วัน 109

แผนกลยุทธ์ของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 48:1-8
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 19:11-44
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-31:29

เกริ่นนำ

ผมอาศัยอยู่ในลอนดอนที่มีประชากรมากกว่า 8 ล้านคน มันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนมากกว่า 18 ล้านคนต่อปี มันเป็นเมืองที่มีการพูดภาษาต่าง ๆ มากมายถึง 300 ภาษา

เมืองต่าง ๆ เป็นสถานที่เชิงกลยุทธ์สำหรับการเผยแพร่พระกิตติคุณ มันเป็นเช่นนั้นเสมอ อัครสาวกเปาโลนำพระกิตติคุณจากเมืองหนึ่งไปสู่เมืองหนึ่ง ในช่วงต้นยุค ค.ศ. 100 ชุมชนคริสเตียนมากกว่า 40 แห่งตั้งอยู่ในเมืองต่าง ๆ รอบเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงแอฟริกาเหนือและบางส่วนของอิตาลี ในปี ค.ศ. 300 ประชากรครึ่งหนึ่งของภูมิภาคนั้นเป็นคริสเตียน ในขณะที่ประชากร 90% ในชนบทยังคงเป็นคนนอกศาสนา จดหมายของอาจารย์เปาโลส่วนใหญ่ถูกเขียนขึ้นในเมืองต่าง ๆ

เมืองต่าง ๆ มักจะเป็นสถานที่ที่วัฒนธรรมได้ถูกสร้างขึ้น อิทธิพลต่าง ๆ มากมายที่ออกมาจากเมือง รวมถึงรัฐบาล นักการเมือง และผู้บัญญัติกฎหมาย ศิลปะและความบันเทิง ธุรกิจและตลาดการค้า มหาวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่น ๆ สื่อและศูนย์กลางการสื่อสาร แม่น้ำแห่งอิทธิพลนั้นมีแนวโน้มที่จะหลั่งไหลมาจากเมืองไปยังชานเมืองและพื้นที่ชนบท วิธีที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมก็คือเปลี่ยนเมือง

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองต่าง ๆ มักมีบทบาทสำคัญในพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมือง ๆ หนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับกลยุทธ์ของพระเจ้าเพื่อโลกนี้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 48:1-8

ความงามและความมั่นคงของศิโยน

บทเพลงสดุดีของตระกูลโคราห์

1พระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง
 ในนครแห่งพระเจ้าของเรา ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์
2สูงตระหง่านงามตระการตา
 เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
คือภูเขาศิโยน ทางเหนือสุดทางเหนือสุด
 ซึ่งเป็นนครของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
3ภายในป้อมของนคร พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์
 ว่าทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่ง
4เพราะนี่แน่ะ พระราชาชุมนุมกัน
 แล้วเคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยกัน
5พอเห็นนครนั้นก็พากันตกใจ
 กลัวจนตัวสั่น แล้วก็แตกตื่นหนีไป
6ความหวาดผวาครอบงำพวกเขาที่นั่น
 มีความทุกข์ระทมอย่างหญิงกำลังคลอดบุตร
7พระองค์ทรงทำลายกองเรือกำปั่นแห่งทารชิชด้วยลมตะวันออก
8เราได้ยินอย่างไร เราก็ได้เห็นอย่างนั้น
 ในนครแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ
ในนครแห่งพระเจ้าของเรา
 ซึ่งพระเจ้าทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์

อรรถาธิบาย

อำนาจของเมือง

พระธรรมสดุดีนี้เกี่ยวกับ ‘นครแห่งพระเจ้า’ (เยรูซาเล็ม) ‘นคร’ ถูกกล่าวถึงในลักษณะต่าง ๆ เจ็ดครั้งในพระธรรมตอนนี้ มันประกาศถึงความงามตระการตา (ข้อ 2) และความปลอดภัยของเมือง (ข้อ 8) ที่สำคัญที่สุดคือการประกาศความจริงที่ว่า นี่เป็น ‘นครแห่งพระเจ้าของเรา’ (ข้อ 1, 8) เป็นสถานที่ที่พระวิหารของพระเจ้าถูกสร้างขึ้น และเป็นที่ที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ (ข้อ 3) และเป็นสถานที่ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ (ข้อ 3, 8) เป็นเมืองที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นแหล่งของพระพรสำหรับคนทั้งโลก: ‘ความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น’ (ข้อ 2)

อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบเมืองเยรูซาเล็มทางกายภาพกับเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ ‘เยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบน’ (กาลาเทีย 4:26) อาจารย์เปาโลมองว่าคริสตจักรของคริสเตียนเป็นเยรูซาเล็มใหม่

ในพระธรรมวิวรณ์ ยอห์นได้เห็น ‘นครบริสุทธิ์ นครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี’ (วิวรณ์ 21:2) เยรูซาเล็มคือคริสตจักร คือเจ้าสาวของพระคริสต์ นี่เป็นสถานที่ที่พระเจ้าจะประทับอยู่เป็นนิตย์ (ข้อ 3)

คริสตจักรควรจะน่าทึ่ง ‘สูงตระหง่านงามตระการตา เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น’ (สดุดี 48:2) เราควรรู้สึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าที่นั่น รู้ถึงการคุ้มครองและการปกป้องของพระองค์ และเป็นพระพรสำหรับคนทั้งหลายที่อยู่รอบตัวเรา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับอำนาจของการประทับอยู่ในคริสตจักรของพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นแหล่งแห่งพระพรสำหรับคนในโลกนี้
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 19:11-44

อุปมาเรื่องเงินสิบมินา

 11ขณะที่ประชาชนกำลังฟังสิ่งเหล่านี้ พระองค์ก็ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังต่อไปอีก เพราะพระองค์กำลังเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม และเพราะเหตุที่พวกเขาคิดว่าแผ่นดินของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้านี้ 12พระองค์ตรัสว่า “มีเจ้านายองค์หนึ่งกำลังจะเดินทางไปเมืองไกลเพื่อรับอำนาจมาครองแผ่นดิน แล้วจะกลับมาอีก 13ท่านจึงเรียกทาสของท่านสิบคนมา มอบเงินไว้กับพวกเขาสิบมินาหนึ่งมินา เท่ากับหนึ่งร้อยเดนาริอันเป็นค่าแรงงานประมาณ 3 เดือนแล้วสั่งว่า ‘จงเอาไปค้าขายจนกว่าเราจะกลับมา’ 14แต่ชาวเมืองเกลียดชังท่านผู้นั้น จึงส่งทูตตามหลังไปเพื่อทูลว่า ‘เราไม่ต้องการให้ท่านผู้นี้มาปกครอง’ 15เมื่อท่านได้รับอำนาจครองแผ่นดินกลับมาแล้ว ท่านจึงเรียกพวกทาสที่ท่านให้เงินไว้นั้นมา เพื่อจะดูว่าพวกเขาค้าขายได้กำไรเท่าไหร่ 16คนแรกมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินหนึ่งมินาของท่านได้กำไรมาอีกสิบมินา’ 17ท่านจึงพูดกับเขาว่า ‘ดีมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’ 18คนที่สองมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า เงินหนึ่งมินาของท่านได้กำไรมาอีกห้ามินา’ 19ท่านจึงพูดกับเขาเหมือนกันว่า ‘เจ้าจงครอบครองห้าเมืองเถิด’ 20อีกคนหนึ่งมาบอกว่า ‘ท่านเจ้าข้า นี่เงินหนึ่งมินาของท่าน ข้าพเจ้าเอามันห่อผ้าเก็บไว้ 21เพราะข้าพเจ้ากลัวท่าน เนื่องจากท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเก็บผลที่ท่านไม่ได้ลงแรง และเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22ท่านจึงตอบเขาว่า ‘ไอ้ขี้ข้าชั่วช้า เราจะพิพากษาเจ้าด้วยคำพูดของเจ้าเอง เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเราเป็นคนเข้มงวด เก็บผลที่เราไม่ได้ลงแรงและเกี่ยวสิ่งที่เราไม่ได้หว่าน? 23แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ฝากเงินของเราไว้ในธนาคาร? เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ 24แล้วท่านสั่งคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินหนึ่งมินาจากเขาไปให้กับคนที่มีสิบมินา’ 25แล้วพวกเขาพูดว่า ‘ท่านเจ้าข้า เขามีสิบมินาแล้ว’ 26‘เราบอกพวกเจ้าว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มอีก แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่นั้นก็จะต้องเอาไปจากเขา 27ส่วนพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการให้เราปกครองพวกเขานั้น จงพาเขามาที่นี่ แล้วฆ่าเสียต่อหน้าเรา’ ”

พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต

 28เมื่อพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงล่วงหน้าไปก่อน เพื่อจะขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม 29เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานี มาถึงภูเขาที่เรียกว่ามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน 30สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลยผูกไว้ จงแก้มันจูงมาเถิด 31ถ้ามีใครถามว่า ‘ท่านแก้มันทำไม?’ จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์จะใช้มัน’ ” 32สาวกสองคนนั้นก็พบเหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสกับเขา 33ขณะที่เขากำลังแก้ลูกลาอยู่นั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “ท่านแก้ลูกลาทำไม?” 34เขาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์จะใช้มัน” 35แล้วเขาก็จูงลูกลามาหาพระเยซู เอาเสื้อของตนปูบนหลังลา แล้วเชิญพระเยซูขึ้นทรงลานั้น 36ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนเอาเสื้อผ้าของตนปูตามหนทาง 37เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางที่จะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว พวกสาวกทุกคนก็มีความชื่นชมยินดีเพราะมหกิจทั้งหลายที่พวกเขาเห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง 38ว่า

ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้เสด็จมา
 ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ

ขอให้มีสันติในสวรรค์
 และพระเกียรติในที่สูงสุด”

 39แต่ฟาริสีบางคนในฝูงชนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ จงห้ามพวกสาวกของท่าน” 40พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกพวกท่านว่า แม้คนพวกนี้จะนิ่งเงียบ แต่ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง”
 41เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น 42ตรัสว่า “โอ เราอยากให้ตัวเจ้ารู้ในเวลานี้ว่าสิ่งใดสร้างสันติ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว 43เพราะว่าเวลานั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อพวกศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน 44แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน ทั้งตัวเจ้าและลูกๆ ที่อยู่ข้างในเจ้า และพวกเขาจะไม่ปล่อยให้มีศิลาซ้อนทับกันไว้ข้างในเจ้า เพราะเจ้าไม่รับรู้วันเวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า”

อรรถาธิบาย

การมีภาระใจต่อบ้านเมือง

เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 11) พระองค์ตรัสอุปมาเรื่องเงินมินา เป็นอุปมาที่ท้าทายสมมติฐานของผู้ฟังเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า และแผนการของพระองค์สำหรับเมืองบนโลกนี้ เงินหนึ่งมินามีค่าเท่ากับค่าจ้าง 3 เดือนซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก เป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณต้องรู้ว่าจะใช้สิ่งที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางใจให้คุณอย่างไร

คุณควรจะใช้ไม่ใช่แค่เพียงเงินทองของคุณ แต่ต้องใช้ของประทานทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมอบให้คุณ รวมถึงเวลา การศึกษา การงาน ทักษะและโอกาสต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ขององค์กษัตริย์และแผ่นดินของพระองค์

สิ่งที่น่าสนใจคือรางวัลสำหรับการไว้วางใจในการดูแลเงินมินาคือการ ‘มีอำนาจครอบครองสิบเมือง’ หรือ ‘ห้าเมือง’ (ข้อ 17, 19)

เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ‘พวกสาวกทุกคนก็มีความชื่นชมยินดีเพราะมหกิจทั้งหลายที่พวกเขาเห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง ว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ!” “ขอให้มีสันติในสวรรค์และพระเกียรติในที่สูงสุด!’” (ข้อ 37-38)

พวกเขาเห็นว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะมา เป็นผู้ที่จะครอบครองเมืองเยรูซาเล็ม กระทำพระสัญญาที่มีต่อกษัตริย์ดาวิดให้สำเร็จ และปลดปล่อยเมืองนี้จากการควบคุมของโรมัน

อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงมีวาระที่ต่างออกไป เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น (ข้อ 41) พระเยซูทรงมีใจรักและทรงสงสารเมืองนี้ พระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าถึงการทำลายล้างของกรุงเยรูซาเล็มซึ่งได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70 พระวิหารไม่เคยได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่และกรุงเยรูซาเล็มก็ยังคงเป็นสถานที่ที่มีแต่การร้องไห้คร่ำครวญ

เรื่องน่าเศร้าก็คือ กรุงเยรูซาเล็ม ‘ไม่รับรู้วันเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า’ (ข้อ 44) พระเจ้าเสด็จมาในสภาพของบุคคลคือพระเยซู แต่โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของ พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงกระทำให้เยรูซาเล็มใหม่เกิดขึ้นได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดให้ข้าพระองค์มีความรัก และความสงสารแบบเดียวกันกับพระองค์ต่อผู้คนในสถานที่ที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่
พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-31:29

การหนุนใจให้เลือกชีวิต

 11“เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ สำหรับท่านไม่ยากเกินไป และไม่ไกลเกินไปด้วย 12ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์แทนเราและนำมาให้เราเพื่อให้เราได้ฟังและประพฤติตาม?’ 13ไม่ใช่อยู่โพ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา เพื่อให้เราได้ฟังและประพฤติตาม?’ 14แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านมาก อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน ฉะนั้นท่านจึงทำตามได้
 15“จงดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้าได้วางชีวิตและสิ่งดี ความตายและสิ่งร้ายไว้ต่อหน้าท่าน 16คือในการที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์และให้รักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตอยู่และทวีมากขึ้น และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรแก่ท่านในแผ่นดินซึ่งท่านเข้าไปยึดครองนั้น 17แต่ถ้าใจของท่านหันเหไปและท่านไม่ได้เชื่อฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระเหล่านั้น 18ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า พวกท่านจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปยึดครองนั้น 19ข้าพเจ้าขออัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานต่อท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิตเพื่อท่านและลูกหลานของท่านจะได้มีชีวิตอยู่ 20เพื่อที่จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และผูกพันกับพระองค์ ทำเช่นนั้นท่านจะได้ชีวิตและวันเวลาของท่านจะยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ ว่าจะประทานแก่ท่านเหล่านั้น”

เฉลยธรรมบัญญัติ 31

โยชูวาผู้รับช่วงจากโมเสส

 1โมเสสยังกล่าวถ้อยคำเหล่านี้แก่คนอิสราเอล 2และท่านกล่าวแก่เขาว่า “วันนี้ข้าพเจ้ามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ข้าพเจ้าจะออกไปและเข้ามาอีกไม่ไหวแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’ 3พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงข้ามไปข้างหน้าท่านเอง พระองค์จะทรงทำลายประชาชาติเหล่านี้ให้พ้นหน้าท่าน เพื่อท่านจะขับไล่เขาไป โยชูวาจะนำหน้าท่านดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว 4พระยาห์เวห์จะทรงทำแก่พวกเขา อย่างที่พระองค์ทรงทำแก่สิโหนและโอกกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และแก่แผ่นดินของเขา ผู้ที่พระองค์ทรงทำลายเขา 5แล้วพระยาห์เวห์จะทรงมอบเขาไว้แก่ท่าน และพวกท่านจะทำต่อเขาตามพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าได้สั่งท่านแล้ว 6จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน”
 7แล้วโมเสสเรียกโยชูวาเข้ามา และกล่าวแก่ท่านต่อหน้าคนอิสราเอลว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะต้องไปกับชนชาตินี้ เข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของพวกเขาว่า จะประทานแก่เขา ท่านจงให้เขาเข้ายึดครองแผ่นดินนั้นเป็นมรดก 8ผู้ที่เสด็จไปข้างหน้าท่านคือพระยาห์เวห์ พระองค์สถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านล้มเหลว หรือทอดทิ้งท่าน อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย”

ให้อ่านกฎหมายทุกเจ็ดปี

 9โมเสสได้เขียนธรรมบัญญัตินี้ และมอบให้ปุโรหิตบุตรหลานของเลวีผู้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้นของคนอิสราเอล 10และโมเสสบัญชาเขาว่า “เมื่อครบทุกเจ็ดปีตามเวลากำหนดปีปลดปล่อยในเทศกาลอยู่เพิง 11เมื่อคนอิสราเอลประชุมพร้อมกันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้นั้น ท่านจงอ่านธรรมบัญญัตินี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง 12จงเรียกประชาชนให้มาประชุมกันทั้งชาย หญิง และเด็ก ทั้งคนต่างด้าวในเมืองของท่าน เพื่อให้เขาได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้ 13และเพื่อบุตรหลานทั้งหลายของเขาผู้ยังไม่ทราบจะได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินซึ่งกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น”

โมเสสและโยชูวารับพระดำรัสจากพระเจ้า

 14และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ วันซึ่งเจ้าต้องตายก็ใกล้เข้ามาแล้ว จงเรียกโยชูวามา และพวกเจ้าจงมาเข้าเฝ้าเราในเต็นท์นัดพบ เพื่อเราจะได้กำชับเขา” โมเสสและโยชูวาก็เข้าไปในเต็นท์นัดพบ 15และพระยาห์เวห์ทรงปรากฏในเสาเมฆในเต็นท์นัดพบ และเสาเมฆนั้นอยู่ที่ประตูเต็นท์
 16และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระของคนต่างชาติในแผ่นดินที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น พวกเขาจะทอดทิ้งเราและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้ทำไว้กับเขา 17แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และจะทอดทิ้งเขาและซ่อนหน้าของเราจากเขา พวกเขาจะถูกกลืน และเผชิญสิ่งร้ายและความลำบากมากมาย ในวันนั้นเขาจะกล่าวว่า ‘เราเผชิญสิ่งร้ายเหล่านี้ เพราะพระเจ้าไม่สถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ?’ 18ในวันนั้นเราจะซ่อนหน้าของเราเป็นแน่ เนื่องจากความชั่วที่เขาทำเพราะเขาได้หันไปหาพระอื่น 19ดังนั้นพวกเจ้าจงเขียนบทเพลงนี้ และสอนคนอิสราเอลให้ร้องจนติดปาก เพื่อบทเพลงนี้จะเป็นพยานของเราปรักปรำคนอิสราเอล 20เพราะเมื่อเรานำเขาเข้ามาในแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ซึ่งเราได้ปฏิญาณจะให้แก่บรรพบุรุษของเขา และเขาได้รับประทานอิ่มหนำและอ้วนพี เขาจะหันไปปรนนิบัติพระอื่น และหมิ่นประมาทเราและผิดพันธสัญญาของเรา 21และเมื่อเขาเผชิญสิ่งร้ายและความลำบากมากมายแล้ว เพลงบทนี้จะเป็นพยานต่อหน้าเขา (เพราะว่าเพลงนี้จะติดปากลูกหลานของเขาไม่รู้ลืม) เพราะเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขาจะทำ ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น” 22โมเสสจึงเขียนบทเพลงนี้ในวันเดียวกันนั้นและสอนแก่คนอิสราเอล
 23พระองค์ตรัสสั่งโยชูวา บุตรนูนว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำคนอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณแก่เขา เราจะอยู่กับเจ้า”
 24เมื่อโมเสสเขียนถ้อยคำของธรรมบัญญัตินี้ลงในหนังสือจนจบแล้ว 25โมเสสก็บัญชาคนเลวีผู้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ว่า 26“จงรับหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้วางไว้ข้างหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้อยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานปรักปรำท่าน 27เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านเป็นคนมักกบฏและหัวแข็ง นี่แน่ะ เมื่อข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่กับท่านวันนี้ ท่านยังกบฏต่อพระยาห์เวห์ เมื่อข้าพเจ้าตายแล้วจะยิ่งกว่านี้สักเท่าใด 28ท่านจงเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของทุกเผ่า และเจ้าหน้าที่ทั้งหมด เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้เขาฟัง และอัญเชิญสวรรค์และโลกให้เป็นพยานปรักปรำเขา 29เพราะข้าพเจ้าทราบแน่ว่าเมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว ท่านจะประพฤติหลงผิดไปเป็นแน่ และหันเหไปจากทางซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านไว้ ท่านจะเผชิญความทุกข์ลำบากในเวลาต่อมา เพราะว่าท่านจะทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ทำให้พระองค์กริ้วด้วยสิ่งที่มือท่านทำ”

อรรถาธิบาย

ผู้คนในเมือง

คุณเคยพบว่าตัวเองเป็นกังวลกับความคิดสงสัย ความกลัว หรือความเศร้า ความท้อใจ และ ‘ตกใจกับเสียงเตือนภัย’ บ้างหรือไม่? (31:8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

สิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ของมนุษย์ทั่วไป โมเสสต้องเผชิญกับอารมณ์เหล่านี้ และเขารู้ว่าผู้สืบทอดของเขา โยชูวาและผู้คนทุกคนก็ต้องเผชิญไม่ใช่แค่เพียงการต่อสู้ทางกายเท่านั้น แต่ต้องต่อสู้ทางจิตใจด้วย

เมื่อเราอ่านถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตโมเสส เขาเรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้า (30:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาเรียกร้องให้พวกเขารักพระเจ้าและดำเนินในพระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาได้เตือนพวกเขาไม่ให้เปลี่ยนใจและไม่ให้ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เขาหนุนใจพวกเขาให้ ‘เลือกชีวิต’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ทางเลือกนี้เริ่มต้นจากความคิดของคุณ ความคิดของคุณจะกลายเป็นคำพูด คำพูดของคุณจะกลายเป็นการกระทำ ในแต่ละวันจงเลือกความคิดที่ให้ชีวิต

ผู้สืบทอดของโมเสสคือโยชูวา เขาเป็นผู้นำคนใหม่ของประชาชนของพระเจ้า เขาจะต้องเผชิญกับการต่อสู้อีกมากมายข้างหน้า โมเสสกล่าวกับเขาว่า ‘จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด... ผู้ที่เสด็จไปข้างหน้าท่านคือพระยาห์เวห์ พระองค์สถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านล้มเหลว หรือทอดทิ้งท่าน อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย’ (31:6, 8)

โมเสสจะไม่พูดเรื่องนี้หากไม่มีอะไรต้องกลัวและไม่มีเหตุให้ท้อใจ แต่เขารู้ดีว่าจะมีเหตุให้เกิดความกลัวและความท้อใจมากมาย ผู้นำทุกคนต้องใช้ความกล้าหาญในการยึดมั่นในวิสัยทัศน์และใช้ความอดทนอย่างมากเพื่อทนต่อคำตำหนิ ในทุก ๆ ความยากลำบากที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทั้งในขณะนั้นและขณะนี้ ประชาชนของพระเจ้าก็ต้องการผู้นำ)ที่เข้มแข็งที่กล้าหาญและไม่หวาดกลัวหรือท้อใจจากการคัดค้านและการต่อต้านทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น

คำตอบสำหรับความกลัวคือ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไปกับเขาเสมอ (‘ผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’ ข้อ 6) พระเจ้าทรงให้พระสัญญาอย่างเดียวกันกับคุณและผมในวันนี้ เมื่อคุณถูกโจมตีด้วยความสงสัย ความท้อใจ และความยากลำบาก จงจำไว้ว่าไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์ของคุณจะเป็นอย่างไร คุณสามารถทูลขอให้พระเจ้าเสด็จไปข้างหน้าคุณและจัดเตรียมหนทางไว้ให้คุณ ดังนั้นคุณจึงสามารถมั่นใจได้และไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว

จากนั้นโมเสสบัญชาพวกเขาว่า ‘ในเทศกาลอยู่เพิง เมื่อคนอิสราเอลประชุมพร้อมกันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ณ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้นั้น ท่านจงอ่านธรรมบัญญัตินี้...’ (ข้อ 10-11)

แน่นอนว่า ‘สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้’ กลับกลายเป็นนครเยรูซาเล็ม ในเทศกาลอยู่เพิง ประชาชนจะไปยังนครเยรูซาเล็มเพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่พระเจ้าโดยทางโมเสสทรงนำน้ำออกมาจากหินในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาจะขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงจัดหาน้ำให้ในปีที่ผ่านมาและอธิษฐานให้พระองค์ทรงกระทำแบบเดียวกันในปีที่จะมาถึง นอกจากนี้น้ำยังถูกมองเป็นสัญลักษณ์แห่งความโปรดปรานของพระเจ้าและเป็นสัญลักษณ์ของความสดชื่นทางจิตวิญญาณ (ดูตัวอย่างใน 1 โครินธ์ 10:3-4)

ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของงานเทศกาลอยู่เพิง พระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า ‘ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม’ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’ (ยอห์น 7:37-38) พระองค์กำลังตรัสว่าพระสัญญานี้จะไม่สำเร็จในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แต่จะสำเร็จในบุคคลคนหนึ่ง

แม่น้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากภายในของพระเยซู ดังนั้นในอีกแง่มุมหนึ่งสายน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากคริสเตียนทุกคนด้วยเช่นกัน! (‘คนที่วางใจในเรา' ข้อ 38) พระเยซูตรัสว่า แม่น้ำนี้จะไหลมาจากคุณเพื่อนำชีวิต นำการเกิดผล และนำการรักษามาสู่ผู้คนอื่น ๆ

ภาพ ๆ นี้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งเราได้เห็นถึงการเติมเต็มของนครเยรูซาเล็ม (วิวรณ์ 22:1-3) เช่นเดียวกับแม่น้ำที่ไหลออกจากเอเดนในช่วงต้นของพระคัมภีร์ (ปฐมกาล 2:10) ดังนั้นในตอนท้ายในสวรรค์และโลกใหม่ แม่น้ำจะไหลจากนครของพระเจ้าแห่งนี้ที่ซึ่งพระเจ้าทรงประทับอยู่กับมนุษย์ตลอดไปเป็นนิตย์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงสัญญาจะสถิตอยู่กับข้าพระองค์ไม่ว่าข้าพระองค์จะไปที่ใด และพระองค์จะไม่ปล่อยให้ข้าพระองค์ล้มเหลว หรือทอดทิ้งข้าพระองค์ ขอโปรดเติมข้าพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อแม่น้ำแห่งชีวิตจะไหลออกจากใจของข้าพระองค์ในวันนี้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6

‘จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน’

นี่เป็นหนึ่งในข้อพระคำประจำชีวิตของฉัน

ข้อพระคำประจำวัน

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:8

‘ผู้ที่เสด็จไปข้างหน้าท่านคือพระยาห์เวห์ พระองค์สถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านล้มเหลว หรือทอดทิ้งท่าน อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม