สิบสองวิธีที่จะเป็นคนที่ใช้การได้เพื่อพระเจ้า
เกริ่นนำ
คนหาบน้ำในอินเดียมีหม้อใหญ่สองหม้อ แขวนอยู่ที่ปลายหาบสองด้าน ซึ่งแบกไว้บนคอ หม้อหนึ่งมีรอยร้าว ในขณะที่อีกหม้อหนึ่งสมบูรณ์ดี และจุน้ำไปครบเต็มส่วนเสมอ เมื่อสิ้นสุดการเดินอันยาวนานจากลำธารมายังบ้าน หม้อที่มีรอยรั่วมักจะจุน้ำมาได้เพียงครึ่งเดียว
หม้อที่มีรอยรั่วน่าสงสารนั้น รู้สึกอับอายต่อความไม่สมบูรณ์ของมัน และอนาถใจที่มันทำได้แค่เพียงครึ่งเดียวของสิ่งที่ถูกสร้างมาให้ทำ หลังจากนั้นสองปี สิ่งที่มันได้รับยิ่งทำให้ล้มเหลวอย่างขมขื่น มันพูดกับคนหาบน้ำในวันหนึ่งข้างลำธารว่า
“ฉันรู้สึกอับอายเกี่ยวกับตัวเอง และฉันอยากขอโทษท่าน ฉันจุน้ำได้เพียงครึ่งเดียวของความจุ เพราะรอยร้าวข้างในตัวฉัน เป็นเหตุให้น้ำรั่วออกไประหว่างทางกลับมายังบ้านของท่าน เพราะว่าฉันมีตำหนิ ท่านจำเป็นต้องทำงานทั้งหมด และท่านไม่ได้รับมูลค่าเต็มจำนวนจากความพยายามของท่าน”
คนหาบน้ำพูดกับหม้อน้ำว่า “เจ้าสังเกตเห็นว่ามีดอกไม้งอกออกมาเฉพาะด้านทางเดินของเจ้า แต่ไม่ใช่ฝั่งหม้ออีกด้านไหม? นี่เป็นเพราะฉันรู้มาตลอดว่าเจ้ามีตำหนิ และฉันก็ปลูกดอกไม้ไว้ด้านทางเดินของเจ้า และทุกวันเมื่อเราเดินกลับ เจ้าก็รดน้ำมัน ตลอดสองปีนี้ ฉันได้เก็บดอกไม้สวย ๆ พวกนี้ไปตกแต่งบนโต๊ะ ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเป็น ก็จะไม่มีความสวยงามเพื่อทำให้บ้านนี้งดงาม”
ขอบคุณที่พระเจ้าทรงใช้หม้อที่แตกได้! คุณไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อให้พระเจ้าทรงใช้คุณได้ เราอยากให้ชีวิตของเราใช้การได้ในบางเรื่อง ถ้าคุณอยากจะใช้การได้เพื่อพระเจ้า และนี่เป็นสิบสองกุญแจหลัก ได้แก่
สดุดี 57:7-11
7ข้าแต่พระเจ้า ใจของข้าพระองค์มั่นคง
ใจของข้าพระองค์มั่นคง
ข้าพระองค์จะร้องเพลง ข้าพระองค์จะเล่นดนตรีสดุดี
8จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงตื่นเถิด
พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย จงตื่นเถิด
ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ
9ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ท่ามกลางชาวประเทศทั้งหลาย
10เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์
ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงเมฆ
11ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
อรรถาธิบาย
1. รู้ว่าคุณเป็นที่รัก
พระเจ้าทรงรักคุณ เพราะว่าพระองค์ทรงรักคุณ ดาวิดกล่าวว่า ‘เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์ ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงเมฆ’ (ข้อ 10) นี่เป็นจุดซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น คือการได้รู้ว่าพระเจ้าทรงรักคุณ
2. นมัสการพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
พระเจ้าทรงแสวงหาผู้นมัสการ ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ใจของข้าพระองค์มั่นคง...ข้าพระองค์จะร้องเพลง ข้าพระองค์จะเล่นดนตรีสดุดี...ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์‘ (ข้อ 7–9) การตอบสนองต่อประสบการณ์แห่งความรักของพระเจ้า โดยการนมัสการพระองค์ด้วยทุกสิ่งที่คุณมี ไม่ใช่แค่ในที่ส่วนตัวแต่ในที่สาธารณะด้วย (ข้อ 9) ไม่ใช่แค่เมื่อคุณรู้สึกถึงความรักนั้น แต่ ‘มั่นคง’ ในช่วงเวลายากลำบากด้วยเช่นกัน
3. ถวายเกียรติพระเจ้าในชีวิตของคุณ
พระเจ้าทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ดาวิดเขียนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์ ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก’ (ข้อ 11) นี่เป็นความปรารถนาสูงสุดของดาวิด นี่เป็นความปรารถนาเดียวกันที่แสดงออกมาในคำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐาน ‘ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ’ (มัทธิว 6:9)
คำอธิษฐาน
ยอห์น 5:16-30
16เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงเริ่มต้นข่มเหงพระเยซู เพราะพระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต 17แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย” 18เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า
สิทธิอำนาจของพระบุตร
19พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน 20เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และพระองค์จะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกที่พวกท่านจะประหลาดใจ 21เพราะพระบิดาทรงทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมาและประทานชีวิตให้อย่างไร พระบุตรก็จะให้ชีวิตแก่คนที่ท่านปรารถนาจะให้อย่างนั้น 22เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร 23เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตรเหมือนที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา คนไหนไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร คนนั้นก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา 24เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว 25“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต 26เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น 27และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ 28อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของพระบุตร 29และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็เป็นขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา
บรรดาพยานของพระเยซู
30“เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา
อรรถาธิบาย
4. ทำในสิ่งที่ ‘พระบิดา’ ทรงกระทำ
พวกฟาริสี ผู้ที่เคร่งศาสนาสุด ๆ ได้กลายเป็นพวกทุจริต ยึดถือกฎ และเข้มงวด พวกเขาวิจารณ์พระเยซูเพราะว่าคนที่เป็นง่อยมาสามสิบแปดปี แบกเตียงออกไปในวันสะบาโต
พระเยซูทรงอยู่กับพระเจ้า และทรงเป็นพระบุตรที่รักของพระเจ้า ผู้ทรงทำทุกสิ่งที่พระบิดาทรงปรารถนาให้พระองค์ทำ พระองค์ไม่สามารถแยกออกจากพระบิดาได้ พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา
พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ‘แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า’ (ข้อ 18) กระนั้นพระเยซูยังทรงเป็นพระบุตรที่เชื่อฟังพระบิดาของพระองค์ พระองค์ตรัสในการตอบสนองต่อผู้ที่อยากจะฆ่าพระองค์ ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน’ (ข้อ 19)
แทนที่จะเริ่มต้นแผนการของคุณเอง และขอให้พระเจ้าอวยพรแผนการนั้น พยายามดูว่าอะไรคือแผนการของพระเจ้า และเข้าร่วมในแผนการนั้น
5. ฟังพระเจ้า
ประชากรของพระเจ้าหาเรื่องใส่ตัว ดังที่เราได้เห็นในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมวันนี้ เพราะว่าพวกเขาไม่ฟังพระเจ้า (ผู้วินิจฉัย 6:10) พระเยซูตรัสว่า กุญแจไปสู่ชีวิต คือ ฟังพระองค์และเชื่อ ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว’ (ยอห์น 5:24)
พระเยซูเองยังตรัสว่า ‘เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินแล้วเราจึงตัดสิน’ (ข้อ 30, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
6. ทำการดีทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้
คุณไม่สามารถทำให้ตัวเองรอดได้ด้วยการ ‘ทำการดี’ อย่างไรก็ตาม หลักฐานคือชีวิตแห่งความเชื่อเป็นชีวิตที่ทำการดี เราได้รับการบอกเล่าว่าพระเยซูเอง ‘พระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์’ (กิจการอัครทูต 10:38) พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของพระบุตร และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็เป็นขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษาา’ (ยอห์น 5:28–29)
ตามที่ บารัค โอบาม่า ได้กล่าวไว้ว่า ‘อย่ารอให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับคุณ ถ้าคุณออกไปและสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น คุณจะเติมความหวังให้กับโลก คุณจะเติมความหวังให้ตัวเอง’
7. พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ผมพบว่าสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดแม้แต่จะเริ่มลงมือทำ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะหาทางทำตามใจตัวเอง พระเยซูตรัสว่า ‘เราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา’ (ข้อ 30) การดำเนินชีวิตเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย เกี่ยวข้องกับการกลับตัวอย่างเต็มร้อย ไม่เพียงแค่การกลับตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มีบางเรื่องที่คุณจำเป็นต้องพยายามลงมือทำในทุก ๆ วัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
คำอธิษฐาน
ผู้วินิจฉัย 6:1-7:8ก
พวกมีเดียนกดขี่คนอิสราเอล
1แล้วคนอิสราเอลก็ทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของคนมีเดียน 7 ปี 2มือของคนมีเดียนก็ชนะอิสราเอล และเนื่องจากคนมีเดียน คนอิสราเอลจึงทำที่ซ่อนตัวตามถ้ำและที่กำบังแข็งแกร่งซึ่งอยู่ในภูเขา 3เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียน คนอามาเลข และชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับพวกเขาเมื่อนั้น 4พวกเขามาตั้งค่ายแล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินไกลไปถึงเมืองกาซา และไม่ให้มีอาหารเหลือในอิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะหรือวัวหรือลา 5เพราะว่าคนเหล่านั้นจะขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงปศุสัตว์และเต็นท์ พวกเขามาเหมือนตั๊กแตนปาทังก้าเป็นฝูงๆ ทั้งคนและอูฐก็นับไม่ถ้วน เขาทั้งหลายเข้ามาและทำลายแผ่นดิน 6พวกอิสราเอลก็ตกต่ำลงมากเพราะคนมีเดียน ดังนั้นคนอิสราเอลจึงร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์
7เมื่อคนอิสราเอลร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์เพราะคนมีเดียน 8พระยาห์เวห์ก็ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งให้มาหาคนอิสราเอล ผู้นั้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ นำเจ้าออกมาจากแดนทาส 9และเราได้ช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และให้พ้นจากมือของบรรดาผู้บีบบังคับพวกเจ้า และขับไล่พวกเขาออกไปพ้นหน้าพวกเจ้า และมอบแผ่นดินของพวกเขาให้แก่พวกเจ้า 10และเราบอกกับเจ้าทั้งหลายว่า “เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า อย่ายำเกรงบรรดาพระของคนอาโมไรต์ ซึ่งพวกเจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขานั้น” แต่เจ้าทั้งหลายไม่ฟังเสียงของเรา’ ”
พระเจ้าทรงเรียกกิเดโอน
11ทูตของพระยาห์เวห์มาประทับใต้ต้นโอ๊กที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาชตระกูลอาบีเยเซอร์ ส่วนกิเดโอนบุตรของท่านกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ในบ่อย่ำองุ่น เพื่อหลบหน้าคนมีเดียน 12ทูตของพระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่กิเดโอนตรัสกับเขาว่า “นักรบกล้าหาญเอ๋ย พระยาห์เวห์สถิตกับเจ้า” 13กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า “ท่านเจ้าข้า ถ้าพระยาห์เวห์สถิตกับพวกเราแล้ว ทำไมเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเกิดกับเราเล่า? และการอัศจรรย์ทั้งหมดของพระองค์อยู่ที่ไหนซึ่งปู่ย่าตายายเคยเล่าให้เราฟังว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงนำเราออกจากอียิปต์หรือ?’ แต่สมัยนี้พระยาห์เวห์ทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน” 14และพระยาห์เวห์ทรงหันมาหาท่านและตรัสว่า “จงไปช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้เจ้าไปไม่ใช่หรือ?” 15ท่านจึงทูลว่า “องค์เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร? นี่แน่ะ ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในบ้านบิดาข้าพระองค์” 16พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า “แต่เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และเจ้าจะโจมตีคนมีเดียนอย่างกับตีคนคนเดียว” 17ท่านก็ทูลพระองค์ว่า “ถ้าบัดนี้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระองค์ ขอโปรดให้ข้าพระองค์เห็นหมายสำคัญว่า ผู้ที่พูดอยู่กับข้าพระองค์นี้คือพระองค์เอง 18ขออย่าเสด็จไปจากที่นี่ จนกว่าข้าพระองค์จะกลับมา และนำของมาตั้งถวายเฉพาะพระพักตร์” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่จนกว่าเจ้าจะกลับมา”
19กิเดโอนก็กลับเข้าบ้าน จัดลูกแพะตัวหนึ่งกับขนมปังไร้เชื้อจากแป้ง 10 กิโลกรัม เขาเอาเนื้อใส่กระจาด ส่วนน้ำแกงใส่ในหม้อ นำสิ่งเหล่านี้มาถวายพระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก 20และทูตของพระเจ้าตรัสกับท่านว่า “จงเอาเนื้อและขนมปังไร้เชื้อวางไว้บนศิลานี้ เทน้ำแกงราดของเหล่านั้น” ท่านก็ทำตาม 21แล้วทูตของพระยาห์เวห์ก็ทรงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่แตะต้องเนื้อและขนมปังไร้เชื้อ และมีไฟลุกขึ้นมาจากศิลาไหม้เนื้อและขนมปังไร้เชื้อจนหมด และทูตของพระยาห์เวห์ก็ทรงหายไปพ้นสายตาของท่าน 22กิเดโอนก็ทราบว่า เป็นทูตของพระยาห์เวห์จริง และกิเดโอนทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย บัดนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์หน้าต่อหน้า อนิจจาเอ๋ย” 23แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับเจ้า อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตาย” 24กิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระยาห์เวห์ที่นั่น และเรียกที่นั้นว่า ยาห์เวห์ชาโลมแปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นสันติสุข ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่เมืองโอฟราห์เมืองหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเชเคม ประมาณ 10 กิโลเมตร เมืองโอฟราห์เป็นที่อยู่ของกิเดโอน ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์
25ต่อมาในคืนวันนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า “จงเอาโคผู้ของบิดาเจ้าคือโคผู้ตัวที่สองที่มีอายุ 7 ปีมา ไปพังแท่นพระบาอัลซึ่งบิดาของเจ้ามีอยู่นั้นลงเสีย จงโค่นเสาอาเช-ราห์สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ บางทีจะเป็นเสาไม้แกะสลัก หรือ รูปเคารพเจ้าแม่ซึ่งอยู่ข้างๆ แท่นเสียด้วย 26และสร้างแท่นบูชาถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าที่บนสุดของป้อมนี้ ใช้ก้อนหินก่อให้เป็นระเบียบ แล้วนำโคตัวที่สองนั้นฆ่าเสีย ถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เผาด้วยไม้รูปอาเช-ราห์ซึ่งเจ้าโค่นมานั้น” 27กิเดโอนจึงนำคนรับใช้ 10 คนไปทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งท่าน แต่ต่อมาเพราะท่านกลัวครอบครัวของตน และกลัวชาวเมือง จนไม่กล้าทำในเวลากลางวัน จึงทำในเวลากลางคืน
กิเดโอนทำลายแท่นบูชาของพระบาอัล
28เมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นี่แน่ะ แท่นบูชาพระบาอัลได้พังทลาย และเสาอาเช-ราห์ที่อยู่ข้างๆ ได้ถูกโค่นลง และโคผู้ตัวที่สองถูกเผาบูชาแล้วบนแท่นที่สร้างขึ้นใหม่ 29พวกเขาจึงพูดกันว่า “ใครทำอย่างนี้นะ?” เมื่อเขาทั้งหลายสืบถามแล้ว จึงกล่าวว่า “กิเดโอนบุตรของโยอาชทำสิ่งนี้” 30แล้วชาวเมืองจึงบอกโยอาชว่า “จงมอบลูกของเจ้ามาให้ประหารชีวิตเสีย เพราะเขาได้พังแท่นของพระบาอัล และโค่นเสาอาเช-ราห์ที่อยู่ข้างแท่นนั้น” 31แต่โยอาชได้ตอบคนทั้งปวงที่มายืนฟ้องนั้นว่า “ท่านทั้งหลายจะสู้ความแทนพระบาอัลหรือ? จะช่วยพระนั้นหรือ? ใครสู้ความแทนพระบาอัลจะถูกประหารชีวิตในตอนเช้า ถ้าพระบาอัลเป็นพระแท้ ก็ให้สู้ความเองเถิด เพราะมีคนมาพังแท่นของท่าน” 32ตั้งแต่วันนั้นเขาเรียกกิเดโอนว่า เยรุบบาอัล หมายความว่า “ให้บาอัลสู้ความเอง” เพราะกิเดโอนพังแท่นของท่าน
33ครั้งนั้นคนมีเดียน และคนอามาเลข และชาวตะวันออกก็รวมกันยกทัพข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาตั้งค่ายอยู่ในที่ลุ่มยิสเรเอล 34แต่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับกิเดโอน ท่านก็เป่าเขาสัตว์ เรียกตระกูลอาบีเยเซอร์ให้มาติดตามท่าน 35และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้พวกเขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านั้นก็ขึ้นมาพบพวกท่านด้วย
หมายสำคัญแห่งขนแกะ
36กิเดโอนจึงทูลพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์จะช่วยกู้อิสราเอลด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสแล้วนั้น 37นี่แน่ะ ข้าพระองค์ได้วางกลุ่มขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว ถ้ามีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น ส่วนที่พื้นดินโดยรอบนั้นแห้ง ข้าพระองค์ก็จะทราบว่า พระองค์จะทรงช่วยกู้อิสราเอลด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสนั้น” 38แล้วก็เป็นไปดังนั้น เมื่อกิเดโอนตื่นขึ้นในวันรุ่งเช้าก็บีบกลุ่มขนแกะ ท่านบีบน้ำค้างจากกลุ่มขนแกะได้จนเต็มชาม 39แล้วกิเดโอนทูลพระเจ้าว่า “ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักครั้งเดียว ขอข้าพระองค์ทดลองด้วยกลุ่มขนแกะนี้อีกครั้งหนึ่งเถิด คราวนี้ขอให้แห้งเฉพาะที่กลุ่มขนแกะ ส่วนที่พื้นดินนั้นให้มีน้ำค้างโดยทั่วไป” 40ในคืนวันนั้นพระเจ้าก็ทรงทำตามที่ขอ คือกลุ่มขนแกะนั้นแห้งอยู่ แต่มีน้ำค้างอยู่ทั่วพื้นดิน
ผู้วินิจฉัย 7
กิเดโอนทำให้คนมีเดียนแตกกระเจิง
1เยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) และคนทั้งหมดที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ไปตั้งค่ายที่ริมน้ำพุฮาโรด ส่วนค่ายของพวกมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา คืออยู่ในหุบเขาที่ภูเขาโมเรห์
2พระยาห์เวห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “คนที่อยู่กับเจ้ายังมีมากเกินไปที่เราจะมอบคนมีเดียนไว้ในมือของพวกเขา เกรงว่าอิสราเอลจะทะนงตัวต่อเรา โดยกล่าวว่า ‘มือของข้าเองได้กู้ข้าไว้’ 3เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้จงประกาศให้ประชาชนได้ยินว่า ‘คนไหนกลัวจนตัวสั่น ก็ให้กลับไปเสียจากภูเขากิเลอาด’ ” และมีคนกลับไป 22,000 คน และยังเหลืออยู่ 10,000 คน
4พระยาห์เวห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “ประชาชนยังมากอยู่ จงพาพวกเขาลงไปที่น้ำ และเราจะทดสอบเขาทั้งหลายให้เจ้าที่นั่น คนที่เราบอกเจ้าว่า ‘ให้คนนี้ไปกับเจ้า’ คนนั้นต้องไปกับเจ้า คนที่เราบอกว่า ‘คนนี้อย่าให้ไป’ คนนั้นก็ไม่ต้องไป” 5ท่านจึงพาประชาชนลงไปที่น้ำ พระยาห์เวห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “ทุกคนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำดังสุนัข จงรวมเขาไว้พวกหนึ่ง ส่วนคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำจงรวมไว้อีกพวกหนึ่งด้วย” 6จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นเลียมี 300 คน แต่ประชาชนทั้งสิ้นที่เหลือคุกเข่าลงดื่มน้ำ 7พระยาห์เวห์ตรัสกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยกู้เจ้าทั้งหลายด้วยจำนวนคนสามร้อยที่เลียน้ำนั้น และมอบคนมีเดียนไว้ในมือของเจ้า นอกนั้นให้ทุกคนกลับบ้าน” 8ท่านจึงส่งอิสราเอลที่เหลือกลับไปยังเต็นท์ของตนทุกคน แต่ให้ 300 คนนั้นอยู่ โดยให้ถือเสบียงและเขาสัตว์ทั้งหมดไว้ และค่ายของมีเดียนก็อยู่ข้างล่างท่านในหุบเขา
อรรถาธิบาย
8. ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ประชากรของพระเจ้าเจอกับปัญหาอีกครั้ง พวกเขาทำ ‘สิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์’ (6:1) ผลก็คือพวกเขาถูกต่อต้าน (ข้อ 2) และ ‘ตกต่ำยากจนอย่างยิ่ง’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พวกเขามาถึงจุดกลับใจ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเราบ่อย ๆ เมื่อพวกเขา ‘ร้องขอความช่วยเหลือต่อพระยาห์เวห์’ (ข้อ 6) ผมรู้สึกขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับหลายครั้งในชีวิตผมเมื่อพระเจ้าทรงตอบคำร้องขอความช่วยเหลือของผม ไม่ว่าจะมีความยากลำบากและความท้าทายใดที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน จงร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
9. รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณ
พระเจ้าทรงยกกิเดโอนขึ้น และตรัสกับเขาว่า ‘นักรบกล้าหาญเอ๋ย พระยาห์เวห์สถิตกับเจ้า’ (ข้อ 12) กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า ‘องค์เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร? นี่แน่ะ ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในบ้านบิดาข้าพระองค์’ (ข้อ 15) พระเจ้าทรงตอบว่า 'แต่เราจะอยู่กับเจ้าแน่’ (ข้อ 16)
พระเยซูทรงสัญญาว่า พระองค์จะอยู่กับคุณเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค (มัทธิว 28:20)
10. รู้ถึงความอ่อนแอของคุณ
กิเดโอนเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้หม้อที่มีรอยร้าว! กิเดโอนพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร? นี่แน่ะ ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในบ้านบิดาข้าพระองค์’ (ผู้วินิจฉัย 6:15) บ่อยครั้งผมรู้สึกว่า พระเจ้าไม่สามารถใช้ผมได้เพราะความอ่อนแอของผม แต่บางครั้งพระเจ้าทรงทำกิจผ่านความอ่อนแอของเราได้ดีกว่าผ่านทางความเข้มแข็งของเรา
โดยส่วนตัว ผมได้รับความสบายใจอย่างยิ่งจากถ้อยคำของอัครทูตเปาโล: ‘เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า... เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น’ (2 โครินธ์ 12:9–10)
11. เชื่อฟังพระเจ้าด้วยความยำเกรง
กิเดโอน ‘ทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งท่าน’ (ผู้วินิจฉัย 6:27) แม้ว่าท่านต้องเสี่ยงชีวิต (ข้อ 30) ผมพบว่า ผมมักจะขลาดกลัวเมื่อเผชิญกับการต่อต้าน อย่างไรก็ตาม การต่อต้านที่เราเจอเทียบไม่เลยกับสิ่งที่กิเดโอน และสิ่งที่พระเยซูทรงเผชิญอย่างแน่นอน เมื่อความกลัวมาเคาะประตูชีวิตของคุณ ให้เปิดรับด้วยความเชื่อ!
12. จงมั่นใจในพระเจ้า
ความลับแห่งพลังของกิเดโอนคือ ‘พระวิญญาณของพระยาห์เวห์สถิตกับกิเดโอน’ (ข้อ 34) อย่ามั่นใจในตัวเอง จงมั่นใจในพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ต้องการจำนวนมากมาย ที่จริงพระองค์ตรัสกับกิเดโอนว่า ‘คนที่อยู่กับเจ้ายังมีมากเกินไป’ (7:2) พระองค์ไม่ได้ต้องการให้คนคิดว่า นี่เป็นความเข้มแข็งของพวกเขาเองที่ทำให้พวกเขารอดมาได้ พระองค์ทรงลดจำนวนลงจากคน 32,000 คน เหลือแค่ 300 คน (ข้อ 1–7)
เราไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากเพื่อให้เห็นประเทศชาติเปลี่ยนแปลง แต่เราจำเป็นต้องมีฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากคุณมั่นใจในพระเจ้า พระองค์สามารถทำกิจผ่านคุณเหมือนกับที่พระองค์ทรงทำผ่านกิเดโอน
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ผู้วินิจฉัย 6
ฉันสามารถเชื่อมโยงเข้ากับกิเดโอนได้ เขาทั้งหวาดหวั่น รู้สึกว่าไม่คู่ควร และรวนเร สิ่งนั้นทำให้เขาเป็นวีรบุรุษยิ่งกว่าเดิมสำหรับฉัน มันแสดงให้เห็นว่าเขากล้าหาญเพียงใดที่จะต่อต้านทุกคน (ข้อ 27) เขายิ่งระมัดระวังมากที่จะตรวจสอบว่าเขาทำถูกต้องไหม ถ้าคุณกำลังจะไปทำอะไรที่สุดโต่ง คุณจำเป็นต้องรู้ว่า คุณได้ยินพระเจ้าถูกต้องจริง ๆ เมื่อกิเดโอนแน่ใจว่านั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ก็ไม่มีอะไรหยุดเขาได้
ข้อพระคำประจำวัน
ผู้วินิจฉัย 6:14
‘จงไปช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้เจ้าไปไม่ใช่หรือ?’
![reader](/assets/img/o2IIH9f3cp-320.jpeg)
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
![reader](/assets/img/VaA8S1A2AE-320.jpeg)
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
![reader](/assets/img/RdJg02ZuKy-320.jpeg)
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)