6 ขั้นตอนสู่ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง
เกริ่นนำ
วิลเลียม เทมเพิล ผู้เคยเป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี (1942–1944) เช่นเดียวกับบิดาของเขา ท่ามกลางความสำเร็จอันน่าทึ่งมากมาย เขาได้เขียนอรรถาธิบายที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับพระกิตติคุณของยอห์น หนังสือมีชื่อว่า Readings in St John's Gospel เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ขณะที่คุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้า
วิลเลียมได้เขียนเกี่ยวกับการนมัสการว่า ‘การนมัสการเป็นการยอมจำนนทั้งหมดทุกสิ่งที่เราเป็นต่อพระเจ้า เป็นการปลุกจิตสำนึกด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์ การหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยความจริงของพระองค์ การชำระความคิดด้วยความดีงามของพระองค์ การเปิดใจรับความรักของพระองค์ การยอมจำนนต่อน้ำพระทัยของพระองค์และทั้งหมดนี้รวมกันไว้ในการนมัสการ’
การนมัสการช่วยเราให้ปลอดภัยจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คุณถูกสร้างมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและนั่นควรเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งสำหรับชีวิตของคุณ ถ้าคุณให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิตของคุณแล้ว พระพรต่าง ๆ ก็จะตามมา เพราะพระเจ้าทรงรักคุณ พระองค์จึงเตือนคุณถึงความอันตรายของการไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต
แต่การดำเนินชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางนั้นหมายความว่าอย่างไร และคุณต้องทำอย่างไรบ้าง?
สดุดี 47:1-9
พระเจ้าทรงครอบครองบรรดาประชาชาติ
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของตระกูลโคราห์
1ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงตบมือ
จงโห่ร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยเสียงยินดี
2เพราะพระยาห์เวห์ผู้สูงสุดเป็นที่น่าคร้ามกลัว
ทรงเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
3พระองค์ทรงปราบปรามชนชาติทั้งหลายให้อยู่ภายใต้เรา
และชาวประเทศทั้งหลายให้อยู่ใต้เท้าของเรา
4พระองค์ทรงเลือกมรดกของเราให้เรา
เป็นสิ่งภูมิใจของยาโคบที่พระองค์ทรงรัก
5พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง
พระยาห์เวห์เสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร
6จงร้องเพลงสดุดีพระเจ้า จงร้องเพลงสดุดีเถิด
จงร้องเพลงสดุดีกษัตริย์ของเรา จงร้องเพลงสดุดีเถิด
7เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
จงร้องเพลงสดุดีด้วยความเข้าใจ
8พระเจ้าทรงครอบครองบรรดาประชาชาติ
พระเจ้าประทับบนพระที่นั่งบริสุทธิ์ของพระองค์
9บรรดาเจ้านายของชนชาติทั้งหลายประชุมกัน
ในฐานะประชากรของพระเจ้าของอับราฮัม
เพราะบรรดาโล่ของแผ่นดินโลกเป็นของพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องอย่างสูง
อรรถาธิบาย
1. นมัสการพระเจ้า
คุณถูกเรียกให้นมัสการพระเจ้า
การนมัสการในพระธรรมสดุดีนี้ดูจะเต็มไปด้วยอารมณ์และเสียงที่ดังอื้ออึง ‘ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงตบมือ จงโห่ร้องถวายแด่พระเจ้าด้วยเสียงยินดี พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง พระยาห์เวห์เสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร’ (ข้อ 1,5) และเต็มไปด้วยการร้องเพลง (ข้อ 6-7)
มีความสมบูรณ์ในการนมัสการ เช่นเดียวกับความรักและการอัศจรรย์ของพระเจ้าผุดขึ้นในการนมัสการพระองค์อย่างสุดใจ
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการแสดงออกในการนมัสการพระเจ้าจากภายนอก การนมัสการยังรวมถึงการใช้อารมณ์ เพื่อแสดงความรักและความกตัญญูต่อพระเจ้าด้วยเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์
ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ต่างก็เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เมื่อผมจะบอกรักพิพพา ผมก็ไม่ได้พูดกับพิพพาว่า ‘ผมรักคุณด้วยความคิด’ แต่สิ่งที่ผมพูดคือ ‘ผมรักคุณด้วยทั้งหมดที่ผมเป็น สุดความคิด สุดหัวใจ สุดความปรารถนา...’
เรามักจะเก่งในการแสดงอารมณ์ของเราในบริบทอื่นเช่น การแข่งขันฟุตบอลหรือการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ แล้วทำไมการนมัสการพระเจ้าจึงแตกต่างกัน?
คำอธิษฐาน
ลูกา 18:1-30
อุปมาเรื่องหญิงม่ายและผู้พิพากษาอธรรม
1พระเยซูตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง เพื่อสอนว่าเขาทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ 2พระองค์ตรัสว่า “ในเมืองแห่งหนึ่งมีผู้พิพากษาอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ด้วย 3ในเมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาท่านพูดว่า ‘ขอให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันในการสู้ความเถิด’ 4แต่ผู้พิพากษาคนนั้นไม่ยอมทำจนเวลาผ่านไปนาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า ‘แม้ว่าข้าจะไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ 5แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มาทำให้ข้าลำบาก ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อไม่ให้นางมารบกวนให้รำคาญใจบ่อยๆ’ ” 6และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนี้พูด 7พระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? พระองค์จะทรงอดทนได้หรือ? 8เราบอกพวกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่พวกเขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านยังจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?”
อุปมาเรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษี
9สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสอุปมานี้ว่า 10“มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11คนที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์คือ ร้อยละสิบมาถวายเสมอ’ 13ส่วนคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14เราบอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น”
การทรงอวยพรเด็กเล็กๆ
15แล้วมีบางคนอุ้มทารกมาหาพระองค์เพื่อจะให้พระองค์ทรงสัมผัสทารกนั้น เมื่อพวกสาวกเห็นก็ห้ามเขา 16แต่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเอาเด็กๆ มา แล้วตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา 17เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครที่ไม่ยอมรับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ จะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้”
ขุนนางที่ร่ำรวย
18มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นขุนนางทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” 19พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า “ท่านใช้คำว่าประเสริฐกับเราทำไม? ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว 20ท่านรู้จักบัญญัติแล้วที่ว่า ‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ ” 21คนนั้นจึงทูลว่า “ข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าถือรักษาไว้ตั้งแต่เด็ก” 22เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายสิ่งของทั้งหมดที่ท่านมีอยู่แล้วแจกจ่ายให้คนยากจน ท่านถึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงกลับมาติดตามเรา” 23แต่เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็เป็นทุกข์ เพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก 24เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเขามีอาการอย่างนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ 25ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ยังง่ายกว่าการที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” 26พวกที่ได้ยินจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” 27แต่พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้” 28เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า “นี่แหละ พวกข้าพระองค์ถึงได้สละทิ้งบ้านเรือนของพวกข้าพระองค์ติดตามพระองค์มา” 29พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่สละบ้าน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตรเพราะเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า 30จะได้รับผลตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์”
อรรถาธิบาย
2. อธิษฐานอยู่เสมอ
ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคือชีวิตแห่งการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกให้ ‘อธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ’ (ข้อ 1) คุณสามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้ไม่ใช่แค่ในคริสตจักรหรือในช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานเท่านั้น แต่ทุกที่และทุกเวลา ผมถูกสอนตั้งแต่มาเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ ว่า ‘ให้อธิษฐานอย่างเดียวกันกับที่ผมเดิน’ นั่นคือตลอดทั้งวัน
พระเยซูทรงกล่าวถึงคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายและผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งในที่สุดก็ยอมทำตามข้อเรียกร้องของเธอ เพื่อเธอจะได้หยุดรบกวนเขาและทำให้เขาต้องเหนื่อย (ข้อ 4–5) พระเยซูตรัสว่าถ้าผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรมนั้นยังฟังคำวิงวอนของหญิงม่าย พระเจ้าจะทรงฟังผู้ที่ ‘ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน’ มากเพียงใด? (ข้อ 7ข) อย่าละทิ้งการอธิษฐานและจงอธิษฐานให้หนักที่สุดในช่วงเวลาที่ยากที่สุดที่จะอธิษฐาน
3. ถ่อมตัวลง
ความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ใช่สิ่งที่คุณจะได้รับ แต่ควรเป็นสิ่งที่คุณทำกับตัวคุณเอง แทนที่จะยกย่องตัวเอง คุณควร ‘ถ่อมตน (ตัวเอง)’ พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงยกย่องคุณ (ข้อ 14)
ถ้าเราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เราอาจเป็นอย่างฟาริสีที่กล่าวว่า ที่กล่าวขอบคุณพระเจ้าที่ตนเองนั้นไม่เหมือนคนอื่น คือเหล่า ‘คนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี’ (ข้อ 11) ฟาริสี ‘เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม’ (ข้อ 9) เขาตกหลุมพรางของความมั่นใจในตัวเอง ถ้าชีวิตของเรามีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง (จิตสำนึกของเราจะถูกปลุกด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์) เมื่อเราเปรียบเทียบตัวเราเองกับพระองค์ สิ่งเดียวที่เราจะสามารถพูดได้ก็คือ ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ (ข้อ 13) ความจริงก็คือเราทุกคนเป็นคนบาป และเราทุกคนต้องการความเมตตาจากพระเจ้า
ผมพบว่ามันง่ายมากที่จะอ่านข้อนี้และขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ได้เป็นเหมือนพวกฟาริสี แต่การคิดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าผมเองก็ตกลงในหลุมพรางที่พระเยซูกำลังอธิบายเช่นกัน การที่ผมคิดว่าผมเป็นคนชอบธรรมมากกว่าคนอื่นแทนที่จะสำนึกว่าตัวผมเองเป็นคนบาปและต้องการพระเจ้า สิ่งนี้แหละที่เป็นความบาปของพวกฟาริสี
4. เป็นอย่างเด็ก
บางครั้ง ‘ทารก’ (ข้อ 15) เด็กหรือคนหนุ่มสาวในคริสตจักรมักถูกนำมาอธิบายว่าเป็น ‘คริสตจักรในอนาคต’ แต่ตามที่พระเยซูทรงตรัส พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงคริสตจักรในอนาคต แต่ยังเป็นคริสตจักรในปัจจุบันด้วย ‘แผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา’ (ข้อ 16)
พระเยซูทรงเรียกเราให้เป็นอย่างเด็ก ในที่นี้พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้เราเป็นเด็ก (ในแง่ของความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน) แต่พระองค์ทรงให้เราเป็นอย่างเด็ก
การเป็นอย่างเด็กนั้นตรงข้ามกับการเป็นอิสระและ ‘โตขึ้น’ เด็กมีแนวโน้มที่จะเปิดกว้าง ไว้วางใจ ถ่อมตัว รัก และให้อภัย ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคือชีวิตที่พึ่งพาพระองค์เหมือนอย่างเด็ก ๆ
คุณกลายเป็นอย่างเด็กได้เมื่อคุณแสดงออกและแบ่งปันความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับว่าคุณอ่อนแอและเปราะบางแค่ไหน และคุณต้องการพระเจ้าและผู้อื่นมากเพียงใด
เด็ก ๆ ถูกขับเคลื่อนโดยสัญชาตญาณในการสำรวจและค้นพบ พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับอดีตและไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน แต่มองไปข้างหน้าด้วยความอยากรู้ มองไปที่อนาคตและเติมพลังด้วยความสงสัยใคร่รู้ และความสนุกสนาน
จงใช้เสรีภาพที่มีในการตอบสนองสัญชาตญาณเหมือนอย่างเด็ก เพื่อที่จะสามารถรู้สึกและแสดงความรู้สึกประหลาดใจ ความกลัว ความรัก และความสุข ทำให้คุณได้สำรวจและค้นพบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเอง
5. ติดตามพระเยซู
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการติดตามพระเยซู เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า ‘นี่แหละ พวกข้าพระองค์ถึงได้สละทิ้งบ้านเรือนของพวกข้าพระองค์ติดตามพระองค์มา’ (ข้อ 28) พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่สละบ้าน หรือภรรยา หรือพี่น้อง หรือบิดามารดา หรือบุตรเพราะเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า จะได้รับผลตอบแทนหลายเท่าในยุคนี้ และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์’ (ข้อ 29-30)
พระเยซูทรงเรียกขุนนางที่ร่ำรวยมาสู่ชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง พระองค์ทรงเรียกเขาให้ละทิ้งสิ่งอื่น ๆ และติดตามพระองค์ (ข้อ 22) พระเยซูทรงเห็นศักยภาพในตัวของขุนนางนั้นที่จะเป็นเหมือนอัครสาวกเปโตรหรือมัทธิว หรือคนอื่น ๆ ในการตอบสนองเชิงบวกเมื่อพระเยซูตรัสว่า ‘จงตามเรามา’
ยิ่งเราสะสมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะดำเนินชีวิตที่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ขุนนางผู้มั่งคั่งนั้นก็ ‘เป็นทุกข์ เพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก’ (ข้อ 23) ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนรวยที่จะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า (ข้อ 27) แต่เป็นเรื่องยากมาก (ข้อ 24–25) ไม่ใช่เพราะมีมาตรฐานที่สูงกว่า แต่เพราะความเสี่ยงนั้นดูมีมากกว่า
อันที่จริง เป็นไปไม่ได้ที่คนใดคนหนึ่งในพวกเรา รวมทั้งคนรวยจะเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าด้วยกำลังหรือการกระทำของเราเอง (ข้อ 24–25) แต่สำหรับพระเจ้าเป็นไปได้ที่ทุกคน รวมทั้งคนรวยจะเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้’ (ข้อ 27) ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในอดีตของคุณ หรือสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณก็ไม่จำเป็นต้องให้สิ่งเหล่านั้นมากำหนดอนาคตของคุณ เพราะสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งนั้นเป็นไปได้
คำอธิษฐาน
เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15-68
การตักเตือนเรื่องการไม่เชื่อฟัง
15“แต่ถ้าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และไม่ระวังที่จะทำตามพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ แล้วคำสาปแช่งทั้งหมดเหล่านี้จะลงมาเหนือท่านและตามทันท่าน 16ท่านจะถูกสาปแช่งในเมือง ท่านจะถูกสาปแช่งในทุ่งนา 17กระจาดของท่านและรางนวดแป้งของท่านจะถูกสาปแช่ง 18พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเองจะถูกสาปแช่ง รวมทั้งผลแห่งพื้นดินของท่าน ลูกอ่อนของฝูงโคของท่าน ลูกอ่อนของฝูงแพะแกะของท่านจะถูกสาปแช่ง 19ท่านจะถูกสาปแช่งเมื่อท่านเข้ามา และท่านจะถูกสาปแช่งเมื่อท่านออกไป
20“พระยาห์เวห์จะทรงส่งคำสาปแช่ง ความวุ่นวาย และการตำหนิมายังกิจการทั้งสิ้นที่มือท่านทำ จนท่านจะถูกทำลายและพินาศอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยความชั่วซึ่งท่านได้ทำ เพราะท่านได้ทอดทิ้งพระองค์เสีย 21พระยาห์เวห์จะทรงบันดาลให้โรคร้ายติดพันท่าน จนพระองค์จะทรงเผาผลาญท่านให้สิ้นเสียจากแผ่นดินซึ่งท่านเข้ายึดครองนั้น 22พระยาห์เวห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยความซูบผอม และด้วยการป่วยไข้ การอักเสบ ความร้อนอย่างรุนแรง ด้วยดาบ ด้วยแผลพุพอง ด้วยเชื้อรา และสิ่งเหล่านี้จะติดตามท่านไปจนท่านพินาศ 23และฟ้าสวรรค์ที่อยู่เหนือศีรษะของท่านจะเป็นทองเหลือง และแผ่นดินที่อยู่ใต้ท่านจะเป็นเหล็ก 24พระยาห์เวห์จะทรงบันดาลให้ฝนในแผ่นดินของท่านเป็นฝุ่นและละอองลงมาจากท้องฟ้า อยู่เหนือท่านจนกว่าท่านจะถูกทำลาย
25“พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านพ่ายแพ้ต่อศัตรูของท่าน ท่านจะออกไปต่อสู้พวกเขาทางเดียว แต่จะหนีจากเขาเจ็ดทาง และท่านจะเป็นที่น่าสยดสยองยิ่งแก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นทั่วโลก 26ซากศพของท่านจะเป็นอาหารของบรรดานกในอากาศและของสัตว์ป่าในโลก และไม่มีผู้ใดขับไล่ฝูงสัตว์เหล่านั้นไปได้ 27พระยาห์เวห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีอียิปต์ ด้วยแผลร้าย ด้วยโรคกลาก และด้วยโรคคัน ซึ่งจะรักษาไม่ได้ 28พระยาห์เวห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยความวิกลจริต ตาบอด และให้จิตใจยุ่งเหยิง 29ท่านจะคลำไปในเวลาเที่ยงเหมือนคนตาบอดคลำไปในความมืด และท่านจะไม่มีความเจริญในทางของท่าน ท่านจะถูกบีบคั้นและถูกปล้นอยู่เสมอ และจะไม่มีใครช่วยท่านเลย 30ท่านจะหมั้นหญิงคนหนึ่งไว้เป็นภรรยา และชายอื่นจะเข้าไปนอนกับนาง ท่านจะสร้างบ้าน แต่จะไม่ได้อาศัยอยู่ในนั้น ท่านจะปลูกสวนองุ่น แต่ท่านจะไม่ได้เก็บผล 31คนจะฆ่าโคของท่านต่อหน้าต่อตาท่าน ท่านจะไม่ได้รับประทานเนื้อโคนั้น เขาจะมาแย่งชิงลาไปต่อหน้าต่อตาท่าน และเขาจะไม่เอากลับคืนมาให้ท่าน ฝูงแพะแกะของท่านจะถูกเอาไปให้ศัตรูของท่าน และจะไม่มีใครช่วยท่านเลย 32เขาจะเอาบุตรชายและบุตรสาวของท่านไปให้แก่ชนชาติอื่น ตาของท่านจะมองดูและหม่นหมองด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา ส่วนมือของท่านก็ไร้เรี่ยวแรง 33ชนชาติที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อนจะมารับประทานพืชผลแห่งพื้นดินของท่าน และกินผลงานของท่าน เขาจะบีบคั้นและเหยียบย่ำท่านเสมอไป 34ดังนั้นภาพที่ท่านเห็นจึงจะทำให้ท่านบ้าคลั่งไป 35พระยาห์เวห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีร้ายที่หัวเข่าและที่ขา ซึ่งท่านจะรักษาให้หายไม่ได้ เป็นตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมของท่าน
36“พระยาห์เวห์จะทรงนำท่านและกษัตริย์ผู้ที่ท่านแต่งตั้งไว้เหนือท่านนั้น ไปยังชนชาติซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จักมาก่อน ณ ที่นั่นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นที่ทำด้วยไม้และหิน 37ท่านจะเป็นที่น่ากลัว เป็นภาษิต เป็นที่โจษจันกันท่ามกลางชนชาติทั้งหลายที่พระยาห์เวห์ทรงพาท่านไปนั้น 38ท่านจะหว่านเมล็ดพืชมากมายไว้ในนาและเก็บผลเข้ามาแต่น้อย เพราะตั๊กแตนปาทังก้าจะกัดกินเสีย 39ท่านจะปลูกและแต่งต้นองุ่น แต่ท่านจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเก็บผลเข้ามา เพราะตัวหนอนจะกินมันเสีย 40ท่านจะมีต้นมะกอกอยู่ทั่วอาณาเขตของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้น้ำมันมาชโลมตัวท่าน เพราะว่าผลมะกอกของท่านจะร่วงหล่นเสีย 41ท่านจะมีบุตรชายและบุตรสาว แต่จะไม่เป็นของท่าน เพราะเขาจะตกไปเป็นเชลย 42ต้นไม้ทั้งหลายของท่านและผลจากพื้นดินของท่านนั้นตั๊กแตนจะกัดกินเสีย 43คนต่างด้าวซึ่งอยู่ท่ามกลางท่านจะสูงขึ้นเหนือท่านทุกทีๆ และท่านจะต่ำลงทุกทีๆ 44เขาจะให้ท่านทั้งหลายยืม และท่านจะไม่มีให้เขายืม เขาจะเป็นหัว และท่านจะเป็นหาง 45คำสาปแช่งทั้งหมดนี้จะลงมาเหนือท่านไล่ตามท่าน และจะตามทันท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย เพราะว่าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ที่จะรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ 46สิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เหนือท่าน และเหนือลูกหลานของท่านเป็นนิตย์
47“เพราะท่านไม่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยความยินดีและใจชื่นชม เพราะเหตุมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์ 48เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องปรนนิบัติศัตรูของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงใช้มาต่อสู้ท่าน ด้วยความหิวและกระหาย เปลือยกายและขัดสนทุกอย่าง และพระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่าน จนกว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสียสิ้น 49พระยาห์เวห์จะทรงนำประชาชาติหนึ่งมาต่อสู้กับท่านจากทางไกล จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เร็วเหมือนนกอินทรีบินมา เป็นประชาชาติที่ท่านไม่รู้จักภาษาของเขา 50เป็นประชาชาติที่มีหน้าตาดุ คือผู้ซึ่งไม่เคารพผู้อาวุโสและไม่พอใจหนุ่มสาว 51และจะรับประทานลูกสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว เหล้าองุ่นใหม่ หรือน้ำมัน ลูกโคหรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะทำให้ท่านพินาศ 52เขาจะล้อมท่านไว้ทุกเมืองจนกำแพงสูงและเข้มแข็งซึ่งท่านไว้วางใจนั้นพังทลายลงทั่วแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 53ท่านจะต้องรับประทานพงศ์พันธุ์แห่งร่างกายของท่าน คือเนื้อบุตรชายและบุตรสาวของท่าน ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากนั้น 54ผู้ชายสำรวยและสำอางเหลือเกินในหมู่พวกท่าน จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อพี่น้องของตน ต่อภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของตน และต่อลูกๆ ที่เหลืออยู่กับตน 55เขาจะไม่ยอมให้ใครได้เนื้อลูกของตนซึ่งกำลังกินอยู่ เพราะไม่มีอะไรเหลือให้เขาอีกแล้ว ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง 56ผู้หญิงสำรวยและสำอางในหมู่พวกท่าน ซึ่งไม่เคยย่างเท้าลงดิน เพราะเป็นคนสำอางและสำรวยอย่างนั้น จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อสามีในอ้อมอกของเธอ และต่อบุตรชายและบุตรสาวของเธอ 57แม้แต่กับรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะแอบกินเป็นอาหาร เพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง
58“ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ที่จะให้ยำเกรงพระนามอันทรงเกียรติและน่าเกรงขามนี้ คือพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 59แล้วพระยาห์เวห์จะทรงนำมาสู่ท่านและลูกหลานของท่านซึ่งความทุกข์ใจอย่างผิดธรรมดา ความทุกข์ใจร้ายแรงและเนิ่นนาน และความเจ็บป่วยต่างๆ ที่ร้ายแรงและเรื้อรัง 60และพระองค์จะทรงนำโรคทั้งหลายแห่งอียิปต์ ซึ่งท่านกลัวนั้นมาสู่ท่านอีก และมันจะติดพันท่านอยู่ 61โรคทุกอย่างและความทุกข์ใจทุกอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้ พระยาห์เวห์จะทรงนำมายังท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย 62แม้ว่าพวกท่านมีมากอย่างดวงดาวในท้องฟ้านั้น ท่านก็จะเหลือแต่จำนวนน้อย เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 63ซึ่งพระยาห์เวห์พอพระทัยที่จะทรงทำดีต่อท่าน และทรงอวยพรให้ท่านทวีมากขึ้นนั้น พระองค์ก็จะพอพระทัยที่จะทรงทำให้ท่านพินาศและทรงทำลายท่านเสียเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องถูกถอนออกไปเสียจากแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะเข้ายึดครองนั้น 64และพระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั่นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก คือพระซึ่งทำด้วยไม้และหิน 65เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ นั้น ท่านจะไม่พบความสบายเลย ส้นเท้าของท่านจะไม่มีที่หยุดพัก เพราะพระยาห์เวห์จะประทานให้ท่านมีจิตใจที่หวาดหวั่น มีตาที่มืดมัวลง และมีชีวิตที่ค่อยๆ วอดลง 66และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ในความสงสัยต่อหน้าท่าน ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางคืนและกลางวัน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย 67ในเวลาเช้าท่านจะกล่าวว่า ‘ถ้าเป็นเวลาเย็นก็จะดี’ และในเวลาเย็นท่านจะกล่าวว่า ‘ถ้าเป็นเวลาเช้าก็จะดี’ เพราะความครั่นคร้ามที่ท่านมีอยู่นั้น และเพราะสิ่งที่ตาท่านจะเห็น 68และพระยาห์เวห์จะนำท่านกลับมาทางเรือถึงอียิปต์ เป็นการเดินทางซึ่งข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าท่านจะไม่พบเห็นอีกเลย ณ ที่นั่นท่านจะต้องมอบตัวขายให้ศัตรูเป็นทาสชายและทาสหญิง แต่จะไม่มีผู้ใดซื้อท่าน”
อรรถาธิบาย
6. รับใช้พระเจ้า
ในพระธรรมตอนนี้เราเห็นผลร้ายของชีวิตที่ไม่ได้มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่เชื่อฟังพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ ไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์อย่างระมัดระวัง (ข้อ 45) และไม่ปรนนิบัติพระเจ้า (ข้อ 47) เรายังเห็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงจากเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเอง
ในชีวิตของผมเอง ผมได้เห็นบางสิ่งที่ถูกบรรยายไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปี ก่อนที่ผมจะมีประสบการณ์ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า: ‘ฟ้าสวรรค์ที่อยู่เหนือศีรษะของท่านจะเป็นทองเหลือง’ (ข้อ 23) ผมได้เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการถูกแยกจากพระเจ้า
เราจะเห็นว่า ’พระยาห์เวห์จะประทานให้ท่านมีจิตใจที่หวาดหวั่น มีตาที่มืดมัวลง และมีชีวิตที่ค่อย ๆ วอดลง และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ในความสงสัยต่อหน้าท่าน ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางคืนและกลางวัน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย’ อย่างไร (ข้อ 65–66) ‘ความกังวลคือวงจรของความคิดที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งวนเวียนอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของความกลัว’ (คอรี่ เทน บูม) นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสันติสุขและความชื่นชมยินดีที่พระเยซูทรงมอบให้
แน่นอน บางครั้งผมเองก็ล้มเหลวในการรับใช้ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ แต่ข่าวดีคือในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ และการสาปแช่งที่เราสมควรได้รับ นั่นคือ ‘พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา’ (กาลาเทีย 3:13)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 18:1-8
เมื่อได้อ่านคำอุปมาเรื่องหญิงม่ายผู้ไม่ยอมแพ้ ฉันได้นึกย้อนกลับไปถึงคำอธิษฐานบางประการ ที่ฉันได้เคยอธิษฐานแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ฉันคิดว่าฉันคงต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า และไม่ยอมแพ้
ข้อพระคำประจำวัน
ลูกา 18:27
'แต่พระองค์ตรัสว่า "สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้"'
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)