ไม่มีคำว่าสาย
เกริ่นนำ
ผมคิดว่าตัวเองยังเป็นหนุ่มอยู่ เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ยินว่าวัยกลางคนเริ่มจากอายุ 35 ปีถึง 58 ปี ด้วยมาตรฐานนี้ไม่ใช่แค่เพียงผมไม่ใช่คนหนุ่ม แต่ผมก็ไม่อยู่ในวัยกลางคนด้วย
ผู้คนมักพูดถึงคนในวัยกลางคนว่าเป็นช่วงเวลา ‘วิกฤตวัยกลางคน’ วิกฤตวัยกลางคนเกิดจากอายุที่มากขึ้น หรือการเพิ่มขึ้นของอายุที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ปัญหา หรือความเศร้าใจในการทำงาน อาชีพ ความสัมพันธ์ ลูก ๆ และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกี่ยวข้องกับความชรา
แต่ละคนที่ประสบกับวิกฤตวัยกลางคนมักเป็นคนที่กำลังค้นหาความฝันหรือเป้าหมาย เราอาจรู้สึกผิดเป็นอย่างมากต่อเป้าหมายที่ยังทำไม่สำเร็จ เราอาจหวาดกลัวความอัปยศท่ามกลางเพื่อนฝูงที่ประสบความสำเร็จ เรามักปรารถนาที่จะรู้สึกอ่อนเยาว์
สาเหตุของสิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป มักจะมีความคิดที่น่าเศร้าสลดในช่วงวิกฤตวัยกลางคน เมื่อแต่ละคนนั้นตระหนักถึงความว่างเปล่าของสิ่งที่พวกเขาเคยดิ้นรนเพื่อหามา (แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาจะนำมาแทนที่นั้นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ชาญฉลาดเสมอไป)
ผมมักจะสงสัยว่าศักเคียสผู้ที่เราได้อ่านในข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้จะกำลังผ่านช่วงวิกฤตวัยกลางคนหรือไม่ แต่ไม่ว่าเขาจะผ่านหรือไม่ผ่านช่วงเวลานั้น เขาก็ได้ค้นพบคำตอบที่ผู้คนมากมายกำลังค้นหาในการเผชิญหน้าของเขากับพระเยซู
ไม่ว่าจะนานมากเท่าไรที่คุณได้เดินไปในทางที่ผิด คุณก็สามารถหันกลับมาได้เสมอ โดยพระเยซูไม่มีคำว่าสายที่จะเริ่มต้นใหม่และมั่นใจได้ว่าชีวิตของคุณจะอยู่ในทางที่ถูกต้อง
สุภาษิต 10:1-10
ถ้อยคำแห่งปัญญาของซาโลมอน
1บรรดาสุภาษิตของซาโลมอน
บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี
แต่บุตรชายที่โง่เป็นความโศกของมารดาเขา
2คลังทรัพย์อธรรมไม่เป็นประโยชน์
แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความตาย
3พระยาห์เวห์จะไม่ทรงปล่อยให้คนชอบธรรมหิว
แต่จะทรงปฏิเสธความอยากของคนอธรรม
4มือที่เกียจคร้านทำให้ยากจน
แต่มือที่ขยันขันแข็งทำให้มั่งคั่ง
5บุตรชายที่เก็บสะสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนฉลาด
แต่บุตรชายผู้หลับในฤดูเกี่ยวก็นำความอับอายมา
6พระพรนานัปการอยู่บนศีรษะของคนชอบธรรม
แต่ปากของคนอธรรมซ่อนความโหดร้าย
7การระลึกถึงคนชอบธรรมเป็นพระพร
แต่ชื่อของคนอธรรมจะเน่าเสีย
8คนมีปัญญาจะยอมรับบัญญัติ
แต่คนที่พูดโง่ๆ จะถึงความพินาศ
9คนที่ดำเนินในความซื่อสัตย์ก็ดำเนินอย่างมั่นคง
แต่ผู้ที่ทำทางของตนให้คดก็จะถูกเปิดโปง
10ผู้ที่ขยิบตาก็ก่อความยุ่งยาก
แต่คนที่พูดโง่ๆ จะถึงความพินาศ
อรรถาธิบาย
ใช้ ‘บททดสอบเก้าอี้โยก’
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งผู้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก เขาได้บอกกับผมว่าเขาใช้ ‘บททดสอบเก้าอี้โยก’ ในการตัดสินใจทั้งสิ้นของเขา เขาวาดภาพตนเองว่าวันหนึ่งในช่วงเวลาเกษียณ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกและมองย้อนกลับไปถึงการตัดสินใจที่เขาได้ทำไป สิ่งไหนบ้างที่เขาจะตัดสินใจนั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีและสิ่งไหนบ้างที่เขาจะตัดสินใจนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ดี? เขาต้องการที่จะแน่ใจว่าการตัดสินใจของเขาในตอนนี้เขาจะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง
พระธรรมตอนนี้แสดงให้เราเห็นถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราควรหลีกเลี่ยง เช่น การมุ่งร้าย (ข้อ 10) การพูดนินทาแบบโง่ ๆ (ข้อ 8, 10) และความเกียจคร้าน (ข้อ 4)
ความซื่อตรงและความซื่อสัตย์เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตที่ปราศจากความเสียใจ ‘ทรัพย์ที่ได้มาอย่างอธรรมไม่เป็นประโยชน์ ชีวิตที่ซื่อสัตย์นั้นชั่วนิรันดร์’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ชีวิตที่ดีและซื่อสัตย์เป็นอนุสรณ์แห่งพระพร ชีวิตที่ชั่วร้ายทิ้งกลิ่นเน่าเหม็น’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ถ้าคุณดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงและซื่อสัตย์คุณจะ ‘มั่นใจและไร้กังวล’ (ข้อ 9ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่คนที่ไม่ซื่อสัตย์จะถูกจับได้: ‘คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมก็จะถูกเปิดโปง” (ข้อ 9ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ลูกา 18:31-19:10
การทรงพยากรณ์เป็นครั้งที่สามถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์
31พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนไปแล้วตรัสกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและทุกสิ่งที่พวกผู้เผยพระวจนะเขียนเรื่องบุตรมนุษย์จะสำเร็จ 32เพราะว่าบุตรมนุษย์นั้นจะต้องถูกมอบไว้กับคนต่างชาติ และพวกเขาจะเยาะเย้ยท่าน กระทำหยาบคายต่อท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน 33พวกเขาจะโบยตีและฆ่าท่าน แล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” 34ส่วนพวกสาวกไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นเลย ความหมายของถ้อยคำนั้นถูกซ่อนไว้จากพวกเขา และเขาไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสถึงอะไร
การทรงรักษาขอทานตาบอดใกล้เมืองเยรีโค
35เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค มีคนตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง 36เมื่อเขาได้ยินเสียงฝูงชนเดินผ่านจึงถามว่ามีเรื่องอะไร 37พวกเขาจึงบอกว่าเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จผ่านมา 38คนตาบอดคนนั้นจึงร้องว่า “เยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด” 39คนที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาเพื่อให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด” 40พระเยซูทรงหยุดและยืนอยู่ และทรงสั่งให้พาคนตาบอดมาหาพระองค์ เมื่อเขามาใกล้แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า 41“ท่านปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่ท่าน?” เขาทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้” 42พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเห็นเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ตัวท่านหายปกติแล้ว” 43ทันใดนั้นเขาก็เห็นได้ และตามพระองค์ไปพร้อมกับถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และเมื่อประชาชนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็สรรเสริญพระเจ้าด้วย
ลูกา 19
พระเยซูกับศักเคียส
1เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองเยรีโคและกำลังเสด็จผ่านไปตามทาง 2มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียสอยู่ที่นั่น เขาเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี 3เขาพยายามจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร แต่คนมากจึงมองไม่เห็น เพราะเขาเป็นคนเตี้ย 4เขาจึงวิ่งไปข้างหน้า ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้มองเห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านทางนั้น 5เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์แหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน” 6แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี 7ทุกคนที่เห็นแล้วก็พากันบ่นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้จะเข้าไปพักอยู่กับคนบาป” 8ส่วนศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” 9พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย 10เพราะว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด”
อรรถาธิบาย
กำหนดชีวิตของคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง
พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำให้ชีวิตของเราได้รับการไถ่ และเปลี่ยนแปลง
พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนออกไป (18:31) และทรงอธิบายว่าจุดประสงค์ที่พระองค์เสด็จมานั้นจะเกี่ยวข้องกับการถูกเยาะเย้ย ถูกกระทำหยาบคาย ถูกถ่มน้ำลายรด ถูกเฆี่ยนตี และถูกฆ่า (ข้อ 32) แต่ ‘ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่’ (ข้อ 33) เป็นการตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูซึ่งให้ความหวังกับมนุษย์ทุกคน
ชายตาบอดเป็นตัวอย่างของคนที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงจากการได้พบกับพระเยซู ชายผู้ที่ชีวิตของเขาจบลงด้วยการนั่งขอทานอยู่ริมทางได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาร้องขอความเมตตา พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘“จงเห็นเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยและรักษาให้ท่านหายแล้ว!” ทันใดนั้นเขาก็เห็นได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและมองเห็น และตามพระเยซูไปพร้อมกับถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า’ (ข้อ 42-43ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
จากนั้น ศักเคียสได้พบกับพระเยซู ศักเคียสอาจจะไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว ในฐานะที่เขาเป็น ‘นายด่านภาษี’ เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของอาชีพของเขา (19:2) อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถวิ่งและปีนต้นไม้ได้ (ข้อ 4) แต่เขาก็ไม่ดูเด็กลงแต่อย่างใด เขาเป็นคนมั่งมี (ข้อ 2) และงานของเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา ในฐานะที่เป็นนายด่านภาษี ศักเคียสอาจมีผู้คนมากมายทำงานอยู่ภายใต้เขา
เขาอาจได้เลื่อนตำแหน่งหลายครั้ง และสามารถมองย้อนกลับไปด้วยความพึงพอใจกับความสำเร็จของเขา แต่ในฐานะคนเก็บภาษีราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับงานนี้คือการถูกคว่ำบาตรและการไม่เป็นที่ชื่นชอบ คนที่อยู่ในสถานการณ์แบบศักเคียสมักจะไม่พอใจกับงานและรู้สึกว่าติดอยู่ในกับดักของชีวิตที่พวกเขาเลือก
เขาน่าจะมีครอบครัว และเราได้อ่านถึง ‘บ้าน’ ของเขา (ข้อ 9) บางทีเขาอาจทำงานอย่างหนักเพื่อครอบครัว วิกฤตวัยกลางคนสามารถส่งผลร้ายต่อชีวิตครอบครัวของเขา คนที่อยู่ในวิกฤตวัยกลางคนอาจจะฉุนเฉียว สิ้นหวังและไม่พอใจคนที่อยู่ใกล้ชิดพวกเขา โดยรู้สึกว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอย่างหนักมากแค่ไหน แต่ครอบครัวก็ยังต้องการมากกว่าที่พวกเขาสามารถหามาได้
ศักเคียสมาจากครอบครัวที่เคร่งครัดทางความเชื่อ พ่อแม่ของเขาเรียกเขาว่าศักเคียส ‘ผู้ชอบธรรม’ แต่ตอนนี้ผู้คนที่เคร่งครัดทางความเชื่อมองว่าเขาเป็น ‘คนบาป’ (ข้อ 7) เพราะเขาเป็นคนเก็บภาษีจากประชาชนของเขาเองเพื่อมอบให้ชาวโรมันและเอาเงินจำนวนมากไปเป็นของตนเอง
แต่ถึงกระนั้น ‘เขาพยายามจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร’ (ข้อ 3) เขาต้องตระหนักดีว่าเขามีความต้องการ นอกจากสิ่งของทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความสำเร็จ ครอบครัว และ ‘ความเชื่อ’ แต่เขายังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ศักเคียสต้องการที่จะดูพระเยซูโดยไม่ให้พระเยซูเห็นเขา (ข้อ 4)
ผู้คนต่างรู้สึกว่าเป็นเพราะความบาปและความไม่สมบูรณ์แบบของพวกเขา พระเจ้าจึงทรงหันหน้าหนีไปจากพวกเขา แต่พระเจ้าทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ และแทนที่พระองค์จะหันหลังให้คุณ แต่พระองค์ทรงหันมาหาคุณ
ศักเคียสไม่รู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากพระเจ้า พระเยซูทรงรู้จักเขาและพระองค์ทรงรู้แม้แต่ชื่อของเขา ศักเคียสไม่รู้ว่าพระเยซูทรงรักเขาและต้องการที่จะรู้จักเขา (ข้อ 5) ไม่ว่าอะไรที่คุณได้ทำลงไปในชีวิตคุณ และไม่ว่าคุณจะไม่สมบูรณ์แบบมากเพียงใด แต่พระเยซูทรงรักคุณและต้องการที่จะอยู่ในความสัมพันธ์กับคุณ แต่พระองค์ทรงต้องการการตอบสนอง ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นของการเผชิญหน้า พระเยซูตรัสว่า ‘จงรีบลงมา’ (ข้อ 5)
ศักเคียสถ่อมตนและเชื่อฟังพระเยซู เขาไม่รอช้า เขาก็ ‘รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี’ (ข้อ 6) พระเยซูทรงไม่ล่าถอยเพราะการตอบสนองในเชิงลบของฝูงชน (ข้อ 7)
ผลที่ได้ก็คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตของศักเคียสโดยสิ้นเชิง (ข้อ 8 เป็นต้นไป) เขาตัดสินใจว่า ‘ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า’ (ข้อ 8) ท่าทีของเขาที่มีต่อทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เราไม่ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราจะสามารถหามาได้มากเท่าไร?’ แต่เราควรถามว่า ‘เราจะสามารถให้ผู้อื่นได้มากเท่าไร?’ (ข้อ 8)
ครอบครัวของเขาทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไป พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว’ (ข้อ 9) ความรอดมาถึงครอบครัวของเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมาถึง ความรอด หมายถึง อิสรภาพ ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์กับพระเยซูที่ดำเนินต่อไปเป็นนิตย์
ท้ายที่สุดคุณก็เหมือนกับศักเคียสที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงของศักเคียสและครอบครัวก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนยากจนและเกิดความยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกโกง การตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาที่จะติดตามพระเยซูนั้นผ่านบททดสอบเก้าอี้โยกอย่างแน่นอน
คำอธิษฐาน
เฉลยธรรมบัญญัติ 29:1-30:10
1ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำในพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสให้ทำกับคนอิสราเอลในแผ่นดินโมอับ นอกเหนือพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำกับเขาที่โฮเรบ
พันธสัญญาที่ทำใหม่ในโมอับ
2โมเสสเรียกบรรดาคนอิสราเอลมาและกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้เห็นทุกสิ่งกับนัยน์ตาของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์และต่อข้าราชบริพารของท่านและต่อประเทศของท่านทั้งสิ้น 3ทั้งการทดลองใหญ่ซึ่งนัยน์ตาของท่านได้เห็น ทั้งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เหล่านั้น 4แต่จนถึงวันนี้พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทานจิตใจที่เข้าใจ ตาที่มองเห็น และหูที่ได้ยินให้แก่ท่าน 5‘เราได้นำพวกเจ้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี เสื้อผ้าของเจ้าไม่ได้ขาดวิ่นไปจากเจ้า และรองเท้าไม่ได้ขาดหลุดไปจากเท้าของเจ้า 6เจ้าทั้งหลายไม่ได้รับประทานขนมปัง เจ้าไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ 7และเมื่อท่านมาถึงที่นี้ สิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ออกมาทำสงครามกับพวกเรา แต่เราก็ได้ทำให้เขาพ่ายแพ้ไป 8เราริบแผ่นดินของเขาและมอบให้เป็นมรดกแก่คนเผ่ารูเบน คนเผ่ากาด และคนครึ่งเผ่ามนัสเสห์ 9เพราะฉะนั้นจงระวังที่จะทำตามถ้อยคำแห่งพันธสัญญานี้ เพื่อท่านทั้งหลายจะจำเริญในบรรดากิจการซึ่งท่านทำ
10“ในวันนี้ท่านทั้งหลายทุกคนยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน คือบรรดาหัวหน้าเผ่า พวกผู้ใหญ่ของท่าน เจ้าหน้าที่ของท่าน และบรรดาผู้ชายของอิสราเอล 11เด็กๆ ของท่าน ภรรยาของท่าน และคนต่างด้าวที่อยู่ในค่ายของท่าน ทั้งคนที่ตัดฟืนให้ท่าน และคนที่ตักน้ำให้ท่าน 12เพื่อท่านจะได้เข้ามาในพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน คือในคำปฏิญาณของพระองค์ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำกับท่านในวันนี้ 13เพื่อพระองค์จะทรงแต่งตั้งท่านทั้งหลายในวันนี้ให้เป็นประชากรของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะเป็นพระเจ้าของท่าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญากับท่านนั้น และดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่าน คือกับอับราฮัม กับอิสอัคและกับยาโคบ 14ข้าพเจ้าไม่ได้ทำพันธสัญญาและคำปฏิญาณนี้กับท่านเท่านั้น 15แต่กับผู้ที่ยืนอยู่กับเราทั้งหลายที่นี่ในวันนี้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และกับผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กับเราในวันนี้
16“ท่านทราบอยู่แล้วว่าเราอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์อย่างไร และเราได้ผ่านท่ามกลางประชาชาติซึ่งพวกท่านผ่านพ้นอย่างไร 17ท่านได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของพวกเขาแล้ว คือเห็นรูปเคารพที่ทำด้วยไม้ ด้วยหิน และด้วยเงินและทอง ซึ่งอยู่ท่ามกลางเขา 18จงระวังให้ดี เกรงว่าจะมีชายหรือหญิงคนใด หรือตระกูลใด หรือเผ่าใด ซึ่งจิตใจของเขาหันจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราในวันนี้ ไปปรนนิบัติบรรดาพระของประชาชาติเหล่านั้น เกรงว่าท่ามกลางท่านจะมีรากซึ่งเกิดเป็นพืชที่เป็นพิษและบอระเพ็ด 19และเมื่อคนนั้นได้ยินถ้อยคำของคำปฏิญาณนี้ จะนึกอวยพรตัวเองในใจว่า ‘แม้ข้าจะเดินด้วยความดื้อดึงตามใจของข้า ข้าก็จะเป็นสุข’ ความคิดเช่นนี้ก็นำการกวาดทำลายทั้งผลที่ลุ่มและที่แล้ง 20พระยาห์เวห์จะไม่ทรงให้อภัยแก่คนนั้น แต่พระพิโรธของพระยาห์เวห์และความหวงแหนของพระองค์จะทรงพลุ่งขึ้นต่อชายคนนั้น และคำสาปแช่งซึ่งเขียนไว้ในหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้จะตกเหนือเขา และพระยาห์เวห์จะทรงลบชื่อของเขาเสียจากใต้ฟ้า 21แล้วพระยาห์เวห์จะทรงแยกเขาออกจากเผ่าคนอิสราเอลทั้งปวง ให้ประสบหายนะตามคำสาปแช่งทั้งสิ้นของพันธสัญญา ซึ่งจารึกไว้ในหนังสือพระบัญญัตินี้ 22และคนชั่วอายุต่อมาคือลูกหลานของพวกท่านซึ่งเกิดมาภายหลังท่าน และคนต่างชาติซึ่งมาจากแผ่นดินที่อยู่ห่างไกล จะออกปากเมื่อเขาเห็นความทุกข์ใจของแผ่นดินนั้นและโรคภัยซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้เป็น 23คือแผ่นดินทั้งหมดเป็นกำมะถันและเป็นเกลือเพราะถูกเผาไฟ ไม่มีใครปลูกหว่าน และไม่มีอะไรงอกขึ้น เป็นที่ซึ่งหญ้าไม่งอก เป็นการที่ถูกคว่ำอย่างโสโดมและโกโมราห์ อัดมาห์และเศโบยิม ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงคว่ำด้วยความกริ้วและพระพิโรธ 24แล้วประชาชาติทั้งปวงจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์ทรงทำเช่นนี้แก่แผ่นดินนี้ พระพิโรธมากมายขนาดนี้หมายความว่ากระไร?’ 25แล้วคนจะพูดกันว่า ‘เพราะเขาทอดทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา ซึ่งพระองค์ทรงทำไว้กับเขาเมื่อพระองค์ทรงพาเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ 26แล้วไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่น เป็นพระซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก และซึ่งพระองค์ไม่ได้ประทานแก่เขา 27เพราะฉะนั้น พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่อแผ่นดินนี้ นำเอาคำสาปแช่งซึ่งจารึกไว้ในหนังสือนี้มาถึง 28และพระยาห์เวห์จึงทรงถอนรากพวกเขาเสียจากแผ่นดิน ด้วยความกริ้วและพระพิโรธอันแรงกล้า และทรงทิ้งเขาไปในอีกแผ่นดินหนึ่ง ดังที่เป็นอยู่วันนี้’
29“สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัตินี้
เฉลยธรรมบัญญัติ 30
การยืนยันถึงความเที่ยงตรงของพระเจ้า
1“เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ คือพระพรและคำสาปแช่งซึ่งข้าพเจ้ากล่าวไว้ต่อหน้าท่านมาถึงท่านแล้ว และท่านระลึกขึ้นได้เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงขับไล่ท่านไปนั้น 2และท่านก็หันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 3แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้ท่านกลับจากการเป็นเชลย และทรงพระกรุณาต่อท่าน และจะทรงรวบรวมท่านอีก จากชนชาติทั้งหลายซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงให้ท่านกระจายไปอยู่นั้น 4ถ้ามีคนของท่านที่ถูกขับไล่ไปอยู่สุดปลายขอบฟ้า จากที่นั่นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงรวบรวมท่านให้มา จากที่นั่นพระองค์จะทรงนำท่านกลับ 5และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงนำท่านเข้ามาในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษของท่านยึดครอง เพื่อท่านจะได้ยึดครอง และพระองค์จะทรงทำให้ท่านทั้งหลายจำเริญมั่งคั่งและทวีมากขึ้นยิ่งกว่าบรรพบุรุษของท่าน 6แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะประทานใจเชื่อฟังแก่ท่าน และแก่บุตรหลานของท่าน เพื่อท่านจะได้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่ได้ 7และพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงให้คำสาปแช่งเหล่านี้ตกบนศัตรูและผู้ที่เกลียดชังท่านซึ่งจะข่มเหงท่าน 8และท่านจะฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์อีกและรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ 9พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่งในกิจการที่มือท่านทำ ในพงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ในผลแห่งฝูงสัตว์ และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระยาห์เวห์จะพอพระทัยที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่ง ดังที่พระองค์ทรงปีติยินดีในบรรพบุรุษของท่าน 10ถ้าท่านฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน โดยรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งจารึกไว้ในหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้ ถ้าท่านทั้งหลายหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
อรรถาธิบาย
ดำเนินชีวิตด้วยความทุ่มเทใจ
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้นั่งทานอาหารกลางวันถัดจากหญิงวัย 86 ปีคนหนึ่ง เธอนั่งอยู่ในรถเข็น ในไม่ช้าผมได้ตระหนักว่าถึงแม้ร่างกายของเธอจะบกพร่อง แต่หัวใจของเธอไม่เป็นเช่นนั้น เธอหยิบยกประเด็นทางความเชื่อที่ยากมากขึ้นมา เมื่อผมถามเธอว่าเธอคิดว่าคำตอบของคำถามนี้คืออะไร เธอตอบผมด้วยข้อพระคัมภีร์จากบทความนี้ว่า ‘สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์’ (29:29)
เธอกล่าวว่าเธอได้ตระหนักว่ามีบางสิ่งเรารู้คำตอบ แต่มีบางสิ่ง (อย่างเช่นคำถามที่เธอได้หยิบยกขึ้นมา) ที่เราอาจไม่รู้คำตอบเลยในชีวิตนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สิ่งลี้ลับทั้งปวง’ ที่เป็น ‘ของพระยาห์เวห์’
อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่เป็นของเรา พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เรารู้ถึงวิธีการ ‘ใช้ชีวิตที่ดีและชาญฉลาด’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ ‘หันจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา’ (ข้อ 18) และหลีกจากความคิดที่ว่า ‘ข้าจะดำเนินชีวิตในหนทางที่ข้าปรารถนา ขอบคุณ’ และจบลงด้วยการ ‘ทำลายชีวิตของทุกคน’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
วิธีที่จะรู้ได้ว่าคุณจะมีสันติสุขบนเก้าอี้โยกคือการฟังและการเชื่อฟังพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ (30:2-10) ‘จงเชื่อฟังพระองค์ด้วยสุดใจสุดจิต... พระองค์จะทรงพระกรุณาต่อท่าน พระองค์จะทรงกลับมาและรวบรวมท่าน... และพวกท่านจะได้เริ่มต้นใหม่ จงฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า... ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปโดยไม่เต็มใจ ท่านต้องหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดใจสุดจิต’ (ข้อ 2-10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ไม่มีคำว่าสายที่จะเริ่มดำเนินชีวิตอย่างสุดใจ
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 19:1-10
ครั้งหนึ่งฉันได้ไปดู เดอะ พาสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์ ที่แสดงที่จตุรัสทราฟัลการ์ในวันศุกร์ประเสริฐ มีผู้คนมากมายจึงเป็นการกระตุ้นให้อยากดู ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเตี้ย ฉันจึงรู้สึกเหมือนศักเคียสที่พยายามจะเข้าใกล้พระเยซู ถ้ามีต้นไม้อยู่ตรงนั้นฉันอาจจะปีนขึ้นไป
ฉันพยายามที่จะยืนบนม้านั่ง ถังขยะ และกำแพงอย่างหมดหวังที่จะได้เห็น ฉันถูกรปภ.บอกให้ย้ายที่ไปสองครั้ง มันน่าหงุดหงิดมาก ฉันต้องการที่จะเห็นพระเยซู (ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ของจริงก็ตาม) ต้องเป็นเรื่องที่ทั้งน่าตื่นเต้นและสั่นประสาทไม่น้อยสำหรับศักเคียสที่พระเยซูทรงแยกเขาออกมาคนเดียวจากคนอื่น ๆ ในฝูงชน พระเยซูทรงมองเห็นเราและแสวงหาเราถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเราไม่สำคัญก็ตาม
ข้อพระคำประจำวัน
เฉลยธรรมบัญญัติ 30:9
‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่ง...’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)