พลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัด
เกริ่นนำ
เรามักจะเล่าเรื่องเมื่อ จอห์น วิมเบอร์ มาที่คริสตจักรของเราครั้งแรก เราเห็นการเทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเยียวยารักษาหลายต่อหลายครั้ง มีหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนที่สอง ที่ตราตรึงในความทรงจำของผมอย่างไม่มีวันลืมเลือน เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเรากำลังตั้งครรภ์ได้แปดเดือนในขณะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาประทับเหนือเธอด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ เธอเริ่มหมุนตัวไปรอบ ๆ อย่างเร็วมาก ในขณะที่เธอทำเช่นนั้น เธอได้อุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘ฉันรู้สึกแข็งแกร่งมาก’
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เธอให้กำเนิดบุตรชายซึ่งไม่เพียงแต่สำแดงความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณและอารมณ์เท่านั้น แต่ยังสำแดงความแข็งแกร่งทางร่างกายที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย เขาได้กลายเป็นนักรักบี้ที่โดดเด่น เป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม และตอนนี้เขาก็กลายเป็นนายแบบที่ประสบความสำเร็จ
สำหรับบางคน (เช่น แซมซัน ผู้ที่เราจะได้ใคร่ครวญร่วมกันในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมในวันนี้) พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความแข็งแกร่งทางร่างกายเป็นพิเศษให้แก่เขา แต่สำหรับเราทุกคน พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานกำลังฝ่ายวิญญาณให้กับเรา
อัครสาวกเปาโลพรรณนาว่า ‘และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์ ซึ่งทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย’ (เอเฟซัส 1:19–20)
นั้นเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ให้พระเยซูฟื้นจากความตาย (โรม 8:11ก) พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ ‘ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์’ เป็นกำลังอันเข้มแข็งแบบเดียวกันที่อยู่ในตัวคุณและ ‘จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน’ (ข้อ 11ข)
ผมชอบผลงานแปลของ ยูจีน ปีเตอร์สัน (ในข้อพระคัมภีร์เอเฟซัส) ซึ่งเขาพูดถึงพระเจ้าผู้ทรงประทาน ‘พลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัด’!
สดุดี 59:9-17
9ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเฝ้าดูพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
10พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์
พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นพวกศัตรูของข้าพเจ้าแพ้
11ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้ทรงเป็นโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขออย่าทรงสังหารพวกเขาเสีย เกรงว่าชนชาติของข้าพระองค์จะลืม
ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ และให้เขาล้มลง
12เพราะบาปจากปากของเขา และเพราะถ้อยคำจากริมฝีปากของเขา
ขอให้เขาติดกับโดยความเย่อหยิ่งของเขา
เพราะการแช่งสาปและการมุสาซึ่งเขาเปล่งออกมานั้น
13ขอทรงเผาผลาญเขาเสียโดยพระพิโรธ
ขอทรงเผาผลาญเขาจนสิ้น
แล้วคนจะทราบว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือยาโคบ
ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
14พวกเขากลับมาทุกเย็น
หอนอย่างสุนัข
และตระเวนไปทั่วนคร
15เขาเที่ยวไปหาอาหาร
ถ้าไม่ได้กินอิ่มก็ขู่คำราม
16แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงพระกำลังของพระองค์
ข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความยินดีเรื่องความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า
เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
เป็นที่ลี้ภัยในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
17ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
อรรถาธิบาย
ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์
คุณกำลังดิ้นรนในโลกที่เผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรน่านี้อยู่หรือไม่? คุณรู้สึกทุกทรมานมากไหม?
เฉกเช่นเดียวกับดาวิดที่ต้องเผชิญปัญหาอย่างหนักหน่วง ให้เราร้องทูลกับพระเจ้าในวันนี้ว่า ‘ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเฝ้าดูพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 9–10ก)
พระธรรมสดุดีจบลงด้วยชัยชนะ: ‘แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงพระกำลังของพระองค์ ข้าพระองค์จะโห่ร้องด้วยความยินดีเรื่องความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 16–17)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 6:60-7:13
ถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์
60เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” 61และเมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? 62ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร? 63พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต 64แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าใครไม่เชื่อและใครเป็นคนที่จะทรยศพระองค์ 65แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น’ ”
66ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก 67พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” 68ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ 69และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 70พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” 71พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท คนหนึ่งในสาวกสิบสองคน เพราะว่าเขาเป็นคนที่จะทรยศพระองค์
ยอห์น 7
พวกน้องๆ ของพระเยซูไม่วางใจพระองค์
1หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามที่ต่างๆ ในแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ต้องการเสด็จไปแคว้นยูเดียเพราะพวกยิวหาโอกาสฆ่าพระองค์ 2ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว 3พวกน้องๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่กำลังทำอยู่ 4เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกเถิด” 5แม้แต่พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้วางใจในพระองค์ 6พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ 7โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย 8พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 9เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็ประทับในแคว้นกาลิลีต่อไป
พระเยซูที่เทศกาลอยู่เพิง
10แต่หลังจากพวกน้องๆ ของพระองค์ขึ้นไปที่งานเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย 11พวกยิวมองหาพระองค์ในงานเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน?” 12และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมากเรื่องพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนว่า “ไม่ใช่ เขาทำให้ฝูงชนหลงผิดไป” 13แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกยิว
อรรถาธิบาย
การทรงเรียกที่ยากลำบาก
คุณเคยพบว่าคำสอนของพระเยซูเป็นเรื่องยากที่จะทำตามหรือไม่? บางครั้งคุณพบว่าการเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องยากไหม เช่น ในที่ทำงาน? บางครั้งคุณพบว่ามีคนไม่ชอบคุณโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่? คุณเคยรู้สึกอยากเลิกติดตามพระเยซูบ้างไหม?
หากคุณต้องการชีวิตที่เรียบง่าย ผมไม่แนะนำให้ติดตามพระเยซู เพราะต่อไปมันจะไม่ง่ายเลย และตอนนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน อลิซ คูเปอร์ นักร้องชาวร็อก กล่าวว่า ‘การดื่มเบียร์เป็นเรื่องง่าย ทิ้งขยะห้องพักในโรงแรมเป็นเรื่องง่าย แต่การเป็นคริสเตียนนั้นเป็นเรื่องยาก นั่นคือการกบฏที่แท้จริง’
การติดตามพระเยซูถือเป็นการทรงเรียกที่ยากลำบาก และในขณะเดียวกันก็เป็นหนทางสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ด้วยเช่นกัน พระเยซูทรงอธิบายว่า ความบริบูรณ์ของชีวิตเช่นนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำสอนของพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าสาวกกล่าวว่า ‘นี่เป็นคำสอนที่หนักและยากและแปลกประหลาดมาก... ใครจะทนฟังได้บ้าง’ (6:60, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล) อันที่จริง คำสอนบางอย่างของพระเยซูนั้นหนักมาก ‘ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก’ (ข้อ 66) พระธรรมตอนนี้เริ่มต้นด้วยผู้คนมากมายที่ติดตามพระเยซู แต่จบลงด้วยหลายคนหันหลังให้พระองค์
ไม่บ่อยนักที่ผู้ฟังพบว่าคำสอนของพระเยซูนั้นยากที่จะเข้าใจ แต่พวกเขาแค่ไม่ชอบเนื้อหามากกว่า พวกเขาพบว่าคำสอนของพระองค์ทำให้พวกเขาสะดุด (ข้อ 61) ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขุ่นเคืองใจเป็นพิเศษกับการอ้างตนของพระเยซู ที่ทรงตรัสว่าทรงเป็น ‘อาหารแห่งชีวิต’ ทรงเรียกพวกเขาให้เชื่อในพระองค์และเสนอชีวิตนิรันดร์ให้
คำสอนนี้ไม่เพียงแต่ ‘ยาก’ เท่านั้น แต่ยังได้รับ ‘ความเกลียดชัง’ พระเยซูตรัสว่า ‘...โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย’ (7:7) พระองค์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง (ข้อ 12) ต้องจ่ายราคาสูงมากทีเดียวในการติดตามคนที่ถูกเกลียดชังขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีหลายคนหันหลังกลับและไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป พระองค์ทรงเจ็บปวดมาก พระเยซูตรัสถามสาวกสิบสองคนว่า ‘พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?’ ซีโมนเปโตรทูลผู้เป็นดั่งโฆษกของกลุ่ม ตอบพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า’ (6:67–69)
นี่เป็นความจริงที่ทรงพลังมาก พระเยซูมีพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงเป็นผู้เดียวที่เราควรเสาะหา
ในข้อนี้ เราจะได้เห็นตรีเอกานุภาพ เปโตรยอมรับว่าพระเยซูเป็น ‘องค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า’ (ข้อ 69) พระเยซูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงพระบิดา (ข้อ 65) และยังตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 63)
พระเยซูตรัสว่า ‘พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต’ (ข้อ 63ก) เนื้อหนังให้ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังฉันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณฉันนั้น พระองค์ตรัสว่า ‘ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต’ (ข้อ 63ข)
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อน ‘เทศกาลอยู่เพิง’ (7:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The International Standard Version โดยผู้แปล) ทุกครอบครัวจะออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในเต็นท์เป็นเวลาแปดวันเพื่อเฉลิมฉลองอย่างเปรมปรีดิ์ (ค่อนข้างคล้ายกับวันหยุดฤดูร้อนของคริสตจักร!) พวกเขาจะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับน้ำที่ให้ชีวิต นี่คือเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือกยกตัวอย่างเพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ให้ชีวิต
เมื่อพระเยซูตรัสถึงชีวิตนิรันดร์ พระองค์กำลังตรัสถึงคุณภาพชีวิตที่เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้และดำเนินต่อไปเป็นนิตย์ ‘ได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์’ (10:10) นี่คือชีวิตในแบบที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานมาให้ นั่นคือเหตุผลที่ถึงแม้ต้องจ่ายราคามากเพียงใดในการติดตามพระเยซู แต่ผลดีที่ได้รับนั้นมีมากกว่าราคาที่จ่ายไป อันที่จริงไม่มีทางเลือกอื่นที่เป็นจริงแท้แน่นอนเลยด้วยซ้ำ พระเยซูเท่านั้นที่สามารถให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คุณได้ พระเยซูเท่านั้นที่สามารถให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 12:1-13:25
ความขัดแย้งระหว่างเผ่า
1คนเอฟราอิมถูกเรียกให้รบและยกข้ามไปทางศาโฟน พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านยกข้ามไปรบกับคนอัมโมน แต่ไม่เรียกเราไปกับท่านด้วย? เราจะจุดไฟเผาบ้านทับท่านเสีย” 2เยฟธาห์จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากับประชาชนของข้าพเจ้าติดการศึกใหญ่กับคนอัมโมน เมื่อข้าพเจ้าเรียกพวกท่านให้ช่วย พวกท่านก็ไม่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นมือเขาทั้งหลาย 3เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านไม่ช่วยข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เสี่ยงชีวิตของข้าพเจ้าข้ามไปรบกับคนอัมโมน และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของข้าพเจ้า วันนี้ท่านทั้งหลายขึ้นมาทำศึกกับข้าพเจ้าเพราะอะไร?” 4เยฟธาห์จึงรวบรวมคนกิเลอาดทั้งสิ้นสู้รบกับคนเอฟราอิม คนกิเลอาดก็ประหารคนเอฟราอิม เพราะคนเอฟราอิมกล่าวว่า “คนกิเลอาดเอ๋ย พวกเจ้าเป็นคนหลบหนีของเอฟราอิม ท่ามกลางเอฟราอิมและมนัสเสห์” 5คนกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า “ขอให้ข้ามไปทีเถิด” คนกิเลอาดจะถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ?” เมื่อเขาตอบว่า “ไม่ใช่” 6คนกิเลอาดจะบอกกับคนนั้นว่า “จงพูดคำว่าชิบโบเลท” แต่คนนั้นพูดว่า “สิบโบเลท” เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด พวกเขาจึงจับคนนั้นฆ่าเสียที่ท่าข้าม ครั้งนั้นมีคนเอฟราอิมตาย 42,000 คน
7เยฟธาห์วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 6 ปีแล้ว เยฟธาห์คนกิเลอาดก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในเมืองของท่านในกิเลอาด
อิบซาน เอโลนและอับโดน
8อิบซานแห่งเบธเลเฮมได้วินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเยฟธาห์ 9ท่านมีบุตรชาย 30 คน และบุตรหญิง 30 คน สำหรับบุตรหญิงนั้น ท่านให้แต่งงานกับคนนอกเผ่าของท่าน และท่านนำบุตรหญิง 30 คนของคนนอกเผ่า มาให้แก่บุตรชายของท่าน ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 7 ปี 10แล้วอิบซานก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม
11เอโลนคนเศบูลุนได้วินิจฉัยอิสราเอล 10 ปีต่อจากอิบซาน 12แล้วเอโลนคนเศบูลุนก็สิ้นชีวิต และถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในเขตแดนของเผ่าเศบูลุน
13อับโดนบุตรฮิลเลลชาวปิราโธนวินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเอโลน 14ท่านมีบุตรชาย 40 คน และหลานชาย 30 คน ขี่ลาผู้ 70 ตัว ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 8 ปี 15แล้วอับโดนบุตรฮิลเลลชาวปิราโธนก็สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในแผ่นดินของเอฟราอิม ในแดนเทือกเขาของคนอามาเลข
ผู้วินิจฉัย 13
กำเนิดของแซมสัน
1คนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์อีก ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย 40 ปี
2มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเมืองโศราห์คนเผ่าดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของเขาเป็นหมันไม่มีบุตร 3ทูตของพระยาห์เวห์มาปรากฏแก่หญิงนั้น กล่าวแก่นางว่า “นี่แน่ะ เจ้าเป็นหมันไม่มีบุตร แต่เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย 4ฉะนั้นบัดนี้จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือของมึนเมา และอย่ากินของมลทินทุกอย่าง 5เพราะนี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเด็กนั้นจะเป็นนาศีร์ แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด และเขาจะเริ่มช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย” 6หญิงนั้นจึงไปบอกสามีว่า “คนของพระเจ้ามาหาฉัน ลักษณะภายนอกของท่านเหมือนทูตของพระเจ้าน่ากลัวนัก ฉันไม่ได้ถามท่านว่ามาจากไหน และท่านก็ไม่บอกชื่อของท่านแก่ฉัน 7แต่ท่านบอกฉันว่า ‘นี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา อย่ากินของมลทินทุกอย่าง เพราะเด็กนั้นจะเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดจนตาย’ ”
8แล้วมาโนอาห์ก็วิงวอนพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย โปรดให้คนของพระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงใช้มานั้นมาหาข้าพระองค์ทั้งสองอีก เพื่อสอนพวกข้าพระองค์ว่า ควรทำอย่างไรแก่เด็กที่จะเกิดมานั้น” 9และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตของพระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีกเมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่ด้วย 10หญิงนั้นก็รีบวิ่งไปบอกสามีว่า “นี่แน่ะ บุรุษผู้มาหาฉันเมื่อวันก่อนนั้นได้มาปรากฏแก่ฉันอีก” 11มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ?” ผู้นั้นตอบว่า “เราเอง” 12มาโนอาห์จึงกล่าวว่า “เมื่อถ้อยคำของท่านเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเด็กนั้นจะเป็นอย่างไร? และเขาจะทำอะไร?” 13และทูตของพระยาห์เวห์บอกแก่มาโนอาห์ว่า “ทุกสิ่งที่เราได้บอกหญิงนั้น ก็ให้นางใส่ใจปฏิบัติ 14อย่าให้นางกินสิ่งใดๆ ที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา อย่ากินของมลทินทุกอย่าง ให้นางปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราสั่งไว้”
15มาโนอาห์กล่าวกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ขอท่านรออยู่ก่อน พวกเราจะไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน” 16ทูตของพระยาห์เวห์บอกมาโนอาห์ว่า “ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราก็จะไม่กินอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เจ้าจงถวายแด่พระยาห์เวห์” (เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตของพระยาห์เวห์) 17มาโนอาห์ถามทูตของพระยาห์เวห์ว่า “ท่านชื่ออะไร? เพื่อว่าเมื่อถ้อยคำของท่านเป็นจริงแล้ว เราจะได้ให้เกียรติท่าน” 18ทูตของพระยาห์เวห์บอกเขาว่า “ถามชื่อเราทำไม? ชื่อเราก็อัศจรรย์เกินความเข้าใจของเจ้า” 19มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญบูชามาถวายบนศิลาแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงทำการอัศจรรย์ขณะที่มาโนอาห์และภรรยาเฝ้ามองอยู่ 20และเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตของพระยาห์เวห์ก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชาขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และพวกเขาก็ซบหน้าลงถึงดิน
21ทูตของพระยาห์เวห์ไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือแก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตของพระยาห์เวห์ 22และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราคงจะตายแน่ๆ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” 23แต่ภรรยาบอกเขาว่า “ถ้าพระยาห์เวห์ทรงหมายจะฆ่าเราเสีย พระองค์คงจะไม่รับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาจากมือของเรา หรือทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่เราหรือประกาศเรื่องเช่นนี้แก่เราในเวลานี้” 24หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายและเรียกชื่อเขาว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขา 25และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ทรงเริ่มเร้าใจเขา ที่มาหะเนห์ดานระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอล
อรรถาธิบาย
ฤทธานุภาพของพระองค์
คุณเคยกระวนกระวายกับระยะเวลาที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อตอบคำอธิษฐานของคุณหรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงรีบร้อน แต่พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ
เราจะเห็นการจัดเตรียมแผนการของพระเจ้าอย่างละเอียดซับซ้อนต่อการกำเนิดของแซมสันได้จากข้อพระคำตอนนี้ ผู้ที่มีพลังที่พิเศษในการช่วยเหลือผู้คนในยุคของเขา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพจำลองของบางสิ่งที่ต้องใช้เวลานานกว่านั้นอีก เมื่อหลายร้อยปีหลังจากนั้น ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ผู้มีความคล้ายคลึงกับแซมสันในหลาย ๆ ด้าน ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อจัดเตรียมทางให้สำหรับ ผู้ช่วยกู้ให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
บ่อยครั้งที่พระเจ้า ทรงประทานลูกให้กับผู้คนที่รอคอยการมีบุตรมาเป็นเวลานานแสนนาน และพวกเขาเคยคิดว่านั่นคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นางซารายผู้ให้กำเนิดอิสอัค เอลีซาเบธผู้ให้กำเนิดยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
แซมสันมีความคล้ายคลึงกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาในหลายด้าน:
ในทั้งสองกรณี เป็นเรื่องที่ทำให้เราคิดว่าฝ่ายผู้เป็นแม่นั้นไม่สามารถที่จะมีลูกได้ และเป็นอะไรที่ต้องพึงการอัศจรรรย์เท่านั้น (ผู้วินิจฉัย 13:3, ลูกา 1:7)
ในทั้งสองกรณี ทูตสวรรค์ของพระเจ้าทรงพูดกับบรรดาพ่อและแม่อย่างชัดเจน (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:13)
เด็กทั้งสองคนถูกแยกออกเพื่อถวายแด่พระเจ้า ตั้งแต่พวกเขาเกิด (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:14–17)
พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับสุราเลย (ผู้วินิจฉัย 13:7, ลูกา 1:15)
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเสด็จมาอยู่เหนือทั้งคู่ตั้งแต่วันแรกในชีวิตของพวกเขา (ผู้วินิจฉัย 13:25, ลูกา 1:15)
และอีกครั้งที่เราได้เห็นคำบอกใบ้เกี่ยวกับเรื่องตรีเอกานุภาพในพระคำตอนนี้ เราได้ใคร่ครวญถึง ‘พระยาห์เวห์’ (ผู้วินิจฉัย 13:1) แต่ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอีกเช่นกันเมื่อเราได้ยินว่า ‘ทูตของพระยาห์เวห์’ ทรงปรากฏต่อหน้าทั้งพ่อและแม่ของแซมสัน (ข้อ 3,6) และหลังจากนั้นก็ขึ้นสู่สวรรค์ไปในเปลวไฟ (ข้อ 19)
จากที่ได้เห็นว่า มาโนอาห์และภรรยาของเขาก็ต่างซบหน้าลงถึงดินมาโนอาห์นั้นตระหนักดีว่านั่นคือทูตของพระยาห์เวห์: ‘มาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราคงจะตายแน่ๆ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า!”’ (ข้อ19-22) (ขอบคุณพระเจ้าที่เขาได้ ‘ภรรยาที่ควบคุมสติได้ดี!’, ข้อ 23, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Amplified Bible โดยผู้แปล)
หรือ ‘ทูตของพระยาห์เวห์’ จะหมายถึงบุคคลที่สองในตรีเอกานุภาพ? พระเยซูทรงใช้คำว่า บุตรมนุษย์ทรงเสด็จขึ้นไป (ยอห์6:62) ก่อนหน้านี้เราก็ได้อ่านพบคำว่า ‘พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์’ (ยอห์น1:51)
เป็นที่แน่ชัดว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้เป็นบุคคลที่สามของตรีเอกานุภาพ ทรงทำงานอยู่ในช่วงการกำเนิดของแซมสัน ‘หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายและเรียกชื่อเขาว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็ทรงเริ่มเร้าใจเขา...’ (ผู้วินิจฉัย 13:24-25) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด กำลังอันเข้มแข็งที่ไร้ขีดจำกัดแก่แซมสัน
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 12:8–9ก
‘อิบซานแห่งเบธเลเฮมได้วินิจฉัยอิสราเอลต่อจากเยฟธาห์ ท่านมีบุตรชาย 30 คน และบุตรหญิง 30 คน’
ว้าว! เขาต้องยุ่งมากแน่ ๆ
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 59:10
‘พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็น…’
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)