วัน 97

รักจากภายในสู่ภายนอก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 42:1-6ก
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 11:33-54
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-8:20

เกริ่นนำ

เซลีน หญิงสาวคนนี้มาร่วมหลักสูตรอัลฟ่าเพราะเธออธิบายไว้ว่าเป็นดั่ง ‘การแสวงทางจิตวิญญาณ’ และได้เขียนไว้ว่า ‘ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น! ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันกระหายการทรงสถิตของพระเจ้า มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนตอนฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้ง และได้จิบน้ำเย็น ๆ อุณหภูมิที่เหมาะสม ใคร ๆ ก็อยาก ดื่มและก็ดื่มมันไป แต่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ’

‘ตอนนี้ฉันกระโดดและหัวเราะร่าตลอดเวลาและอยากจะบอกทุกคนว่าพระเจ้านั้นอัศจรรย์เพียงใด แถมดูเหมือนฉันจะรักทุกคนมากขึ้นด้วย! ฉันเคยพยายามที่จะให้อภัยใครสักคน แต่ดูเหมือนมันขมขื่นและ ขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งฉันได้มาเข้าร่วมหลักสูตรอัลฟ่า ทุกอย่างมันหายไป ฉันสามารถให้อภัยคน ๆ นั้น แล้วฉันก็รักพวกเขาด้วย!’

เธอบอกว่าตอนนี้เธอ ‘หลงรักพระคริสต์อย่างสุดใจ!’ ความกระหายภายในของเธอกำลังได้รับเติมเต็ม เธอมีแสงสว่างใหม่ภายในและความรักใหม่ภายใน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 42:1-6ก

สดุดี 42

กระหายหาพระเจ้าในยามยากลำบาก

ถึงหัวหน้านักร้อง มัสคิลบทหนึ่งของตระกูลโคราห์

1กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใด
 ข้าแต่พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
2จิตใจข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า
 หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
 เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า?
3ข้าพระองค์กินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันคืน
 ขณะที่คนพูดกับข้าพระองค์วันแล้ววันเล่าว่า
 “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
4เมื่อข้าพระองค์ระบายความในใจออกมา
 ข้าพระองค์ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ คือ
ข้าพระองค์ไปกับมหาชน
 และนำพวกเขาไปเป็นกระบวนแห่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า
ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงขอบพระคุณ
 คือมวลชนกำลังฉลองเทศกาลเลี้ยง
5จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่?
 ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน?
จงหวังในพระเจ้า เพราะข้าจะยกย่องพระองค์อีก
 ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
6ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายใน
 เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงระลึกถึงพระองค์

อรรถาธิบาย

ความหิวกระหายที่ออกมาจากภายใน

มีบางครั้งไหมที่คุณรู้สึกคลุมเครือและคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรที่ทำให้คุณ ‘ใจฝ่อ’? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว ผู้เขียนสดุดีรู้ดีถึงความรู้สึกนี้ ‘จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่? ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน?’ (ข้อ 5ก) พระเจ้าไม่ต้องการให้คุณจมอยู่กับความรู้สึกนี้ เพราะพระองค์ทรงรักคุณ และปรารถนาที่จะเสริมเรี่ยวแรงให้กับคุณ

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวถึงความกระหายภายในว่าเป็นดั่ง ‘กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใดข้าแต่ พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น’ (ข้อ 1) เขากล่าวต่อว่า ‘จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความกระหายนี้ได้ ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถ เติมเต็มความกระหายฝ่ายวิญญาณของคุณได้ ให้เราทูลร้องขอการทรงสถิตของพระเจ้า เข้าเฝ้าพระองค์ (ข้อ 2) และระบายความในใจของคุณต่อพระองค์ (ข้อ 4)

การนมัสการเป็นกุญแจสำคัญ ‘ข้าพระองค์ระลึกถึงตอนที่เดินอยู่กับฝูงชนและนำหน้าขบวนของพวกเขาขึ้นไป ยังวิหารของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังฉลองเทศกาลเลี้ยง!’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ให้เราใคร่ครวญจากประสบการณ์ในอดีตเกี่ยวกับความ โปรดปรานของพระเจ้าและพระพรของพระองค์ในชีวิต สิ่งนี้จะเป็นที่หนุนจิตชูใจให้คุณวางใจในพระเจ้าต่อไป และทำให้คุณมีกำลังที่จะนมัสการพระองค์อีกครั้ง (ข้อ 5ข-6ก)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ มีเพียงการทรงสถิตของพระองค์เท่านั้นที่สามารถ ตอบสนองความกระหายภายในลึก ๆ ของข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์มีความหวังและสรรเสริญพระผู้ช่วยให้รอด และพระเจ้าของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 11:33-54

ความสว่างของร่างกาย

 33“ไม่มีใครเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่ลี้ลับหรือเอาถังครอบไว้ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง 34ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย 35ระวังให้ดี อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในตัวท่านกลายเป็นความมืด 36ถ้าทั้งตัวของท่านเต็มไปด้วยความสว่างไม่มีความมืดเลย มันก็จะสว่างไสวไปหมดเหมือนอย่างความสว่างของตะเกียงที่ส่องมายังท่าน”

การทรงกล่าวโทษพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์

 37เมื่อพระองค์ตรัสจบแล้ว คนหนึ่งในพวกฟาริสีก็เชิญพระองค์ไปร่วมรับประทานอาหาร พระองค์จึงเสด็จไปและประทับที่โต๊ะ 38เมื่อฟาริสีคนนั้นเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทำพิธีชำระก่อนรับประทานอาหารก็ประหลาดใจ 39องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านซึ่งเป็นฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามแต่เพียงภายนอก แต่ภายในพวกท่านเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40โอ คนโฉดเขลา ผู้ที่ทรงสร้างภายนอกก็ทรงสร้างภายในด้วยไม่ใช่หรือ? 41ดังนั้นจงให้ทานด้วยสิ่งที่อยู่ภายใน แล้วทุกสิ่งจะสะอาดบริสุทธิ์สำหรับพวกท่าน
 42“แต่วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านถวายทศางค์คือ ร้อยละสิบเป็นพวกสะระแหน่ ขมิ้น และพืชผักทุกชนิด แต่กลับละเว้นความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้พวกท่านควรทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นๆ ก็ไม่ควรละเว้นด้วย 43วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับกลางตลาด 44วิบัติแก่พวกท่าน เพราะว่าท่านเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ไม่ปรากฏให้เห็น และคนก็เดินเหยียบอยู่บนนั้นโดยไม่รู้เรื่อง” 45ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ การที่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนเราด้วย” 46พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่ท่านด้วยพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะท่านเอาของที่หนักเหลือรับให้มนุษย์เป็นคนแบก แต่ตัวพวกท่านเองกลับไม่ช่วยยกเลยแม้แต่นิ้วเดียว 47วิบัติแก่พวกท่าน เพราะท่านก่ออุโมงค์ให้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของท่านเองก็เป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น 48เพราะฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นพยานเห็นชอบกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และพวกท่านก็เป็นผู้ก่ออุโมงค์ให้ 49เพราะเหตุนี้พระปัญญาของพระเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ‘เราจะใช้พวกผู้เผยพระวจนะและบรรดาอัครทูตไปหาพวกเขา แล้วบางคนจะถูกพวกเขาข่มเหง และบางคนจะถูกพวกเขาฆ่า’ 50เพราะฉะนั้นคนยุคนี้แหละที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งต้องหลั่งออกตั้งแต่แรกสร้างโลก 51คือตั้งแต่โลหิตของอาเบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ที่ถูกฆ่าตายบริเวณระหว่างแท่นบูชากับพระนิเวศของพระเจ้า เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น 52วิบัติแก่ท่าน พวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะว่าท่านเอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ตัวพวกท่านเองไม่เข้าไป และเมื่อมีคนกำลังจะเข้าไป ท่านก็ขัดขวางไว้”
 53เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็เริ่มผูกพยาบาทและจู่โจมพระองค์ด้วยคำถามต่างๆ 54เพื่อคอยจับผิดในสิ่งที่พระองค์ตรัส

อรรถาธิบาย

แสงสว่างจากภายใน

เนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาไปทั่วโลก การล้างมือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม พระเยซูตรัสว่าใจที่สะอาดและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสำคัญกว่ามือที่สะอาดด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ และความคิดของคุณนั้นสำคัญจริง ๆ ดวงตาของคุณเป็นกุญแจสำคัญ มันเป็นประตูสู่ชีวิตภายใน นั่นคือเหตุผลที่สิ่งที่คุณมองนั้นมีความสำคัญมาก คุณสามารถปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตภายในของคุณผ่านทางสายตาของคุณ ดวงตาของคุณยังสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของคุณด้วยเช่นกัน

พระเยซูทรงเรียกคุณให้เติมความสว่างภายใน: ‘ดวงตาของท่านเปรียบเสมือนแสงประทีปส่องสว่างทั่วร่างกาย หากตาของท่านเปิดกว้างด้วยความอัศจรรย์ใจและความเชื่อ ร่างกายของท่านก็เต็มไปด้วยความสว่าง แต่ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยตาที่มืดบอดหันเข้าหาความบาปและความโสโครกทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย เปิดดวงตาของท่าน ให้ประทีบสว่างอยู่เสมอ เพื่อที่ท่านจะไม่อับแสงไป รักษาชีวิตให้ส่องสว่างอยู่เสมอ’ (ข้อ 34–36, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเยซูทรงเรียกคุณให้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เข้าไปยังสถานที่ลี้ลับนั่นก็คือ หัวใจ ที่ซึ่งการใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างแท้จริงเกิดขึ้น พระองค์ทรงเรียกให้คุณบริสุทธิ์จากภายในไม่ใช่แค่ภายนอก (ข้อ 39) สิ่งที่ออกมาภายนอกนั้นจะไม่ดีเลยหากภายในของคุณเต็มไปด้วย ‘ความโลภและความชั่วร้าย’ (ข้อ 39)

สิ่งสำคัญของชีวิตภายในตามที่พระเยซูตรัสคือ คนยากจน ‘จงให้ทานตามซึ่งเจ้ามีอยู่ภายใน และดูเถิด สิ่งสารพัดก็บริสุทธิ์แก่เจ้าทั้งหลาย’ (ข้อ 41, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) จงชำระล้างจิตใจของคุณ

พระเยซูตรัสต่อไปว่า การให้และการถวายนั้นไม่เพียงพอหากคุณไม่มี ‘ความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า’ (ข้อ 42)

ดังที่คุณพ่อราเนียโร แคนตาลาเมซซา เขียนไว้ว่า ‘คงเป็นเรื่องผิดพลาดที่จะคิดว่า การเรียกร้องเรื่องชีวิตภายใน อาจส่งผลเสียต่อการอุทิศตัวอย่างแรงกล้าของเราต่อแผ่นดินของพระเจ้า และความยุติธรรม นี่ไม่ใช่การลดความสำคัญของการกระทำเพื่อพระเจ้า แต่เพราะชีวิตภายในเป็นการวางรากฐาน และทำให้การอุทิศตัวเพื่อพระเจ้าสามารถดำเนินต่อไปได้’

พระเยซูทรงเตือนผู้นำทางความเชื่อเกี่ยวกับท่าทีภายในใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็สามารถล้มลงได้ อย่างง่ายดายเช่นกัน พระคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับพวกเราในการเป็นผู้นำทุกรูปแบบ พระเยซูเตือน ไม่ให้กระทำดังนี้:

  1. ให้ความสำคัญในตนเอง
    ‘ท่านชอบที่นั่งอันมีเกียรติ’ (ข้อ 43)

  2. หลงใหลการเป็นที่ยอมรับ
    ‘ชอบให้เขาคำนับกลางตลาด’ (ข้อ 43)

  3. ความหน้าซื่อใจคด
    ถือเป็นสิ่งที่อันตรายมากเมื่อเราสอนถึงมาตรฐานที่เราเองก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบนั้นได้ ‘ท่านเอาของที่หนักเหลือรับให้มนุษย์เป็นคนแบก แต่ตัวพวกท่านเองกลับไม่ช่วยยกเลยแม้แต่นิ้วเดียว’ (ข้อ 46)

พระเยซูไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับผู้คนเรื่องชีวิตภายในของพวกเขา พระองค์ไม่กลัวการเผชิญหน้าและ ไม่กลัวการสร้างศัตรู ไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำทางความเชื่อเหล่านั้นเริ่มต่อต้านพระองค์อย่างดุเดือด (ข้อ 54)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ตาของข้าพระองค์มองเฉพาะสิ่งที่สว่างจากภายใน โปรดเจิมพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมาที่ข้าพระองค์ในวันนี้ ขอให้หัวใจของข้าพระองค์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ความยุติธรรม และความรักของพระองค์
พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-8:20

พระมหาบัญญัติ

 1“ต่อไปนี้เป็นพระบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมาย ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านจะได้ทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น 2เพื่อท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านและบุตรหลานของท่านตลอดชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของท่านจะยืนยาว 3โอ คนอิสราเอล จงฟังและจงระวังที่จะทำตามเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และเพื่อท่านทั้งหลายจะทวียิ่งขึ้นในแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญากับท่าน
 4“โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเราพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเรา 5ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน 6และจงให้ถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน 7และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น 8จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ 9และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน

การตักเตือนเรื่องการไม่เชื่อฟัง

 10“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงพาท่านมาถึงแผ่นดินซึ่งทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านคือกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่าจะให้แก่ท่าน มีเมืองใหญ่และดีซึ่งท่านไม่ได้สร้าง 11และมีบ้านที่เต็มไปด้วยของดีซึ่งท่านไม่ได้สะสมไว้ และบ่อน้ำซึ่งท่านไม่ได้ขุด และสวนองุ่นกับสวนมะกอกซึ่งท่านไม่ได้ปลูกไว้ และเมื่อท่านได้รับประทานก็อิ่มหนำ 12แล้วจงระวังตัวเกรงว่าพวกท่านจะลืมพระยาห์เวห์ผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือออกจากแดนทาส 13ท่านจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ และสาบานโดยออกพระนามของพระองค์ 14ห้ามท่านทั้งหลายติดตามพระอื่น ซึ่งเป็นพระของชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบท่าน 15เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้สถิตท่ามกลางท่าน เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน เกรงว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงพระพิโรธต่อท่าน และทรงทำลายท่านเสียจากพื้นแผ่นดินโลก
 16“ห้ามทดลองพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เหมือนที่ได้ทดลองพระองค์ที่มัสสาห์ 17ท่านทั้งหลายจงตั้งใจรักษาบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และพระโอวาทของพระองค์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ 18พวกท่านจงทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ เพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และเพื่อท่านจะได้เข้ายึดครองแผ่นดินดีซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณที่จะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน 19โดยขับไล่ศัตรูทั้งสิ้นของท่านออกไปให้พ้นหน้าท่าน ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้
 20“ในอนาคต บุตรของท่านจะถามท่านว่า ‘พระโอวาท กฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาท่านทั้งหลายไว้นั้นมีความหมายว่าอะไร?’ 21แล้วท่านจะตอบบุตรของท่านว่า เราเป็นทาสของฟาโรห์ในอียิปต์ และพระยาห์เวห์ทรงนำเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 22และพระยาห์เวห์ทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่และน่ากลัวเหนืออียิปต์ เหนือฟาโรห์ และเหนือราชวงศ์ของท่าน ต่อหน้าต่อตาเราทั้งหลาย 23แล้วพระองค์ทรงนำเราออกมาจากที่นั่น เพื่อจะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินซึ่งทรงปฏิญาณกับบรรพบุรุษของเราแก่เรา 24พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เราทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ทั้งสิ้น คือให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเพื่อเป็นผลดีแก่เราเสมอ เพื่อจะทรงรักษาชีวิตของเราไว้ให้คงอยู่จนทุกวันนี้ 25ถ้าเราทั้งหลายจะระวังที่จะทำตามพระบัญญัติทั้งหมดนี้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ดังที่ทรงบัญชาเราไว้ ก็จะเป็นความชอบธรรมแก่เราทั้งหลาย’

เฉลยธรรมบัญญัติ 7

ชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

 1“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงพาท่านเข้าแผ่นดิน ซึ่งท่านกำลังจะเข้ายึดครอง และขับไล่ชนหลายชาติให้พ้นหน้าท่าน คือคนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ชนเจ็ดชาตินี้ ใหญ่โตกว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน 2และเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ให้ท่าน และท่านจะตีเขาให้พ่ายแพ้ไปนั้น ท่านต้องทำลายเขาให้หมดสิ้น อย่าทำพันธสัญญาใดๆ กับเขาเลย และอย่ามีความเมตตาต่อเขาด้วย 3อย่าเกี่ยวดองกับเขาโดยการแต่งงาน อย่ายกบุตรสาวของท่านให้แก่บุตรชายของเขา หรือรับบุตรสาวของเขามาให้บุตรชายของท่าน 4เพราะเขาจะทำให้บุตรชายของท่านหันจากการติดตามเราไปปรนนิบัติพระอื่นๆ แล้วพระยาห์เวห์จะทรงพระพิโรธต่อท่านทั้งหลายและจะทรงทำลายท่านอย่างรวดเร็ว 5แต่จงทำกับเขาทั้งหลายอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงพังแท่นบูชาของพวกเขาและทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสีย จงโค่นบรรดาเสาอาเช-ราห์สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ อาจจะเป็นเสาไม้แกะสลัก หรือรูปเคารพเจ้าแม่ของเขาและเผารูปเคารพแกะสลักของเขาเสียด้วยไฟ
 6“เพราะว่าท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติทั้งสิ้นที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติของพระองค์ เป็นของล้ำค่าของพระองค์ 7ที่พระยาห์เวห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น ไม่ใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าชนชาติอื่น เพราะในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านมีจำนวนน้อยที่สุด 8แต่เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักท่านทั้งหลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน พระยาห์เวห์จึงทรงนำท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านจากแดนทาส จากพระหัตถ์ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ 9ฉะนั้นจงทราบเถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าซื่อสัตย์ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคง ต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน 10และทรงตอบแทนผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อตัวเขาเอง โดยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบแทนต่อตัวเขาเอง 11ดังนั้นพวกท่านจงระวังที่จะทำตามบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้

ผลดีของการเชื่อฟัง

 12“และเพราะท่านทั้งหลายเชื่อฟังกฎหมายเหล่านี้ โดยรักษาและทำตาม พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงกับท่าน ซึ่งทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน 13พระองค์จะทรงรักท่าน ทรงอวยพรท่านและทรงทำให้ท่านทวีจำนวนขึ้น พระองค์จะทรงอวยพรผลแห่งครรภ์ของท่านและผลแห่งพื้นดินของท่าน ข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันของท่าน ทรงให้ลูกโคและลูกแพะแกะของท่านทวีขึ้นบนแผ่นดิน ซึ่งทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่านว่าจะประทานแก่ท่าน 14ท่านจะได้รับพระพรเหนือชนทุกชาติ จะไม่มีชายหรือหญิงเป็นหมันท่ามกลางท่านหรือในหมู่สัตว์เลี้ยงของท่านด้วย 15และพระยาห์เวห์จะทรงเอาความเจ็บไข้ไปจากพวกท่าน และจะไม่ทรงให้โรคร้ายอย่างในอียิปต์ซึ่งท่านรู้จักนั้นเกิดกับท่าน แต่จะทรงให้เกิดกับผู้ที่เกลียดชังท่าน 16ท่านจงทำลายชนชาติทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงมอบให้ท่าน อย่าให้นัยน์ตาของท่านสงสารพวกเขาเลย ห้ามปรนนิบัติบรรดาพระของพวกเขาเพราะมันจะเป็นบ่วงดักท่าน
 17“ถ้าท่านจะนึกในใจว่า ‘ประชาชาติเหล่านี้ใหญ่โตกว่าข้า ข้าจะขับไล่พวกเขาได้อย่างไร?’ 18ท่านอย่ากลัวพวกเขาเลย แต่จงระลึกถึงการที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำต่อฟาโรห์และต่อคนอียิปต์ทั้งสิ้นนั้น 19โดยการทดลองยิ่งใหญ่ซึ่งนัยน์ตาของท่านได้เห็นแล้ว ทั้งโดยหมายสำคัญ การอัศจรรย์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออก ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงใช้นำท่านออกมา พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงทำต่อชนทุกชาติที่ท่านกลัวอย่างนั้นแหละ 20ยิ่งกว่านั้นอีกพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงใช้ฝูงแตนมาท่ามกลางพวกเขา จนกว่าผู้ที่เหลืออยู่และซ่อนตัวจากท่านจะถูกทำลายสิ้น 21ท่านอย่ากลัวพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตท่ามกลางท่าน ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่และน่าเกรงกลัว 22พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้จากท่านทีละเล็กทีละน้อย ท่านอย่ากำจัดเขาเสียทันที เกรงว่าสัตว์ป่าจะทวีจำนวนแก่ท่านมากไป 23แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบพวกเขาไว้ให้ท่าน และทรงทำให้เขาเกิดโกลาหลใหญ่จนเขาพินาศไป 24และพระองค์จะทรงมอบบรรดากษัตริย์ของพวกเขาไว้ในมือของท่าน และท่านจะทำให้ชื่อของพวกเขาพินาศไปจากใต้ฟ้า จะไม่มีใครยืนหยัดต่อสู้ท่านได้ จนกว่าท่านจะทำลายพวกเขาเสีย 25ท่านทั้งหลายจงเผารูปแกะสลักซึ่งเป็นรูปพระทั้งหลายของพวกเขาด้วยไฟ ห้ามโลภเงินหรือทองซึ่งปิดรูปพระอยู่นั้น หรือนำไปเป็นของท่าน เกรงว่าท่านจะหลงสิ่งนั้น เพราะมันเป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 26ห้ามนำสิ่งพึงรังเกียจเข้าไปในบ้านของท่าน เกรงว่าท่านจะเป็นเหมือนสิ่งนั้น ท่านจงรังเกียจและเกลียดมันอย่างที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำลายถวาย

เฉลยธรรมบัญญัติ 8

การตักเตือนไม่ให้ลืมพระเจ้ายามรุ่งเรือง

 1“พระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้นั้น ท่านทั้งหลายจงระวังที่จะทำตาม เพื่อจะมีชีวิตและทวีจำนวนมากขึ้น และเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณกับบรรพบุรุษของพวกท่าน 2ท่านจงระลึกถึงทางซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อจะทรงทำให้ท่านถ่อมใจ และทรงทดสอบเพื่อจะทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่ 3พระองค์ทรงทำให้ท่านถ่อมใจ ทรงปล่อยท่านให้หิว และทรงเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงทำให้ท่านเข้าใจว่า มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงสิ่งเดียว แต่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ 4ในเวลาสี่สิบปีนั้น เสื้อผ้าของท่านก็ไม่ขาด และเท้าของท่านก็ไม่บวม 5ท่านจงตระหนักในใจเถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงตีสอนท่าน เหมือนกับบิดาตีสอนบุตรของตนเช่นกัน 6เพราะฉะนั้น ท่านจงรักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน โดยดำเนินตามทางของพระองค์และยำเกรงพระองค์ 7เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงพาท่านเข้าไปในแผ่นดินที่ดี เป็นแผ่นดินที่มีลำธาร น้ำพุ และน้ำบาดาลไหลออกมากลางหุบเขาและเนินเขา 8เป็นแผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เถาองุ่น มะเดื่อและต้นทับทิม เป็นแผ่นดินที่มีน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้ง 9เป็นแผ่นดินที่ท่านจะรับประทานอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ ท่านจะไม่ขาดอะไรเลย เป็นแผ่นดินที่ศิลาเป็นเหล็ก และท่านจะขุดทองแดงได้จากภูเขา 10ท่านจะได้รับประทานจนอิ่ม และจะสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ในเรื่องแผ่นดินดีซึ่งพระองค์ประทานแก่ท่านนั้น
11“ท่านจงระวังตัว เกรงว่าจะลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน โดยไม่รักษาพระบัญญัติกฎหมายและกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ 12เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานจนอิ่ม ได้สร้างบ้านดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น 13และเมื่อฝูงโคและฝูงแพะแกะของท่านทวีจำนวนขึ้น เงินทองของท่านทวีมากขึ้น และทุกสิ่งที่ท่านมีอยู่ก็ทวีขึ้น 14แล้วใจของท่านจะผยองขึ้น และลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือออกจากแดนทาส 15ผู้ทรงนำท่านมาตลอดถิ่นทุรกันดารใหญ่น่ากลัว ซึ่งมีงูแมวเซาและแมงป่องและดินแห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ประทานน้ำจากหินแข็งแก่ท่าน 16ผู้ทรงเลี้ยงท่านด้วยมานาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก เพื่อพระองค์จะทรงทำให้ท่านถ่อมใจและทรงทดสอบท่าน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์แก่ท่านในบั้นปลาย 17จงระวังให้ดีเกรงว่าท่านจะนึกในใจว่า ‘กำลังและเรี่ยวแรงของข้านำทรัพย์มีค่านี้มาให้ข้า’ 18ท่านจงระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้ 19ถ้าท่านลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และไปติดตามพระอื่นและปรนนิบัตินมัสการพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันต่อท่านในวันนี้ว่า ท่านจะต้องพินาศแน่นอน 20เช่นเดียวกับประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำให้พินาศไปต่อหน้าพวกท่าน ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างนั้นแหละ เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

อรรถาธิบาย

รักจากภายใน

หัวใจของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเช่นเดียวกับในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ คือ ความรัก ‘ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน’ (6:5) ซึ่งในภาษาฮีบรู นั้นมีความหมายกว้างและลึกซึ้งมากเกินกว่าที่คำแปลใด ๆ จะสามารถให้คำนิยามออกมาได้ทั้งหมด นี่เองอาจสะท้อนให้เห็นว่าทำไมในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จึงใช้การแปลออกเป็นสี่รูปแบบด้วยกัน (หัวใจ จิตวิญญาณ กำลัง จิตใจ) วลีเหล่านี้มีขึ้นเพื่อเป็นข้อสรุปทั้งหมดของชีวิต รวมทั้งจิตใจภายใน และภาระใจด้วย

พระเจ้าทรงจงใจให้กฎแห่งความรักเป็นสิ่งที่ออกมาจากภายใน นั่นคือภายในจิตใจ ‘จงให้บัญญัติเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และในใจลูกหลานของท่าน’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความรักที่คุณมีต่อพระเจ้าหลั่งไหลออกมาจากความรักที่พระองค์มีต่อคุณ ความรักที่พระองค์มีต่อ คุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพทางศีลธรรมใด ๆ ที่คุณมี แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าต่างหาก ที่ทรงรักเราทั้งที่เราทำบาป อ่อนแอ และเป็นคนล้มเหลว ‘ที่พระยาห์เวห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น ไม่ใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าชนชาติอื่น เพราะในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านมีจำนวนน้อยที่สุด แต่เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักท่านทั้งหลาย’ (7:7–8ก) พระเจ้ารักคุณเพราะพระองค์รักคุณ!

พระเจ้าทรงเทความรักมาเหนือคุณเพราะนั่นเป็นพระลักษณะแห่งความรักและความสัตย์ซื่อของพระองค์ ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงกับท่าน...พระองค์จะทรงรักท่าน ทรงอวยพรท่านและทรงทำให้ท่านทวีจำนวนขึ้น’ (ข้อ 12–13)

คุณถูกเรียกให้เข้าสู่สัมพันธภาพอันใกล้ชิดและเต็มเปี่ยมด้วยความรักกับพระเจ้า อย่างไรก็ตามมีคำเตือนสามประการในบทที่ 6 นี้:

  1. อันตรายจากการละทิ้งพระเจ้าเพราะการบูชารูปเคารพอื่น - ‘ห้ามท่านทั้งหลายติดตามพระอื่น’ (6:14)
    มีการทดลองที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและรับเอาความเชื่อของสังคมเข้ามาในชีวิต อย่างไรก็ตาม พระเจ้าต้องการให้คุณยังคงสัตย์ซื่อต่อพระองค์แทนที่จะคล้อยตาม

  2. อันตรายจากการสงสัยในพระเจ้าอันเนื่องมาจากความยากลำบาก – ‘ห้ามทดลองพระยาห์เวห์’ (6:16)
    เมื่อความยากลำบากมาถึง อาจจะทำให้คิดไปได้ว่าพระเจ้าทอดทิ้งคุณ แต่คุณต้องยึดมั่นในความ สัตย์ซื่อและพระวจนะของพระเจ้าไว้อยู่เสมอ

 พระเจ้าอนุญาตให้คุณเข้าสู่การทดสอบและการทดลองต่าง ๆ เพื่อที่คุณจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ว่าการทำสิ่งต่าง ๆ ในแบบของพระองค์เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากคุณจะไม่รับใช้และนมัสการพระองค์ใน ช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต (ในหุบเขา) คุณอาจไม่รับใช้และนมัสการพระองค์อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน (บนยอดเขา) จำไว้ว่าบนยอดเขาเสริมกำลังคุณ แต่หุบเขาจะทำให้คุณเติบโต

  1. อันตรายจากการลืมพระเจ้าอันเนื่องมาจากความมั่งคั่ง – ‘เกรงว่าพวกท่านจะลืมพระยาห์เวห์’ (6:12)
    ในการเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ได้มามากเกินไป บางครั้งอาจทำให้คุณอาจลืมผู้ที่ให้สิ่งเหล่านั้นมาก็ เป็นได้ ‘ท่านจงระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้’ (8:18)

การปฏิบัติตามคำเตือนทั้งสามประการนี้ คือการตระหนักว่าสิ่งที่เป็นวัตถุเพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นสมบัติส่วนตัวหรือ ‘รูปเคารพ’ ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของคุณได้ ‘มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงสิ่งเดียว แต่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์' (8:3)

พระเยซูทรงใช้พระวจนะข้อนี้เมื่อพระองค์ถูกมารทดลองในถิ่นทุรกันดารเพื่อตอบสนองความหิวกระหายทางร่างกายในทางที่ผิด การตอบสนองของพระองค์ต่อมารซาตานเหล่านั้นคือชีวิตที่อยู่ภายใน คือความหิวกระหาย ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญกว่าสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก ความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณนี้สามารถเต็มอิ่มได้ด้วยทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ไม่ว่าคุณจะมีความสุขทางวัตถุหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญในชีวิตของคุณควรอยู่ที่ชีวิตภายใน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถตอบสนองความปรารถนาอันลึกล้ำภายในที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงประทานให้ข้าพระองค์ ขอบคุณสำหรับพระสัญญาแห่งความรักและการอวยพร โปรดช่วยให้ข้าพระองค์รักพระองค์ด้วยสุดใจสุดจิตและสุดกำลัง

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เฉลยธรรมบัญญัติ 6:12; 8:11

‘… จงระวังตัวเกรงว่าจะลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน…’

ฉันต้องพูดกับลูก ๆ หลายพันครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า ‘ระวังด้วย’ และฉันก็ยังทำอยู่ ส่วนใหญ่เพื่อความปลอดภัยทางร่างกาย แต่ความปลอดภัยทางจิตวิญญาณของพวกเขานั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องระวัง

ข้อพระคำประจำวัน

เฉลยธรรมบัญญัติ 7:13

‘พระองค์จะทรงรักท่าน ทรงอวยพรท่านและทรงทำให้ท่านทวีจำนวนขึ้น’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม