วัน 110

ห้าวิธีที่พระเจ้าทรงนำคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 48:9-14
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 19:45-20:26
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 31:30-32:52

เกริ่นนำ

พระเจ้าทรงออกแบบคุณโดยมีพระประสงค์ในใจ พระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์ทรงกำหนดทางแห่งชีวิตที่เฉพาะเจาะจง ไม่เหมือนใคร และรุ่งโรจน์สำหรับคุณ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงนำคุณ

พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีสำหรับคุณนั้นยิ่งใหญ่กว่าความผิดพลาดของคุณ ผมทำสิ่งผิดพลาดมากมายในชีวิต แต่พระเจ้าทรงไม่หยุดที่จะนำผม

เมื่อเราเดินทางโดยรถยนต์เราใช้จีพีเอส เมื่อเราเลี้ยวไปผิดทาง มันจะหาเส้นทางใหม่ให้เรา แต่มันไม่เคยยอมแพ้จนกว่าเราจะไปถึงจุดหมายปลายทาง คุณสามารถที่จะไม่สนใจหรือปิดมันก็ได้ แต่ถ้าคุณทำตาม จะทำให้การเดินทางของคุณสนุกสนานและมีสันติสุขมากยิ่งขึ้น ในที่สุดมันจะบอกว่า ‘คุณได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว’

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบที่สมบูรณ์แบบ พระเจ้าไม่ใช่เครื่องจักรแต่เป็นบุคคลผู้ซึ่งอยู่กับเราตลอดการเดินทาง พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสื่อสารกับคุณและทรงสัญญาว่าจะทรงนำคุณ

มี 5 วิธีหลักที่พระเจ้าทรงนำเรา CS ทั้งห้า (The five CSs):

  • ผ่านคำสั่งในพระคัมภีร์ (Commanding Scripture)
  • ผ่านการทรงนำของพระวิญญาณ (Compelling Spirit)
  • ผ่านคำปรึกษาของธรรมิกชน (Counsel of the Saints)
  • ผ่านสามัญสำนึก (Common Sense)
  • ผ่านหมายสำคัญ (Circumstantial Signs)

ข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้ในแต่ละข้อ อย่างแรกเราจะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ทั่วไปเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงนำเรา และจากนั้นเราจะได้เห็นตัวอย่างเฉพาะสำหรับแต่ละอันเหล่านี้ของ ‘CS ทั้งห้า’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 48:9-14

9ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายไตร่ตรองถึงความรักมั่นคงของพระองค์
 เมื่ออยู่กลางพระวิหารของพระองค์
10ข้าแต่พระเจ้า พระนามของพระองค์ไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกฉันใด
 คำสรรเสริญพระองค์ก็ไปถึงฉันนั้น
 พระหัตถ์ขวาของพระองค์เต็มไปด้วยความชอบธรรม
11ขอภูเขาศิโยนจงยินดี
 ขอธิดาแห่งยูดาห์จงเปรมปรีดิ์
 เนื่องจากการพิพากษาของพระองค์
12จงเดินรอบศิโยน ไปให้รอบเถิด จงนับหอคอยของศิโยน
13จงพิจารณาเชิงเทินของศิโยนให้ดี จงตรวจตราป้อมของศิโยน
 เพื่อท่านจะได้บอกคนรุ่นหลังว่า
14นี่คือพระเจ้า
 ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิตย์นิรันดร์
 พระองค์จะทรงนำเราจนถึงที่สุด

อรรถาธิบาย

พระสัญญาแห่งการทรงนำ

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงนำทางเราไปตลอดชีวิตของเรา: ‘พระองค์จะทรงนำเราจนถึงที่สุด’ (ข้อ 14) แต่คุณจะได้รับการทรงนำนี้ได้อย่างไร?

เคล็ดลับก็คือการมีสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับพระเจ้า สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการใช้เวลาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในการใคร่ครวญถึง ‘ความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 9)

  1. คำปรึกษาของธรรมิกชน การให้คำแนะนำไม่ใช่กิจกรรมของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้กล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายไตร่ตรองถึงความรักมั่นคงของพระองค์ เมื่ออยู่กลางพระวิหารของพระองค์’ (ข้อ 9) พระวิหารคือสถานที่ที่ประชาชนของพระเจ้ามารวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า เราได้รับคำแนะนำในบริบทของชุมนุมชนด้วยตัวของเราเอง บางครั้งเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ผิดพลาดได้ (สุภาษิต 12:15) พระเจ้าสามารถตรัสกับคนอื่น ๆ และตรัสกับเราด้วย และเป็นเรื่องชาญฉลาดที่จะแสวงหาการทรงนำในการตัดสินใจครั้งสำคัญเสมอ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระสัญญาของพระองค์ว่าจะทรงนำข้าพระองค์ และที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ในบริบทของชุมนุมชนของประชาชนของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 19:45-20:26

การทรงชำระพระวิหาร

 45พระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร แล้วทรงเริ่มขับไล่คนทั้งหลายที่ค้าขายอยู่นั้น 46และตรัสกับพวกเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า
นิเวศของเราควรจะเป็นนิเวศอธิษฐาน
 แต่พวกท่านทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’ ”
47พระองค์ทรงสั่งสอนในบริเวณพระวิหารทุกวัน แต่พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และผู้นำคนอื่นๆ ของประชาชนหาช่องทางที่จะฆ่าพระองค์ 48แต่พวกเขาไม่พบช่องทางที่จะทำอะไรได้ เพราะว่าประชาชนทุกคนชอบฟังพระองค์มาก

ลูกา 20

ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู

 1วันหนึ่ง ขณะพระองค์กำลังสั่งสอนประชาชนในบริเวณพระวิหารและกำลังประกาศข่าวดี พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้ใหญ่มาพบพระองค์ 2และทูลพระองค์ว่า “จงบอกเราเถิด ท่านมีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำแบบนี้? ใครให้สิทธิแก่ท่าน?” 3พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เราจะถามพวกท่านสักข้อหนึ่งด้วยเหมือนกัน จงตอบเราเถิด 4คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์?” 5พวกเขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราบอกว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาจะถามว่า ‘ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ 6แต่ถ้าบอกว่า ‘มาจากมนุษย์’ ประชาชนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะถือกันว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ” 7พวกเขาจึงทูลตอบว่า “เราไม่ทราบว่ามาจากไหน” 8พระเยซูจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราก็จะไม่บอกท่านเหมือนกันว่า เราทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอะไร”

อุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า

 9พระองค์ตรัสอุปมาให้ประชาชนฟังต่อไปว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น และให้ชาวสวนบางคนเช่า แล้วก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10เมื่อถึงเวลาแล้วจึงใช้ทาสคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้แบ่งองุ่นที่เป็นผลผลิตนั้นแก่เจ้าของ แต่ชาวสวนเหล่านั้นกลับเฆี่ยนตีเขาและไล่เขากลับไปมือเปล่า 11เจ้าของสวนจึงใช้ทาสอีกคนหนึ่งไป แต่พวกนั้นเฆี่ยนตีและทำการอัปยศต่างๆ ต่อทาสคนนั้นด้วย และไล่ให้กลับไปมือเปล่า 12เจ้าของสวนจึงใช้คนที่สามไป แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บ แล้วขับไล่เขาออกไป 13เจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าจะส่งลูกรักของข้าไป เขาคงจะเคารพลูกคนนี้’ 14แต่เมื่อพวกชาวสวนเห็นบุตรนั้นก็ปรึกษากันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ให้เราฆ่ามัน มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ 15ดังนั้นพวกเขาจึงขับไล่บุตรนั้นออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย เมื่อเป็นแบบนี้เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับพวกเขา? 16ท่านก็จะมาทำลายชาวสวนเหล่านี้แล้วเอาสวนองุ่นนั้นให้คนอื่น” คนทั้งหลายเมื่อได้ยินจึงพูดว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย” 17พระองค์ทรงจ้องดูพวกเขาแล้วตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพระวจนะที่เขียนไว้หมายความว่าอย่างไรกัน?

‘ศิลาที่พวกช่างก่อทิ้งแล้ว
 กลับกลายเป็นศิลามุมเอก’

 18ทุกคนที่ล้มทับศิลานั้น จะต้องแตกหักไป และถ้ามันตกทับใคร คนนั้นจะแหลกละเอียดไป” 19เมื่อพวกธรรมาจารย์และพวกหัวหน้าปุโรหิตรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานั้นกระทบพวกเขาเอง ก็อยากจะจับพระองค์ทันที แต่พวกเขากลัวประชาชน

การส่งส่วยให้กับซีซาร์

 20พวกเขาจึงคอยดูพระองค์ และใช้ให้บางคนแสร้งทำตัวเป็นคนชอบธรรมตามไปสอดแนม หวังจะจับผิดในคำสอนของพระองค์ เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ใต้สิทธิอำนาจของเจ้าเมือง 21พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบอยู่ว่าท่านกล่าวและสั่งสอนแต่ความจริง ไม่เคยเห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ 22การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่?” 23พระองค์ทรงหยั่งรู้อุบายของพวกเขา จึงตรัสกับเขาว่า 24“จงเอาเงินเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” เขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์” 25แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” 26พวกเขาจึงจับผิดในคำสอนของพระองค์ต่อหน้าประชาชนไม่ได้ และเขาก็ประหลาดใจในคำตอบของพระองค์จึงเงียบไป

อรรถาธิบาย

แบบอย่างของการทรงนำ

เช่นเดียวกันกับด้านอื่น ๆ ของชีวิต พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเราว่าจะได้รับการทรงนำจากพระเจ้าอย่างไร

การดำเนินชีวิตภายใต้การทรงนำของพระเจ้าไม่ได้นำไปสู่ชีวิตที่ไร้ซึ่งปัญหา พระเยซูถูกโจมตีจาก ‘ธรรมาจารย์’ ตลอดเวลาในช่วงยุคสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงไม่หลีกหนีจากการโต้เถียงและเผชิญหน้า

อันที่จริงในอุปมาเรื่องคนเช่า พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าสามารถจะพบกับปัญหาได้ คนรับใช้ถูกเฆี่ยนตี ถูกไล่กลับไปมือเปล่า ถูกทำให้อัปยศ ถูกทำให้บาดเจ็บ และถูกขับไล่ (20:9-12) เมื่อเขาส่งบุตรชายไป พวกเขาก็ ‘ฆ่าเขาเสีย’ (ข้อ 15)

การทรงนำของพระเจ้านำพระเยซูไปสู่ไม้กางเขน อย่างไรก็ตามก็ทรงนำไปสู่การฟื้นคืนพระชนม์ด้วย เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นล้วนเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าและชัยชนะของพระองค์ สิ่งที่พระเยซูทรงกระทำดูเหมือนเป็นลักษณะของความล้มเหลว แต่พระเยซูทรงประสบความสำเร็จในชีวิต ในการสิ้นพระชนม์ และในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์มากกว่าบุคคลอื่นใดในประวัติศาสตร์

แน่นอนว่ามีการกล่าวถึงหลายครั้งในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงนำพระเยซู ในข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้เราจะได้เห็น:

  1. คำสั่งในพระคัมภีร์ จงระมัดระวังอย่างมากที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ใด ๆ ที่ทำให้งานรับใช้ถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

พระเยซูทรงเห็นประชาชนที่พยายามหารายได้จากกิจกรรมทางจิตวิญญาณ พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับกิจกรรมเหล่านั้นด้วยพระวจนะของพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า ‘มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านเปลี่ยนให้เป็นตลาดทางความเชื่อ’ (19:46, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความเข้าใจของพระเยซูที่มีต่อพระประสงค์ของพระเจ้ามาจากการศึกษาพระวจนะอย่างละเอียดรอบคอบ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่พระเจ้าทรงนำเราทุกคน

  1. การทรงนำของพระวิญญาณ เมื่อพระเยซูถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงท้าทาย ‘ธรรมาจารย์’ ด้วยคำถามเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของยอห์น พระเยซูทรงบอกว่ายอห์นได้รับสิทธิอำนาจมา ‘จากสวรรค์’ ซึ่งก็คือจากพระเจ้า ดังนั้นความหมายที่ชัดเจนก็คือสิทธิอำนาจของพระเยซูเองก็มา ‘จากสวรรค์’ เช่นกัน มาจากสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับพระเจ้า

แม้แต่ฝ่ายตรงกันข้ามของพระองค์ก็ยอมรับ ‘ความจริง’ (20:21) ในคำสอนของพระเยซู พระเยซูทรงไม่ประสงค์ที่จะประจบสอพลอหรือแสดงความลำเอียง พระองค์ได้รับการทรงนำจากสิ่งที่พระองค์รู้ว่าเป็นความจริง พระองค์ตรัสความจริงอย่างไม่เกรงกลัว

พระเยซูทรงท้าทายสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังคำถามของพวกเขา อำนาจใดบนโลกนี้ที่เราควรให้ความภักดีเป็นอันดับแรก? พระองค์ทรงอธิบายว่า ประเด็นสำคัญก็คือเราได้ให้ความภักดีกับพระเจ้าเป็นอันดับแรกต่อสิ่งที่เราเป็นหนี้พระองค์หรือไม่ เราได้นับตัวเราเองว่าเป็นประชากรของอาณาจักรของพระองค์ก่อนคนอื่น ๆ บนโลกนี้หรือไม่ ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า (ข้อ 25) พวกเขาก็ประหลาดใจในคำตอบของพระเยซูและเงียบไป (ข้อ 26)

ในพระธรรมลูกาได้บอกกับเราว่าพระเยซูได้รับการ ‘ทรงนำโดยพระวิญญาณ’ (ลูกา 4:1) สันนิษฐานได้ว่าเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงให้คำตอบกับพระเยซู ในขณะที่พระเยซูทรงเดินในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทรงศึกษาพระวจนะและทรงสอนความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ (‘พระวิญญาณแห่งความจริง’, ยอห์น 15:26) ทรงกระตุ้นเตือนพระองค์ด้วยถ้อยคำพิเศษแห่งปัญญา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาเจ้า ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ปฏิบัติตามแบบอย่างของพระเยซู เพื่อที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ขณะที่ข้าพระองค์อ่านพระคัมภีร์ และแสวงหาที่จะได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ
พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:30-32:52

บทเพลงของโมเสส

 30โมเสสจึงกล่าวถ้อยคำในบทเพลงต่อไปนี้ให้เข้าหูชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดจนจบ

เฉลยธรรมบัญญัติ 32

1“โอ ฟ้าสวรรค์ จงเงี่ยหู ข้าพเจ้าจะพูด
 ขอแผ่นดินโลกจงฟังถ้อยคำจากปากของข้าพเจ้า
2ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าหยดลงอย่างเม็ดฝน
 และคำปราศรัยของข้าพเจ้ากลั่นตัวลงอย่างน้ำค้าง
อย่างหยาดฝนอยู่เหนือหญ้าอ่อน
 อย่างห่าฝนตกลงเหนือพรรณพืช
3เพราะข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์
 จงถวายความยิ่งใหญ่แด่พระเจ้าของเรา
4“พระศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์
 พระมรรคาทั้งสิ้นของพระองค์ก็ยุติธรรม
พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรมและปราศจากความอธรรม
 พระองค์ทรงยุติธรรมและทรงเที่ยงตรง
5เขาทั้งหลายประพฤติชั่วช้าต่อพระองค์ เขาจึงไม่ได้เป็นบุตรของพระองค์
 ต่อไป เพราะเขามีตำหนิ
เขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่วิปริตและคดโกง
6ชนชาติโง่เขลาและเบาปัญญาเอ๋ย
 ท่านจะตอบสนองพระยาห์เวห์อย่างนี้หรือ?
พระองค์ไม่ใช่พระบิดา ผู้ทรงสร้างท่าน
 ผู้ทรงสรรค์ท่าน และสถาปนาท่านไว้หรือ?
7จงระลึกถึงอดีตกาล
 จงตรองถึงจำนวนปีที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคน
จงถามบิดาของท่าน แล้วเขาจะบอกท่าน
 จงถามพวกผู้อาวุโสของท่าน แล้วเขาจะตอบท่าน
8เมื่อผู้สูงสุดประทานมรดกแก่บรรดาประชาชาติ
 เมื่อพระองค์ทรงแยกพงศ์พันธุ์ของมนุษย์
พระองค์ทรงกั้นเขตของชนชาติทั้งหลาย
 ตามจำนวนคนอิสราเอล
9เพราะว่าส่วนของพระยาห์เวห์คือประชากรของพระองค์
 ยาโคบเป็นส่วนมรดกของพระองค์
10“พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดาร
 ในที่ร้างเปล่าวังเวง
พระองค์ทรงโอบล้อมเขา และทรงดูแลเขา
 ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์
11เหมือนนกอินทรีที่กวนรังของมัน กระพือปีกเหนือลูกนก
 กางปีกออกรองรับลูกไว้ให้เกาะอยู่บนปีก
12พระยาห์เวห์องค์เดียวทรงนำเขา
 ไม่มีพระต่างด้าวองค์ใดอยู่กับเขา
13พระองค์ทรงให้เขาขี่ไปบนที่สูงของโลก
 ให้เขาบริโภคพืชผลที่ได้จากนา
พระองค์ทรงให้เขาดูดน้ำผึ้งจากศิลา
 และน้ำมันจากหินแข็ง
14ให้ได้นมข้นจากโคและน้ำนมจากแพะแกะ
 ได้ไขมันจากลูกแกะ
และแกะผู้พันธุ์บาชานและจากแพะ
 กับข้าวสาลีอย่างดีที่สุด
และจากเลือดขององุ่น ท่านได้ดื่มเหล้าองุ่น
15“แต่เยชูรูนอ้วนขึ้นแล้วมีพยศ
 เจ้าอ้วนใหญ่ เนื้อหนานุ่ม
แล้วเขาได้ทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา
 และดูหมิ่นพระศิลาแห่งความรอดของเขา
16เขาทำให้พระองค์ทรงหวงแหนด้วยพระต่างด้าว
 เขายั่วยุให้พระองค์กริ้วด้วยสิ่งน่ารังเกียจทั้งหลาย
17เขาบูชาพวกปีศาจซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
 บูชาพระซึ่งไม่รู้จักมาก่อน
บูชาพระใหม่ๆ ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้น
 ซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่เกรงกลัว
18ท่านไม่ใส่ใจในพระศิลาที่ให้กำเนิดท่าน
 ท่านลืมพระเจ้าซึ่งให้ท่านเกิดมา
19“พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรและทรงชังเขา
 เพราะการยั่วยุจากบุตรชายหญิงของพระองค์
20และพระองค์ตรัสว่า ‘เราจะซ่อนหน้าของเราจากพวกเขา
 เราจะคอยดูว่าปลายทางของเขาจะเป็นอย่างไร
เพราะเขาเป็นชาติพันธุ์ที่วิปริต
 เป็นลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์
21เขาทั้งหลายทำให้เราอิจฉาด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระ
เขาได้ยั่วยุเราด้วยสิ่งไร้สาระของเขา
 ดังนั้นเราจะทำให้เขาอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติ
และจะยั่วโทสะเขาด้วยประชาชาติโง่เขลาชาติหนึ่ง
22เพราะความกริ้วของเราจึงมีไฟก่อขึ้น
 มันไหม้ลุกลามไปจนถึงก้นลึกของแดนคนตาย
เผาแผ่นดินโลกและพืชผลในนั้น
 และลุกไหม้ถึงรากฐานแห่งขุนเขา
23“ ‘เราจะสุมสิ่งร้ายไว้บนเขาทั้งหลาย
 และปล่อยลูกธนูของเรายิงไปยังเขา
24เขาจะสิ้นแรงเพราะความหิว
 ความร้อนอันแรงกล้าและโรคร้ายจะเผาผลาญเขา
เราจะส่งฟันของสัตว์ร้ายมายังเขา
 กับพิษของสัตว์เลื้อยคลานในผงคลี
25ที่ภายนอกจะมีดาบคร่าชีวิต
 ที่ในห้องจะมีความกลัว
ทำลายทั้งชายหนุ่มและหญิงพรหมจารี
 ทั้งเด็กที่ยังดูดนมและคนแก่ผมหงอก
26เราพูดแล้วว่า “เราจะให้เขากระจัดกระจายไป
 เราจะให้ชื่อของเขาสูญไปจากความทรงจำของมนุษย์”
27แต่เราก็กลัวการยุยงของศัตรู
 เกรงว่าพวกศัตรูของเขาจะคิดผิดไป
เกรงว่าพวกเขาจะพูดว่า “กำลังมือของเราที่มีชัย
 พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงทำการนี้” ’
28“เพราะเขาทั้งหลายเป็นประชาชาติที่ขาดคำปรึกษา
 ในพวกเขาไม่มีความเข้าใจ 29โอ ถ้าเขาฉลาดแล้วเขาจะเข้าใจเรื่องนี้
 และพิจารณาถึงวาระสุดท้ายของตน
30คนเดียวจะไล่พันคนได้อย่างไร
 สองคนจะทำให้หมื่นคนหนีได้อย่างไร
นอกจากพระศิลาของเขาได้ขายเขาเสียแล้ว
 และพระยาห์เวห์ได้ทรงทอดทิ้งเขาเสีย
31เพราะศิลาของเขาไม่เหมือนพระศิลาของเรา
 แม้ศัตรูของเราก็ตัดสินอย่างนั้น
32เพราะว่าเถาองุ่นของเขาคือเถาองุ่นเมืองโสโดม
 และมาจากไร่เมืองโกโมราห์
ผลองุ่นของเขาเป็นองุ่นขม
 ทั้งพวงองุ่นก็ขมด้วย
33เหล้าองุ่นของเขาเป็นพิษงู
 เป็นพิษร้ายแรงของงูเห่า
34“เรื่องนี้ไม่ได้สะสมไว้กับเรา
 และประทับตราไว้ในคลังของเราหรือ?
35การแก้แค้นและการตอบสนองเป็นของเรา
 รอเวลาเมื่อเท้าของเขาจะลื่นพลาด
เพราะว่าวันหายนะของเขามาใกล้แล้ว
 และมันจะมาถึงเขาอย่างฉับพลัน
36เพราะพระยาห์เวห์จะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์
 และทรงเมตตาผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อทอดพระเนตรว่ากำลังของเขาสิ้นลง
 ไม่มีใครเหลือแล้ว ไม่ว่าทาสหรือไท
37แล้วพระองค์จะตรัสว่า ‘พระทั้งหลายของพวกเขาอยู่ที่ไหน
 ศิลาที่เขาลี้ภัยนั้นอยู่ที่ไหน?’
38คือผู้ที่รับประทานไขมันของเครื่องสัตวบูชาของเขา
 และดื่มเหล้าองุ่นที่เป็นเครื่องดื่มบูชาของเขา
ให้พระเหล่านั้นลุกขึ้นช่วยเจ้า
 ให้พระเหล่านั้นเป็นผู้ปกป้องเจ้า
39“ ‘จงดูเถิด บัดนี้ ตัวเรา คือเรานี่แหละเป็นผู้นั้น
 นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่นใด
เราฆ่าให้ตายและเราก็ให้มีชีวิตอยู่
 เราทำให้บาดเจ็บ และเราก็รักษาให้หาย
ไม่มีผู้ใดจะช่วยให้พ้นมือเราได้
40เพราะเราชูมือขึ้นถึงสวรรค์
 และปฏิญาณว่า ดังที่เราดำรงอยู่เป็นนิตย์
41ถ้าเราลับดาบอันวาววับของเรา
 และมือของเรายึดการพิพากษาไว้
เราจะแก้แค้นศัตรูของเรา
 และตอบแทนผู้ที่เกลียดชังเรา
42เราจะให้ลูกธนูของเราเมาโลหิต
 และดาบของเราจะกินเนื้อหนัง
ด้วยโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่าและของเชลย
 จากศีรษะเจ้านายศัตรู’
43“จงยินดีเถิด ประชาชาติทั้งหลาย กับประชากรของพระองค์
 เพราะพระองค์จะทรงแก้แค้นแทนโลหิตของผู้รับใช้ของพระองค์
และจะทรงทำการแก้แค้นศัตรูของพระองค์
 และจะทรงลบมลทินแผ่นดินแห่งประชากรของพระองค์”

 44โมเสสได้มาบอกเนื้อเพลงบทนี้ทั้งหมดให้ประชาชนฟัง ทั้งตัวท่านพร้อมกับโยชูวาบุตรนูน 45และเมื่อโมเสสบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นแก่คนอิสราเอลทุกคนจบแล้ว 46ท่านก็กล่าวแก่เขาว่า “จงใส่ใจในถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้บัญชาลูกหลานของท่าน ให้เขาระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งหมดของธรรมบัญญัตินี้ 47เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกท่าน แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย โดยเรื่องนี้จะทำให้ท่านมีชีวิตยืนนานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”

การทำนายถึงมรณกรรมของโมเสส

 48และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในวันเดียวกันนั้นว่า 49“จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมถึงยอดเขาเนโบ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับตรงข้ามเมืองเยรีโค และดูแผ่นดินคานาอันซึ่งเราให้แก่ประชาชนอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์ 50และสิ้นชีวิตเสียบนภูเขาซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น และถูกรวบไปอยู่กับประชาชนของเจ้า ดังอาโรนพี่ชายของเจ้าได้สิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์ และถูกรวบไปอยู่กับประชาชนของเขา 51เพราะเจ้าทั้งสองได้ละเมิดต่อเราท่ามกลางคนอิสราเอลเรื่องน้ำแห่งเมรีบาห์ที่คาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้าไม่ให้เกียรติเราในหมู่คนอิสราเอล 52เจ้าจะได้เห็นแผ่นดินซึ่งอยู่ต่อหน้าเจ้า แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราให้แก่คนอิสราเอล”

อรรถาธิบาย

ตัวอย่างของการทรงนำ

เมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เรือลำหนึ่งได้ถูกพายุซัดเข้ากับโขดหินในคอร์นวอลล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ กะลาสีเรือวัย 15 ปี คนหนึ่งว่ายน้ำไปยังก้อนหินนอกชายฝั่งอย่างปลอดภัย เขาปีนขึ้นไปและรอคอยอยู่ทั้งคืนจนกระทั่งเขาได้รับการช่วยเหลือในเช้าวันต่อมา นักข่าวได้สัมภาษณ์เขาและแสดงความคิดเห็นว่า ‘คุณต้องตัวสั่นตลอดทั้งคืนที่คุณเกาะอยู่ที่หินนั้นแน่นอน’ กะลาสีหนุ่มตอบว่า 'ใช่ ผมตัวสั่นตลอดทั้งคืนด้วยความกลัวและความหนาว’ จากนั้นเขาพูดเสริมขึ้นอีกว่า ‘แต่หินนั้นไม่เคยสั่นไหวเลยสักครั้ง’

เมื่อโมเสสได้มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาสะท้อนถึงวิธีที่พระเจ้าทรงนำประชาชนของพระองค์ผ่านทางชีวิตของเขา และทรงเป็นพระศิลาของพวกเขา (32:14ก, 15, 18, 30, 37) พระองค์ทรงเป็นพระศิลาของคุณ พระองค์ทรงแข็งแกร่ง มั่นคง พึ่งพาได้ คงเดิมเสมอ และเชื่อถือได้โดยสมบูรณ์ พระองค์ไม่ทรง ‘ขึ้น’ และ ‘ลง’ เหมือนอย่างเรา คุณสามารถไว้วางใจในความซื่อสัตย์มั่นคงของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงอยู่ด้วยกับคุณเสมอ

พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียง ‘พระศิลา’ แต่พระองค์ทรงเป็น ‘พระบิดา’ ของคุณด้วย (ข้อ 6ข)

โมเสสได้อธิบายว่าพระเจ้าทรงนำประชาชนของพระองค์ (อิสราเอล) ด้วยความรักของบิดาอย่างไร ‘พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินถิ่นทุรกันดาร ในที่ร้างเปล่าวังเวง พระองค์ทรงโอบล้อมเขา และทรงดูแลเขา ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์ เหมือนนกอินทรีที่กวนรังของมันกระพือปีกเหนือลูกนก กางปีกออกรองรับลูกไว้ให้เกาะอยู่บนปีก พระยาห์เวห์องค์เดียวทรงนำเขา’ (ข้อ 10-12ก)

  1. หมายสำคัญ เขาอธิบายต่อไปว่าในหมายสำคัญของพระเจ้า พระองค์ทรงดูแลประชาชนของพระองค์อย่างไร พระองค์ทรง ‘เลี้ยงดูเขา... บำรุงเขาด้วยน้ำผึ้ง... น้ำมัน... นมข้นและน้ำนม... ลูกแกะและแพะ... ข้าวสาลีอย่างดีที่สุด... เลือดขององุ่น’ (ข้อ 13-14) สิ่งเหล่านี้เป็นหมายสำคัญของการที่พระองค์ทรงอยู่กับพวกเขาตลอดทาง

อย่างไรก็ตาม ประชาชนของพระเจ้าซึ่งในที่นี้คือ ‘เยชูรูน’ (หมายถึง ‘ผู้เที่ยงธรรม’ นั่นคืออิสราเอล) ‘ทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา (เยชูรูน) และดูหมิ่นพระศิลาแห่งความรอดของเขา’ (ข้อ 15ค) เป็นการดูหมิ่นที่ทำให้พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะซ่อนหน้าของเราจากพวกเขา’ (ข้อ 20)

บางครั้งความบาปก็เป็นสิ่งกีดขวางเราจากการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ความบาปสามารถนำไปสู่หายนะ (ข้อ 23-27) บัดนี้เรามีวิธีทำให้ถูกต้องในการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู ‘พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น... ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น’ (1 ยอห์น 1:7, 9)

  1. สามัญสำนึก เมื่อเราล้มลงซึ่งเราทุกคนเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดก็คือการลุกขึ้นโดยเร็ว โดยทั่วไปส่วนหนึ่งของการทรงนำก็คือการทำสิ่งที่สมเหตุสมผล นี่คือการบ่นของโมเสส ‘เพราะเขาทั้งหลายเป็นประชาชาติที่ขาดคำปรึกษา ในพวกเขาไม่มีความเข้าใจ โอ ถ้าเขาฉลาดแล้วเขาจะเข้าใจเรื่องนี้ และพิจารณาถึงวาระสุดท้ายของตน’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:28-29) พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิด พระองค์ทรงนำจิตใจของคุณเมื่อคุณเดินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ จงหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีจิตวิญญาณสูงส่งที่คาดหวังว่าเสียงจากภายในให้นำทุกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตของคุณ

ในตอนท้ายของบทเพลง โมเสสกลับมากล่าวถึงถ้อยคำของพระเจ้า ‘จงใส่ใจในถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ท่านในวันนี้ และบัญชาลูกหลานของท่านให้เขาระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งหมดของธรรมบัญญัติ แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกท่าน แต่เป็นเรื่องชีวิตของท่านทั้งหลาย’ (ข้อ 46-47, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับวิธีที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ผ่านวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ในช่วงเวลาต่าง ๆ ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงเมตตาข้าพระองค์ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ใส่ใจในทุกถ้อยคำที่พระองค์ตรัสและระมัดระวังที่จะเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านั้น ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ได้ไปถึงจุดหมายปลายทางของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 20:20-26

บางครั้งฉันได้รับข้อเสนอในการลดราคา ถ้าฉันจ่ายเป็นเงินสดเมื่อซื้อของบางอย่างหรือนำบางอย่างไปซ่อม อาจจะมีเหตุผลที่ถูกต้องสำหรับเรื่องนี้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ต้องการเปิดเผยจำนวนเงินเพื่อเสียภาษี ถ้าพระเยซูตรัสว่าเราควรจะจ่ายภาษีของเรา ดังนั้นเราก็ควรจ่าย ถึงแม้เราอาจจะรู้สึกเจ็บปวดก็ตาม

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 48:14

‘พระองค์จะทรงนำเรา...’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม