วัน 106

การทรงสถิต

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 46:1-11
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 17:11-37
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 26:1-28:14

เกริ่นนำ

ถ้าคุณรักใครสักคน สิ่งที่คุณปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่ได้อยู่ใกล้กับคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะดูภาพถ่าย โทรศัพท์คุยกัน ส่งอีเมล หรือข้อความ หรือไม่ว่าจะ Skype, Zoom และ FaceTime ทั้งหมดนี้คือช่องทาง การติดต่อสื่อสารกัน แต่ก็ยังไม่มีวิธีไหนเทียบได้กับการใช้เวลาด้วยกันแบบตัวต่อตัว

สิ่งที่อาดัมและเอวาสูญเสียไปในสวนเอเดนเมื่อพวกเขาทำบาปคือการทรงสถิตของพระเจ้า สำหรับชนชาติอิสราเอลแล้ว สิ่งที่เหนือกว่าการมีกฎหมายหรือธรรมบัญญัติ คือ การที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขา พระวิหารไม่ใช่สถานที่สำหรับถวายเครื่องบูชา แต่เป็นที่ประทับของพระเจ้า การถูกกวาดเป็นเชลยถือเป็นหายนะสำหรับคนของพระเจ้า เพราะพวกเขาจะออกห่างจากการทรงสถิตของพระองค์

พระเจ้าสัญญาว่าจะอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์อีกครั้ง พระสัญญานี้สำเร็จโดยการเสด็จมาของ พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับคุณ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 46:1-11

พระเจ้าทรงปกป้องนครของพระองค์

ถึงหัวหน้านักร้อง ของตระกูลโคราห์ ตามทำนองอาลาโมท บทเพลง

1พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา
 เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก
2ฉะนั้นเราจะไม่กลัว แม้ว่าแผ่นดินโลกจะเปลี่ยนแปลงไป
 แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล
3แม้ว่าน้ำทะเลคึกคะนองและฟองฟู
 แม้ว่าภูเขาสั่นสะเทือนเพราะทะเลอลวนนั้น
4มีแม่น้ำสายหนึ่งที่คลองระบายทำให้นครของพระเจ้ายินดี
 คือที่ประทับบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด
5พระเจ้าสถิตกลางพระนคร นครนั้นจะไม่สั่นคลอน
 พอรุ่งอรุณพระเจ้าจะทรงช่วยนครนั้นไว้
6บรรดาประชาชาติก็อลหม่าน และราชอาณาจักรทั้งหลายก็คลอนแคลน
 พระองค์เปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็ละลายไป
7พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย
 พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา
8มาเถิด มาดูพระราชกิจของพระยาห์เวห์
 ว่าพระองค์ทรงทำให้ร้างเปล่าในแผ่นดินโลกอย่างไร
9พระองค์ทรงให้สงครามสงบจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
 พระองค์ทรงหักคันธนูและฟันหอกเสีย
 พระองค์ทรงเผาโล่กลมด้วยไฟ
10“จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า
 เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก”
11พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย
 พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา

อรรถาธิบาย

‘พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย’

การทรงสถิตของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีความเกี่ยวข้องกับกรุงเยรูซาเล็มอันเป็นเมืองของพระเจ้า ‘พระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี ความเกี่ยวข้องกับพระวิหาร ‘ที่ประทับบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด’ (ข้อ 4ข) ‘พระเจ้าสถิตกลางพระนคร’ (ข้อ 5ก) ‘พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย’ (ข้อ 7, 11)

เมื่อพระเยซูทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงประกาศว่าพระวรกายของพระองค์เป็นพระวิหารที่พระเจ้า ทรงประทับอยู่ (ดู ยอห์น 2:19–22) ในวันเพ็นเทคอสต์ การทรงสถิตของพระเจ้าลงมาอยู่เหนือประชากรของ พระองค์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่การ ทรงสถิตของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในพระวิหาร แต่อยู่กับประชากรของพระองค์ ที่เป็น ‘วิหารอันบริสุทธิ์’ (เอเฟซัส 2:19–22)

ในชีวิตประจำวันดูเหมือนมีอะไรมากมายที่ต้องทำอยู่เสมอ และมีการทดลองใจให้อยากกระตือรือร้นและลงมือ ทำมัน แต่พระเจ้าทรงหนุนใจให้คุณ ‘นิ่งเสียและรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า’ (สดุดี 46:10) ถ้าคุณใช้เวลาอยู่นิ่งและ ฟังพระองค์ คุณจะเห็นพระพรบางอย่างที่มาจากการที่ได้รู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับคุณเช่นเดียวกับใน พระธรรมสดุดีนี้

  1. สันติสุข
    ‘พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบากฉะนั้นเราจะไม่กลัว’ (ข้อ 1–2ก)

  2. ความชื่นชมยินดี
    ‘มีแม่น้ำสายหนึ่งที่คลองระบายทำให้นครของพระเจ้ายินดี’ (ข้อ 4 ก) พระเยซูทรงตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต’ (ยอห์น 7:38) แม่น้ำสายนี้ไม่ได้มีอยู่จริงในเชิงกายภาพ แต่อยู่ในใจคุณ

  3. ความปลอดภัย ‘พระเจ้าสถิตกลางพระนคร นครนั้นจะไม่สั่นคลอน พอรุ่งอรุณพระเจ้าจะทรงช่วยนครนั้นไว้’ (สดุดี 46:5)

  4. การปกป้องคุ้มครอง
    ‘พระยาห์เวห์จอมทัพสถิตกับเราทั้งหลาย พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของเรา’ (ข้อ 7, 11) ‘พระเจ้าต่อสู้เพื่อเรา’ และ ‘ปกป้องเรา’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ ‘นิ่งเสียและรู้เถิดว่า(พระองค์)คือพระเจ้า’ (ข้อ 10) ข้าพระองค์ขอมอบความกลัว ความวิตก และความกังวลไว้ที่พระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ลูกสามารถไว้วางใจในพระองค์ได้ ขอบคุณการทรงสถิตของพระองค์ ขอบคุณสำหรับสันติสุข ความชื่นชมยินดี ความปลอดภัย และการปกป้องดูแลที่พระองค์ทรงมอบให้
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 17:11-37

การทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคนให้หายสะอาด

 11ตามทางไปกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเสด็จเลียบระหว่างแคว้นสะมาเรียและแคว้นกาลิลี 12และขณะที่พระองค์กำลังเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ พวกเขายืนอยู่แต่ไกล 13และส่งเสียงร้องว่า “เยซูนายเจ้าข้า โปรดเมตตาเราเถิด” 14เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” เมื่อพวกเขากำลังเดินไปก็หายสะอาด 15คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง 16และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย 17พระเยซูจึงตรัสว่า “มีสิบคนหายสะอาดไม่ใช่หรือ? แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน? 18ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?” 19แล้วพระองค์ตรัสกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นและไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ตัวท่านหายปกติแล้ว”

การปรากฏของแผ่นดินพระเจ้า

 20เมื่อพวกฟาริสีทูลถามพระองค์ว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “แผ่นดินของพระเจ้าจะไม่มาด้วยสิ่งที่จะสังเกตได้ 21และเขาจะไม่พูดกันว่า ‘มาดูนี่’ หรือ ‘ไปดูโน่น’ เพราะนี่แน่ะ แผ่นดินของพระเจ้านั้นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน”
 22พระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “คงจะมีเวลาหนึ่งเมื่อท่านทั้งหลายปรารถนาที่จะเห็นวันของบุตรมนุษย์ แต่จะไม่เห็น 23เขาจะพูดกับพวกท่านว่า ‘มาดูนี่’ หรือ ‘ไปดูโน่น’ อย่าไป อย่าตามเขาเลย 24เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง 25แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน 26ในสมัยของโนอาห์ เหตุการณ์เคยเป็นมาแล้วอย่างไร ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย 27พวกเขากินและดื่ม สมรสกัน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนกระทั่งถึงวันนั้นที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำมาท่วมล้างผลาญพวกเขาจนหมดสิ้น 28ในสมัยของโลท ก็เหมือนกัน เขากินดื่ม ซื้อขาย หว่านปลูก ก่อสร้าง 29แต่เมื่อถึงวันนั้นที่โลทออกไปจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันก็ตกจากฟ้ามาเผาผลาญพวกเขาจนหมดสิ้น 30ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็เป็นเหมือนอย่างนั้น 31ในวันนั้นคนที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก อย่าลงมาเก็บของข้างใน และคนที่อยู่ตามทุ่งนาก็เช่นกัน อย่าวกกลับมาเอาของ 32จงระลึกถึงภรรยาของโลทเถิด 33คนที่พยายามเอาชีวิตของตนรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิต คนนั้นจะได้ชีวิตรอด34เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีสองคนนอนเตียงเดียวกัน จะทรงรับไปคนหนึ่ง จะทรงละไว้คนหนึ่ง 35ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับไปคนหนึ่ง จะทรงละไว้คนหนึ่ง” 36สองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับไปคนหนึ่ง จะทรงละไว้คนหนึ่ง 37พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “จะเกิดขึ้นที่ไหนองค์พระผู้เป็นเจ้า?” พระองค์ตรัสตอบว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงนกแร้งจะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น”

อรรถาธิบาย

‘แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางคุณ’

ด้วยการเสด็จมาของพระเยซูและแผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าได้เสด็จมาประทับท่ามกลางประชากรของ พระองค์ พระเยซูคือ ‘อิมมานูเอล’ (แปลว่าพระเจ้าสถิตกับเรา) (มัทธิว 1:23) พระเยซูทรงสอนว่าแผ่นดิน ของพระเจ้านั้น ‘มาแล้ว’ และ ‘กำลังจะมา’

  1. การทรงสถิตของพระเจ้า ‘มาแล้ว’
    พวกฟาริสีทูลถามพระเยซูว่าแผ่นดินของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘แผ่นดินของ พระเจ้าไม่ได้มาจากการนับวันในปฏิทิน หรือเมื่อมีคนพูดว่า “ดูนี่สิ!” หรือ “นั่นมัน!” และทำไม? เพราะแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกท่านแล้ว’ (ลูกา 17:20–21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

แผ่นดินของพระเจ้าคือการปกครองและครอบครองของพระเจ้า พระเยซูทรงเปิดเผยเกี่ยวกับแผ่นดิน ของพระเจ้า โดยการประกาศข่าวประเสริฐและการรักษาคนป่วย (เช่น ข้อ 15–18) และผ่านการสิ้น พระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ด้วยการเสด็จมาของพระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ อย่างไรก็ตามการทรงสถิตของพระเจ้านั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็นด้วยตา และเราไม่สามารถพูดได้ว่า ‘มาดูนี่’ หรือ ‘ไปดูโน่น’ ได้เสมอ (ข้อ 21) แต่เวลานั้นกำลังมา เวลาแห่งการสถิตของพระองค์จะปรากฏขึ้น

  1. การทรงสถิตของพระเจ้า ‘กำลังจะมา’
    ในวันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมา นี่จะเป็นวันที่แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่อย่างสมบูรณ์ แล้วทุกคนจะเห็น ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออก จากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง’ (ข้อ 24)

นี่จะเป็นวันที่บุตรมนุษย์ได้มาปรากฏ และสำแดงพระสิริของพระองค์ (ข้อ 30) และเราจะได้เห็น พระองค์แบบหน้าต่อหน้า (1 โครินธ์ 13:12) และ ‘เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์’ (1 เธสะโลนิกา 4:17) เราจะได้มีประสบการณ์ในการทรงสถิตที่มองเห็นได้ของพระเจ้าตลอดไป

ตอนนี้อาจมองไม่เห็นการสถิตอยู่ของพระเจ้า ผู้คนจึงมุ่งความสนใจไปที่การกิน การดื่ม การสมรส การซื้อ ขาย หว่านปลูก และก่อสร้าง (ดู ลูกา 17:27–28) สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผิดในตัวเองและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ปัญหาใน สมัยของโนอาห์และของโลทคือคนส่วนใหญ่ไม่ฟังคำเตือน พระเยซูทรงย้ำให้คุณเตรียมพร้อม

สิ่งที่ดูขัดแย้งก็คือ ‘คนที่พยายามเอาชีวิตของตนรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่คนที่ยอมเสียชีวิต คนนั้นจะได้ ชีวิตรอด’ (ข้อ 33) หากคุณเอาแต่พยายามค้นหาวิธีการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการมีเงินมากที่สุด ตำแหน่งสูงสุด ชื่อเสียงที่ดีที่สุด ความนิยมสูงสุด คุณก็จะพลาด หากคุณได้ตายเพราะการปฏิเสธตัวเอง และรับใช้พระเยซู คุณจะพบชีวิตที่บริบูรณ์อย่างแท้จริง

ในขณะที่คุณมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานี้คือระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกและครั้งที่สองของพระเยซู อย่าลืมขอบคุณ พระเจ้าสำหรับพระพรทั้งสิ้นของพระองค์ ในบรรดาคนโรคเรื้อนสิบคนที่พระเยซูทรงรักษา มีเพียงคนเดียวที่กลับมา ‘คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู ขอบพระคุณพระองค์’ (ลูกา 17:15–16)

เป็นเรื่องง่ายที่จะเป็นเหมือนคนโรคเรื้อนทั้งเก้าที่ลืมขอบคุณพระเยซู จงปลูกฝังท่าทีแห่งการขอบพระคุณ ใช้เวลาในการขอบคุณพระเยซูสำหรับสำหรับการที่พระองค์ทรงตอบอธิษฐาน ความรักมั่นคงของพระองค์ การให้อภัย ความเมตตาของพระองค์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพระสัญญาที่ว่าพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับคุณ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในขณะที่ผมกำลังอธิษฐานอยู่ที่ไฮด์ปาร์ค ผมตัดสินใจลองนึกย้อนกลับไปถึงหนึ่งร้อยสิ่ง ที่จะขอบคุณพระเจ้า ผมนึกออกอย่างรวดเร็ว และก็ตระหนักว่าผมแทบจะไม่ได้เขียนพระพรทั้งหมดนั้น เพื่อแสดงความขอบคุณเลย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยข้าพระองค์ที่หลงลืมที่จะขอบคุณพระองค์อยู่เสมอ ขอบคุณสำหรับการอวยพรของพระองค์
พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 26:1-28:14

ผลแรกและทศางค์

 1“เมื่อท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก และท่านเข้ายึดครอง และอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นแล้ว 2ท่านจงเอาผลแรกของพื้นดินทั้งหมดที่ท่านเก็บเกี่ยวมาจากแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน จงนำผลนั้นใส่กระจาด นำไปยังที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกไว้เพื่อให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น 3ท่านจงไปหาปุโรหิตผู้ประจำการอยู่ในเวลานั้น และกล่าวแก่เขาว่า ‘ข้าพเจ้ายอมรับในวันนี้ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ข้าพเจ้าได้เข้ามาในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของเราว่าจะประทานแก่เราทั้งหลาย’ 4แล้วปุโรหิตจะรับกระจาดไปจากมือของท่าน และวางไว้ที่หน้าแท่นบูชาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
 5“และท่านจงทูลตอบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ‘บิดาของข้าพระองค์เป็นชาวอารัมผู้เร่ร่อนไป ท่านลงไปอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นมีจำนวนน้อย ณ ที่นั่นท่านได้กลายเป็นประชาชาติหนึ่งซึ่งใหญ่โตเข้มแข็งและมีจำนวนมาก 6และชาวอียิปต์ทำความทุกข์ยากแก่เรา และข่มใจเรา และบังคับให้เราทำงานหนัก 7แล้วเราก็ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา และพระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงของเรา และทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา ความลำบากของเรา และการถูกข่มเหงของเรา 8และพระยาห์เวห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และด้วยพระกรที่เหยียดออก ด้วยความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง โดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ 9พระองค์ได้ทรงนำเรามาที่นี่และประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 10ข้าแต่พระยาห์เวห์ บัดนี้ข้าพระองค์นำผลรุ่นแรกของพื้นดินซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์มาแล้ว’ และท่านจงวางสิ่งนั้นถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และนมัสการเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 11ท่านจงยินดีด้วยของดีทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน และแก่ครอบครัวของท่าน ตัวท่านเอง คนเลวี และคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางท่าน
 12“เมื่อท่านถวายทศางค์จากผลิตผลของท่านเสร็จแล้ว ในปีที่สามซึ่งเป็นปีทศางค์ ท่านจงให้ทศางค์นั้นแก่คนเลวี และคนต่างด้าว ลูกกำพร้า และแม่ม่าย เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานให้อิ่มหนำภายในเมืองของท่าน 13แล้วท่านจงทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ข้าพระองค์ยกส่วนศักดิ์สิทธิ์ออกจากบ้านของข้าพระองค์แล้ว และยิ่งกว่านั้น ข้าพระองค์ได้ให้แก่คนเลวี คนต่างด้าว ลูกกำพร้า และแม่ม่าย ตามพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้แก่ข้าพระองค์ทุกประการ ข้าพระองค์ไม่ได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ และข้าพระองค์ไม่ได้ลืมเลย 14ข้าพระองค์ไม่ได้รับประทานทศางค์เมื่อไว้ทุกข์ ข้าพระองค์ไม่ได้ยกส่วนใดออกไปเมื่อข้าพระองค์เป็นมลทิน และไม่ได้อุทิศส่วนใดเพื่อผู้ตาย ข้าพระองค์ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ 15ขอพระองค์ทอดพระเนตรจากสถานประทับบริสุทธิ์ของพระองค์ คือจากสวรรค์ และขอทรงอวยพรแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์ และแก่ที่ดินซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์’

การหนุนใจสุดท้าย

 16“วันนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาท่านให้ทำตามกฎเกณฑ์และกฎหมายเหล่านี้ ฉะนั้นท่านจงระวังที่จะทำตามด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 17ในวันนี้ท่านได้ยอมรับแล้วว่า พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะดำเนินตามพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ พระบัญญัติและกฎหมายของพระองค์ และจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 18และในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงรับว่าท่านเป็นชนชาติที่เป็นของล้ำค่าของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่าน และว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ 19และว่าพระองค์จะทรงตั้งท่านให้สูงเหนือบรรดาประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้าง ในเรื่องการสรรเสริญ ชื่อเสียงและเกียรติยศ และให้ท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ดังที่พระองค์ตรัสแล้ว”

เฉลยธรรมบัญญัติ 27

ศิลาจารึกและแท่นบูชาบนภูเขาเอบาล

 1โมเสสและพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลได้บัญชาประชาชนว่า “จงรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้ 2ในวันที่พวกท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน จงตั้งศิลาก้อนใหญ่หลายก้อนขึ้น และเอาปูนโบกเสีย 3แล้วท่านจงเขียนทุกถ้อยคำของธรรมบัญญัตินี้ไว้บนนั้น เมื่อท่านข้ามไปเพื่อเข้าแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน คือแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญาไว้กับท่าน 4และเมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว จงตั้งศิลาเหล่านี้บนภูเขาเอบาลตามที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ แล้วจงโบกเสียด้วยปูน 5และจงสร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่นั่น เป็นแท่นศิลา อย่าใช้เครื่องมือเหล็กสกัดศิลาเหล่านั้น 6จงสร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยศิลาที่ไม่ต้องตกแต่ง และจงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวบนแท่นนั้นแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 7และจงถวายศานติบูชา และรับประทานเสียที่นั่น และจงยินดีเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 8และจงจารึกทุกถ้อยคำของธรรมบัญญัตินี้บนศิลานั้นอย่างชัดเจน”
 9โมเสสและปุโรหิตคนเลวีได้กล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งสิ้นว่า “โอ อิสราเอล จงเงียบและฟัง วันนี้ท่านได้มาเป็นประชากรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 10เพราะฉะนั้นท่านจงเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้ในวันนี้”

คำสาปแช่งสิบสองประการ

 11ในวันนั้นโมเสสกำชับประชาชนว่า 12“เมื่อพวกท่านยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนนั้นแล้ว ให้คนเหล่านี้ยืนบนภูเขาเกริซิม กล่าวคำอวยพรแก่ประชาชน คือสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟ และเบนยามิน 13และให้คนเหล่านี้ยืนแช่งอยู่บนภูเขาเอบาลคือ รูเบน กาด อาเชอร์ เศบูลุน ดาน และนัฟทาลี 14และให้คนเลวีกล่าวประกาศแก่อิสราเอลทั้งสิ้นด้วยเสียงดังว่า
 15“ ‘ผู้ที่ทำรูปเคารพเป็นรูปสลักหรือรูปหล่อ ซึ่งเป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระยาห์เวห์ เป็นสิ่งที่ทำด้วยฝีมือช่าง และตั้งไว้อย่างลับๆ จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงตอบและกล่าวว่า ‘อาเมน’
 16“ ‘ผู้ที่หมิ่นประมาทบิดาของตนหรือมารดาของตนอพย.20:12; ฉธบ.5:16จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 17“ ‘ผู้ที่ย้ายเสาเขตของเพื่อนบ้านฉธบ.19:14จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 18“ ‘ผู้ที่ทำให้คนตาบอดหลงทางลนต.19:14จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 19“ ‘ผู้ที่ทำให้เสียความยุติธรรมอันควรได้แก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้า และแม่ม่าย จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 20“ ‘ผู้ที่นอนกับภรรยาของบิดาตนจะถูกสาปแช่งลนต.18:8; 20:11; ฉธบ.22:30 เพราะเขาได้เปิดผ้าของบิดา’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 21“ ‘ผู้ที่สมสู่กับสัตว์เดียรัจฉานชนิดใดๆ ก็ตามอพย.22:19; ลนต.18:23; 20:15จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 22“ ‘ผู้ที่นอนกับพี่สาวหรือน้องสาวลนต.18:9; 20:17 จะเป็นบุตรสาวของบิดา หรือบุตรสาวของมารดาของตนก็ตาม จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 23“ ‘ผู้ที่นอนกับแม่ยายของตนลนต.18:17; 20:14จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 24“ ‘ผู้ที่ฆ่าเพื่อนบ้านของตนอย่างลับๆ จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 25“ ‘ผู้ที่รับสินบนให้ฆ่าบุคคลที่ไม่ได้ทำผิดจะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’
 26“ ‘ผู้ที่ไม่รักษาถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัตินี้โดยการทำตามกท.3:10จะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’

เฉลยธรรมบัญญัติ 28

พระพรของการเชื่อฟัง

 1“ถ้าท่านตั้งใจเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะทำตามพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั่วโลก 2พระพรเหล่านี้ทั้งสิ้นจะลงมาเหนือท่านและตามทันท่าน ถ้าท่านฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 3ท่านจะรับพระพรในเมือง ท่านจะรับพระพรในทุ่งนา 4พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ผลแห่งพื้นดินของท่านและพันธุ์แห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือลูกอ่อนของฝูงโคของท่าน ลูกอ่อนของฝูงแพะแกะของท่าน 5กระจาดของท่านและรางนวดแป้งของท่านจะรับพระพร 6ท่านจะรับพระพรเมื่อท่านเข้ามา และท่านจะรับพระพรเมื่อท่านออกไป
 7“พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ศัตรูผู้ลุกขึ้นต่อสู้ท่านพ่ายแพ้แก่ท่าน เขาจะออกมาต่อสู้ท่านทางเดียว และหนีจากท่านเจ็ดทาง 8พระยาห์เวห์จะทรงบัญชาพระพรให้แก่ฉางของท่าน และทุกสิ่งที่มือท่านทำ และพระองค์จะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 9พระยาห์เวห์จะทรงตั้งท่านให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระองค์ ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณแก่ท่านแล้ว ถ้าท่านรักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ 10และชนชาติทั้งหลายในโลกจะเห็นว่าเขาเรียกท่านตามพระนามพระยาห์เวห์ และเขาทั้งหลายจะเกรงกลัวท่าน 11พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง พันธุ์ของฝูงสัตว์ของท่านและผลแห่งพื้นดินของท่าน ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านว่าจะประทานแก่ท่าน 12พระยาห์เวห์จะทรงเปิดคลังฟ้าสวรรค์อันดีของพระองค์ประทานฝนแก่แผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และทรงอวยพรแก่งานแห่งมือของท่าน และท่านจะให้หลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืม 13ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะทำตาม พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง ทำให้สูงขึ้นเท่านั้นไม่ใช่ให้ต่ำลง 14และถ้าท่านไม่หันเหไปทางขวาหรือทางซ้าย จากบรรดาถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ไปติดตามปรนนิบัติพระอื่น

อรรถาธิบาย

เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์

ในพระธรรมตอนนี้ เราเห็นเบื้องหลังบางส่วนในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่อง ‘เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์’ แผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้เป็นมรดกคือที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกให้ ‘พระนามของพระองค์ประทับที่นั่น’ (26:2)

พวกเขากล่าวถึงประวัติศาสตร์ ‘เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขานมัสการ ‘เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ใน ‘เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า’ พวกเขาอธิษฐานขอการอวยพรจากพระองค์ (ข้อ 9-16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาชื่นชมยินดีใน ‘เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า’ (27:7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเจ้าได้ทรงช่วยคนของพระองค์ให้พ้นจาก ‘ความทุกข์ใจ ความลำบาก และการถูกข่มเหง’ (26:7) นี่เป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับชีวิตที่ปราศจากการทรงสถิตของพระเจ้า พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ว่า ‘เป็นของล้ำค่าของพระองค์’ (ข้อ 18) พระองค์ทรงตรัสสั่งให้พวกเขาให้สร้างแท่นบูชา เพื่อจะเป็นที่ที่พวกเขา จะได้ ‘ยินดีเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์’ (27:7)

บาป คือ สิ่งที่พาเราออกจากการทรงสถิตของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงเตือนประชากรของพระองค์ให้หลีกเลี่ยง การทำรูปเคารพ การหมิ่นประมาทบิดาและมารดา การฉ้อโกง การทำให้คนตาบอดหลงทาง ความอยุติธรรม การผิดศีลธรรมทางเพศ การฆาตกรรม และการติดสินบน (ข้อ 14–26)

ในทางตรงกันข้าม หากประชากรของพระเจ้าเชื่อฟังพระองค์ พวกเขาจะรับพระพรทั้งสิ้นของพระองค์ (28:1–14) พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอวยพรบ้านเรือน ครอบครัว งานและกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา ดังที่ จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘การเชื่อฟังไม่ควรเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันควรจะเป็นวิถีชีวิต มีความแตกต่างกันมากระหว่างคนที่เต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าทุกวัน กับคนที่ยอมเชื่อฟังเพียงเพื่อเอาตัวรอดจากปัญหา แต่พระเจ้าทรงเทพระพรของพระองค์ลงมาแก่ผู้ที่ตัดสินใจติดตามพระองค์อย่างสุดหัวใจ และเชื่อฟังพระองค์ในวิถีชีวิตของพวกเขา’

แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์นอกจากองค์พระเยซูคริสต์ แต่โดยการสิ้นพระชนม์และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ทำให้คุณได้รับการอภัยและสามารถชื่นชมยินดีในการทรงสถิตของพระเจ้า คำพยากรณ์ถึงพระสัญญาเกี่ยวกับพระพรของพระเจ้าทั้งหมดที่ปรากฏในพระธรรมตอนนี้ ในวันหนึ่งเมื่อ พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา คุณจะได้รับประสบการณ์ในความบริบูรณ์ของการทรงสถิตของพระเจ้า ทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณสำหรับพระพรทั้งหมดที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขอบพระคุณสำหรับการอภัยที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์ได้สัมผัสถึงพระพรของพระองค์ในชีวิต และในวันหนึ่ง ข้าพระองค์จะได้มีประสบการณ์การเต็มล้นในการทรงสถิตของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 46:1-2ก

‘พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก ฉะนั้นเราจะไม่กลัว’

ฉันรู้สึกดีขึ้นทันทีที่ได้อ่านพระธรรมตอนนี้ ฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับฉันในทุกสถานการณ์ ฉันต้องคอยเตือนตัวเอง อยู่เสมอว่าฉันจะ ‘ไม่กลัว’ แม้ว่าจะถูกทดลองก็ตาม ฉันพยายามทำตามที่ข้อ 10 ที่กล่าวว่า ‘จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า’

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 46:1-2ก

‘พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก ฉะนั้นเราจะไม่กลัว…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม