขึ้น คือความเป็นกษัตริย์ของพระเยซู (ยอห์น 12:12–36)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 65:1-13

คำขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด บทเพลง

1ข้าแต่พระเจ้า ในศิโยน การสรรเสริญควรแก่พระองค์
 เขาจะทำการแก้บนต่อพระองค์
2เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน
 มนุษย์ทั้งสิ้นจะมาหาพระองค์
3เมื่อความชั่วชนะข้าพระองค์ทั้งหลาย
 พระองค์ก็ทรงอภัยการละเมิดให้
4บุคคลผู้เป็นสุขคือ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกและนำมาใกล้
 ให้พำนักอยู่ในบริเวณพระนิเวศของพระองค์
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอิ่มเอมด้วยความดีแห่งพระนิเวศของพระองค์
 คือพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
5ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย
 พระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยการช่วยกู้ โดยกิจการที่น่าครั่นคร้าม
พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังของที่สุดปลายทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก
 และของทะเลที่ไกลโพ้น
6พระองค์ผู้ทรงสถาปนาภูเขาด้วยพระกำลังของพระองค์
 ทรงคาดพระองค์ไว้ด้วยพระอานุภาพ
7ผู้ทรงระงับเสียงอึงคะนึงของทะเล
 เสียงอึงคะนึงของคลื่นทะเล
 เสียงโกลาหลของชาวประเทศทั้งหลาย
8ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินไกลโพ้น
 จึงเกรงกลัวหมายสำคัญของพระองค์
พระองค์ทรงทำให้เช้าและเย็นออกมา
 โห่ร้องด้วยความยินดี
9พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำให้
 พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินอุดมยิ่ง
แม่น้ำของพระเจ้ามีน้ำเต็ม
 พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้
เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
10พระองค์ทรงรดน้ำ ตามรอยไถของมันอย่างชุ่มโชก
 และทรงให้ขี้ไถราบลง
ทรงให้ดินอ่อนนุ่มด้วยห่าฝน
 และทรงอวยพรผลิตผลของมัน
11พระองค์ทรงให้ปีเป็นปีทองด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์
 รอยรถของพระองค์มีความไพบูลย์ย้อยหยด
12ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็หยดย้อย
 เนินเขาคาดเอวด้วยความเปรมปรีดิ์
13ทุ่งหญ้าห่มตัวด้วยฝูงแพะแกะ
 หุบเขาปกคลุมไปด้วยข้าว
 ต่างก็โห่และร้องเพลงด้วยความชื่นบาน

อรรถาธิบาย

การปกครองของพระเจ้า

คุณตระหนักไหมว่า พระเจ้าทรงแสนดีเพียงใด? พระองค์ทรงรักคุณและปรารถนาให้คุณเพลิดเพลินกับพระพรในวันนี้ของพระองค์ในชีวิตของคุณ สดุดีตอนนี้ล้วนเป็นเรื่องของความดีงามของพระเจ้า มันให้ภาพที่สวยงามว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า จงใคร่ครวญถึงความดีงามของพระองค์ในวันนี้

พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของคุณ (ข้อ 2) พระองค์ทรงอภัยบาปของคุณ แม้ว่าคุณอาจรู้สึกว่า ‘ความ​ชั่ว​ชนะ​ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย’ (ข้อ 3) การทรงอภัยของพระเจ้านั้นช่างน่าอัศจรรย์

‘ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย​จะ​อิ่ม​เอม​ด้วย​ความ​ดี’ (ข้อ 4) ที่อยู่ในการทรงสถิตของพระองค์ พระองค์ประทาน ‘ความหวัง’ (ข้อ 5ข) และ ‘ความยินดี’ (ข้อ 8ข) ให้แก่คุณ

การเห็นความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ในแบบที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสิ่งทรงสร้าง (การรดน้ำแผ่นดิน การทรงจัดหาข้าว ผลิตผล ฝูงสัตว์ และอื่น ๆ ข้อ 9–13)

เราไม่ได้ดำเนินชีวิตในสังคมที่พระเจ้าทรงปกครองโดยตรง แต่ผ่านทางพระคริสต์ คุณมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้าในชีวิตส่วนตัวของคุณ คุณสามารถดำเนินตามกฎของพระองค์ และได้รับพระพรแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่คุณสามารถมีประสบการณ์กับ ‘แผ่นดินของพระเจ้า’ ในชีวิตของคุณตอนนี้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่วันหนึ่งแผ่นดินของพระองค์จะมาถึง และทุกเข่าจะก้มกราบลงต่อพระเยซู และพระองค์จะทรงปกครองด้วยความชอบธรรมใน ‘การทรงสร้างใหม่’
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 12:12-36

พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต

 12วันรุ่งขึ้น เมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลนั้นได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม 13พวกเขาก็ถือทางอินทผลัมพากันออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า
“โฮซันนา
ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

คือ พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ”
14และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นดังคำที่เขียนไว้ว่า
15“ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงดู กษัตริย์ของเธอเสด็จมา
ประทับบนลูกลา”

 16ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากพระเยซูทรงรับพระเกียรติแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และพวกเขาเองเคยทำอย่างนั้นถวายพระองค์ 17ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์เมื่อครั้งพระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น ก็เป็นพยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น 18เหตุที่ฝูงชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญนั้น 19พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “เห็นไหม? เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว”

พวกกรีกบางคนปรารถนาจะเห็นพระเยซู

 20ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย 21พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู” 22ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปไปทูลพระเยซู 23และพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ 24เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก 25คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์ 26ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น

บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น

 27“เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ 28ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า “เราให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก” 29ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นก็พูดกันว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆ ว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับพระองค์” 30พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อเรา 31เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป 32เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” 33พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร 34ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?” 35พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน 36ขณะที่พวกท่านมีความสว่าง จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกของความสว่าง”

พวกยิวไม่วางใจในพระเยซู

 เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา

อรรถาธิบาย

การปกครองของพระเยซู

คุณกำลังลำบากใจกับบางสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ไหม? คุณกำลังทุกข์ทรมานจากการทดลองบางเรื่องในชีวิตของคุณหรือไม่ ? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณมีผู้นำที่เข้าอกเข้าใจ พระเยซูตรัสว่า ‘จิตวิญญาณของเราวุ่นวายใจและเป็นทุกข์…’ (ข้อ 27ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplifiled Bible โดยผู้แปล)

พระเยซูประทานแบบอย่างให้แก่เราถึงวิธีตอบสนองต่อความยากลำบากในชีวิตเรา และต่อโลกที่ทุกข์ทรมาน จากนั้น เหมือนกับตอนนี้ เป็นช่วงเวลาวิกฤติ ดังที่พระเยซูตรัสว่า ‘โลกอยู่ในภาวะวิกฤติ’ (ข้อ 30, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในช่วงเทศกาลปัสกา ‘มหาชน’ ได้มาที่กรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 12) โจซีฟัสประมาณว่ามีราว 2.7 ล้านคนมารวมตัวกัน นี่อาจพูดเกินความจริง ถึงกระนั้นก็เป็นเทศกาลใหญ่ และน่าจะต้องรู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังกันอย่างยิ่ง

ในยุคของพระเยซู คนกำลังรอคอยพระเมสซิยาห์ พวกเขามองหากษัตริย์มนุษย์ เช่น เชื้อสายของดาวิด ผู้ที่ปลดปล่อยพวกเขาจากผู้ที่ข่มเหง เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ถูกมองว่ากษัตริย์องค์นั้น ‘พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ”!’ (ข้อ 13ข) ฝูงชนอาจเห็นพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์นักรบ และหวังว่าจะเป็นไททันทีจากการปกครองของโรม

จากนั้น เหมือนในตอนนี้ มีทัศนคติที่แตกต่างกันต่อการปกครอง พวกฟาริสี (ข้อ 19) เห็นว่าการยึดครองของชาวโรมันแม้จะถูกกดขี่ แต่ต้องอดทนจนกว่าพระเจ้าจะทรงกำจัดมันออกไป พวกสะดูสีชอบให้ความร่วมมือกับทางราชการมากกว่า พรรคชาตินิยมซีล็อทได้รับความนิยมจากประชาชนมากที่สุด พวกเขาอยากให้มีการจลาจลรุนแรงนำโดยกษัตริย์ผู้ช่วยกู้

พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์อย่างแท้จริง แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ทรงพลัง บนรถรบ หรือม้าศึก พระองค์ทรงเป็นผู้นำอีกแบบหนึ่ง ‘จงดู กษัตริย์ของเธอเสด็จมา ประทับบนลูกลา’ (ข้อ 15ข) ถ่อมใจ สุภาพ นั่งมาบนลูกลา พระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์ผู้ช่วยกู้แต่ไม่ใช่กษัตริย์นักรบ อุปมาเรื่องการกระทำนี้ออกแบบมาเพื่อแก้ไขความคาดหวังที่ผิด ๆ ของฝูงชน และแสดงให้กรุงเยรูซาเล็มเห็นวิถีแห่งสันติสุข

พระองค์เสด็จมาอย่างจอมกษัตริย์ผู้ทรงมีชัย ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง ต่อผู้ที่กดขี่ แต่โดยยอมให้ทำทารุณต่อพระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติ’ (ข้อ 23) และกระนั้นพระองค์ยังทรงพูดถึงกางเขน "เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร’ (ข้อ 32–33)

เราเห็นข้อมูลเชิงลึกที่นี่ถึงการปล้ำสู้ภายในพระทัยของพระเยซู เมื่อพระองค์ทรงเผชิญกับการล่อลวงความทุกข์ทรมาน และความตายที่ใกล้เข้ามา ‘เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้อย่างนั้นหรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้ ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ”!’ (ข้อ 27–28ก)

ชัยชนะของพระเยซูไม่ได้มาด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร แต่ผ่านทางการวายพระชนม์อย่างเสียสละของพระองค์ ซึ่งเอาชนะอำนาจมารได้ (ข้อ 31) การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู หมายความถึงการพิพากษาโลก การล้มล้างความชั่วร้าย การถวายเกียรติแด่พระเยซู และนำทุกคนมาถึงพระองค์

แน่นอนว่าจุดนี้เป็นกษัตริย์ผู้ทรงมีชัยที่แตกต่างต่างออกไป พระเยซูไม่เพียงทำให้คำเผยพระวจนะเรื่องกษัตริย์ผู้ทรงช่วยกู้สำเร็จ พระองค์ยังทรงทำให้คำเผยพระวจนะเรื่องผู้รับใช้ที่ทนทุกข์สำเร็จอีกด้วย พระองค์ทรงนำเอาคำเผยพระวจนะสองสายมาบรรจบกัน

วันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างกษัตริย์ผู้ทรงมีชัยเพื่อปกครองและครอบครองไปชั่วนิรันดร์ ระหว่างนั้น คุณถูกเรียกให้เป็นความสว่างในความมืด หากคุณดำเนินชีวิตภายใต้การนำของพระเยซู ‘จากนั้นความสว่างจะอยู่ในท่าน และฉายแสงออกไปผ่านทางการดำเนินชีวิตของท่าน คุณจะเป็นลูกแห่งความสว่าง’ (ข้อ 36, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพระเจ้าจะทรงให้เกียรติคุณ พระเยซูตรัสว่า ‘ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น’ (ข้อ 26)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รับใช้พระองค์ในแบบที่ชีวิตของข้าพระองค์จะนำความสว่างเข้าสู่โลกที่มืดมิด
พันธสัญญาเดิม

1 ซามูเอล 8:1-10:8

คนอิสราเอลร้องขอกษัตริย์

 1ต่อมาเมื่อซามูเอลแก่แล้ว ท่านได้ตั้งพวกบุตรชายของท่านให้วินิจฉัยอิสราเอล 2บุตรชายหัวปีของท่านชื่อโยเอล และคนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองเป็นผู้วินิจฉัยในเมืองเบเออร์เชบา 3แต่พวกบุตรชายของท่านไม่ได้ดำเนินตามอย่างชีวิตของท่าน พวกเขาบิดเบือนไปหารายได้ที่ผิด รับสินบน และบิดเบือนความยุติธรรม
 4พวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของอิสราเอลก็พากันมาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ 5และพูดกับท่านว่า “ดูเถิด ท่านชราแล้วและพวกบุตรของท่านไม่ได้ดำเนินตามอย่างชีวิตของท่าน บัดนี้ขอท่านได้ตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเราอย่างประชาชาติทั้งปวงเถิด” 6ถ้อยคำที่พวกเขาพูดว่า “ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเราทั้งหลาย” ทำให้ซามูเอลไม่พอใจ ซามูเอลจึงทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 7และพระยาห์เวห์ทรงตอบซามูเอลว่า “จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่พวกเขาพูดกับเจ้า เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ละทิ้งเจ้า แต่พวกเขาละทิ้งเรา ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา 8ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งพวกเขาทำแก่เรา ตั้งแต่วันที่เรานำพวกเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือพวกเขาละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น ดังนั้นเขาจึงทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย 9บัดนี้จงฟังเสียงของพวกเขา แต่เจ้าต้องตักเตือนพวกเขาอย่างจริงจัง และสำแดงให้พวกเขาทราบถึงกฎของกษัตริย์ผู้ที่จะครอบครองพวกเขา”
 10ซามูเอลจึงเอาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์มาบอกประชาชน ผู้ร้องขอให้ท่านตั้งพระราชา 11ท่านกล่าวว่า “นี่เป็นสิทธิของพระราชา ผู้ที่จะครอบครองเหนือพวกเจ้า พระองค์จะเกณฑ์พวกบุตรชายของเจ้า และกำหนดให้ประจำรถรบ และให้เป็นพวกพลม้า และให้วิ่งหน้ารถรบของพระองค์ 12แล้วพระองค์จะตั้งพวกเขาให้เป็นนายพัน นายห้าสิบของพระองค์ ให้บางคนไถที่ดินของพระองค์และเกี่ยวข้าวของพระองค์ และทำศัสตราวุธและเครื่องใช้ของรถรบ 13พระองค์จะนำพวกบุตรสาวของพวกเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและอบขนม 14พระองค์จะเอานา สวนองุ่น และสวนมะกอกที่ดีที่สุดของพวกเจ้า ให้แก่พวกข้าราชการของพระองค์ 15พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของข้าวและผลองุ่นของพวกเจ้าให้แก่พวกขุนนางและพวกข้าราชการของพระองค์ 16พระองค์จะเอาพวกคนใช้ชายและหญิง และพวกคนหนุ่มๆฉบับกรีกว่า และพวกฝูงสัตว์ที่ดีที่สุดของพวกเจ้า และลาของพวกเจ้าไปทำงานของพระองค์ 17พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นทาสของพระองค์ 18ในวันนั้นพวกเจ้าจะร้องทุกข์เพราะพระราชา ผู้ซึ่งพวกเจ้าเลือกให้ครองพวกเจ้า แต่พระยาห์เวห์จะไม่ทรงตอบพวกเจ้าในวันนั้น”

อิสราเอลได้รับกษัตริย์ตามคำขอ

 19แต่ประชาชนปฏิเสธไม่เชื่อฟังซามูเอล พวกเขากล่าวว่า “เราไม่ยอม เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา 20เพื่อเราจะเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลาย และเพื่อพระราชาของเราจะวินิจฉัยเราและนำหน้าเราไปและรบในสงครามให้เรา” 21และเมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน ท่านก็นำถ้อยคำเหล่านี้ไปทูลพระยาห์เวห์ให้ทรงทราบ 22และพระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “จงฟังพวกเขาเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้พวกเขา” แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน”

1 ซามูเอล 9

ทรงเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์

 1มีชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งชื่อคีช บุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ ชายเผ่าเบนยามิน เป็นคนมั่งมี 2ท่านมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นหนุ่มใหญ่รูปงาม ไม่มีชายใดในหมู่คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหมดตั้งแต่บ่าขึ้นไป
 3ฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงพูดกับซาอูลบุตรของตนว่า “ลุกขึ้น เอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า ไปหาฝูงแม่ลา” 4เขาทั้งสองผ่านแดนเทือกเขาเอฟราอิม ผ่านเข้าดินแดนชาลิชา แต่หาลาไม่พบ ก็ผ่านข้ามดินแดนชาอาลิมแต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาทั้งสองผ่านเข้าดินแดนเบนยามิน แต่ก็หาไม่พบ 5เมื่อพวกเขามาถึงดินแดนศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ที่อยู่กับท่านว่า “มาเถอะ ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องฝูงลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา” 6แต่คนใช้ตอบท่านว่า “ดูเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เป็นคนที่เขานับถือกันมาก สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นไปตามที่พูดนั้นทุกอย่าง ให้เราไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ บางทีท่านจะบอกเราถึงทางซึ่งเราควรไป” 7แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า “แต่ดูสิ ถ้าเราไป เราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง?” 8คนใช้ตอบซาอูลอีกว่า “ในมือข้ามีเงินอยู่หนึ่งส่วนสี่เชเขลและข้าจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อท่านจะบอกทางให้เรา” 9ในอิสราเอลสมัยก่อน เมื่อคนใดจะไปทูลถามพระเจ้า เขาพูดว่า “มาเถอะ ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน” เพราะในสมัยก่อนเรียกผู้เผยพระวจนะในสมัยนี้ว่าผู้ทำนาย 10ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า “พูดดีนี่ มาให้เราไปกันเถอะ” พวกเขาจึงไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่
 11ขณะเมื่อพวกเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น พวกเขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า “ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ?” 12พวกเธอตอบว่า “อยู่ ดูนี่ ท่านอยู่ข้างหน้าท่าน รีบเถอะ เพราะท่านมาที่เมืองวันนี้ เพราะว่าประชาชนจะมีการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูงวันนี้ 13พอพวกท่านเข้าไปถึงในเมือง พวกท่านจะพบผู้ทำนายก่อนที่ท่านจะขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรเครื่องสัตวบูชา หลังจากนั้นพวกผู้ที่ได้รับเชิญจึงจะรับประทาน ขึ้นไปเดี๋ยวนี้เถิด พวกท่านจะได้พบท่านเวลานี้” 14เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในเมือง นี่แน่ะ ซามูเอลกำลังเดินออกมาทางพวกเขาเพื่อขึ้นไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
 15พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ซามูเอลแล้วในวันก่อนวันที่ซาอูลมาถึงว่า 16“พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดนเบนยามินมาหาเจ้า เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเราให้พ้นจากมือพวกฟีลิสเตีย เนื่องจากเราเห็นประชากรของเราแล้ว เพราะเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึงเรา” 17เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลเข้าแล้ว พระยาห์เวห์ทรงบอกท่านว่า “นี่เป็นชายคนที่เราได้บอกกับเจ้าแล้ว เขาผู้นี้จะปกครองเหนือประชากรของเรา” 18แล้วซาอูลก็เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและพูดว่า “ขอบอกข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน?” 19ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้าเองเป็นผู้ทำนายนั้น จงนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับข้าพเจ้า และพรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจึงจะให้ท่านไปและข้าพเจ้าจะบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจของท่านแก่ท่าน 20ส่วนเรื่องฝูงลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้นอย่าสนใจเลย เพราะมีคนพบแล้ว ความปรารถนาทั้งหมดของคนอิสราเอลนั้นมุ่งที่ใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านหรือ?” 21ซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามินหรือ? เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูลที่ด้อยที่สุดในบรรดาตระกูลของเผ่าเบนยามินหรือ? ทำไมท่านจึงบอกถ้อยคำเหล่านี้กับข้าพเจ้าเล่า?”
 22แล้วซามูเอลก็พาซาอูลกับคนใช้ของท่านเข้าไปในห้องโถง ให้นั่งในที่นั่งด้านหน้าสำหรับผู้ที่รับเชิญ ซึ่งมีประมาณ 30 คน 23และซามูเอลพูดกับคนครัวว่า “จงนำส่วนที่ข้าพเจ้ามอบให้ ซึ่งข้าพเจ้าบอกเจ้าว่า ‘เก็บไว้ต่างหาก’ นั้นมา” 24คนครัวจึงนำส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลพูดว่า “นี่แน่ะ ส่วนที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถอะ เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ เพราะข้าพเจ้าพูดว่า ข้าพเจ้าได้เชิญประชาชนมาแล้ว” ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น 25และเมื่อพวกเขาลงมาจากปูชนียสถานสูงเข้ามาในเมือง ท่านสนทนากับซาอูลบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน 26พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และเมื่อสว่างแล้ว ซามูเอลก็เรียกซาอูลผู้อยู่บนดาดฟ้าว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะส่งท่านไป” ซาอูลก็ลุกขึ้น ท่านทั้งสองก็ออกไปที่ถนน ทั้งท่านและซามูเอล

ซามูเอลเจิมซาอูล

 27เมื่อพวกเขากำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินนำหน้าเราไป และเมื่อเขาเดินพ้นไปแล้ว ท่านจงยืนที่นี่สักครู่ เพื่อข้าพเจ้าจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”

1 ซามูเอล 10

 1แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจูบท่านแล้วกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นผู้นำเหนือมรดกของพระองค์แล้วไม่ใช่หรือ? 2เมื่อท่านไปจากข้าพเจ้าวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ฝูงลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว นี่แน่ะ ขณะนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องฝูงลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของพวกท่านกล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี?” ’ 3และท่านจะผ่านที่นั่นไปถึงต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่าน คนหนึ่งแบกลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง 4พวกเขาจะทักทายท่านและมอบขนมปังให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของพวกเขา 5ต่อจากนั้นท่านจะมาถึง กิเบอัทเอโลฮิมภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ภูเขาของพระเจ้า ที่นั่นมีกองทหารรักษาการแปลได้อีกว่า นายกองทหารของพวกฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะอยู่ 6แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงสวมทับท่าน และท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น ท่านจะถูกเปลี่ยนเป็นคนละคน 7เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่านแล้วจงทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน 8และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนข้าพเจ้า และดูเถิด ข้าพเจ้าจะลงมาหาท่านเพื่อถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจนข้าพเจ้ามาหาท่านและบอกให้ท่านรู้ว่า ท่านควรทำอะไร”

อรรถาธิบาย

การปกครองของมนุษย์

พระเจ้าทรงวางแผนว่า ประชากรของพระองค์จะแตกต่างจากคนอื่น ๆ พระองค์ทรงวางแผนสังคมที่องค์พระเจ้าเองทรงเป็นกษัตริย์ แต่อิสราเอลอยากเป็นเหมือนกับคนอื่น ๆ การปกครองโดยตรงจากพระเจ้าได้ผลต่อเมื่อประชาชนอุทิศตัวทั้งสิ้นต่อพระเจ้า หากไม่เป็นเช่นนั้น ผลก็คือความโกลาหลดังที่เราเห็นในผู้วินิจฉัย เป็นการมีกษัตริย์มนุษย์ดีกว่าไม่กษัตริย์เลย เราอาจจะลำดับรายการดังนี้

ก. พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ (เทวาธิปไตย) เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงต้องการ คือตามน้ำพระทัยอันบริบูรณ์ของพระองค์

ข. กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ (ราชาธิปไตย) เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงอนุญาต คือตามที่พระองค์ทรงอนุญาต

ค. ไม่มีกษัตริย์ (อนาธิปไตย) การปกครองในผู้วินิจฉัย อันก่อให้เกิดความโกลาหล

ประชากรของพระเจ้าปฏิเสธการปกครองของพระองค์ พระเจ้าตรัสว่า ‘แต่พวกเขาละทิ้งเรา ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา’ (8:7) ประชากรร้องขอกษัตริย์ พวกเขาพูดว่า ‘บัดนี้ขอท่านได้ตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเราอย่างประชาชาติทั้งปวงเถิด’ (ข้อ 5)

ซามูเอลเตือนพวกเขาว่า การปกครองของมนุษย์นั้นอ่อนแอและผิดพลาด มักใช้อำนาจในทางทุจริต ซามูเอลเตือนว่ากษัตริย์ผู้ซึ่งจะปกครองพวกเขา จะเอาคนในครอบครัวพวกเขาบางคน ที่ดิน สมบัติ และคนใช้ของพวกเขาไป และใช้พวกเขาเพื่อประโยชน์ของเขาเอง และพวกคนวงในของเขา (ข้อ 11–16)

พูดอีกอย่างก็คือ ท่านเตือนพวกเขาถึงความล้มเหลวและอ่อนแอของการปกครองมนุษย์ทั้งหมด และยังเตือนพวกเขาอีกด้วยเรื่องการเก็บภาษี และ ‘ข้าราชการมากมาย’! (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ทั้ง ๆ ที่มีการเตือน แต่ประชาชนกลับกล่าวว่า ‘เราไม่ยอม เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา’ (ข้อ 19) พระเจ้าทรงยอมให้ใช้ ‘แผนสอง’ พระองค์ประทานกษัตริย์ให้แก่พวกเขา (ข้อ 22) ซาอูลถูกเลือกให้เป็นผู้นำที่ถูกเจิมตั้งไว้ของอิสราเอลเพื่อนำประชากรของพระองค์ (9:16) ช่วงเวลาที่ซามูเอลเห็นซาอูล ในพริบตาเขาตระหนักว่านี่คือชายที่จะปกครองคนของพระเจ้า (ข้อ 17) ซาอูลผู้ที่มาจากภูมิหลังที่ต่ำต้อย (ข้อ 21) และกลายเป็นกษัตริย์ที่ถูกเจิมตั้ง (10:1)

พระเจ้าทรงอวยพรแผนการใหม่นี้ด้วยพระกรุณา สามสิ่งที่โดดเด่นเกิดขึ้นกับซาอูล (ซึ่งบัดนี้เกิดขึ้นกับคุณและคริสเตียนทุกคน) อันดับแรก เมื่อเขาได้รับการเจิมตั้ง พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสวมทับด้วยฤทธิ์เดช (ข้อ 6ข) อันดับสอง เขา ‘ถูกเปลี่ยนเป็นคนละคน’ เขากลายเป็นคนใหม่ (ข้อ 6ค, ดู 2 โครินธ์ 5:17) อันดับสามซามูเอลบอกเขาว่า ‘ไม่ว่าท่านได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไร จงทำเถิด เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

นี่เป็นความจริงสำหรับซาอูล และนี่เป็นความจริงสำหรับคุณ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกแย่กับสถานการณ์อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงห่างไกลแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าคุณจะพบว่ายากที่จะอธิษฐานเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าคุณจะสงสัยยังไงก็ตาม พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับคุณ คุณจะถูกเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับพระองค์ และพระเจ้าสถิตอยู่กับคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานสติปัญญาแก่ผู้นำของเราให้พวกเขาละทิ้งวาระส่วนตัวของตนเอง และทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความยุติธรรม สันติภาพ และความสามัคคีในประเทศ เพื่อถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 ซามูเอล 8:3

บุตรชายของซามูเอลไม่ได้เดินในทางเดียวกับบิดาของพวกเขา ซามูเอลนำคนมากมายไปในทางของพระเจ้า น่าเศร้าที่บุตรชายของท่านเองไม่ได้เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น เราจำเป็นต้องอธิษฐานเผื่ออย่างเจาะจงถึงลูกหลานผู้นำคริสเตียน

ข้อพระคำประจำวัน

1 ซามูเอล 10:7 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

‘ไม่ว่าท่านได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไร จงทำเถิด เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน!’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม