ชีวิตมี 2 ทางเลือก
เกริ่นนำ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า 'มีเพียงสองทางสำหรับการใช้ชีวิต ทางแรกคือใช้ชีวิตราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นปาฏิหาริย์ หรืออีกทางหนึ่งคือการใช้ชีวิตราวกับว่าทุกสิ่งเป็นปาฏิหาริย์'
พระเยซูทรงตรัสว่า มีเพียงสองทางเท่านั้นในการใช้ชีวิต:มีเพียงสองเส้นทางเท่านั้น:มีเพียงทางเข้าสองทางเท่านั้น:มีเพียงสองจุดหมายปลายทางและเพียงคนอยู่สองกลุ่มเท่านั้น (ดู มัทธิว 7:13–14) ซึ่งในข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้ เราจะเห็นวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สดุดี 50:16-23
16แต่พระเจ้าตรัสกับคนอธรรมว่า
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาท่องกฎเกณฑ์ของเรา
หรือรับพันธสัญญาของเราด้วยปากของเจ้า?
17เพราะเจ้าเกลียดวินัย
และเจ้าเหวี่ยงคำของเราไว้ข้างหลังเจ้า
18เมื่อเจ้าเห็นขโมย เจ้าก็คบเขา
และเจ้าเข้าสังคมกับคนล่วงประเวณี
19“เจ้าปล่อยปากของเจ้าให้พูดชั่ว
และลิ้นของเจ้าปั้นการหลอกลวง
20เจ้านั่งพูดใส่ร้ายพี่น้องของเจ้า
เจ้านินทาเขา
21เจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็นิ่งเงียบ
เจ้าคิดว่าเราเป็นเหมือนเจ้า
แต่เราจะตำหนิเจ้า และกล่าวโทษเจ้า
22“เจ้าทั้งหลายผู้ลืมพระเจ้า จงพิจารณาเรื่องนี้
หาไม่ เราจะฉีก และจะไม่มีสักคนช่วยกู้เจ้าได้
23ผู้ถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา
เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้า
แก่ผู้จัดทางของตนอย่างถูกต้อง”
อรรถาธิบาย
ท่าทีทั้งสองที่มีต่อพระเจ้า: เกลียดชัง หรือ ถวายเกียรติ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มีเพียงสองท่าทีเท่านั้นที่มีต่อพระเจ้า เราสามารถให้เกียรติพระองค์หรือเราจะเกลียดพระองค์ เพราะพระเจ้าตรัสว่า 'ผู้ถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา' (ข้อ 23) พระองค์ทรงเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ที่ 'เกลียดวินัย' (ข้อ 17ก)
บรรดาผู้ที่ 'เกลียดชัง' พระเจ้าก็เพิกเฉยต่อพระองค์และ 'ลืมพระเจ้า' (ข้อ 22) ในศตวรรษที่ 20 เราได้เห็นถึงผลลัพธ์จากการกระทำของบรรดาผู้ที่ลืมพระเจ้าและเกลียดชังคำสั่งสอนของพระองค์
นักเขียนนวนิยายชาวรัสเซียท่านหนึ่ง ชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ โซซินนิสซิน (Alexander Solzhenitsyn) ได้พิจารณาถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ 'คร่าชีวิตชาวรัสเซียไปประมาณ 60 ล้านคน' เขาได้สังเกตเห็นว่าลักษณะสำคัญของคนในช่วงศตวรรษที่ 20 คือ 'พวกเขาหลงลืมพระเจ้า'
สิ่งนี้ไม่ได้นำไปใช้กับคนอื่นเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้ได้กับเราทุกคนด้วย คุณเคยพบหรือไม่ว่าบางครั้งอาจเป็นเพราะว่าทุกอย่างในชีวิตดูเหมือนจะไปได้ดี จนคุณลืมที่จะอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ หรือขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรทั้งหมดของพระองค์? ราวกับว่าคุณได้ลืมพระเจ้าไป? มีหลายครั้งในชีวิตของเราที่เราลืมพระเจ้าและทำสิ่งยุ่งเหยิงต่าง ๆมากมาย
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการลืมพระเจ้าคือชีวิตที่ถวายเกียรติพระองค์ เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการขอบพระคุณและการสรรเสริญ 'นั่นเป็นชีวิตที่ยกย่องเรา ทันทีที่เจ้าก้าวย่างบนทางนั้น เราจะสำแดงให้เห็นความรอดของเรา' (ข้อ 23 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ลูกา 22:39-62
คำอธิษฐานบนภูเขามะกอกเทศ
39พระองค์เสด็จออกไปที่ภูเขามะกอกเทศตามเคย และพวกสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป 40เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง” 41แล้วพระองค์เสด็จไปจากพวกเขาไกลเท่าระยะหินขว้าง และทรงคุกเข่าลงอธิษฐาน 42ว่า “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” 43[มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์ 44เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์ พระองค์ก็ยิ่งทรงอธิษฐานอย่างจริงจัง เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน] 45เมื่อทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐานแล้ว พระองค์เสด็จมาหาพวกสาวก พบว่าพวกเขาหลับไปด้วยความทุกข์โศกเศร้า 46พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “หลับอยู่ทำไม? จงลุกขึ้นอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง”
การทรยศและการจับกุมพระเยซู
47พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ นี่แน่ะ มีคนจำนวนมากและคนที่ชื่อยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนั้นนำหน้าพวกเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจูบพระองค์ 48แต่พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ยูดาส ท่านจะมอบบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ?” 49เมื่อพวกสาวกของพระองค์เห็นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกข้าพระองค์เอาดาบสู้ไหม?” 50คนหนึ่งในพวกสาวกฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูข้างขวาขาด 51แต่พระเยซูตรัสว่า “พอเสียทีเถอะ” แล้วพระองค์ทรงแตะต้องใบหูของคนนั้นและทรงรักษาเขา 52พระเยซูตรัสกับพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า “พวกท่านเห็นเราเป็นโจรหรือ ถึงได้ถือดาบถือตะบองออกมา? 53เวลาที่เราอยู่กับพวกท่านในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านไม่ยอมยื่นมือออกมาจับเรา อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเวลาของพวกท่าน และเป็นอำนาจของความมืด”
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
54พวกเขาก็จับพระองค์พาเข้าไปในบ้านของมหาปุโรหิต เปโตรติดตามพระองค์ไปห่างๆ 55เมื่อพวกเขาก่อไฟที่กลางลานบ้านและนั่งลงด้วยกันแล้ว เปโตรก็นั่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา 56มีสาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ในแสงไฟ จึงจ้องมองแล้วพูดว่า “คนนี้อยู่กับเขาด้วย” 57แต่เปโตรปฏิเสธว่า “หญิงเอ๋ย คนนั้นข้าไม่รู้จัก” 58สักครู่หนึ่งมีอีกคนหนึ่งเห็นเปโตร จึงพูดว่า “เจ้าเป็นคนของพวกนั้นด้วย” เปโตรจึงกล่าวว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ข้าไม่ได้เป็น” 59ต่อมาประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง มีอีกคนหนึ่งยืนยันอย่างมั่นใจว่า “ต้องใช่แน่ คนนี้อยู่กับเขาด้วย เพราะเป็นชาวกาลิลี” 60แต่เปโตรพูดว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ที่ท่านพูดนั้นข้าไม่รู้เรื่อง” เมื่อเปโตรกำลังพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 61องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหลียวดูเปโตร แล้วเปโตรก็ระลึกถึงคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับเขาว่า “วันนี้ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” 62แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ
อรรถาธิบาย
สองเส้นทางเลือกอันมาจาก: น้ำพระทัยที่มาจากพระเจ้า หรือ จากตัวคุณเอง
คุณเคยพบบ้างหรือไม่ว่าตัวคุณเองได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณก็รู้ว่าสิ่งไหนถูกต้องและควรทำ แต่คุณก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นมันยาก และต้องจ่ายราคาสูง? คุณเคยถูกล่อลวงให้เลือกใช้ทางออกง่าย ๆ บ้างหรือไม่?
ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นว่าพระเยซูผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ประการแรก พระองค์ทรงเผชิญความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน พระองค์ทรง 'คุกเข่าลงอธิษฐาน' (ข้อ 41) 'ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์' (ข้อ 42)
ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูได้ปรากฏให้เห็นผ่านความทุกข์ทรมาน และ 'เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน' (ข้อ 44) แม้จะมีความยากลำบาก พระองค์ก็ทรงเลือกพระประสงค์ของพระเจ้าเหนือพระองค์เองและ 'มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์' (ข้อ 43)
คุณจะไม่มีวันเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างที่พระเยซูต้องเผชิญ แต่จะมีบางครั้งในชีวิตของคุณที่พระเจ้าเรียกให้คุณเลือกน้ำพระทัยของพระองค์เหนือความต้องการของคุณเอง ในการเสียสละทุกอย่าง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จงทูลขอกำลังจากพระเจ้าที่จะเลือกน้ำพระทัยของพระองค์มากกว่าความต้องการของคุณเอง อย่างที่พระเยซูทรงทำ
ในทางกลับกันยูดาสเลือกทางของเขาเอง ด้วยจูบนั้นเขาได้ทรยศคนที่รักเขา เราเห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างพระเยซูกับยูดาส ด้านหนึ่ง ขณะที่พระเยซูทรงอธิษฐาน 'มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์และช่วยชูกำลังพระองค์' (ข้อ 43) ในทางกลับกัน เราเห็นว่าผลของการทรยศของยูดาส 'เป็นอำนาจของความมืด' (ข้อ 53) เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
ถ้าคุณรู้สึกเหมือนอย่างผมว่าคุณไม่มีทางเป็นเหมือนพระเยซูได้ แต่ก็ไม่อยากเป็นเหมือนยูดาส เปโตรได้ให้ความหวังแก่เรา เปโตรได้ทำผิดพลาดอย่างที่เราทุกคนทำ แต่พระเจ้ายังใช้เขา
ความผิดพลาดครั้งแรกของเปโตรคือการ 'ติดตามพระองค์ไปห่าง ๆ' (ข้อ 54) เมื่อมีผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูปรากฏขึ้น การทดลองใจก็คือการที่เราพยายามเว้นระยะห่างระหว่างเรากับพระองค์สักเล็กน้อย เพื่อจะไม่เอาตัวเราไปอยู่ใกล้ชิดพระองค์มากเกินไป ซึ่งในที่สุดการกระทำเช่นนี้ก็จะนำไปสู่การปฏิเสธพระองค์ (ข้อ 57–58, 60)
เมื่อพระเยซูทรงเหลียวดูเปโตร (ข้อ 61) เปโตรก็ระลึกถึงคำของพระองค์และ 'ร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ' (ข้อ 62) เปโตรก็ล้มเหลวไม่ต่างกับยูดาส แต่ทว่าอนาคตของเขาต่างจากยูดาสอย่างมาก พระเจ้ายังทรงใช้เปโตรต่อไป และอาจจะมากกว่าใคร ๆ ในประวัติศาสตร์คริสตจักรด้วย
ความแตกต่างระหว่างเปโตรกับยูดาสคือปฏิกิริยาต่อความล้มเหลว เปโตรสำนึกผิดและกลับใจ เขาจึงได้รับการให้อภัยและการฟื้นฟูจากพระเยซู (ดู ยอห์น 21) สิ่งนี้ทำให้เราทุกคนมีความหวัง ไม่ว่าเราจะเดินไปผิดทางมาไกลแค่ไหน ก็ไม่เคยสายเกินไปที่จะหันหลังกลับ หันกลับมาหาพระเยซู รับการอภัย และฟื้นฟูความสัมพันธ์
เราทุกคนก็เป็นเช่นเดียวกับเปโตร ความผิดพลาดในอดีตสามารถกลายเป็นพระพรในปัจจุบันได้ บททดสอบที่คุณเผชิญก็สามารถกลายเป็นคำพยานได้
คำอธิษฐาน
โยชูวา 5:13-7:26
นิมิตของโยชูวา
13เมื่อโยชูวาอยู่ข้างเมืองเยรีโคท่านได้เงยหน้าขึ้นมองดู นี่แน่ะ ชายคนหนึ่งชักดาบออกมาถือยืนอยู่ตรงหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายนั้น กล่าวแก่เขาว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรืออยู่ฝ่ายศัตรู?” 14ผู้นั้นจึงตอบว่า “ไม่ใช่ เรามาในฐานะจอมทัพของพระยาห์เวห์” ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการแล้วถามว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ท่านจะให้ผู้รับใช้ของท่านทำอะไร?” 15จอมทัพของพระยาห์เวห์จึงสั่งโยชูวาว่า “จงถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็ทำตาม
โยชูวา 6
เมืองเยรีโคถูกยึดและถูกทำลาย
1เพราะเหตุพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมืองเยรีโคจึงถูกปิดมิดชิดไม่ให้คนเข้าออก 2พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “ดูแน่ะ เราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือเจ้าแล้ว ทั้งกษัตริย์และพวกนักรบกล้าหาญ 3พวกเจ้าจงเดินขบวนรอบเมือง คือให้พวกทหารวนรอบเมืองครั้งหนึ่ง เจ้าจงทำเช่นนี้หกวัน 4ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันนำหน้าหีบ และในวันที่เจ็ดนั้นพวกเจ้าจงเดินรอบเมืองเจ็ดครั้ง ให้ปุโรหิตเป่าแตรไปด้วย 5และเมื่อเขาเป่าเขาแกะเป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไป ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน” 6โยชูวาบุตรนูนจึงเรียกปุโรหิตมาสั่งว่า “จงยกหีบพันธสัญญาขึ้นหามไป ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์” 7และท่านสั่งประชาชนว่า “จงออกเดินรอบเมืองนั้น ให้มีทหารถืออาวุธเดินข้างหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์”
8เมื่อโยชูวากล่าวแก่ประชาชนแล้ว ปุโรหิตเจ็ดคนที่ถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ก็เดินข้างหน้าเป่าแตรไป และมีหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ตามเขามา 9และทหารถืออาวุธเดินอยู่หน้าปุโรหิตผู้เป่าแตร และกองระวังหลังก็เดินตามหีบ ส่วนแตรนั้นก็เป่าอยู่เรื่อยไป 10แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “อย่าโห่ร้อง อย่าให้ใครได้ยินเสียงของท่าน อย่าให้ถ้อยคำหลุดออกจากปากของท่านเลย จนกว่าจะถึงวันที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านโห่ร้อง ท่านจึงโห่ร้องกัน” 11หีบแห่งพระยาห์เวห์จึงเวียนไปรอบเมือง คือเวียนรอบหนึ่งเที่ยวแล้วพวกเขาก็กลับเข้าค่าย นอนค้างคืนอยู่ในค่ายนั้น
12โยชูวาลุกขึ้นแต่เช้าและพวกปุโรหิตก็ยกหีบแห่งพระยาห์เวห์ขึ้นหาม 13และปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเดินหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์เป่าแตรเรื่อยไป และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองระวังหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระยาห์เวห์ ส่วนแตรก็เป่าเรื่อยไป 14และในวันที่สองเขาก็เดินรอบเมืองนั้นครั้งหนึ่งแล้วกลับเข้าค่ายอีก เขาทำเช่นนี้อยู่หกวัน
15ในวันที่เจ็ด พวกเขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินขบวนรอบเมืองอย่างเคยเจ็ดครั้ง เฉพาะวันเดียวนั้นเขาได้เดินขบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง 16ในครั้งที่เจ็ด เมื่อปุโรหิตเป่าแตร โยชูวาบอกประชาชนว่า “จงโห่ร้องขึ้นเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงมอบเมืองนั้นให้ท่านแล้ว 17เมืองนั้นและทุกสิ่งในเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำลายถวายแด่พระยาห์เวห์ เว้นแต่ราหับหญิงโสเภณีกับทุกคนที่อยู่ในบ้านของนางจะรอดชีวิต เพราะนางได้ซ่อนผู้สื่อสารที่พวกเราใช้ไป 18ส่วนพวกท่านจงตีตัวออกห่างจากสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น เกรงว่าท่านเองจะถูกทำลายเมื่อท่านเก็บสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้นไว้บ้าง และจะทำให้ค่ายของอิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องทำลายถวายไปด้วย นำมาซึ่งความทุกข์ยากลำบาก 19แต่เงินและทองทั้งหมด กับเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และเหล็ก เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระองค์” 20แล้วประชาชนก็โห่ร้อง และมีการเป่าแตร พอประชาชนได้ยินเสียงแตร เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมือง ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น 21แล้วพวกเขาก็ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองนั้นเสียสิ้นด้วยคมดาบ ทั้งชายและหญิง คนหนุ่มและคนอาวุโส ทั้งวัว แกะและลา
22โยชูวาจึงสั่งชายสองคนผู้ไปสอดแนมแผ่นดินนั้นว่า “จงเข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณี และนำหญิงนั้นกับทุกสิ่งซึ่งเป็นของนางออกมาดังที่ท่านได้สาบานต่อนางไว้” 23ดังนั้นชายหนุ่มที่เป็นผู้สอดแนมก็เข้าไปนำราหับออกมากับบิดามารดาและพี่น้องผู้ชายและทุกสิ่งซึ่งเป็นของนาง และเขานำญาติพี่น้องทั้งหมดของนางออกมาให้ไปพักอยู่นอกค่ายของอิสราเอล 24ส่วนเมืองนั้น พวกเขาก็จุดไฟเผาเสียรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองนั้น นอกจากเงินและทอง กับเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และด้วยเหล็กนั้น เขานำมาไว้ในคลังในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25ส่วนราหับหญิงโสเภณี และครอบครัวบิดาของนาง และทุกสิ่งซึ่งเป็นของนาง โยชูวาได้ไว้ชีวิต และนางก็อาศัยอยู่ในอิสราเอลจนทุกวันนี้ เพราะว่านางได้ซ่อนผู้สื่อสาร ซึ่งโยชูวาส่งไปสอดแนมเมืองเยรีโค
26คราวนั้นโยชูวาให้สาบานว่า
ใครที่พยายามสร้างเมืองนี้คือเยรีโคขึ้นใหม่
ก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
ผู้ใดวางรากลงก็ให้ผู้นั้นเสียบุตรหัวปี
ผู้ใดตั้งประตูเมืองขึ้นก็ให้เสียบุตรสุดท้อง
27ดังนั้นแหละพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับโยชูวา และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปตลอดแผ่นดิน
โยชูวา 7
บาปของอาคานและการลงโทษ
1แต่ประชาชนอิสราเอลได้ละเมิดในเรื่องสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น เพราะอาคานบุตรคารมี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศ-ราห์ เผ่ายูดาห์ ได้นำสิ่งที่ต้องทำลายถวายบางส่วนไปเป็นของตน พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่อประชาชนอิสราเอล
2โยชูวาให้คนออกจากเยรีโคไปยังเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธาเวนทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล บอกเขาว่า “จงขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองนั้น” คนเหล่านั้นก็ขึ้นไปและสอดแนมดูเมืองอัย 3และเขากลับมารายงานแก่โยชูวาว่า “ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไป ให้สักสองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ ไม่ต้องให้ประชาชนทั้งหมดปีนป่ายไปที่นั่นเลย เพราะเขามีคนน้อย” 4เพราะฉะนั้นจึงมีประชาชนขึ้นไปที่นั่นเพียง 3,000 คน แต่ต้องแตกหนีจากชาวเมืองอัย 5ฝ่ายชาวเมืองอัยก็ฆ่าฟันพวกเขาตายประมาณ 36 คน โดยขับไล่เขาจากประตูเมืองไปถึงเชบาริม ฆ่าเขาตามทางลง และจิตใจของประชาชนก็ละลายไปอย่างน้ำ
6ฝ่ายโยชูวาก็ฉีกเสื้อผ้าของตนซบหน้าลงถึงดิน หน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์จนถึงเวลาเย็น ทั้งท่านกับพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอล ต่างก็เอาผงคลีดินใส่ศีรษะของตน 7โยชูวากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ทำไมพระองค์จึงทรงนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อจะมอบพวกข้าพระองค์ไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายเสีย? พวกข้าพระองค์น่าจะพอใจอยู่เพียงฟากตะวันออกของจอร์แดน 8ข้าแต่องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะทูลอะไรได้เล่า เมื่ออิสราเอลหันหลังหนีศัตรูเสียแล้ว 9เพราะว่าคนคานาอันกับบรรดาชาวเมืองคงจะได้ยิน แล้วยกมาตั้งล้อมพวกข้าพระองค์ และลบชื่อของพวกข้าพระองค์เสียจากโลก และพระองค์จะทรงทำอะไรเพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์?”
10ฝ่ายพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ทำไมเจ้าจึงซบหน้าลงอย่างนี้เล่า? 11อิสราเอลได้ทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกสิ่งที่ต้องทำลายถวาย เขาได้ขโมยและหลอกลวง และได้เอาของนั้นรวมไว้กับข้าวของของตน 12เพราะฉะนั้นประชาชนอิสราเอลจึงยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของตนไม่ได้ ได้หันหลังหนีศัตรู เพราะพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ต้องทำลายถวาย เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะทำลายสิ่งที่ต้องทำลายถวายเหล่านั้นเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า 13จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสีย เพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งที่ต้องทำลายถวายอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูไม่ได้ จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น ออกเสียจากหมู่พวกเจ้า” 14พอรุ่งเช้าพวกท่านจงเข้ามาทีละเผ่า เผ่าใดที่พระยาห์เวห์ทรงจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระยาห์เวห์ทรงจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระยาห์เวห์ทรงจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละคน 15ใครถูกจับว่ามีสิ่งที่ต้องทำลายถวาย ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและทุกสิ่งที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และเพราะเขาได้ทำสิ่งที่น่าอายในอิสราเอล’ ”
16โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำประชาชนอิสราเอลเข้ามาทีละเผ่า และเผ่ายูดาห์ถูกจับไว้ 17จึงนำตระกูลในเผ่ายูดาห์เข้ามา และตระกูลเศ-ราห์ถูกจับไว้ แล้วจึงนำตระกูลเศ-ราห์มาทีละคนและศับดีถูกจับไว้ 18และนำครอบครัวของเขาเข้ามาทีละคน และคนที่ถูกจับไว้คืออาคานบุตรคารมี ผู้เป็นบุตรศับดีผู้เป็นบุตรเศ-ราห์ เผ่ายูดาห์ 19โยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลและถวายสรรเสริญแด่พระองค์ จงบอกข้าพเจ้ามาว่าท่านได้ทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าพเจ้าเลย” 20และอาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าได้ทำดังนี้ 21ท่ามกลางสิ่งของที่ริบมา ข้าพเจ้าเห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลนกับเงินสองกิโลกรัม และทองคำแท่งหนึ่งหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา นี่แน่ะ ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
22โยชูวาจึงส่งผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ นี่แน่ะ ของนั้นฝังอยู่ภายในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง 23เขาก็เอาออกมาจากเต็นท์นำไปให้โยชูวาและประชาชนอิสราเอลทั้งหมด แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 24และโยชูวากับอิสราเอลทั้งหมดจึงพาอาคานบุตรเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะ แกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดขึ้นไปยังหุบเขาอาโคร์ 25และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมท่านจึงนำความทุกข์ยากมาให้พวกเรา? พระยาห์เวห์จะทรงนำความทุกข์ยากมาถึงท่านในวันนี้” แล้วอิสราเอลทั้งหมดจึงเอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาพวกเขาด้วยไฟ และขว้างพวกเขาด้วยก้อนหิน 26แล้วเอาหินถมทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระยาห์เวห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้ เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์
อรรถาธิบาย
สองพื้นที่ให้เลือกยืน: บริสุทธิ์ หรือ ซ่อนเร้น
มีพื้นที่ใดในชีวิตของคุณที่คุณเก็บซ่อนไว้เพราะเป็นสถานที่แห่งบาปลับ ๆ บ้างไหม?
ในพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่ามีพื้นที่สองประเภทที่แตกต่างกัน เราเห็นโยชูวายืนอยู่บนที่ศักดิ์สิทธิ์ (5:15) ในทางกลับกัน เราเห็นอาคานยืนอยู่บนพื้นดินแห่งบาปที่ซ่อนเร้น (7:21–22)
ผู้ส่งสารของพระเจ้าปรากฏต่อโยชูวา ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือบุคคลที่สองของตรีเอกานุภาพ (พระเยซู) เราไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ 'โยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการ' (5:14) และถูกสั่งให้ 'ถอดรองเท้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์' (ข้อ 15)
มีหลายครั้งในชีวิตที่การทรงสถิตของพระเจ้าดูน่ายำเกรงมากจนเรารู้สึกว่าเรากำลังยืนอยู่บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่เราทำได้ก็คือการทรุดตัวลงกับพื้นและนมัสการ
พระเจ้าทรงประทานความสำเร็จแก่โยชูวา (6:1–26) 'พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับโยชูวา และชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปตลอดแผ่นดิน' (ข้อ 27) ความสำเร็จของเขาไม่ได้มาจากขนาดของกองทัพ พลังของอาวุธ หรือทักษะของเขาในฐานะผู้นำ แต่มาจากความเชื่อของเขาในพระเจ้า ซึ่งทำให้เขาดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระองค์
ในทำนองเดียวกันกับราหับหญิงโสเภณี ครอบครัวของเธอ และทุกคนที่เป็นของเธอก็รอดชีวิตเพราะความเชื่อของเธอ ซึ่งนำไปสู่การแสดงความเมตตาต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า (ข้อ 25)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ทั้งโยชูวาและราหับได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษแห่งความเชื่อ 'โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังลง…โดยความเชื่อ ราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ได้พินาศไปพร้อมกับพวกที่ไม่เชื่อฟัง' (ฮีบรู 11:30–31)
พระธรรมโยชูวาทำให้เกิดคำถามยาก ๆ มากมาย ซึ่งไม่ง่ายนักในการหาคำตอบ ในฐานะคริสเตียนเรายังคงต้องตระหนักถึงการอ่านผ่านมุมมองของพระเยซูและพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
พระธรรมฮีบรูได้แนะนำว่าแผ่นดินแห่งพันธสัญญาคือภาพของพระพรที่ได้รับเมื่อเชื่อฟัง นั่นคือโดยความเชื่อในพระเยซู 'เพราะหากโยชูวาให้พวกเขาเข้าสู่การหยุดพักนั้นแล้ว พระเจ้าก็คงไม่ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก ฉะนั้นจึงยังมีการหยุดพักสะบาโตสำหรับประชากรของพระเจ้า เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์แล้ว ก็ได้หยุดพักจากงานของตนเอง เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงหยุดพักจากพระราชกิจของพระองค์ เพราะฉะนั้น ขอให้เราพยายามเข้าสู่การหยุดพักนั้น เพื่อจะไม่มีคนหนึ่งคนใดพลาดไปทำตามอย่างคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น' (4:8–11)
เหตุการณ์หนึ่งของ 'การไม่เชื่อฟัง' ดังกล่าวมีให้เห็นในอาคาน ซึ่งความโลภทำให้เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและรับเงินและทอง ซึ่งในที่สุดเขายอมรับว่า 'ซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า' (โยชูวา 7:21) ผู้สื่อสารของโยชูวา 'วิ่งไปที่เต็นท์ นี่แน่ะ ของนั้นฝังอยู่ภายในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง' (ข้อ 22)
เราจำเป็นต้องตระหนักถึงอันตรายของการแบ่งส่วนในชีวิตของเรา เช่นเดียวกับเต็นท์ของอาคาน ทุกสิ่งดูภายนอกน่านับถือ แต่ภายใต้นั้นมีบาปที่ซ่อนอยู่ แม้ไม่มีใครสามารถมองเห็นความบาปที่ซ่อนอยู่ในชีวิตของเราได้ แต่พระเจ้าทรงมองเห็น
บาปของอาคานไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตัวเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อทั้งค่าย พระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์นั้นบริสุทธิ์เพื่อมอบถวายแด่พระองค์ (ข้อ 13) ความบาปและการไม่เชื่อฟังที่เกิดภายในค่ายส่งผลต่อความบริสุทธิ์ของพวกเขาทั้งหมด พระเจ้าตรัสว่า 'เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูไม่ได้ จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น ออกเสียจากหมู่พวกเจ้า' (ข้อ 13)
เป็นคำถามที่ดีที่จะถามว่า มีพื้นที่ไหนหรือไม่ในชีวิตที่ไม่ได้ถวายแด่พระเจ้า ซึ่งขัดขวางผมไม่ให้ได้รับพรและชัยชนะที่พระเจ้าต้องการมอบให้กับคนของพระองค์?
ผมเคยมีประสบการณ์ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเปิดเผยพื้นที่ที่ถูก 'ปิดซ่อน' ไว้ในชีวิตของผมซึ่งผมจำเป็นต้องจัดการมัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังคงต้องทำต่อไป
ข่าวดีสำหรับเราคือเราไม่ต้องกลัวการลงโทษจากบาปอย่างที่อาคานต้องเผชิญอีกต่อไป โดยทางพระเยซูไม่ว่าคุณจะทำผิดพลาดอะไรมา คุณก็ได้รับการอภัยและฟื้นฟู
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 22:46
'หลับอยู่ทำไม? จงลุกขึ้นอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง'
ฉันพบว่าการตื่นเช้าหรือนอนดึกเพื่ออธิษฐานไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันรู้สึกเห็นอกเห็นใจเหล่าสาวก พวกเขามีวันอันแสนยาวนาน และพระเยซูได้ทรงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แก่พวกเขา
คงจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลและสับสนมากสำหรับพวกเขา 'พวกเขาหลับไปด้วยความทุกข์โศกเศร้า' (ข้อ 45) พวกเขาคงจะผิดหวังกับตัวเองมากที่ปล่อยให้เพื่อน อาจารย์ และพระเจ้าของพวกเขาผิดหวัง
ฉันเข้าใจการปฏิเสธของเปโตร บางครั้งความกลัวก็สามารถมีชัยชนะ นั่นคือเหตุผลที่การเปลี่ยนแปลงของเปโตรซึ่งน่าทึ่งมาก ตั้งแต่คนขี้ขลาดไปจนถึงผู้นำที่กล้าหาญ ถ้าพระเจ้าเปลี่ยนเปโตรได้ พระองค์ก็เปลี่ยนฉันได้เช่นกัน
ข้อพระคำประจำวัน
ลูกา 22:42
'…อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์'

App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)