วิธีรับมือกับช่วงเวลาที่สิ้นหวัง
เกริ่นนำ
‘ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีหลายครั้งที่หลักสูตรอัลฟ่าได้ถูกจัดขึ้นในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงปืน และขีปนาวุธที่กำลังลอยล่องอยู่ แต่สำหรับเราทุกคนแล้วเหตุผลนั้นเรียบง่าย นี่เป็นเรื่องของความหวังและอนาคต เพราะนี่เป็นเรื่องพระเยซูคริสต์’
นี่คือสิ่งที่ แคนอน แอนดรูว์ ไวท์ อดีตศิษยาิบาล แห่งวิหารเซนต์จอร์จ ในกรุงแบกแดด ได้บอกเล่าถึงหลักสูตรอัลฟ่า ผ่านข้อความในจดหมายมาถึงผม พวกเขาอยู่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง คริสตจักรถูกวางระเบิดมากกว่าหนึ่งครั้ง ผู้คนมากมายที่มาร่วมสามัคคีธรรมได้ถูกฆ่า ผู้นำบางคนถูกลักพาตัว สำหรับใครบางคน ความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างจริงจังอาจหมายถึงความตาย แต่ในขณะที่ทุกอย่างดูหมดหวัง แอนดรูว์ ไวท์ ยังคงสามารถพูดได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ให้ความหวัง แสงสว่าง และอนาคต
ในพระธรรมสดุดี กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึง ‘ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง’ (สดุดี 60:3) ชีวิตคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูเหมือนจะผิดไปซะหมด บางทีแม้แต่ในขณะนี้คุณเองก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ดูหมดหวัง อาจจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความเศร้าโศก หรือการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส การแตกสลายของความสัมพันธ์ ปัญหาเรื่องการงานและครอบครัว ปัญหาการเงินหรือเรื่องทุกอย่างรวมกัน แต่ถึงแม้ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังคุณก็สามารถค้นพบ สัจธรรมอันยิ่งใหญ่สามประการนั่นคือความเชื่อ ความหวัง และความรัก
สดุดี 60:1-4
คำอธิษฐานขอชัยชนะแก่ชาติ หลังความพ่ายแพ้
ถึงหัวหน้านักร้อง ทำนองชูชันเอดูท มิคทามบทหนึ่งของดาวิด เพื่อสั่งสอนเมื่อท่านขับเคี่ยวกับอารัม-นาหะราอิม และกับอารัมโซบาห์ และเมื่อขากลับโยอาบได้ฆ่าชาวเอโดมเสียหนึ่งหมื่นสองพันคน ในหุบเขาเกลือ
1ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรง
ทะลวงแนวป้องกันของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์ทรงพระพิโรธ แต่บัดนี้ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับคืนสู่สภาพดีเถิด
2พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินหวั่นไหว ทรงให้มันแตกแยกออก
ขอทรงซ่อมร่องแตกนั้นเพราะมันสั่นคลอน
3พระองค์ทรงให้ประชากรของพระองค์พบความลำบาก
พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายดื่มเหล้าองุ่นแห่งความซวนเซ
4พระองค์ทรงตั้งธงไว้ให้บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์
เพื่อเขาจะได้หนีพ้นระยะธนู
อรรถาธิบาย
ความหวังท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนพ่ายแพ้
บางครั้งอาจดูเหมือนว่าคนของพระเจ้ากำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในขณะที่การฟื้นฟูอันยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ของโลก เช่นทวีปเอเชีย หรือในยุโรปตะวันตก อัตราการเข้าร่วมของสมาชิกในคริสตจักรได้ลดลง คริสตจักรถูกปิดลงและความเชื่อของคริสเตียนถูกต้อนให้จนมุม
หลายครั้งที่ในประวัติศาสตร์ของคนของพระเจ้านั้นมีช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง พระธรรมสดุดีข้อนี้ คือเสียงคร่ำครวญของชนชาติหลังจากที่ถูกศัตรูของพวกเขาได้เข้ามายึดครอง เหล่าผู้คนของพระเจ้าต่างรู้สึกถึงการถูกปฏิเสธ ดาวิดได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์ทรงให้ประชากรของพระองค์พบความลำบาก’ (ข้อ 3ก)
ดาวิดใช้ภาพของแผ่นดินไหว เพื่อบรรยายช่วงเวลาของความสิ้นหวัง และความไม่แน่นอนที่พวกเขากำลังเผชิญ: ‘พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินหวั่นไหว ทรงให้มันแตกแยกออก ขอทรงซ่อมร่องแตกนั้นเพราะมันสั่นคลอน’ (ข้อ 2) เป็นภาพเดียวกับที่พวกเราในทุกวันนี้ มักใช้เพื่อสื่อถึงความวุ่นวาย ในทุกช่วงชีวิตของเรา ความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจ สถาบันองค์กร ชีวิตแต่งงานและชุมชนทั้งหลาย ล้วนใช้ภาพของการสั่นสะเทือนและการแตกสลายเพื่อช่วยบรรยาย
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีความหวัง ดาวิดได้บันทึกไว้ว่า ‘พระองค์ทรงตั้งธงไว้ให้บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์ เพื่อเขาจะได้หนีพ้นระยะธนู’ (ข้อ 4) พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมพื้นที่เพื่อให้คนของพระองค์ได้ค้นพบที่ลี้ภัย เพื่ออยู่ภายใต้การปกป้องและสามารถที่จะวางใจในพระองค์ได้ ต่อให้ต้องอยู่ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังก็ตาม
คำอธิษฐาน
ยอห์น 7:45-8:11
ความไม่เชื่อของบรรดาผู้มีอำนาจ
45พวกเจ้าหน้าที่กลับไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี พวกเขาจึงถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา?” 46เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย” 47พวกฟาริสีตอบเขาว่า “พวกเจ้าโดนหลอกด้วยหรือ? 48มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีที่ศรัทธาในตัวเขา? 49ก็มีแต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง” 50นิโคเดมัสคนที่มาหาพระองค์คราวก่อน และเป็นคนหนึ่งในพวกเขานั้นกล่าวแก่เขาว่า 51“กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?” 52พวกเขาตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี”
ผู้หญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี
53[แล้วต่างคนต่างก็กลับไปที่บ้านของตน
ยอห์น 8
1แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ 2และในตอนเช้าตรู่พระองค์ทรงปรากฏที่บริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์ประทับและทรงเริ่มสั่งสอนเขา 3พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน 4เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่ 5ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?” 6เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน 7และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” 8แล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก 9แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 10พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?” 11นางทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย” แล้วพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”]
อรรถาธิบาย
จงรักมากกว่าที่จะประณามกล่าวโทษ
การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่? ถ้าเป็นเราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อผู้ที่ทำผิดพลาดในเรื่องความบาปทางเพศ?
การถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมทางเพศ ได้ดำเนินต่อมาอย่างแพร่หลายในสื่อทุกวันนี้ และคำสอนของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
ถ้อยคำของพระเยซูคริสต์คือคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เป็นคำพูดที่คุณสามารถคาดหวังได้ว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงตรัส ยามผู้เฝ้าพระวิหารได้เปิดเผยว่า ‘ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย’ (ข้อ 7:46) (เป็นเรื่องที่น่าเศร้าว่าในบรรดาผู้นำทางความเชื่อต่างล้มเหลว ที่ไม่มีใครจดจำชายคนนี้ได้ และพวกเขาแค่ใช้คำกล่าวเรียกกลุ่มคนที่เชื่อในพระเจ้าว่า ‘ฝูงชน’ เท่านั้น, ข้อ 49)
ผู้หญิงคนนี้คงต้องรู้สึกสิ้นหวังอย่างแน่นอนที่ถูกจับกุมในข้อหาล่วงประเวณี ความสิ้นหวังสามารถเกิดจากความพ่ายแพ้ได้ และมันก็สามารถเกิดจากความล้มเหลวทางศีลธรรมได้ ซึ่งเธอคนนี้คงต้องมีชีวิตอยู่กับประสบการณ์ในทั้งสองด้านมาโดยตลอด เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความอับอาย และความหวาดกลัวต่อความตาย
เหล่าผู้กล่าวหาพยายามที่จะ ‘ทดลอง’ พระเยซูคริสต์ด้วยการตั้งคำถาม (ข้อ 8:6) และพระเยซูก็ได้ทรงมอบหนึ่งในคำตอบที่ชาญฉลาดและน่าจดจำที่สุดซึ่งได้ถูกใช้เป็นคำกล่าวอ้างอิงตลอดมาในประวัติศาสตร์โลก: ‘ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก’ (ข้อ 7)
พระเยซูไม่ได้ให้อภัยการล่วงประเวณีของเธอคนนี้ หรือกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็นบาปที่อภัยให้ไม่ได้ พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าเป็นเรื่องง่ายแค่ไหนที่จะกล่าวโทษผู้อื่น ในขณะที่เราเองก็มีความบาปแบบเดียวกันในหัวใจของเรา (ข้อ 7-9) เรื่องนี้สามารถปรับใช้ได้ในหลาย ๆ ด้านของชีวิตเรา ก่อนที่จะตัดสินผู้อื่น เป็นการดีกว่าที่เราจะสำรวจตัวเองว่า เรานั้นไม่ได้มีบาปในเรื่องแบบเดียวกับที่เรากำลังจะตัดสินใครต่อใคร
เมื่อเราตัดสิน กล่าวโทษและประณามผู้อื่น เราได้เล็งไปที่พวกเขาในสิ่งที่เราเองปฏิเสธที่จะสำรวจตัวเรา
เหมือนคำกล่าวที่คนชอบพูดกันว่า ‘คนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทำด้วยกระจกก็ไม่ควรที่จะเขวี้ยงหินไปมา’ ในบริบทของการถกเถียงกันเรื่องศีลธรรมทางเพศ หากเรามองเข้าไปในหัวใจของตนเองบ่อยครั้งเราจะได้เห็นกระจกรายล้อมอยู่รอบตัวเรา
ในกรณีของผู้หญิงคนนี้ที่ถูกจับในข้อหาล่วงประเวณี ผู้กล่าวโทษแต่ละคนได้ถูกตัดสินโดยถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือแต่พระองค์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น (ข้อ 7-9) แล้วพระเยซูก็ถามเธอว่า ‘หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?’ (ข้อ 10) นางทูลว่า ‘ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย’ แล้วพระเยซูตรัสว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’ (ข้อ 11)
ความรู้สึกผิดเป็นอารมณ์ที่น่าสะพรึงกลัว การตกอยู่ในคำประณามกล่าวโทษเป็นสถานภาพที่น่าสะพรึงกลัว นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ขนาดไหนที่ได้ยินถ้อยคำจากพระเยซูคริสต์ว่า ‘เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน’ (ข้อ 11) เพราะพระองค์ทรงปราศจากบาป พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในจุดที่สามารถจะ ‘เขวี้ยงหิน’ เราได้ แต่พระองค์ก็ไม่ทำ
มีความสมดุลอย่างเหนือธรรมชาติและแทบจะเป็นส่วนผสมที่โดดเด่น ในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เต็มไปด้วยพระคุณ สติปัญญา และความเมตตา ไม่ต้องสงสัยว่าสำหรับพระเยซูแล้ว การล่วงประเวณีคือความบาป แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ฟ้องผิดเธอในแง่มุมไหน นี่คือเนื้อความที่อยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ‘เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์’ (โรม 8:1) ผลจากการที่พระเยซูทรงสละพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขนทั้งคุณและผม สามารถได้รับการให้อภัยที่สมบูรณ์ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะเคยล้มลงในบาปมากแค่ไหน
แต่ถึงกระนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำบาปต่อไป พระเยซูไม่ได้เพิกเฉยต่อความบาปของเธอ พระองค์ตรัสกับเธอว่า ‘จากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’ (ข้อ 11) พระเยซูไม่ได้เพิกเฉยต่อความบาปของเรา แต่พระองค์ทรงพูดกับเราเหมือนอย่างที่พูดกับเธอว่า ‘จากนี้ไปอย่าทำบาปอีก’
ถ้อยคำของพระเยซู ยังคงขับเคลื่อนไปด้วยความรักและความเมตตาอยู่เสมอ จงทำตามแบบอย่างของพระองค์
มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะทำได้ทั้งหนึ่งในสองทางซึ่งตรงกันข้ามกัน ไม่ว่าเราจะกล่าวโทษผู้อื่นหรือเราจะเพิกเฉยต่อความบาป ความรักจะไม่ประณามกล่าวโทษหรือละเลยเพิกเฉยต่อบาป เพราะความบาปชักนำผู้คนให้ต้องเจ็บปวด ถ้าเรารักเหมือนอย่างพระเยซูรัก เราจะปฏิเสธทั้งการเพิกเฉยต่อความบาปหรือกล่าวโทษผู้คน แต่จะท้าทายผู้คนด้วยความรัก (โดยเริ่มจากตัวเราเอง) ที่จะละทิ้งความบาปไว้เบื้องหลัง
ในคำศัพท์ของชาวกรีก คำว่า ‘การให้อภัย' นั้นยังให้ความหมายที่สื่อถึง ‘การปลดปล่อย’ ได้อีกด้วย พระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อปลดปล่อยเราโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณได้ถูกปลดปล่อยไปสู่ความรักเมื่อพระเจ้าทรงรักคุณ การให้อภัยคือหัวใจสำคัญของทุก ๆ ความสัมพันธ์ มันคือแก่นแท้ของคำว่ารัก
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 16:1-17:13
แซมสันกับนางเดลิลาห์
1แซมสันไปยังเมืองกาซา ที่นั่นท่านเห็นหญิงโสเภณีคนหนึ่ง ก็เข้าไปนอนด้วย 2มีคนบอกชาวกาซาว่า “แซมสันมาที่นี่แล้ว” พวกเขาก็ล้อมที่นั้นไว้และซุ่มคอยอยู่เงียบๆ ที่ประตูเมืองตลอดคืน กล่าวว่า “ให้เรารออยู่จนรุ่งเช้า แล้วเราจะฆ่าเขาเสีย” 3แต่แซมสันนอนอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนท่านก็ลุกขึ้น จับประตูเมืองและเสาสองต้น ถอนออกพร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไปถึงยอดเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าเมืองเฮโบรน
4ต่อมาภายหลัง แซมสันไปรักผู้หญิงคนหนึ่งที่หุบเขาโสเรก นางชื่อเดลิลาห์ 5พวกเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางและพูดกับนางว่า “จงล่อหลอกเขาดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน และทำอย่างไรเราจึงจะพิชิตเขาได้ เพื่อเราจะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ แล้วเราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละ 1,100 แผ่น” 6เดลิลาห์จึงกล่าวกับแซมสันว่า “โปรดบอกฉันหน่อยเถอะว่ากำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน? จะมัดเธอไว้ด้วยอะไร? เธอจึงจะหมดฤทธิ์” 7แซมสันจึงบอกนางว่า “ถ้าพวกเขามัดฉันด้วยสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้น ฉันจะหมดแรงเหมือนกับชายอื่นๆ” 8แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็เอาสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมาให้นาง นางก็เอามามัดท่านไว้ 9นางให้คนซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นใน นางก็บอกท่านว่า “แซมสัน คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาดเมื่อถูกไฟ ดังนั้นเรื่องกำลังของท่านจึงยังไม่มีใครล่วงรู้
10เดลิลาห์กล่าวกับแซมสันว่า “ดูสิ เธอหลอกฉัน เธอโกหกฉัน ตอนนี้บอกฉันหน่อยว่าจะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่” 11ท่านก็ตอบนางว่า “ถ้าเอาเชือกใหม่ที่ยังไม่เคยใช้มามัดฉัน ฉันก็จะหมดแรงเหมือนชายอื่น” 12เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า “แซมสัน คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” และมีคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่ท่านก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
13เดลิลาห์กล่าวกับแซมสันว่า “เธอหลอกฉันเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอโกหกฉัน บอกฉันเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่” ท่านจึงบอกนางว่า “ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดปอยของฉันทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมเครื่องสำหรับทอผ้ามีฟันเป็นซี่ๆ คล้ายหวี สำหรับสอดเส้นด้ายหรือไหมใช้กระทกให้ประสานกันให้แน่นแล้วฉันก็จะหมดแรงเหมือนกับชายอื่น” 14ฉะนั้นเมื่อท่านหลับอยู่ เดลิลาห์จึงเอาผมทั้งเจ็ดปอยทอเข้าด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่น แล้วนางบอกท่านว่า “แซมสัน คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นดึงฟืม หูกและด้ายเส้นยืนออกไปหมด
15นางจึงกล่าวกับแซมสันว่า “เธอพูดได้อย่างไรว่า ‘ฉันรักเธอ’ เมื่อใจของเธอไม่ได้อยู่กับฉันเลย เธอหลอกฉันสามครั้งแล้ว และเธอไม่ได้บอกฉันว่า กำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน” 16อยู่มาเมื่อนางพูดคาดคั้นท่านวันแล้ววันเล่า และรบเร้าท่านอยู่ทุกวัน จิตใจของแซมสันก็เบื่อแทบจะตาย 17จึงบอกความจริงในใจของท่านแก่นางจนสิ้นว่า “มีดโกนยังไม่เคยถูกศีรษะของฉัน เพราะฉันเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ ถ้าโกนผมฉันแล้วกำลังก็จะหมดไปจากฉัน ฉันก็จะหมดแรงเหมือนชายอื่น”
18เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าแซมสันบอกความจริงในใจแก่นางจนสิ้นแล้ว นางจึงใช้คนไปเรียกพวกเจ้านายฟีลิสเตียว่า “ขอจงขึ้นมาอีกครั้งเดียว เพราะเขาบอกความจริงในใจแก่ฉันจนสิ้นแล้ว” แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นมาหานางถือเงินมาด้วย 19นางก็ให้แซมสันนอนอยู่บนตักของนาง แล้วนางก็เรียกชายคนหนึ่งให้มาโกนผมเจ็ดปอยออกจากศีรษะของท่าน นางก็เริ่มกำจัดท่าน กำลังของท่านก็หายไป 20นางจึงบอกว่า “แซมสัน คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว” ท่านก็ตื่นขึ้นจากหลับบอกว่า “ฉันจะออกไปอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวให้หลุดไป” ท่านไม่ทราบว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงละท่านไปเสียแล้ว 21คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านและควักลูกตาทั้งสองข้างของท่านเสีย แล้วนำท่านลงมายังเมืองกาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ในเรือนจำ 22ตั้งแต่โกนผมแล้ว ผมบนศีรษะของท่านก็ค่อยๆ งอกขึ้นมา
มรณกรรมของแซมสัน
23เจ้านายฟีลิสเตียประชุมกันเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชายิ่งใหญ่แด่พระดาโกนพระเจ้าของเขาทั้งหลายและเพื่อชื่นชมยินดี เพราะพวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าของเราได้มอบแซมสันศัตรูของเราไว้ในมือเราแล้ว” 24เมื่อประชาชนเห็นแซมสันก็สรรเสริญพระเจ้าของตนว่า “พระเจ้าของเราได้มอบศัตรูของเราไว้ในมือของเราแล้ว คือผู้ทำลายแผ่นดินของเราและสังหารพวกเราเป็นอันมาก” 25เมื่อจิตใจของพวกเขาร่าเริงแล้ว เขาทั้งหลายจึงพูดว่า “จงเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู” พวกเขาจึงไปเรียกแซมสันออกมาจากเรือนจำ แซมสันก็มาเล่นตลกต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาให้ท่านยืนอยู่ระหว่างเสา 26แซมสันจึงบอกเด็กหนุ่มที่จูงมือตนมาว่า “พาฉันไปคลำเสาที่รองรับตึกนี้อยู่ ฉันจะได้พิงเสานั้น” 27มีผู้ชายและผู้หญิงอยู่เต็มตึกนั้น เจ้านายฟีลิสเตียก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีชายหญิงประมาณ 3,000 คนบนหลังคาตึก ดูแซมสันเล่นตลก
28แซมสันก็ร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟีลิสเตียเพื่อตาสองข้างของข้าพระองค์” 29แซมสันก็จับเสากลางสองต้นที่รองรับตึกนั้นไว้และพิงที่เสานั้น มือขวายันเสาต้นหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกต้นหนึ่ง 30แซมสันกล่าวว่า “ขอให้ข้าตายกับคนฟีลิสเตียเถิด” แล้วก็โน้มตัวลงด้วยกำลังทั้งสิ้นของตน ตึกนั้นก็พังทับเจ้านาย และประชาชนทุกคนที่อยู่ในนั้น ดังนั้นคนที่ท่านฆ่าเมื่อท่านตายนี้ก็มากกว่าคนที่ท่านฆ่าเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ 31แล้วพี่น้องและครอบครัวบิดาของท่านทั้งสิ้นก็ลงมารับศพของท่านไปฝังไว้ระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอล ในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของท่าน ท่านได้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 20 ปี
ผู้วินิจฉัย 17
มีคาห์กับคนเลวี
1มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อมีคาห์ 2เขาพูดกับมารดาว่า “เงิน 1,100 แผ่นซึ่งมีคนลักไปจากแม่ และแม่ก็ได้แช่งสาป และพูดเข้าหูลูกนั้น นี่แน่ะ เงินนั้นอยู่ที่ลูก ลูกเอาไปเอง” มารดาจึงพูดว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรลูกเถิด” 3เขาจึงนำเงิน 1,100 แผ่นนั้นมาคืนมารดา และมารดาพูดว่า “เงินนี้แม่ขอถวายแด่พระยาห์เวห์เพื่อลูก ให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะ บัดนี้แม่จะคืนมันให้เจ้า” 4เมื่อมีคาห์คืนเงินให้มารดาแล้ว มารดาก็นำเงิน 200 แผ่นมอบให้ช่างเงิน ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะ รูปนั้นอยู่ในบ้านของมีคาห์ 5มีคาห์คนนี้มีสถานที่บูชาพระแปลได้อีกว่า ห้องพระแห่งหนึ่ง เขาทำเอโฟด และรูปเคารพประจำบ้าน และแต่งตั้งบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นปุโรหิต 6ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ
7มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ จากดินแดนของเผ่ายูดาห์ เขาเป็นพวกเลวี อาศัยอยู่ที่นั่น 8ชายนั้นก็ออกจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ เที่ยวหาที่เพื่อพักอาศัย แล้วเขาก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิมและเดินทางต่อไปยังบ้านของมีคาห์ 9มีคาห์จึงถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นพวกเลวีจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ข้าพเจ้าเที่ยวหาที่เพื่อพักอาศัย” 10มีคาห์จึงกล่าวกับเขาว่า “จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด และจงเป็นบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าเองจะให้เงินท่านปีละ 10 แผ่น ให้เสื้อผ้าสำรับหนึ่ง และอาหารด้วย” คนเลวีนั้นจึงเข้าไป 11คนเลวีนั้นก็พอใจที่จะอยู่กับมีคาห์ และคนเลวีก็เป็นเหมือนลูกคนหนึ่งของเขา 12มีคาห์ก็แต่งตั้งคนเลวี และชายหนุ่มนั้นก็เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ในบ้านของมีคาห์ 13มีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์จะทรงดีต่อข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีเลวีคนหนึ่งเป็นปุโรหิต”
อรรถาธิบาย
ความเชื่อท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
ช่วงเวลาเหล่านี้คือความสิ้นหวัง มีความอัดอั้นที่คุกรุ่นอยู่ตลอดในหนังสือผู้วินิจฉัย ‘ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ’ (ข้อ 17:6) นี่คือช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังเหล่านี้ พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งผู้วินิจฉัยเหมือนเช่นแซมสัน เขาได้นำชนชาติอิสราเอลเป็นเวลา 20 ปี (ข้อ 16:31) แซนสันเคยเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งความเชื่อ (ฮีบรู 11:32)
เมื่อถูกแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงใช้เขาอย่างทรงพลัง อย่างไรก็ตาม เขาก็มีจุดอ่อนที่นำไปสู่การผิดศีลธรรม (การร่วมหลับนอนกับหญิงโสเภณี ในพระธรรมผู้วินิจฉัย 16:1-3) และถูกล่อลวง (ข้อ 4-10) จนในที่สุดเขาก็ได้ทำให้พระเจ้าทรงเหลืออดกับความดื้อรั้นไม่เชื่อฟังและ ‘พระยาห์เวห์...ทรงละท่านไปเสียแล้ว’ (ข้อ 20)
แซมสัน เคยได้รับพละกำลังที่เหนือธรรมชาติจากพระเจ้าแต่นั่นก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเชื่อฟังของเขา พระเจ้าทรงเคยบอกห้ามเขาไม่ให้ตัดผมของตัวเอง ตราบใดที่เขายังเชื่อฟังพระเจ้าเขาก็จะยังคงมีพละกำลังที่เหนือธรรมชาติ
ต่อให้พระเจ้าทรงเป็นบุคคลที่เยี่ยมยอดอย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจดจำให้ดีว่า พละกำลังนั้นมาจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว พระเยซูทรงตรัสไว้ว่า ‘ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย’ (ยอห์น 15:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New King James Version โดยผู้แปล) จงอย่ายึดติดกับชัยชนะในอดีตแต่ให้พึ่งพิงพระเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งเหล่านี้ให้
หลังจากที่ถูกตามยั่วยวนอย่างไม่ลดละ แซมสันได้ยอมแพ้และบอกความลับของพละกำลังของเขาแก่นางเดลิลาห์ ถึงแม้ว่าในสายตาของเขาจะเห็นได้ชัดว่านางจะต้องฉวยโอกาสกับเขาในภายหลัง แล้วเดลิลาห์ก็ได้ตัดผมของเขาและพละกำลังของเขาก็ได้หมดไป
ไม่ใช่มีแต่เพียงปัญหาวุ่นวายในสังคม แต่แซมสันเองก็มาถึงจุดที่สิ้นหวังในชีวิตของเขา เขาถูกจับกุม ถูกทำให้ตาบอดและเกือบถูกผู้คุมนำไปประจาน (ผู้วินิจฉัย 16:21-25)
ท่ามกลางความสิ้นหวังของเขา แซมสันได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว’ (ข้อ 28) และพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานโดยความเชื่อของเขา แม้กระทั่งหลังจากความล้มเหลวนับไม่ถ้วนของเขา พระเจ้ายังคงตอบคำคร่ำครวญของแซมสัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหนและไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรมา ไม่เคยมีคำว่าสายไปสำหรับการกลับมาหาพระเจ้า
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 16:1-17:13
แซมสันเคยเป็นผู้นำที่เหนือธรรมชาติ เขาเหมือน ดิ อินคริเดเบิ้ล ฮัลค์ ที่มีรสนิยมเรื่องผู้หญิงที่แย่
เขาตกหลุมรักเดลิลาห์ และเธอคือผู้หญิงไร้หัวใจ เธอพร้อมที่จะทรยศผู้ชายที่รักเธอ ทำไมแซมสันถึงยังบอกความลับของเขากับเธอ หลังจากที่เธอได้ทรยศเขามาแล้วถึงสามครั้ง? เขาควรจะรู้สิว่าเธอไม่ใช่คนที่เชื่อถือได้ เขามีร่างกายภายนอกที่เข้มแข็ง แต่กลับอ่อนแอเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง และแซมสันก็ไม่ใช่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวที่ต้องล้มเหลวลงเพราะเรื่องผู้หญิง
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 8:7
‘ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)