วัน 113

พระหัตถ์อันทรงคุณของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 50:1-15
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 22:1-38
พันธสัญญาเดิม โยชูวา 3:1-5:12

เกริ่นนำ

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็เป็นเหมือนสถานการณ์ที่เข้ามาเพื่อทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ พันธุกรรม สภาพอากาศ การศึกษา และรัฐบริหาร ทุกสิ่งเหล่านี้เราได้มีประสบการณ์ล้วน ‘เกิดขึ้นกับเรา’ ในไวยากรณ์ภาษากรีก สิ่งเหล่านี้ถูกใช้อยู่ในรูปของ ‘การถูกกระทำ (passive voice)’ อย่างไรก็ตาม เรายังเป็นผู้ที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น เมื่อผมเริ่มลงมือทำบางสิ่ง สิ่งนี้จะถูกแสดงออกมาในรูปของ ‘การเป็นผู้กระทำ (active voice)’

แต่ในไวยากรณ์ภาษากรีกยังมี a third voice หรือ ‘middle voice’ ด้วย ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ เมื่อมีการใช้ middle voice นั่นหมายความว่า ผมกำลังได้ผลจากการกระทำด้วย

คำอธิษฐานของคริสเตียนถูกใช้ในรูปแบบของ ‘middle voice’ และไม่สามารถใช้ active voice (การเป็นผู้กระทำ) กับการอธิษฐานได้ เพราะผมเองก็ไม่ใช่ผู้ที่ควบคุมผลของคำอธิษฐานนั้น แต่ผมกำลังอยู่ในพระเมตตาตามน้ำพระทัยและความดีงามของพระเจ้า ในการอธิษฐานของคริสเตียน ยูจีน ปีเตอร์สัน กล่าวไว้ว่า ‘ผมเข้ามาสู่การกระทำที่เริ่มต้นโดยผู้อื่น นั่นคือพระเจ้าผู้ทรงสร้างและผู้ทรงไถ่ของผม และผมก็พบว่าตัวผมเองได้มีส่วนร่วมในผลลัพธ์ของการกระทำ [ที่ทรงคุณ] ของพระองค์’

ในแง่หนึ่ง ชีวิตทั้งหมดของคริสเตียนคือการอธิษฐาน เรายินดีรับพระหัตถ์อันทรงคุณของพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตของเรา และเรามีส่วนร่วมในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในโลกนี้ พระเจ้าทรงวางคุณในแผนการของพระองค์ แน่นอนว่าพระองค์สามารถกระทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์เอง แต่พระเจ้าก็ทรงเลือกคุณ พระองค์ทรงให้เสรีภาพแก่คุณ แต่พระองค์ก็ยังทรงควบคุมอยู่

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 50:1-15

เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงยอมรับ

เพลงสดุดีของอาสาฟ

1พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสและทรงเรียกแผ่นดินโลก
 ตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก
2พระเจ้าทรงทอแสงออกมา
 จากศิโยนนครแห่งความงามพร้อมสรรพ
3พระเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์มิได้ทรงเงียบอยู่
 เพลิงเผาผลาญมาข้างหน้าพระองค์
 และรอบพระองค์มีพายุพัดรุนแรง
4พระองค์ทรงเรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบน
 และแผ่นดินโลก เพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์ว่า
5“จงรวบรวมผู้จงรักภักดีของเรามาให้เรา
 ผู้ทำพันธสัญญากับเราด้วยเครื่องสัตวบูชา”
6ฟ้าสวรรค์ประกาศความชอบธรรมของพระองค์
 เพราะพระเจ้านั่นแหละทรงเป็นผู้พิพากษา
7“ประชากรของเราเอ๋ย จงฟัง และเราจะพูด
 อิสราเอลเอ๋ย เราจะทักท้วงเจ้า
 เราเป็นพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8เรามิได้ตำหนิเจ้าเรื่องเครื่องสัตวบูชาของเจ้า
 เครื่องบูชาเผาทั้งตัวของเจ้ามีอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
9เราจะไม่รับวัวผู้จากเรือนของเจ้า
 หรือแพะผู้จากคอกของเจ้า
10เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา
 ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด
11เรารู้จักนกแห่งขุนเขา
 และสัตว์ในท้องทุ่งเป็นของเรา
12“ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
 เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา
13เรากินเนื้อวัวผู้หรือ?
 เราดื่มเลือดแพะหรือ?
14จงถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณแด่พระเจ้า
 และแก้บนของเจ้าต่อองค์ผู้สูงสุด
15และจงร้องทูลเราในวันยากลำบาก
 เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายเกียรติแก่เรา”

อรรถาธิบาย

พระเจ้าจะทรงช่วยคุณ

ด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับผู้คนนับล้านทั่วโลก แล้วคุณล่ะ? คุณกำลังประสบปัญหาในชีวิตอยู่หรือไม่? คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณหรือสุขภาพของคนที่คุณรักอยู่หรือไม่? หรือมีสถานการณ์ที่ตึงเครียดในที่ทำงาน? ความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก? ความท้าทายทางการเงิน? พระเจ้ายังทรงผดุงทุกสรรพสิ่งของพระองค์อยู่ ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสและทรงเรียกแผ่นดินโลกตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศตะวันตก’ (ข้อ 1)

พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง เราอาจต่อสู้ดิ้นรนเพื่อบางสิ่งในชีวิต เพื่อทรัพย์สินเงินทอง แต่ในท้ายที่สุด พระเจ้าก็เป็นเจ้าของทั้งหมด ‘เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด’ (ข้อ 10)

พระองค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ ‘ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา’ (ข้อ 12)

อย่างไรก็ตาม ด้วยพระเมตตาของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงให้คุณได้มีส่วนร่วม

  1. ขอบคุณพระเจ้า
    ‘จงถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณแด่พระเจ้า’ (ข้อ 14ก)

  2. ร้องทูลต่อพระเจ้า
    จงร้องทูลเราในวันยากลำบาก’ (ข้อ 15ก)

  3. ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
    ‘เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายเกียรติแก่เรา’ (ข้อ 15ข)

ผมได้กลับมาทบทวนอยู่หลายครั้งในพระธรรมสดุดี 50:15 ผมร้องทูลต่อพระเจ้าในวันยากลำบาก และก็น่าอัศจรรย์มากเมื่อผมได้มองย้อนกลับไปและพบว่าพระเจ้าทรงปลดปล่อยผมหลายต่อหลายครั้งด้วยพระหัตถ์อันทรงคุณของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับการตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์ ข้าแต่พระเจ้าเวลานี้ขอพระองค์ทรงปลดปล่อยข้าพระองค์อีกครั้ง…
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 22:1-38

แผนการประหารพระเยซู

 1เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าปัสกามาใกล้แล้ว 2พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์กำลังหาช่องทางว่าจะฆ่าพระเยซูอย่างไร เพราะพวกเขากลัวประชาชน
 3ซาตานเข้าดลใจยูดาสที่เรียกว่าอิสคาริโอทซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน 4ยูดาสไปปรึกษากับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกนายทหารรักษาพระวิหารว่าจะมอบพระองค์ให้กับพวกเขาด้วยวิธีใด 5พวกเขาดีใจและสัญญากับยูดาสว่าจะให้เงิน 6ยูดาสจึงยอมตกลง และคอยหาโอกาสเหมาะที่จะมอบพระองค์ให้กับเขาทั้งหลายเมื่อปลอดคน

การเตรียมปัสกา

 7พอถึงวันกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาต้องฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกา 8พระองค์ทรงใช้เปโตรและยอห์นไป สั่งเขาว่า “จงไปจัดเตรียมปัสกาให้พวกเรารับประทาน” 9พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์จัดเตรียมที่ไหน?” 10พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “นี่แน่ะเมื่อเข้าไปในกรุงแล้ว จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบ คนนั้นจะเข้าไปในบ้านไหน ก็จงตามเข้าไปในบ้านนั้น 11และจงพูดกับเจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ให้ถามท่านว่า “ห้องที่เราจะรับประทานปัสกากับพวกสาวกของเรานั้นอยู่ที่ไหน?” ’ 12เจ้าของบ้านจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด” 13เขาทั้งสองจึงไปและพบเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสกับเขา แล้วก็จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม

การทรงตั้งพิธีมหาสนิท

 14เมื่อถึงเวลา พระองค์ประทับลงและเสวยพร้อมกับพวกอัครทูต 15พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เรามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะรับประทานปัสกานี้กับท่านก่อนที่เราจะต้องทนทุกข์ 16เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกานั้นในแผ่นดินของพระเจ้า” 17พระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม 18เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมา” 19พระองค์ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงหักส่งให้พวกเขา ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเรา [ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” 20เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยและทรงทำเหมือนกันตรัสว่า “ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา] 21แต่มือของผู้ที่จะทรยศเราก็อยู่กับเราบนโต๊ะนี้ 22เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปเหมือนที่ทรงดำริไว้แต่ก่อนแล้ว แต่วิบัติแก่คนนั้นที่ทรยศท่าน” 23พวกเขาจึงเริ่มถามกันและกันว่าคนไหนในพวกเขาที่จะทำสิ่งนี้

การโต้เถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่

 24มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่ 25พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือเขาทั้งหลาย และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าบุญนายคุณ 26แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ 27ใครเป็นใหญ่กว่ากัน ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? ผู้ที่นั่งรับประทานไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ
 28“ท่านทั้งหลายเป็นคนที่อยู่กับเราในเวลาที่เราถูกทดลอง 29พระบิดาทรงจัดเตรียมและทรงมอบอาณาจักรให้แก่เราอย่างไร เราก็จัดเตรียมและมอบให้แก่ท่านเหมือนกัน 30เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้กินและดื่มที่โต๊ะของเราในอาณาจักรของเรา และท่านจะได้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาอิสราเอลสิบสองเผ่า

การทรงพยากรณ์ถึงเรื่องที่เปโตรจะปฏิเสธ

 31“ซีโมน ซีโมนเอ๋ย นี่แน่ะ ซาตานขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี 32แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” 33เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ ถึงจะต้องติดคุกหรือตายก็ดี” 34พระองค์ตรัสว่า “เปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”

ถุงเงิน ย่ามและดาบ

 35พระองค์จึงตรัสถามพวกสาวกว่า “เมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่มีถุงเงินหรือย่ามหรือรองเท้านั้น ท่านขาดอะไรบ้างไหม?” พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่ขาดเลย” 36พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “แต่ตอนนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วย มีย่ามก็ให้เอาไปเหมือนกัน และคนที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ 37เราบอกท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่เขียนไว้แล้วจะต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม’ เพราะว่าสิ่งที่เล็งถึงเรานั้นกำลังจะสำเร็จแล้ว” 38พวกเขาทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า นี่แน่ะ มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พอแล้ว”

อรรถาธิบาย

คำอธิษฐานของคุณสร้างความแตกต่าง

บางครั้งคุณถูกล่อลวงให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นหรือไม่?

เป็นที่หนุนใจเราว่าสิ่งที่เหล่าสาวกของพระเยซูทำก็ไม่ต่างจากเรา พวกเขาโต้เถียงกันว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่ที่สุด (ข้อ 24) การเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่นเป็นการทดลองของตัวเราอยู่เสมอ สิ่งนี้นำไปสู่ความภาคภูมิใจ (ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ดีกว่า) หรือความอิจฉาริษยาและความรู้สึกไม่มั่นคง (เมื่อคิดว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ)

พระเยซูทรงชี้ให้เราเห็นว่าคุณค่าของแผ่นดินพระเจ้านั้นต่างจากของโลกอย่างสิ้นเชิง ‘เหล่ากษัตริย์ต่าง​ก็ใช้อำนาจ และ​ผู้​มี​อำนาจ​ก็ชอบยกยอในตำแหน่งของตน แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น คนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก คนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ…เราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ’ (ข้อ 25–27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อพิจารณาในการกระทำของแต่ละบุคคล เราก็พบว่าเป็นอีกครั้งที่พระคัมภีร์ได้สอนเราเกี่ยวกับการกำหนดไว้ล่วงหน้า (พระเจ้าได้ทรงวางแผนการทุกอย่างไว้แล้ว) และเสรีภาพในการตัดสินใจ สิ่งนี้เป็นความลึกลับที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ และมนุษย์ต่างก็สงสัยและพยายามหาทางอธิบาย ซึ่งเราจะยกตัวอย่างสามบุคคลมาพิจารณาร่วมกัน

  1. ยูดาส
    เราเห็นคำอธิบายว่าซาตานทำงานอย่างไร ไม่มีใครรอดพ้นจากการล่อลวง ยูดาสเป็นหนึ่งในสิบสองคนที่พระเยซูทรงเลือกไว้ แต่ซาตานก็ยังเข้ามาดลใจเขา (ข้อ 3)

พระเยซูทรงตรัสว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทราบล่วงหน้าและถูกกำหนดไว้แล้ว ‘เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปเหมือนที่ทรงดำริไว้แต่ก่อนแล้ว’ (ข้อ 22ก) แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุการณ์นั้นเป็นที่รู้ล่วงหน้าและถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ยูดาสพ้นจากความรับผิดชอบ ‘แต่วิบัติแก่คนนั้นที่ทรยศท่าน’ (ข้อ 22ข)

ความขัดแย้งคือแม้ว่า ‘มันถูกกำหนดไว้แล้ว’ แต่ยูดาสก็เป็นเช่นผู้เล่นอิสระ ซึ่ง ‘เจตจำนง’ ของยูดาสก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อยูดาสรับเงินเพื่อให้ทรยศพระเยซู ยูดาสก็ ‘ยอมตกลง และคอยหาโอกาสเหมาะที่จะมอบพระองค์ให้กับเขาทั้งหลายเมื่อปลอดคน’ (ข้อ 6)

  1. ซีโมน เปโตร
    เป็นซาตานเช่นเดียวกับที่เข้าดลใจยูดาส (ข้อ 3) ซาตานต้องการจะฝัดร่อนเปโตร ‘เหมือนฝัดข้าวสาลี’ (ข้อ 31)

เปโตรมั่นใจมากว่าจะไม่ทำให้พระเยซูผิดหวัง ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ ถึงจะต้องติดคุกหรือตายก็ดี’ (ข้อ 33) พระเยซูทรงทราบดีว่าเปโตรจะล้มลง ‘พระองค์ตรัสว่าเปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง’(ข้อ 34)

แต่ในที่สุดความเชื่อของเขาก็ไม่ล้มเหลว พระเยซูตรัสว่า ‘แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด’ (ข้อ 32) นี่แสดงให้เห็นว่าท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างการทรงกำหนดไว้แล้วกับการมีเสรีภาพในการตัดสินใจ การอธิษฐานกลับช่วยสร้างความแตกต่างได้ แต่เพราะสาเหตุใดหรือเกิดขึ้นได้อย่างนั้นเราไม่มีทางเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานนั้นมีความสำคัญ คำอธิษฐานของคุณสร้างความแตกต่างได้

  1. พระเยซู
    จากการดำเนินชีวิตและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เราได้เห็นสิ่งที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วกับเสรีภาพในการตัดสินใจ พระเยซูทรงตรัสว่า ‘เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปเหมือนที่ทรงดำริไว้แต่ก่อนแล้ว’ (ข้อ 22ก) พระองค์ทรงตรัสว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่เขียนไว้แล้วจะต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า “ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม” เพราะว่าสิ่งที่เล็งถึงเรานั้นกำลังจะสำเร็จแล้ว’ (ข้อ 37) ไม่มีคำกล่าวใดที่หนักแน่นไปกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ถูกกำหนดล่วงหน้า ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า ถึงกระนั้นพระเยซูก็เต็มใจที่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเลือกที่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงมอบพระกายของพระองค์เพื่อเรา (ข้อ 19)

เราเห็นความสมดุลระหว่างส่วนของพระเจ้ากับส่วนของเรา เราระลึกถึงเหตุการณ์นั้นทุกครั้งที่เรารับพิธีมหาสนิท พระเยซูตรัสว่า ‘นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย...ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา’ (ข้อ 19-20) การยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรานั้นส่วนที่ยากมาก แต่ส่วนของเรานั้นง่าย ‘จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา’ (ข้อ 19)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ขอบพระคุณการยอมเสียสละพระกาย และพระโลหิตของพระองค์เพื่อข้าพระองค์ ขอบพระคุณพระหัตถ์อันทรงคุณของพระองค์ในชีวิตของข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

โยชูวา 3:1-5:12

อิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดน

 1โยชูวาตื่นแต่เช้า ทั้งตัวท่านและประชาชนอิสราเอลทั้งหมดยกออกจากชิทธีมมาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาพักอยู่ที่นั่นก่อนจะข้ามไป 2ต่อมาอีกสามวัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ไปทั่วค่าย 3แล้วบัญชาประชาชนว่า “เมื่อท่านเห็นหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเห็นคนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิตหามไป ก็ให้ยกออกจากที่ของท่านตามหีบนั้นไป 4เพื่อพวกท่านจะได้รู้จักทางที่จะไป เพราะท่านยังไม่เคยไปทางนี้มาก่อน ทิ้งระยะระหว่างท่านและหีบให้ห่างประมาณหนึ่งกิโลเมตร อย่าเข้าไปใกล้หีบนั้น” 5โยชูวากล่าวแก่ประชาชนว่า “จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพราะว่าพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน” 6โยชูวาสั่งพวกปุโรหิตว่า “จงหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน” พวกเขาก็หามหีบพันธสัญญาเดินไปข้างหน้าประชาชน
 7พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้เราจะเริ่มให้เจ้าเป็นใหญ่ ในสายตาของอิสราเอลทั้งสิ้น เพื่อเขาจะได้ทราบว่า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น 8และเจ้าจงสั่งปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อพวกท่านมาถึงริมแม่น้ำจอร์แดน จงหยุดยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน’ ” 9และโยชูวากล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า “จงมาที่นี่ และฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน” 10และโยชูวากล่าวว่า “โดยเหตุนี้พวกท่านจะได้ทราบว่า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ประทับอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย และพระองค์จะทรงขับไล่คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนฮีไวต์ คนเปริสซี คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ และคนเยบุสให้พ้นหน้าท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน 11นี่แน่ะ หีบพันธสัญญาขององค์เจ้านายแห่งสากลพิภพจะผ่านไปข้างหน้าท่าน ลงไปในแม่น้ำจอร์แดน 12ดังนั้นตอนนี้จงเลือกคนสิบสองคนออกจากเผ่าอิสราเอล เผ่าละคน 13และเมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายแห่งสากลพิภพ จะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในจอร์แดนจะแยกออก คือน้ำที่ไหลมาจากข้างบนจะตั้งขึ้นเป็นกองเดียว”
 14ดังนั้นเมื่อประชาชนยกจากเต็นท์ของพวกเขา เพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน และพวกปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน 15แม่น้ำจอร์แดนนั้นขึ้นท่วมฝั่งทั้งสายตลอดฤดูเกี่ยวข้าว เมื่อคนหามหีบมาถึงจอร์แดนและเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบจุ่มลงที่ริมน้ำแล้ว 16น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุด และตั้งสูงขึ้นเป็นกองเดียวไกลออกไปถึงเมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆ เมืองศาเรธานและน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งอาราบาห์ คือทะเลตายนั้นก็ขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค 17และปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ยืนมั่นอยู่บนดินแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน คนอิสราเอลทั้งหมดก็เดินข้ามไปบนดินแห้ง จนทั้งชนชาติข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปหมด

โยชูวา 4

ศิลาสิบสองก้อนซึ่งถูกตั้งไว้ที่กิลกาล

 1เมื่อชนชาตินั้นได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนหมดแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโยชูวาว่า 2“จงเลือกคนสิบสองคนจากประชาชนเผ่าละคน 3และบัญชาเขาว่า ‘จงเอาศิลาสิบสองก้อนจากที่นี่ที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่เท้าของปุโรหิตยืนมั่นอยู่นั้น ขนมาวางไว้ในที่ซึ่งพวกท่านจะนอนในคืนวันนี้’ ” 4แล้วโยชูวาจึงเรียกคนสิบสองคน ซึ่งท่านแต่งตั้งจากประชาชนอิสราเอลมาเผ่าละคน 5โยชูวาสั่งเขาว่า “จงผ่านไปข้างหน้าหีบของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านลงไปกลางแม่น้ำจอร์แดน แล้วแบกศิลาใส่บ่ามาคนละก้อนตามจำนวนเผ่าคนอิสราเอล 6เพื่อสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญท่ามกลางพวกท่าน เมื่อลูกหลานของท่านจะถามในเวลาต่อมาว่า ‘ศิลาเหล่านี้มีความหมายอะไรสำหรับท่าน?’ 7แล้วท่านจงตอบว่า “น้ำที่จอร์แดนแยกจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ เมื่อหีบนั้นข้ามจอร์แดน น้ำก็แยกจากกัน ศิลาเหล่านี้จะเป็นอนุสรณ์เป็นนิตย์แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”
 8ประชาชนอิสราเอลก็ทำตามที่โยชูวาบัญชา และขนศิลาสิบสองก้อนมาจากกลางจอร์แดน ตามจำนวนเผ่าประชาชนอิสราเอล ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโยชูวา และเขาก็แบกมายังที่ซึ่งเขาพักอยู่ วางไว้ที่นั่น 9และโยชูวาได้ตั้งศิลาสิบสองก้อนไว้กลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่เท้าของปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญายืนอยู่ และศิลาเหล่านั้นก็ยังอยู่จนทุกวันนี้ 10เพราะปุโรหิตผู้หามหีบนั้นได้ยืนอยู่ที่กลางจอร์แดน จนกว่าทุกสิ่งจะสำเร็จตามซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโยชูวาให้บอกประชาชน ตามที่โมเสสได้บัญชาโยชูวาไว้ทุกประการ
 แล้วประชาชนก็รีบข้ามไป 11เมื่อประชาชนข้ามไปหมดแล้ว หีบของพระยาห์เวห์และพวกปุโรหิตก็ข้ามไปต่อหน้าประชาชน 12คนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าถืออาวุธข้ามไปต่อหน้าประชาชนอิสราเอล ตามที่โมเสสได้สั่งเขาไว้ 13มีคนถืออาวุธพร้อมที่จะเข้าสงครามประมาณ 40,000 คน ได้ข้ามไปเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อไปทำศึกถึงที่ราบเมืองเยรีโค 14ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงยกย่องโยชูวาต่อหน้าอิสราเอลทั้งหมด เขาทั้งหลายก็ยำเกรงท่าน ดังที่เขาเคยยำเกรงโมเสสตลอดชีวิตของท่าน
 15พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า 16“จงบัญชาพวกปุโรหิตผู้หามหีบแห่งสักขีพยานให้ขึ้นมาจากจอร์แดน” 17โยชูวาจึงบัญชาปุโรหิตว่า “จงขึ้นมาจากจอร์แดนเถิด” 18แล้วพวกปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ก็ขึ้นมาจากกลางจอร์แดน เมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตยกขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำในจอร์แดนก็ไหลกลับมายังที่เก่าจนท่วมฝั่งทั้งหมดอย่างเดิม
 19ประชาชนได้ขึ้นจากจอร์แดนในวันที่สิบเดือนที่หนึ่ง ไปตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาลริมเขตเมืองเยรีโคข้างทิศตะวันออก 20และศิลาสิบสองก้อนซึ่งเขานำออกมาจากจอร์แดนนั้น โยชูวาก็ได้ตั้งไว้ที่กิลกาล 21ท่านจึงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า “เวลาภายหน้าเมื่อลูกหลานจะถามบิดาของเขาว่า ‘ศิลาเหล่านี้มีความหมายอะไร?’ 22แล้วท่านจงตอบให้ลูกหลานทราบว่า ‘อิสราเอลได้ข้ามจอร์แดนนี้บนดินแห้ง’ 23เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงทำให้แม่น้ำจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าท่าน จนท่านข้ามไปได้หมด ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำต่อทะเลแดง ทรงทำให้แห้งเพื่อพวกเรา จนเราข้ามไปหมด 24เพื่อชนชาติทั้งสิ้นทั่วพิภพจะได้ทราบว่า พระหัตถ์พระยาห์เวห์นั้นทรงฤทธิ์ เพื่อพวกท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นนิตย์”

โยชูวา 5

คนรุ่นใหม่เข้าสุหนัต

 1เมื่อกษัตริย์ทั้งหมดของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากตะวันตกของจอร์แดน และกษัตริย์ทั้งหมดของคนคานาอันซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้ยินว่าพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้น้ำในจอร์แดนแห้งไปต่อหน้าประชาชนอิสราเอล ให้เขาข้ามฟากไปได้ พวกเขาก็ใจเสียไม่มีกำลังใจในตัวอีกต่อไปที่จะเผชิญหน้าประชาชนอิสราเอล 2คราวนั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงทำมีดด้วยหินคมและให้ประชาชนอิสราเอลเข้าสุหนัตเป็นครั้งที่สอง” 3โยชูวาจึงทำมีดหินและให้ประชาชนอิสราเอลเข้าสุหนัตที่กิเบอัธหะอาราโลท 4นี่คือสาเหตุซึ่งโยชูวาให้เขาเข้าสุหนัต ในบรรดาประชาชนผู้ออกมาจากอียิปต์ ผู้ชายทุกคนคือทหารทั้งหมดสิ้นชีวิตเสียตามทางในถิ่นทุรกันดาร หลังจากที่ออกจากอียิปต์ 5แม้ว่าประชาชนผู้ออกมาเหล่านั้นได้เข้าสุหนัตหมดทุกคนแล้ว แต่ประชาชนที่เกิดมาใหม่ตามทางในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ออกมาจากอียิปต์นั้นยังไม่ได้เข้าสุหนัต 6เพราะว่าคนอิสราเอลเดินทาง 40 ปีในถิ่นทุรกันดารจนชนชาติทั้งสิ้น คือพวกทหารที่ออกมาจากอียิปต์สิ้นชีวิตทั้งหมด เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณกับเขาว่า พระองค์จะไม่ทรงยอมให้เขาเห็นแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ได้ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของเขาว่าจะประทานแก่เราทั้งหลาย เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 7แต่บรรดาบุตรของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงให้มาแทนเขานั้น โยชูวาก็ให้เข้าสุหนัตเพราะเขายังไม่ได้เข้าสุหนัต เนื่องจากเขาไม่เคยให้เข้าสุหนัตเมื่อมาตามทาง
 8เมื่อได้ให้ชนชาติทั้งหมดเข้าสุหนัตแล้ว พวกเขาก็พักอยู่ในค่ายจนกว่าจะหายเป็นปกติ 9พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้เราได้กลิ้งความอดสูเพราะอียิปต์ไปให้พ้นเจ้าแล้ว” จึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่ากิลกาลจนทุกวันนี้

พิธีปัสกาที่กิลกาล

 10ประชาชนอิสราเอลได้ตั้งค่ายที่กิลกาล และถือเทศกาลปัสกา ในวันที่สิบสี่เวลาเย็น ณ ที่ราบเมืองเยรีโค 11วันรุ่งขึ้นหลังวันเทศกาลปัสกา วันนั้นเองพวกเขาก็รับประทานผลจากแผ่นดิน คือขนมปังไร้เชื้อและข้าวคั่ว 12ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไป คือเมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดิน ประชาชนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดินคานาอัน

อรรถาธิบาย

พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

คุณรู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับคุณ? และหากพระเจ้าสถิตอยู่กับคุณ คุณก็สามารถเผชิญกับความท้าทายทั้งหมดที่รออยู่ข้างหน้าได้ พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า ‘เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น’ (3:7)

เป็นอีกครั้งที่เราเห็นความสมดุลระหว่างส่วนของเรากับส่วนของพระเจ้า

  1. เตรียมตัวให้พร้อม
    พระเจ้ากระทำการอัศจรรย์เพื่อประชากรของพระองค์ แต่พวกเขาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วย โยชูว่าบอกให้พวกเขาเตรียมตัว ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพราะว่าพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน’ (3:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พวกเขายังได้รับมอบหมายงานในการเลือกบางคนให้มีบทบาทเฉพาะในการเตรียมตัวสำหรับการข้ามแม่น้ำจอร์แดน (4:1–4)

  1. การจัดเตรียมของพระเจ้า
    เราเห็นพระหัตถ์อันทรงคุณของพระเจ้าอีกครั้ง พระเจ้าทรงกระทำ ‘การอัศจรรย์’ (3:5) หนึ่งในสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้คือการข้ามแม่น้ำจอร์แดน (โยชูวา 3)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะยกชูโยชูวา (ข้อ 7) โยชูวาไม่ได้ยกย่องตนเอง แต่ ‘ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงยกย่องโยชูวาต่อหน้าอิสราเอลทั้งหมด’ (4:14)

พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นไว้สำหรับพวกเขา ‘ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไป คือเมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดิน ประชาชนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดินคานาอัน’ (5:12) พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้พวกเขาอย่างเพียงพอ

สิ่งนี้นำพวกเขาออกจากความรู้สึกมั่นคงทางวัตถุ การพึ่งพาตัวเอง และการไม่ไว้วางใจพระเจ้า ความมั่นคงปลอดภัยและความไว้วางใจของคุณต้องอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมให้คุณอย่างเพียงพอเสมอ

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมีแผนการเพื่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอมอบถวายชีวิตต่อพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในข้าพระองค์ และจะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 22:24

ในพระธรรมตอนนี้ชี้ไปถึง ‘ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ที่กำลังจะมา ขณะที่เหล่าสาวกต่างพากันแย่งชิงอำนาจ ดูเหมือนว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมเลย พระเยซูจึงต้องให้คำแนะนำกับพวกเขา

ในเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครในพวกเขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งนี้กลับให้ความหวังแก่พวกเราทุกคน

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 50:15

‘... และจงร้องทูลเราในวันยากลำบาก
เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายเกียรติแก่เรา’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม