วัน 112

คำพูดของคุณนั้นมีพลัง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 10:11-20
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 21:5-38
พันธสัญญาเดิม โยชูวา 1:1-2:24

เกริ่นนำ

ผลกระทบของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ในศตวรรษที่ 20 นั้นยากที่จะพูดให้เกินจริงได้ เชอร์ชิลล์เป็นนักพูด และนักเขียนระดับปรมาจารย์ ดังนั้นเขารู้จักพลังของคำพูดเป็นอย่างดี มาร์ติน กิลเบิร์ต ผู้เขียนอัตชีวประวัติ ของเชอร์ชิลล์ ได้เขียนหนังสือชื่อ เชอร์ชิลล์ พลังแห่งคำพูด (Churchill: The Power of Words) ซึ่งคำพูด ของเชอร์ชิลล์นั้นถูกถ่ายทอดออกมาในทำนองที่ไม่ว่าจะเป็นผู้นำและนักการเมืองที่ใช้ภาษาอังกฤษคนไหนก็ไม่สามารถทำสำเร็จนับแต่นั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับเราทุกคน คำพูดนั้นทรงพลัง คำพูดของคุณนั้นมีพลัง ด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนและหนุนใจ มันอาจเปลี่ยนแปลงทั้งวันของใครบางคนได้ หรือบางทีอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของพวกเขาไปเลยก็ได้

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 10:11-20

11ปากของคนชอบธรรมเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
 แต่ปากของคนอธรรมซ่อนความโหดร้าย
12ความเกลียดชังเร้าให้เกิดการวิวาท
 แต่ความรักให้อภัยการละเมิดทุกอย่าง
13ที่ปากของผู้มีความเข้าใจจะพบปัญญา
 แต่ไม้เรียวก็เหมาะแก่หลังของผู้ไม่มีสามัญสำนึก
14คนมีปัญญาย่อมสะสมความรู้ไว้
 แต่ปากของคนโง่นำความหายนะมาใกล้
15ทรัพย์สมบัติของคนมั่งคั่งเป็นเมืองเข้มแข็งของเขา
 แต่ความยากจนของคนจนเป็นความหายนะของเขา
16ค่าจ้างของคนชอบธรรมคือชีวิต
 แต่ค่าตอบแทนของคนอธรรมคือการลงโทษ
17คนที่สนใจคำสั่งสอนก็อยู่ในวิถีแห่งชีวิต
 แต่คนที่ปฏิเสธคำตักเตือนก็หลงเจิ่นไป
18ผู้ที่ซ่อนความเกลียดชังไว้ก็มีปากมุสา
 และคนที่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นก็เป็นคนโง่
19พูดมากคำย่อมทำบาปได้
 แต่คนที่ยับยั้งปากของตนก็เป็นคนฉลาด
20ลิ้นของคนชอบธรรมคือเงินเนื้อดี
 ความคิดของคนอธรรมมีค่าน้อย

อรรถาธิบาย

พูดด้วยถ้อยคำแห่งความรัก

คำพูดของคุณนั้นมีพลังนำมาซึ่งพระพรอันยิ่งใหญ่ ‘ปากของคนดีนั้นลึกซึ้งและให้ชีวิตที่ดี’ (ข้อ 11ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่คำพูดก็สามารถนำมาซึ่งการทำร้ายได้มากเช่นกัน ‘ปากของคนชั่วร้ายเป็นถ้ำแห่งการล่วงละเมิด’ (ข้อ 11ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำพูดนั้นมีพลังที่จะทำลายความสัมพันธ์ได้ ‘ความเกลียดชังเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้’ (ข้อ 12ก, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในทางกลับกัน คำพูดก็มีพลังในการรักษาความสัมพันธ์ด้วย ‘แต่ความรักให้อภัยการละเมิดทุกอย่าง’ (ข้อ 12ข) ‘ความรักก็ปกคลุมเหนือการทะเลาะวิวาท’ (ข้อ 12ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

การควบคุมลิ้นเป็นสิ่งสำคัญ ‘พูดมากคำย่อมทำบาปได้ แต่คนที่ยับยั้งปากของตนก็เป็นคนฉลาด’ (ข้อ 19) อับราฮัม ลินคอล์นกล่าวว่า ‘เป็นการดีหากเราเงียบแล้วปล่อยให้คนอื่นคิดว่าเรานั้นโง่เขลา ดีกว่าปริปากออกไปแล้วข้อสงสัยนั้นกระจ่าง!’

ตลอดพระธรรมตอนนี้ ผู้เขียนสุภาษิตเปรียบเทียบ 'ปากของคนโง่' (ข้อ 14ข) กับ ‘ปากของคนชอบธรรม’ (ข้อ 11ก) คนหนึ่งพูดถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง (ข้อ 12ก) อีกคนหนึ่งพูดถ้อยคำแห่งความรัก (ข้อ 12ข) และปัญญา (ข้อ 13)

ถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง (ข้อ 12ก) นำไปสู่ความโหดร้าย (ข้อ 11ข) การวิวาท (ข้อ 12ก) ความหายนะ (ข้อ 14ข) และการใส่ร้ายป้ายสี (ข้อ 18ข)

ถ้อยคำแห่งความรัก (ข้อ 12ข) เป็นน้ำพุแห่งชีวิต (ข้อ 11ก) ให้อภัย ‘การละเมิดทุกอย่าง’ (ข้อ 12ข) และเป็น ‘เงินเนื้อดี’ (ข้อ 20ก) ถ้ามีคนมาทำให้คุณรู้สึกขุ่นเคืองใจ ก็อย่าตอบแทนด้วยความขุ่นเคือง ว่ากันว่าความแค้นก็เหมือนปล่อยให้ใครซักคนอยู่ในหัวโดยไม่มีค่าเช่า ในทางกลับกัน ให้เราตอบแทนความ เกลียดชังด้วยความรัก พูดถึงอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่ดีแม้ว่าจะอยู่ลับหลังเขา และคุณอาจพบว่าความรักสามารถ ยุติการทะเลาะวิวาทและเยียวยาความสัมพันธ์ได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์ควบคุมลิ้นได้ เพื่อจะพูดแต่ถ้อยคำแห่งความรักและชีวิต ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้ตอบสนองการร้ายด้วยถ้อยคำแห่งความรัก
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 21:5-38

การทรงพยากรณ์ถึงการทำลายพระวิหาร

 5เมื่อบางคนพูดชมพระวิหารว่าตกแต่งไว้ด้วยศิลางามและด้วยของถวายต่างๆ พระองค์จึงตรัสว่า 6“สิ่งเหล่านี้ที่พวกท่านเห็นจะมีสักวันหนึ่งที่จะไม่มีก้อนหินซ้อนทับกันแม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด”

หมายสำคัญและการข่มเหง

 7พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์พวกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? อะไรเป็นหมายสำคัญว่าใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว?” 8พระองค์จึงตรัสว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงท่านให้หลง เพราะว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราบอกว่า ‘เราเป็นผู้นั้น’ และบอกว่า ‘เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว’ อย่าตามพวกเขาไปเลย 9เมื่อพวกท่านได้ยินเรื่องสงครามและการจลาจล อย่าตื่นตกใจ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่วันสิ้นยุคจะยังไม่มาถึงทันที”
 10แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ประชาชาติกับประชาชาติและอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน 11ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ การกันดารอาหาร และโรคระบาดในที่ต่างๆ และจะเกิดความน่าสะพรึงกลัวและหมายสำคัญใหญ่ๆ จากฟ้าสวรรค์ 12แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น เขาทั้งหลายจะจับพวกท่านไว้ และจะข่มเหงและจะส่งมอบตัวท่านไปยังธรรมศาลาและคุก และจะพาท่านไปอยู่ต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมือง เพราะพวกท่านเห็นแก่นามของเรา 13สิ่งนี้จะเกิดกับพวกท่านเพื่อที่ท่านจะได้เป็นพยาน 14เพราะฉะนั้นท่านจะต้องจดจำไว้ว่า ไม่ต้องเตรียมก่อนว่าจะแก้คดีอย่างไร 15เพราะว่าเราจะให้คำพูดและปัญญาแก่ท่าน ซึ่งพวกศัตรูของท่านทั้งหลายจะต่อต้านและคัดค้านไม่ได้ 16แม้แต่บิดามารดา ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็จะมอบตัวพวกท่านไว้ และพวกเขาจะฆ่าพวกท่านบางคน 17ทุกคนจะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา 18แต่ผมสักเส้นหนึ่งของท่านก็จะไม่เสียไป 19พวกท่านจะได้ชีวิตรอดโดยความทรหดอดทนของท่าน

การทรงพยากรณ์เรื่อง กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย

 20“เมื่อพวกท่านเห็นกองทัพมาโอบล้อมกรุงเยรูซาเล็ม จงรู้ว่าวิบัติของเมืองนั้นใกล้เข้ามาแล้ว 21เวลานั้นให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปบนภูเขา และคนที่อยู่ในเมืองให้ออกจากที่นั่น และคนที่อยู่นอกเมืองอย่าให้เข้ามาในเมือง 22เพราะว่าเวลานั้นเป็นวันแห่งการลงโทษ เพื่อจะให้สิ่งสารพัดที่เขียนไว้นั้นสำเร็จ 23ในวันเหล่านั้น วิบัติแก่หญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่ เพราะว่าจะมีความทุกข์ร้อนใหญ่หลวงบนแผ่นดิน และพระพิโรธจะตกแก่ชนชาตินี้ 24พวกเขาจะล้มลงด้วยคมดาบและจะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยของทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน

การเสด็จมาของบุตรมนุษย์

 25“จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งหลาย และบนแผ่นดินนั้น ชาติต่างๆ ก็จะมีความทุกข์ร้อนและความฉงนสนเท่ห์ เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น 26มนุษย์จะสลบไสลไปเพราะความกลัว เนื่องจากสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะว่าบรรดาสิ่งที่มีฤทธานุภาพในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน 27และเมื่อนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมีอันยิ่งใหญ่ 28เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มจะเกิดขึ้นนั้น จงลุกขึ้นยืนและผงกศีรษะขึ้น เพราะว่าการไถ่ตัวพวกท่านใกล้จะมาถึงแล้ว”

บทเรียนจากต้นมะเดื่อ

 29พระองค์ตรัสอุปมาแก่พวกเขาว่า “จงดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด 30เมื่อผลิใบพวกท่านก็เห็นด้วยตัวเองและรู้อยู่ว่า ฤดูร้อนใกล้จะมาถึงแล้วเป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้เริ่มออกใบในปาเลสไตน์เพราะมีฝนตก 31เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าแผ่นดินของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว 32เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น 33ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายเลย

คำเตือนให้ระวัง

 34“จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่คาดฝัน 35เหมือนอย่างกับดัก เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก 36แต่จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะมีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้”
 37พระองค์ทรงสั่งสอนในบริเวณพระวิหารในเวลากลางวัน และในเวลากลางคืนพระองค์เสด็จออกไปประทับบนภูเขาที่ชื่อมะกอกเทศ 38ประชาชนทุกคนก็มาหาพระองค์ในบริเวณพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อจะฟังพระองค์

อรรถาธิบาย

การพูดด้วยถ้อยคำที่พระเยซูประทานให้

พระเยซูไม่ได้มีปริญญาหรือผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการใด ๆ ถึงแม้ว่าพระองค์จะรู้พระคัมภีร์ทั้งหมด แต่พระองค์ก็ไม่ได้จบจากวิทยาลัยศาสนศาสตร์ แต่ทว่าคำตรัสและการใช้ภาษาของพระองค์เกี่ยวกับพระเจ้า นั้นมีฤทธิ์เดชมาก ในวัยสามสิบต้น ๆ พระองค์สามารถสอนในพระวิหารทุกวัน และดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก

พระวจนะของพระเยซูเป็นพระคำที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ‘พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งวันในการสอนใน พระวิหาร... ทุกคนตื่นแต่เช้าเพื่อมาที่พระวิหารและฟังพระองค์’ (ข้อ 37–38, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระวจนะของพระเยซูนั้นเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงเปรียบเทียบถ้อยคำของพระองค์กับสิ่งชั่วคราวที่เหล่าสาวก สามารถมองเห็นได้รอบตัวพวกเขา พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงความพินาศของพระวิหารที่กำลังจะเกิดขึ้น (ข้อ 5–6) และกรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 8 เป็นต้นไป) ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70 พระองค์ตรัสว่า ‘ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายเลย’ (ข้อ 24,33) ในสองพันปีต่อมาผู้คนทั่วโลกต่างได้รับอิทธิพลจาก พระวจนะของพระเยซูมากขึ้นเรื่อย ๆ

คำสอนของพระเยซูเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เรามีความก้าวหน้า อย่างมากในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ทว่าในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถปรับปรุงคำสอนด้านศีลธรรมของพระเยซูได้เลย คำสอนเหล่านั้นเป็นถ้อยคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นถ้อยคำที่คุณคาดหวังให้พระเจ้าตรัสกับคุณ

พระเยซูเตือนเกี่ยวกับคำล่อลวง พระองค์ตรัสว่า ‘ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงท่านให้หลง เพราะว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราบอกว่า “เราเป็นผู้นั้น” และบอกว่า “เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว” อย่าตามพวกเขาไป เลย’ (ข้อ 8)

พระเยซูสั่งให้เรารักทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งศัตรู พระองค์ทรงเตือนเราว่าถึงแม้เราจะรักทุกคนแต่ ‘ทุกคนจะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา’ (ข้อ 17)

ถ้าคุณถูกข่มเหง คุณต้องมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะเป็น ‘พยาน’ (ข้อ 13) ในโอกาสเหล่านี้ พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะฉะนั้นท่านจะต้องจดจำไว้ว่า ไม่ต้องเตรียมก่อนว่าจะแก้คดีอย่างไร เพราะว่าเราจะให้คำพูด และปัญญาแก่ท่าน ซึ่งพวกศัตรูของท่านทั้งหลายจะต่อต้านและคัดค้านไม่ได้’ (ข้อ 14–15) พระวจนะของ พระเยซูไม่เพียงแต่ทรงพลังเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสัญญาว่าจะให้ถ้อยคำที่ทรงพลังแก่ปากของคุณด้วย

ภาษาส่วนใหญ่ที่พระเยซูใช้คือภาษาแห่งรัก และเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ มันจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับหัวใจ และชีวิตการอธิษฐานของคุณ พระองค์ทรงตรัสว่า ‘แต่จงระวังให้ดี อย่าปล่อยให้ความคิดที่หลักแหลมของคุณ ถูกทำให้มัวหมองด้วยการเสเพล การดื่ม และการเที่ยวเล่น’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่า ‘ห่วงกังวลถึงชีวิตนี้’ (ข้อ 34) ‘จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐาน…’ (ข้อ 36)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดประทานถ้อยคำและสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ในทุกเวลา ขอทรงโปรดช่วย ข้าพระองค์ให้พัฒนาภาษาแห่งรัก และการอธิษฐาน และพูดถ้อยคำที่ทรงพลังในพระนามของพระองค์
พันธสัญญาเดิม

โยชูวา 1:1-2:24

พระบัญชาของพระเจ้าต่อโยชูวา

 1ต่อมาหลังจากที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์สิ้นชีวิตแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาบุตรนูนผู้ช่วยโมเสสว่า 2“โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว บัดนี้เจ้าและชนชาตินี้ทั้งหมดจงลุกขึ้นข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ ไปยังแผ่นดินซึ่งเรายกให้พวกเขา คือประชาชนอิสราเอล 3ทุกๆ แห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้พวกเจ้าดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส 4ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนนี้จนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของคนฮิตไทต์ ถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก จะเป็นอาณาเขตของเจ้า 5ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า 6จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะทำให้ชนชาตินี้ได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดก ซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้เขา 7เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหันเหจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวาหรือทางซ้าย เพื่อเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดีในทุกแห่งที่เจ้าไป 8อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างจากปากของเจ้า แต่จงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะทำตามข้อความทุกประการที่เขียนไว้นั้น แล้วเจ้าจะมีความเจริญ และประสบความสำเร็จ 9เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป”

การเตรียมบุกเข้าแผ่นดิน

 10แล้วโยชูวาบัญชาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดของประชาชนว่า 11“จงไปในค่ายสั่งประชาชนว่า ‘จงเตรียมเสบียงอาหารไว้ เพราะว่าภายในสามวันพวกท่านจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ เพื่อเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้พวกท่านยึดครอง’ ”
 12แล้วโยชูวาพูดกับคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าว่า 13“จงจำคำที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์บัญชาพวกท่านไว้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงจัดที่พักให้ท่าน และจะประทานแผ่นดินนี้แก่ท่าน’ 14ภรรยา ลูกเล็ก และฝูงปศุสัตว์ของพวกท่านจะอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แต่พวกนักรบกล้าหาญในพวกท่านต้องถืออาวุธข้ามไปเป็นทัพหน้าเพื่อช่วยพี่น้องของตน 15จนกว่าพระยาห์เวห์จะประทานที่พักแก่พี่น้องของท่านดังที่ประทานแก่ท่าน ทั้งให้เขาได้ยึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่เขา แล้วท่านจึงจะกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านยึดครองและถือไว้เป็นกรรมสิทธิ์ คือแผ่นดินซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้ให้แก่พวกท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นทางทิศตะวันออก” 16เขาทั้งหลายจึงตอบโยชูวาว่า “ทุกสิ่งซึ่งท่านบัญชาพวกเรา เราจะทำตาม และทุกแห่งที่ท่านจะส่งพวกเราไป เราจะไป 17เราเชื่อฟังโมเสสทุกเรื่องอย่างไร เราจะเชื่อฟังท่านอย่างนั้น ขอเพียงว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตกับท่านดังที่พระองค์ได้สถิตกับโมเสส 18ใครขัดขืนคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังถ้อยคำของท่านไม่ว่าท่านจะบัญชาเขาอย่างไร คนนั้นจะต้องตาย เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด”

โยชูวา 2

ส่งผู้สอดแนมไปยังเมืองเยรีโค

 1ต่อมาโยชูวาบุตรนูนส่งชายสองคนจากเมืองชิทธีมเป็นการลับไปสอดแนม กล่าวว่า “จงไปตรวจดูแผ่นดินนั้น โดยเฉพาะเมืองเยรีโค” เขาทั้งสองก็ไป เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีคนหนึ่งชื่อราหับ และพักอยู่ที่นั่น 2มีคนทูลกษัตริย์แห่งเยรีโคว่า “นี่แน่ะ มีชายอิสราเอลบางคนเข้ามาคืนนี้ เพื่อจะสอดแนมดูแผ่นดิน” 3กษัตริย์แห่งเยรีโคจึงใช้คนไปสั่งราหับว่า “จงส่งคนเหล่านั้นซึ่งมาหาเจ้าในบ้านของเจ้าออกมาให้เรา เพราะพวกเขามาเพื่อจะสอดแนมดูทั่วแผ่นดินนี้” 4แต่หญิงนั้นได้ซ่อนชายทั้งสองเสียแล้วจึงกล่าวว่า “มีผู้ชายมาหาข้าพเจ้าจริง แต่พวกเขามาจากไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ 5เมื่อจะปิดประตูเมืองในเวลาพลบค่ำ คนเหล่านั้นก็ออกไปแล้ว เขาไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ จงรีบตามเขาไปเถิด คงทันเขา” 6แต่หญิงนั้นได้พาคนทั้งสองขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วซ่อนตัวเขาไว้ใต้ต้นป่านซึ่งวางเรียงกันตากไว้บนดาดฟ้านั้น 7พวกผู้ชายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วพวกเขาก็ปิดประตูเมือง
 8เมื่อชายทั้งสองคนยังไม่นอน หญิงนั้นก็ขึ้นไปหาพวกเขาบนดาดฟ้า 9กล่าวแก่ชายเหล่านั้นว่า “ดิฉันทราบแล้วว่า พระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินนี้แก่พวกท่าน ความกลัวพวกท่านครอบงำเรา และบรรดาชาวแผ่นดินก็หวาดกลัวพวกท่าน 10เพราะพวกเราได้ยินเรื่องที่พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทะเลแดงแปลจากฉบับกรีกแห้งไปต่อหน้าท่าน เมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้ทำต่อกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งพวกท่านได้ทำลายเสีย 11เพราะเรื่องท่านนี้แหละ พอพวกเราได้ยินข่าวนี้ เราก็ใจเสีย ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง 12บัดนี้ขอท่านสาบานให้ดิฉันในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ในเมื่อดิฉันได้แสดงความเมตตาต่อท่านแล้ว ท่านจะแสดงความเมตตาต่อครอบครัวของดิฉันด้วย และให้มีหมายสำคัญอันแน่นอนต่อกัน 13และขอไว้ชีวิตบิดามารดา พี่น้องชายหญิง และทุกคนที่เป็นของวงศ์ญาตินี้” 14ชายนั้นจึงตอบนางว่า “ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าไม่เปิดเผยภารกิจนี้ของเรากับใคร เราจะมีความเมตตาและซื่อสัตย์ต่อเจ้า เมื่อพระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินนี้แก่เรา”
 15แล้วนางจึงเอาเชือกหย่อนเขาทั้งสองลงทางหน้าต่าง เพราะบ้านของนางตั้งอยู่ที่กำแพงเมือง นางอาศัยอยู่ในกำแพง 16นางจึงบอกพวกเขาว่า “จงไปที่ภูเขา เพื่อไม่ให้ผู้ไล่ตามพบเข้า จงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสามวันจนกว่าผู้ไล่ตามจะกลับ แล้วค่อยออกเดินทางต่อไป” 17ชายเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “เราจะไม่ให้ผิดคำสาบานซึ่งเจ้าได้ให้เราสาบานนั้น 18นี่แน่ะ เมื่อเรายกเข้ามาในแผ่นดินนี้ เจ้าจงเอาเชือกด้ายแดงนี้ผูกไว้ที่หน้าต่าง ซึ่งเจ้าหย่อนเราลงไปนั้น และเจ้าจงรวบรวมบิดามารดา พี่น้อง และทุกคนในครอบครัวของบิดาเข้ามาไว้ในบ้าน 19ใครก็ตามที่ออกไปที่ถนนนอกประตูบ้าน หากเขาตาย ก็เป็นความรับผิดชอบของเขาเองแปลตรงตัวว่า โลหิตของเขาจะตกบนศีรษะของเขาเอง ฝ่ายเราไม่มีความผิด แต่ถ้ามีใครยกมือขึ้นทำร้ายคนที่อยู่กับเจ้าในบ้าน ที่เขาตายนั้นเราจะรับผิด 20แต่ถ้าเจ้าเปิดเผยภารกิจของเรา เราก็พ้นจากคำสาบานซึ่งเจ้าให้เราสาบานไว้นั้น” 21นางจึงกล่าวว่า “ให้เป็นไปตามคำของท่านเถิด” แล้วนางก็ส่งคนทั้งสองนั้นไป เขาก็ไป นางจึงเอาเชือกด้ายแดงผูกไว้ที่หน้าต่าง
 22พวกเขาออกไปแล้วมาถึงภูเขา พักอยู่ที่นั่นสามวัน จนผู้ไล่ตามกลับ เพราะได้ค้นหาอยู่ตลอดทางก็ไม่พบ 23ชายทั้งสองจึงกลับไปและลงจากภูเขา ข้ามไปหาโยชูวาบุตรนูน แล้วเล่าทุกสิ่งซึ่งเกิดแก่ตนให้ฟัง 24และเขากล่าวแก่โยชูวาว่า “พระยาห์เวห์ทรงมอบแผ่นดินทั้งหมดไว้ในมือเราแน่นอนแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกชาวเมืองทุกคนในแผ่นดินนี้ ก็หวาดกลัวต่อหน้าเรา”

อรรถาธิบาย

พูดด้วยพระวจนะของพระเจ้า

โยชูวาได้สืบทอดหน้าที่ต่อจากโมเสส โมเสสถูกอธิบายว่าเป็น ‘ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์’ (1:1) และโยชูวาได้รับ ตำแหน่งเดียวกันนี้จากพระเจ้า เป็นตำแหน่งของบรรดาผู้เผยพระวจนะ (อาโมส 3:7) เปาโล (โรม 1:1) และพระเยซูเอง (อิสยาห์ 52:13) การเป็น 'ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์' เป็นพระพรที่คริสเตียนทุกคนได้รับ แต่พระพรทุกประการที่พระเจ้าทรงประทานให้คุณจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และจงรับผิดชอบอย่าง จริงจัง

โยชูวาต้องให้ความสนใจพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเป็นพิเศษ (โยชูวา 1:7) เขาต้องเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านั้น (ข้อ 7) สั่งสอนด้วยถ้อยคำเหล่านั้น (ข้อ 8ก) ตรึกตรองถ้อยคำเหล่านั้นทั้งกลางวันและกลางคืน (ข้อ 8ข) และทำตาม ทุกประการ (ข้อ 8ข) จงเติมเต็มความคิดของคุณด้วยความจริงของพระเจ้าแม้ยามคุณตื่นขึ้นในยามค่ำคืน สิ่งนี้จะส่งผลต่อความคิดของคุณ ความคิดของคุณจะเป็นความคิดที่เต็มไปด้วยความจริง เสรีภาพ ความรัก ชัยชนะ และสันติสุข พระเจ้ายังทรงเน้นเรื่องนี้โดยตรัสกับโยชูวาโดยตรง (ข้อ 1) ทรงหนุนใจ และเสริมกำลังเขาด้วยพระสัญญาสำคัญสองประการ

ประการแรก พระสัญญาเรื่องสันติสุขของพระเจ้า: ‘ทุก ๆ แห่งที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยก ให้พวกเจ้า’ (ข้อ 3) ‘ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า’ (ข้อ 5ก) ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของ ท่านทรงจัดที่พักให้ท่าน’ (ข้อ 13) สำหรับเราในเวลานี้การได้หยุดพักนั้นมาจากพระเยซู การได้หยุดพักไม่ใช่แค่การหยุดนิ่งและผ่อนคลาย แต่ยังเป็นการช่วยขจัดปัญหาของคุณด้วย และเป็นการได้สัมผัสถึงความสงบและปลอดภัยในอัตลักษณ์ของคุณเอง เพราะคุณรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า ‘เพราะหากโยชูวาให้พวกเขาเข้าสู่การหยุดพักนั้นแล้ว พระเจ้าก็คงไม่ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก’ (ฮีบรู 4:8) และ ‘วันนั้น’ เป็นวันที่เป็นไปได้โดยทางพระเยซู ดังที่พระเยซูเองทรงสัญญาว่า ‘บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก’ (มัทธิว 11:28)

ประการที่สอง มีคำสัญญาเกี่ยวกับการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว: ‘เราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า’ (โยชูวา 1:5ข) สิ่งนี้นำมาซึ่งกำลังและความกล้าหาญ ‘อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย’ (ข้อ 9ข) พระเจ้าไม่ได้บอกเราว่าอย่ารู้สึกกลัว แต่พระองค์บอกเราว่าอย่ายอมแพ้ อย่าให้ความกลัวนั้นมาขโมยพระพรที่พระเจ้าต้องการให้คุณ พระองค์ตรัสต่อไปว่า ‘เพราะว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป’ (ข้อ 9ข)

นับเป็นอีกครั้งที่คุณได้มีประสบการณ์กับคำสัญญาผ่านทางพระเยซู โดยการทำงานของพระวิญญาณ คำพูดสุดท้ายของพระเยซูก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์คือ ‘เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค’ (มัทธิว 28:20)

เมื่อโยชูวาอยู่ภายใต้อำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า ถ้อยคำของเขาเองจึงมีพลังและสิทธิอำนาจ เขาทั้ง หลายจึงตอบโยชูวาว่า ‘ทุกสิ่งซึ่งท่านบัญชาพวกเรา…เราเชื่อฟังโมเสสทุกเรื่องอย่างไร เราจะเชื่อฟังท่าน อย่างนั้น’ (โยชูวา 1:16–17) ถ้าคุณได้ยินและกล่าวพระวจนะของพระเจ้า ‘คำพูดของคุณ’ (ข้อ 18) ก็จะเป็น เช่นเดียวกับของโยชูวา จะเป็นคำพูดที่ทรงพลัง

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรนำไปสู่ความเอาจริงเอาจัง ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เติบโต และความชอบธรรม พระธรรมตอนนี้ ปิดท้ายด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงใช้หญิงโสเภณีชื่อราหับ พระเจ้าทรงเลือกใช้คนบาป, โสเภณี, เพื่อเป็นบรรพบุรุษของพระเยซู (มัทธิว 1:5) และวีรบุรุษแห่งความเชื่อ (ฮีบรู 11:31) เป็นเหตุการณ์ที่หนุนใจ เราไม่ให้จมอยู่กับอดีต ดังที่จอยซ์ ไมเยอร์กล่าวไว้ว่า ‘เราทุกคนล้วนมีอดีต ไม่ว่าอดีตของคุณจะแย่แค่ไหน คุณก็สามารถผ่านไปได้ พระเจ้าสามารถให้การเริ่มต้นใหม่แก่คุณ พระองค์สามารถใช้คุณอย่างมากมายและ มอบอนาคตแก่คุณ’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้ใคร่ครวญพระคำของพระองค์ในทุก ๆ วัน ขอที่ข้าพระองค์จะเชื่อฟัง กระทำตาม และส่งต่อพระวจนะของพระองค์ไปสู่ผู้คนด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

โยชูวา 1:6-9

พระธรรมตอนนี้มีความหมายกับฉันอย่างมาก ‘จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด’ ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (ฉันไม่ใช่คนที่แข็งแรงในด้านกายภาพ ฉันไม่สามารถยกของหนักๆได้!) เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ฉันอาจถูกล่อลวงให้หลบหรือวิ่งหนีจากมัน ฉันพบว่าการหนุนใจซ้ำ ๆ ว่า ‘จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด’ เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นฉัน

ข้อพระคำประจำวัน

โยชูวา1:9

‘เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม