พระวิญญาณบริสุทธิ์อันแสนวิเศษ
เกริ่นนำ
ครั้งหนี่ง รอบบี้ วิลเลียมส์ เดินทางไปช้อปปิ้งที่ลอสแองเจลิส เขาซื้อรถยนต์ไปกว่าเจ็ดคัน มีทั้ง เฟอร์รารีรุ่นใหม่ ปอร์เช่รุ่นใหม่ และเมอร์เซเดสรุ่นใหม่ ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้เขาหวังว่าตัวเขาเองจะไม่ต้องซื้อพวกมันอีกเลย
ผมชื่นชมความเปิดเผยของ รอบบี้ วิลเลียมส์ เกี่ยวกับตัวของเขาเอง เขาเป็นคนซื่อสัตย์อย่างไร้ความปราณีเกี่ยวกับความหลงตัวเองและการเสพติดของเขา ในบทเพลง Feel เขาร้องว่า
ฉันอยากสัมผัสความรักที่แท้จริง...
มีหลุมลึกในจิตวิญญาณของฉัน
เธอมองหน้าฉันก็ดูออก
มันชัดเจนเสียจริง
พระเจ้าปลูกฝังความปรารถนา ‘ที่จะได้สัมผัสความรักที่แท้จริง' ในตัวมนุษย์ ‘หลุมลึกในจิตวิญญาณ’ นี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ทุกคน ที่ไม่สามารถเติมหลุมนั้นให้เต็มด้วยรถยนต์ ความมั่งคั่ง ความสำเร็จ หรือการเสพติด แต่สามารถเติมหลุมนั้นให้เต็มได้ด้วยพระเจ้า คือความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณในพระองค์ ซึ่งพระเยซูตรัสว่าเราจะเติมเต็มได้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เท่านั้น (ยอห์น 7:37)
สุภาษิต 11:29-12:7
29คนที่ทำให้ครอบครัวของตนลำบากจะรับลมเป็นมรดก
และคนโง่จะเป็นคนรับใช้ของคนมีปัญญา
30ผลของคนชอบธรรมคือต้นไม้แห่งชีวิต
คนมีปัญญาย่อมได้คนจำนวนมาก
31ดูเถิด ถ้าคนชอบธรรมได้รับผลตอบแทนในแผ่นดินโลก
คนอธรรมและคนบาปจะได้รับมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร
สุภาษิต 12
1คนที่รักคำสั่งสอนก็รักความรู้
แต่คนที่เกลียดคำตักเตือนก็โง่เขลา
2คนดีได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
แต่คนเจ้าเล่ห์นั้นพระองค์จะทรงลงโทษ
3มนุษย์ไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยความชั่ว
แต่รากของคนชอบธรรมจะไม่ถูกสั่นคลอน
4ภรรยาที่เลิศประเสริฐเป็นมงกุฎของสามีตน
แต่นางผู้นำความอับอายมาก็เหมือนความเน่าเปื่อยในกระดูกสามี
5ความคิดของคนชอบธรรมนั้นยุติธรรม
แต่การชี้แนะของคนอธรรมนั้นหลอกลวง
6ถ้อยคำของคนอธรรมหมอบคอยสังหารคน
แต่ปากของคนเที่ยงธรรมช่วยชีวิตพวกเขา
7คนอธรรมถูกคว่ำลงและสาบสูญไป
แต่บ้านของคนชอบธรรมยังดำรงอยู่
อรรถาธิบาย
เกิดผลมาก
คุณต้องการให้ชีวิตของคุณสร้างความแตกต่างหรือไม่? คุณรู้หรือไม่ว่าชีวิตของคุณสามารถเป็นแหล่งแห่งพระพรของผู้อื่นได้ทุกวัน?
‘ผลของคนชอบธรรมคือต้นไม้แห่งชีวิต’ (11:30) เมื่อเรามองย้อนกลับไปที่พระธรรมสุภาษิตบทที่ 11 เราจะเห็นผลของพระวิญญาณที่อัครสาวกเปาโลอธิบายไว้ในกาลาเทีย 5:22
- ความรัก (สุภาษิต 11:23)
- ความยินดี (ข้อ 10)
- สันติสุข (ข้อ 8)
- ความอดทน (ข้อ 16)
- ความกรุณา (ข้อ 17)
- ความดี (ข้อ 17)
- ความซื่อสัตย์ (ข้อ 6)
- ความสุภาพอ่อนโยน (ข้อ 2ข)
- การรู้จักบังคับตน (ข้อ 12)
ภาพของ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ (ข้อ 30) สื่อถึงความโปรดปรานอันงดงามของพระเจ้า ที่เราจะเห็นได้อยู่บ่อย ๆในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการงานของพระวิญญาณในชีวิตคุณ (เอเสเคียล 47:1–12, วิวรณ์ 22:1–2) พระวิญญาณเป็นผู้ช่วยและช่วยให้คุณดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมตามที่ถูกเขียนไว้และช่วยให้คุณได้ชื่นชมยินดีกับ ‘ความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์’ (สุภาษิต 12:2)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 7:14-44
14เมื่อเวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล พระเยซูเสด็จขึ้นไปที่บริเวณพระวิหารและทรงสั่งสอน 15พวกยิวพากันประหลาดใจพูดว่า “คนนี้รู้พระธรรมได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?” 16พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา 17ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง 18ใครที่พูดตามใจชอบเองย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง แต่คนที่แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ตนมา คนนั้นเป็นคนจริง ไม่มีอธรรมในตัวเขาเลย 19โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราทำไม?” 20ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีผีสิงอยู่ ใครกันที่หาโอกาสจะฆ่าท่าน?” 21พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้ทำสิ่งเดียว และท่านทุกคนประหลาดใจ 22โมเสสให้พวกท่านเข้าสุหนัตพิธีตัดหนังปลายองคชาต เป็นพิธีรับผู้ชายเข้าศาสนายิว (สุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโต 23ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัตเพื่อไม่ให้ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านยังจะโกรธเราเพราะเราทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ? 24อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด”
ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์หรือ?
25แล้วชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า? 26เขาก็อยู่นี่แล้วไง กำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่าคนนี้เป็นพระคริสต์? 27แต่เรารู้แล้วว่าคนนี้มาจากไหน เพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน” 28แล้วพระเยซูก็ทรงประกาศขณะทรงสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์ 29เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงใช้เรามา” 30พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 31แต่มีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นวางใจในพระองค์และพูดว่า “เวลาที่พระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงทำหมายสำคัญมากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านผู้นี้ได้ทำหรือ?”
เจ้าหน้าที่ถูกส่งมาจับพระเยซู
32เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีจึงใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์ 33พระเยซูตรัสว่า “เราจะอยู่กับพวกท่านต่อไปอีกไม่นาน แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา 34พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้” 35พวกยิวจึงพูดกันว่า “คนนี้จะไปไหนที่เราจะหาเขาไม่พบ? เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีกและสั่งสอนพวกกรีกหรือ? 36เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา’ และ ‘ที่ที่เราอยู่นั้นพวกท่านจะเข้าไปไม่ได้’?”
แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต
37ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่นั้น พระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า “ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา 38และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’” 39สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ
ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน
40เมื่อประชาชนได้ยินดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะแน่นอน” 41คนอื่นๆ ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีได้หรือ? 42พระคัมภีร์กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮมที่ดาวิดเคยอยู่นั้น” 43ดังนั้นฝูงชนจึงขัดแย้งกันในเรื่องพระองค์ 44บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย
อรรถาธิบาย
การเต็มล้น
คุณรู้ว่าการกระหายทางร่างกายเป็นอย่างไร แน่นอนปากและคอของคุณจะแห้ง คุณจะอ่อนแรงและกระหายน้ำ คุณจะพบว่าการได้ดื่มน้ำเมื่อคุณกระหายนั้นน่าพึงพอใจมากเพียงใด
การกระหายฝ่ายวิญญาณคือการเหือดแห้งภายใน รู้สึกว่างเปล่าและปวดร้าว ในข้อพระคัมภีร์ที่เป็นดั่งทองคำนี้ พระเยซูอธิบายว่าเราสามารถดับกระหายทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร (หลุมลึกทางจิตวิญญาณของคุณได้รับการเติมเต็ม) และจะส่งผลต่อชีวิตคุณอย่างไร
พระเยซูทรงพยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ พระองค์ตรัสถึงการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำแห่งชีวิตที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำมาสู่ชีวิตของคุณ ‘สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ’ (ข้อ 39)
นั่นเป็น ‘วันสุดท้ายของงานเทศกาล’ (ข้อ 37) เป็นวันที่ผู้คนคาดการณ์ว่าแม่น้ำใหญ่ที่พยากรณ์ไว้ในเอเสเคียล 47 จะไหลออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ‘พระเยซูทรงยืนขึ้น’ (ยอห์น 7:37) ตามธรรมเนียมปกติแล้วเวลาจะสั่งสอนอะไรพวกเขามักจะนั่งลงสอน แต่ถ้อยคำที่พระเยซูต้องตรัสนั้นสำคัญมากจนอยากให้ทุกคนได้เห็นและได้ยิน พระองค์ทรง ‘ประกาศ’ (ข้อ 37) ข้อความของพระองค์มีเพียงยี่สิบสี่คำในภาษากรีก แต่เป็นพระสัญญาที่เปลี่ยนชีวิตที่คุณสามารถสัมผัสได้จนถึงทุกวันนี้
1. ผู้ใดเป็นคนให้คำมั่นสัญญานี้?
ผู้คนประหลาดใจกับคำสอนของพระเยซู พระองค์ไม่เคยเรียนพระคัมภีร์หรือจบโรงเรียนพระคริสตธรรมเลยด้วยซ้ำ! (ข้อ 15) แต่พระองค์ได้รับคำสอนมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 16) และทรงตรัสว่า ‘ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์’ (ข้อ 17) จะรู้สิ่งนี้ดีว่ามาจากใคร
พระเยซูทรงท้าทายให้เราตอบสนอง บางคนคิดว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะแน่นอน’ (ข้อ 40) อย่างไรก็ตาม ตามที่ ซี.เอส. ลูอิส ชี้ให้เห็น พระเยซูไม่ได้ปล่อยให้คนคิดเช่นนั้น แต่มีเพียงสามทางเลือกเท่านั้นที่ไม่ว่าใครก็ตามที่สั่งสอนดั่งที่พระเยซูตรัสไม่เป็นคนบ้า ก็เป็น ‘เจ้าแห่งขุมนรก’ ความเป็นไปได้อีกอย่างเดียวคือ ‘ชายผู้นี้เคยเป็นและเป็นบุตรของพระเจ้า’ เราจะได้เห็นทั้งสามตัวเลือกเหล่านี้ปรากฏในการใคร่ครวญวันนี้
- บางคนคิดว่าพระองค์เป็น ‘เจ้าแห่งขุมนรก’: ‘ท่านมีผีสิงอยู่’ (ข้อ 20)
- บางคนคิดว่าพระองค์เป็นบ้า: ‘เขา...เป็นบ้า’ (10:19)
- แต่บางคนก็ตระหนักดีว่า: ‘ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์’ (7:41)
2. สัญญานี้ที่ทำไว้กับใคร?
พระเยซูตรัสว่า ‘ถ้าใครกระหายให้คนนั้นมาหาเรา(และดื่ม)’ (ข้อ 37) สิ่งนี้ก็เพื่อคุณทุกคน บริบทนี้ใช้ได้กับทุกคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังใช้ได้กับผู้ที่รู้สึกไม่พึงพอใจทางฝ่ายจิตวิญญาณด้วย คุณเคยรู้สึกอ่อนกำลังในการอธิษฐานหรือไม่? คุณรู้สึกทุกข์ทรมานในความเชื่อของตนเองบ้างไหม? คุณอยากมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นไหม? หากคุณเป็นเช่นนั้น แสดงว่าคุณกำลัง ‘กระหาย’ ฝ่ายจิตวิญญาณ และพระสัญญาก็มีผลกับคุณในวันนี้เช่นกัน
3. พระสัญญาอะไร?
พระเยซูตรัสว่า ‘ให้คนที่วางใจในเราดื่ม’ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’ (ข้อ 38) เทศกาลอยู่เพิงเป็นดั่งการทำนาย ถึงแม่น้ำจะไหลออกจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มตามที่พยากรณ์ไว้ในเอเสเคียล 47 (ซึ่งอ่านและประกาศใช้ในงานเลี้ยง) พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าสิ่งนี้ได้สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ในสถานที่แต่ในบุคคล
แม่น้ำหลั่งไหลออกจากหัวใจของพระเยซู (ออกจาก ‘koilia’ ช่องท้อง หรือส่วนลึกสุดของพระองค์) และหลั่งไหลออกจากคริสเตียนทุกคน (ยอห์น 7:38) ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบใจต่อใจระหว่างเรากับพระเยซู
น้ำนั้นหลั่งไหลออกมาจากตัวคุณ แม่น้ำจะไหลลงสู่ ‘ทะเลตาย’ ในจิตใจของเราและออกมาจาก ‘ทุกส่วนภายใน’ เมื่อดูอย่างเผิน ๆ แล้ว ชีวิตอาจไม่ง่ายนักแต่ส่วนลึกภายในของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นหลั่งไหลตลอดเวลาเหมือนดั่ง 'แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต'
แม่น้ำนี้ไม่ไหลเป็นครั้งเป็นคราว แต่มันไหลอย่างต่อเนื่อง และก็ไม่ควรมีอะไรมาปิดกั้น แต่มันควรจะเดือดพล่านไหลออกมาจากตัวเราเสมอ
ดังที่คุณพ่อรานิเอโร กันตาลาเมสซา กล่าวไว้ว่า ‘คริสเตียนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยนั้น ไม่ได้รับการยกเว้นจากการต้องเผชิญกับการต่อสู้ การล่อลวง ความปรารถนาที่ยากจะควบคุม ความรู้สึกต่อต้าน...[ความแตกต่างคือทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น] กับพระองค์โดยขัดกับน้ำพระทัยของพระองค์ ‘พวกมันลอยอยู่บนพื้นผิว’ แต่ถึงกระนั้นก็มี ‘ความสงบสุขในจิตใจของพวกเขา นั่นก็เหมือนกับกระแสน้ำลึกในมหาสมุทรที่ไหลอย่างต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงลม และคลื่นบนพื้นผิว’
4. คุณได้รับพระสัญญานี้อย่างไร?
พระเยซูตรัสว่า ‘ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา(และดื่ม)’ (ข้อ 37) เป็นพระสัญญาสำหรับ ‘คนที่วางใจในเรา’ (ข้อ 38–39) มันเป็นเรื่องง่ายแบบนั้นเลย มันสามารถไหลจากคุณได้ เมื่อคุณมาหาพระองค์และดื่มในวันนี้
คุณก็เป็นเหมือนพระเยซูได้ โดยความรัก คำพูด การเต็มไปด้วยพระวิญญาณของคุณ คุณสามารถส่งต่อพระวิญญาณที่คุณได้รับจากพระเยซูออกไป คุณจะดับความกระหายของคนยากจน คนโดดเดี่ยว คนขัดสน ผู้ที่อยู่ในความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน คุณสามารถมอบชีวิต ความรัก และสันติสุขให้แก่พวกเขาได้
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 14:1-15:20
แซมสันแต่งงาน
1แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และได้เห็นผู้หญิงฟีลิสเตียคนหนึ่งในเมืองทิมนาห์ 2แล้วเขาจึงขึ้นมาบอกบิดามารดาของเขาว่า “ลูกเห็นผู้หญิงฟีลิสเตียคนหนึ่งในเมืองทิมนาห์ บัดนี้ไปขอนางให้เป็นเมียลูกที” 3แต่บิดาและมารดากล่าวกับเขาว่า “จะหาเมียในหมู่ญาติพี่น้องของเจ้าหรือในชนชาติทั้งหมดของเราไม่ได้หรือ? เจ้าจึงจะไปรับหญิงจากคนฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัตมาเป็นเมียของเจ้า” แต่แซมสันกล่าวกับบิดาว่า “ไปขอนางให้ลูกที เพราะนางต้องตาต้องใจลูกมาก”
4บิดามารดาไม่ทราบว่า เรื่องนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงหาช่องทางที่จะต่อสู้พวกฟีลิสเตีย ในเวลานั้นพวกฟีลิสเตียมีอำนาจเหนืออิสราเอล
5ส่วนแซมสันก็ลงไปยังเมืองทิมนาห์กับบิดามารดา เมื่อมาถึงสวนองุ่นของทิมนาห์ นี่แน่ะ มีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งคำรามใส่ท่าน 6พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็เสด็จมาเหนือท่านอย่างฉับพลัน ท่านจึงฉีกสิงโตออกอย่างคนฉีกลูกแพะ ทั้งที่ไม่มีอะไรในมือ แต่ท่านไม่ได้บอกให้บิดาหรือมารดาทราบว่าท่านได้ทำอะไรไป 7ท่านก็ลงไปพูดคุยกับหญิงนั้น นางต้องตาต้องใจแซมสันมาก 8หลายวันต่อมา ท่านก็กลับไปเพื่อรับนางมาเป็นภรรยา ท่านได้แวะไปดูซากสิงโต และนี่แน่ะ มีผึ้งฝูงหนึ่งทำรังอยู่ในซากสิงโตนั้น มีน้ำผึ้งด้วย 9แซมสันก็ยื่นมือกวาดเอารวงผึ้งมา เดินไปกินไป จนมาถึงบิดามารดา ท่านจึงแบ่งให้บิดามารดากินด้วย แต่ท่านไม่ได้บอกว่า น้ำผึ้งนั้นมาจากซากสิงโต
10แล้วบิดาของท่านก็ลงไปหาหญิงนั้น และแซมสันจัดงานเลี้ยงที่นั่น ดังที่คนหนุ่มๆ เขาทำกัน 11และเมื่อประชาชนเห็นท่านแล้ว จึงนำเพื่อน 30 คนให้มาอยู่กับท่าน 12แซมสันกล่าวกับพวกเขาว่า “ให้ข้าทายปริศนาพวกเจ้าสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าทายได้ก่อนจบการเลี้ยงเจ็ดวัน ข้าจะให้เสื้อป่านสามสิบชุด และเสื้อเที่ยวงานสามสิบชุดด้วย 13ถ้าพวกเจ้าทายไม่ได้ ก็ต้องให้เสื้อป่านสามสิบชุดกับเสื้อเที่ยวงานสามสิบชุดแก่ข้า” พวกเขาก็ตอบท่านว่า “ทายมาเถิด เราจะฟัง” 14ดังนั้นแซมสันจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า
“มีของกินออกมาจากตัวผู้กิน
มีของรสหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง”
ในสามวันพวกเขาก็ยังแก้ปริศนาไม่ได้
15พอถึงวันที่เจ็ด พวกเขากล่าวกับภรรยาของแซมสันว่า “จงล่อหลอกผัวเจ้าให้แก้ปริศนานี้แก่เรา มิฉะนั้นเราจะเอาไฟเผาเจ้ากับบ้านบิดาของเจ้าเสีย เจ้าเชิญเรามาโดยหวังจะทำให้เรายากจนหรือ?” 16ภรรยาของแซมสันไปร้องไห้กับแซมสันว่า “เธอเกลียดฉัน เธอไม่รักฉัน เธอทายปริศนาแก่ชาวเมืองของฉัน และเธอก็ไม่แก้ปริศนาให้ฉันฟัง” แซมสันจึงบอกว่า “นี่แน่ะ พ่อแม่ของฉัน ฉันยังไม่บอกเลย จะบอกเธอได้อย่างไร?” 17นางร้องไห้กับแซมสันตลอดเจ็ดวันซึ่งเป็นวันเลี้ยงกันนั้น ในวันที่เจ็ดแซมสันก็แก้ปริศนาให้นางฟัง เพราะนางพูดคาดคั้นท่าน และนางก็บอกคำแก้ปริศนาให้ชาวเมืองของนาง 18พอวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตก ชาวเมืองจึงบอกแซมสันว่า
“มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง?
มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโต?”
แซมสันจึงบอกพวกเขาว่า
“ถ้าเจ้าไม่เอาแม่โคของข้าช่วยไถ
เจ้าคงจะแก้ปริศนาของข้าไม่ได้”
19แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็เสด็จมาเหนือแซมสันอย่างฉับพลัน ท่านจึงลงไปที่เมืองอัชเคโลน ฆ่าชาวเมืองนั้นเสีย 30 คน ริบเอาข้าวของ และมอบเสื้อเที่ยวงานให้ผู้ที่แก้ปริศนา แล้วท่านกลับไปบ้านของบิดาท่านด้วยความโกรธจัด 20ส่วนภรรยาของแซมสันนั้นก็ถูกยกให้แก่เพื่อนของแซมสัน ซึ่งเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนั้นเสีย
ผู้วินิจฉัย 15
แซมสันชนะคนฟีลิสเตีย
1เมื่อล่วงมาหลายวันก็ถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันก็เอาลูกแพะตัวหนึ่งไปเยี่ยมภรรยากล่าวว่า “ข้าจะเข้าไปหาภรรยาของข้าในห้อง” แต่บิดานางไม่ยอมให้เข้าไป 2บิดานางกล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน ข้าจึงยกนางให้แก่เพื่อนสนิทของเจ้าไป น้องสาวของนางก็สวยกว่านางไม่ใช่หรือ? ขอจงรับน้องสาวแทนพี่เถิด” 3แซมสันจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ครั้งนี้จะเอาผิดข้าไม่ได้ หากข้าทำร้ายคนฟีลิสเตีย” 4แซมสันจึงออกไปจับสุนัขจิ้งจอก 300 ตัว ผูกหางติดกันเป็นคู่ๆ แล้วเอาคบเพลิงผูกติดไว้ระหว่างหางทุกๆ คู่ 5พอจุดคบเพลิงแล้วก็ปล่อยเข้าไปในนาของคนฟีลิสเตียที่ข้าวยังตั้งรวงอยู่ ไฟก็ไหม้ฟ่อนข้าว และข้าวที่ยังตั้งรวงอยู่นั้น ทั้งสวนองุ่นและสวนมะกอกด้วย 6คนฟีลิสเตียจึงถามว่า “ใครทำอย่างนี้?” พวกเขาตอบว่า “แซมสันลูกเขยของคนทิมนาห์ทำ เพราะว่าพ่อตาเอาภรรยาของเขายกให้เพื่อนสนิท” คนฟีลิสเตียก็ขึ้นมาเอาไฟเผานางกับบิดาของนางเสีย 7แซมสันจึงบอกพวกนั้นว่า “เมื่อเจ้าทั้งหลายทำเช่นนี้ ข้าสาบานจะไม่เลิกราจนกว่าจะได้แก้แค้นพวกเจ้า” 8แล้วแซมสันก็ฆ่าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม เป็นการสังหารครั้งใหญ่ แล้วท่านก็ลงไปอาศัยอยู่ที่ช่องศิลาเอตาม
9คนฟีลิสเตียขึ้นไปตั้งค่ายในยูดาห์ และกระจายกันโจมตีเมืองเลฮี 10คนยูดาห์จึงถามว่า “ทำไมพวกท่านขึ้นมารบกับเรา?” พวกเขาตอบว่า “เราขึ้นมาจับแซมสัน เพื่อจะทำกับเขาอย่างที่เขาได้ทำกับเรา” 11คนยูดาห์ 3,000 คนลงไปยังช่องศิลาเอตาม และกล่าวกับแซมสันว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าคนฟีลิสเตียปกครองเรา? เจ้าทำอะไรกับเราเช่นนี้?” ท่านตอบพวกเขาว่า “เขาทำกับข้าอย่างไร ข้าก็ทำกับเขาอย่างนั้น” 12แล้วเขาทั้งหลายกล่าวกับท่านว่า “เราลงมาเพื่อจับเจ้าและมอบไว้ในมือคนฟีลิสเตีย” แซมสันจึงบอกพวกเขาว่า “จงสาบานซิ ว่าพวกท่านเองจะไม่ทำร้ายข้า” 13เขาทั้งหลายตอบท่านว่า “เราจะไม่ทำร้ายเจ้า เราจะมัดเจ้ามอบไว้ในมือของพวกเขาเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าเจ้า” พวกเขาจึงเอาเชือกใหม่สองเส้นมัดท่านไว้ และพาขึ้นมาจากศิลานั้น
14เมื่อแซมสันไปถึงเมืองเลฮี คนฟีลิสเตียก็ร้องอึกทึกขณะมาพบท่าน และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์เสด็จมาเหนือท่านอย่างฉับพลัน จนเชือกพวนที่มัดแขนของท่านเป็นเหมือนป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจำจองนั้นก็หลุดแปลได้อีกว่า หลอมละลายออกจากมือ 15ท่านพบกระดูกขากรรไกรลาสดอันหนึ่ง จึงยื่นมือหยิบมา และฆ่าคนเสีย 1,000 คน 16แซมสันกล่าวว่า
“ด้วยขากรรไกรลา
เป็นกองซ้อนกอง
ด้วยขากรรไกรลา
ข้าได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย”
17เมื่อท่านกล่าวจบแล้วก็โยนกระดูกขากรรไกรลาทิ้งไป สถานที่นั้นเขาเรียกกันว่า รามาทเลฮี
18แซมสันกระหายน้ำมาก จึงร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์ประทานการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่นี้โดยมือผู้รับใช้ของพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์จะตายเพราะอดน้ำ และตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เข้าสุหนัตหรือ?” 19พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่อยู่ในเมืองเลฮีให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้ 20และท่านวินิจฉัยอิสราเอลในสมัยของคนฟีลิสเตีย 20 ปี
อรรถาธิบาย
อิสรภาพ
มีนิสัยบางอย่างในชีวิตที่คุณปรารถนาจะหลุดพ้นหรือไม่? มีรูปแบบความคิดที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่? มีพันธนาการทางฝ่ายวิญญาณซึ่งคุณจำเป็นต้องได้รับการปลดปล่อยหรือไม่?
ถ้าใครเคย ‘ใจแข็งกระด้าง’ ก็เหมือนดั่งแซมสัน เขามีพละกำลัง แข็งแกร่ง และมีความสามารถ แต่ชีวิตของเขาแทบจะไม่เป็นแบบอย่างเลย เรื่องราวชีวิตของแซมสันนั้นแปลกประหลาด ไม่ธรรมดา และน่าอายเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แซมสันถูกเน้นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งความเชื่อ (ฮีบรู 11:32) พระเจ้าทรงใช้คนทุกประเภท พระองค์ทรงใช้เราทั้ง ๆ ที่เราเองเป็นคนบาปและอ่อนแอ
ความแข็งแกร่งและความสำเร็จของแซมสันเป็นผลมาจากการที่เขาเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามครั้งในข้อพระคัมภีร์ของวันนี้ เราจะเห็นว่า ‘พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็เสด็จมาเหนือท่านอย่างฉับพลัน’ (ผู้วินิจฉัย 14:6,19, 15:14)
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จมาเหนือผู้คน ‘อย่างฉับพลัน’ บ่อยครั้งสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมในทางด้านกายภาพ พระองค์ทรงกระทำในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในฝ่ายจิตวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์อันแสนวิเศษนี้ ทำให้เราเป็นอิสระจากพันธนาการฝ่ายวิญญาณ
ในครั้งที่สามที่ ‘พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เสด็จมาเหนือท่านอย่างฉับพลัน จนเชือกพวนที่มัดแขนของท่านเป็นเหมือนป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจำจองนั้นก็หลุดออกจากมือ’ (15:14) สิ่งนี้มองได้ว่าเป็นดั่งภาพแห่งการปลดปล่อยจากนิสัยที่ไม่ดี ความลุ่มหลง และการเสพติดของเรา ฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถปลดปล่อยคุณ และผมจากสิ่งที่ผูกมัดเราไว้
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 14:1-15:20
แซมสันดูเป็นวีรบุรุษที่แปลก เขาเกิดมาพร้อมกับพระสัญญามากมาย เขากลายเป็นคนป่าเถื่อนและคาดไม่ถึงได้อย่างไร? เขามีข้อบกพร่อง และมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายมากมาย แต่พระเจ้ายังทรงยกเขาขึ้นเพื่อนำอิสราเอลมายี่สิบปี เขาอาจจะทำได้ดีกว่านี้ถ้าเขาติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจและไม่ทำตามอารมณ์ของตัวเอง แต่กระนั้นพระเจ้าสามารถใช้แม้กระทั่งคนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 7:37–38
พระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า ‘ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า “แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น”’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)