ฝ่าฟัน
เกริ่นนำ
‘คุณเห็นอะไรบ้างไหม?’ ผู้ช่วยของคาร์เตอร์ถามเขาในขณะที่ดวงตาของเขาพยายามปรับให้เข้ากับความมืด ในที่สุดคาร์เตอร์สามารถมองเห็นได้ชัดพอสมควร แต่ยากที่บอกได้เพราะมีกองสมบัติมากมายกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า
เป็นเวลากว่าสองพันปีที่เหล่านักท่องเที่ยว จอมโจรสุสานและนักโบราณคดี ต่างได้พยายามค้นหาหลุมฝัง พระศพของฟาโรห์แห่งอียิปต์ หลังจากผ่านไปหลายปีด้วยหลักฐานเพียงไม่กี่ชิ้น การค้นหาของ ฮอวอร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ต้องล้มเลิกไป
แต่คาร์เตอร์ก็สามารถฝ่าฟันและปลดล็อคสุสานอียิปต์โบราณได้ในที่สุด ไม่มีใครในโลกยุคนี้ที่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน พระศพของกษัตริย์ถูกดองห่อไว้ภายในโลงศพถึงสามชั้น ด้านในเป็นทองคำเนื้อแข็ง บนพระเศียรของกษัตริย์ประดับด้วยหน้ากากสีทองอันงดงามโอ่อ่า และมีเครื่องประดับหลายชิ้นวางอยู่บนพระกายและถูกห่อไว้
ห้องต่าง ๆ นั้นเต็มไปด้วยรูปปั้น รถม้า อาวุธ หีบ แจกัน มีดสั้น อัญมณี และบัลลังก์ นี่เป็นสุสานและสมบัติ อันล้ำค่าของกษัตริย์ตุตันคามุน ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี 1352 ถึง 1343 ก่อนคริสตกาล และใน 3265 ปีต่อมา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1922 คาร์เตอร์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้
ฮอวอร์ด คาร์เตอร์ ได้สร้างการค้นพบทางโบราณคดีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก นั่นเป็นเพราะเขาไม่ยอมแพ้ ต่อการแสวงหานี้ เขาได้ฝ่าฟันและบากบั่น สายน้ำที่สามารถตัดผ่านก้อนหินไปได้ไม่ใช่เพราะกำลังของมัน แต่เป็นเพราะความมั่นคงที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง
พระเจ้ารักคุณ พระองค์ไม่ได้ทรงยัดเยียดพระองค์เองให้คุณ แต่พระองค์สัญญาว่าจะเปิดเผยพระองค์เอง กับคุณ หากคุณยังคงแสวงหาพระองค์อยู่เสมอ
สุภาษิต 8:32-36
32“ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้จงฟังข้าพเจ้า
คนทั้งหลายที่รักษาทางของข้าพเจ้าก็เป็นสุข
33จงฟังคำสั่งสอน และจงมีปัญญา
และอย่าเพิกเฉยเสีย
34คนที่ฟังข้าพเจ้า ก็เป็นสุข
คือคนที่เฝ้าอยู่ที่ประตูรั้วของข้าพเจ้าทุกวัน
และคอยอยู่ข้างประตูบ้านของข้าพเจ้า
35เพราะคนที่พบข้าพเจ้า ก็พบชีวิต
และได้ความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
36แต่คนที่ไม่พบข้าพเจ้าก็ทำให้ตัวเองเจ็บ
ทุกคนที่เกลียดข้าพเจ้าก็รักความมรณา”
อรรถาธิบาย
แสวงหาสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าในทุก ๆ วัน
เราจะได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ของสิ่งที่คุณกำลังทำในแต่ละวันขณะที่คุณเปิดพระคัมภีร์และแสวงหาการทรงเรียกของพระเจ้า คุณกำลัง ‘เฝ้าอยู่ที่ประตูรั้ว (ของพระองค์) ทุกวัน คอยอยู่ข้างประตูบ้าน (ของพระองค์)’ (ข้อ 34) นี่คือหนทางสู่ชีวิตที่บริบูรณ์ และนี่คือวิธีที่จะ ‘ได้ความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์’ (ข้อ 35) นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย (ข้อ 35–36)
เราได้เห็นแล้วว่าสติปัญญาในพระธรรมสุภาษิตเป็นดั่งเงาของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นสติปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเรียนรู้ ‘เคล็ดลับในชีวิต’ แต่เป็นการเรียนรู้จากแหล่งของสติปัญญาโดยตรง
การแสวงหาพระเจ้าต้องใช้วินัยและความอดทนสูง คุณต้องเรียนรู้ที่จะรอคอยพระองค์ คุณอาจพลาดได้ หากคุณรีบมากเกินไป
คำอธิษฐาน
ลูกา 11:5-32
5แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านที่มีเพื่อนคนหนึ่ง และเขาไปหาเพื่อนคนนั้นในเวลาเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ 7เพื่อนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนข้าเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับตัวข้าก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าไม่สามารถลุกขึ้นไปหยิบให้ท่านได้’ 8เราบอกพวกท่านว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นไปหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าเพราะถูกคนนั้นรบเร้าอย่างมาก เขาก็จะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่คนนั้นต้องการ 9เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา 11มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอสำเนาโบราณหลายฉบับ เพิ่มข้อความว่า ขนมปัง จะเอาก้อนหินให้เขาหรือ? หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ? 12หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ? 13เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
พระเยซูและเบเอลเซบูล
14พระองค์ทรงขับผีใบ้ เมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15แต่บางคนพูดว่า “คนนี้ขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูลนายผี” 16คนอื่นๆ ก็ทดลองพระองค์โดยขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากท้องฟ้า 17แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับเขาว่า “อาณาจักรทุกแห่งที่แตกแยกกันย่อมต้องพินาศ และครัวเรือนทุกหลังย่อมต้องล่มสลาย 18ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร? เพราะพวกท่านกล่าวว่าเราขับผีออกได้โดยอาศัยเบเอลเซบูล 19ถ้าเราขับผีออกโดยอาศัยเบเอลเซบูลแล้ว ลูกน้องของพวกท่านขับมันออกโดยอาศัยใคร? เพราะเหตุนี้ ลูกน้องของพวกท่านจะเป็นผู้ตัดสินโทษท่าน 20แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว 21เมื่อคนที่มีกำลังถืออาวุธเฝ้าตึกของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ปลอดภัย 22แต่เมื่อคนที่มีกำลังมากกว่ามาต่อสู้เอาชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาวางใจนั้นไปเสีย แล้วเอาสิ่งของที่ริบมาได้นั้นมาแบ่งสันปันส่วน 23ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรามก.9:40 และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจายไป
ผีโสโครกกลับเข้ามาใหม่
24“เมื่อผีโสโครกออกมาจากใครแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบ มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปที่บ้านของข้าที่ข้าจากมานั้น’ 25และเมื่อมาถึงก็เห็นบ้านนั้นถูกกวาดและจัดเป็นระเบียบไว้แล้ว 26มันจึงไปพาผีอื่นอีกเจ็ดตัวที่ร้ายกว่าตัวมันเองเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วในที่สุดคนนั้นก็ตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนแรก”
ผู้ที่มีความสุขแท้
27ขณะที่พระองค์กำลังตรัสคำเหล่านั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนร้องทูลพระองค์ว่า “ครรภ์ที่ให้กำเนิดท่านและเต้านมที่เลี้ยงท่านนั้นก็เป็นสุข” 28แต่พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้วถือรักษาไว้ต่างหากที่เป็นสุข”
การแสวงหาหมายสำคัญ
29เมื่อฝูงชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระองค์ก็ตรัสว่า “คนในยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย ชอบแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่พวกเขาเว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น 30เพราะว่าโยนาห์เคยเป็นหมายสำคัญให้กับชาวนีนะเวห์อย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะเป็นหมายสำคัญให้กับคนยุคนี้อย่างนั้น 31ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าพระนางนั้นมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่ 32ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้และกล่าวโทษพวกเขา เพราะว่าชาวนีนะเวห์กลับใจใหม่เพราะการประกาศของโยนาห์ และผู้ที่ใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่
อรรถาธิบาย
แสวงหาพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง
พระเยซูทรงหนุนใจให้คุณอย่าย่อท้อ พระองค์ทรงเล่าเรื่องเพื่อสำแดงอำนาจของ ‘ความไม่ย่อท้อ’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แม้กระทั่งในความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ก็ตาม (ข้อ 5–8)
จากนั้นพระองค์ก็ทรงตรัสต่อไปว่าความไม่ย่อท้อมีความสำคัญพอ ๆ กับความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า อย่างไร ‘จงขอต่อไป ... จงแสวงหาต่อไป ... จงเคาะต่อไป ... สำหรับทุกคนที่ขอและยังคงขอก็ได้รับ และผู้ที่แสวงหาและแสวงหาต่อไปก็พบ และสำหรับผู้ที่เคาะและเคาะต่อไป ประตูก็จะเปิดออก’ (ข้อ 9–10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
พระเยซูโยงเรื่องนี้ถึงการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 13) ให้เราไม่หยุดที่จะแสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ สติปัญญา และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในชีวิตของเรา
พระเยซูทรงรับมือกับเรื่องยาก ๆ บางประการ และคุณอาจได้รับเรื่องยาก ๆ นี้มาจากพระเจ้าเช่นกัน
- ความสงสัย
ผู้คนต่างมีข้อสงสัยมากมายในเรื่องนี้ พวกเขาสงสัยว่า ‘ถ้าฉันขอฉันจะได้รับไหม?’ แต่พระเยซูตรัสโดย เรียบง่ายว่า ‘เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้’ (ข้อ 9)
พระเยซูทรงเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจจะเคลือบแคลงใจเล็กน้อย เพราะพระองค์ได้ตรัสซ้ำ ๆ ในลักษณะ ที่แตกต่างกันออกไปว่า ‘จงหาแล้วจะพบ’ และอีกครั้งที่พระองค์ตรัสเป็นครั้งที่สามว่า ‘จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน’
พระองค์ทรงทราบถึงธรรมชาติของมนุษย์ จึงทรงตรัสต่อเป็นครั้งที่สี่ว่า ‘เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้’ (ข้อ 10) พวกเขายังไม่เชื่อมั่น ดังนั้นพระองค์จึงตรัสเป็นครั้งที่ห้าว่า ‘ทุกคนที่แสวงหาก็พบ’ และครั้งที่หกว่า ‘ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา’
ทำไมพระองค์จึงตรัสถึงหกครั้ง? นั่นเป็นเพราะพระองค์ทราบว่าเรามีแนวโน้มที่จะสงสัย คุณอาจพบว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานอะไรให้คุณ นับประสาอะไรกับสิ่งที่ดีเลิศคือพระวิญญาณ บริสุทธิ์และของประทานที่มาจากพระวิญญาณ
- ความกลัว
แม้ว่าคุณจะเคลียร์อุปสรรคแรกคือ ความสงสัยได้แล้ว แต่คุณอาจต้องเจออุปสรรคแห่งความกลัวต่อไปได้ ความกลัวนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณจะได้รับ คำถามคือ มันจะเป็นสิ่งที่ดีไหม?
พระเยซูทรงใช้การอุปมาของบิดาที่เป็นมนุษย์ ถ้าลูกขอปลา ไม่มีพ่อคนใดที่จะยื่นงูให้ ถ้าลูกขอไข่ ไม่มีพ่อ คนใดจะยื่นแมงป่องให้ (ข้อ 11–12) เป็นการยากที่จะคิดว่าเราจะปฏิบัติต่อลูกของเราเช่นนั้นได้
พระเยซูทรงตรัสต่อไปว่า เมื่อเทียบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วพวกเราต่างเป็นคนบาป ในเมื่อคนบาปอย่างเรา ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของเรา พระเจ้าก็จะปฏิบัติต่อเราแบบนั้นด้วยเช่นกัน พระเจ้าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง หากคุณขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งดีทั้งหมดที่พระองค์ทรงประทานให้นั่นคือสิ่งที่คุณจะได้รับ (ข้อ 13)
- ไม่พึงพอใจ
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือคุณต้องขอการให้อภัยและหันหลังให้กับทุกสิ่งที่คุณรู้ว่าผิดบาป อย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณจะทำความผิดบาปไปแล้ว คุณอาจมีความรู้สึกคลุมเครือว่าไม่มีค่าควรและไม่พึงพอใจ นั่นเป็นเพราะคุณอาจไม่เชื่อว่าพระเจ้าสามารถประทานอะไรให้คุณได้
บางครั้งอาจจะทำให้เชื่อได้ว่าพระองค์จะประทานสิ่งดีให้เฉพาะคริสเตียนที่อยู่ระดับสูงเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรา แน่นอน แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า ‘พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่อยู่ระดับสูง’ แต่พระองค์ทรงตรัสว่า ‘ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์!’ (ข้อ13)
ส่วนที่สองของพระธรรมตอนนี้สอนให้เราแน่ใจว่า เรากำลังแสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง ในขณะที่บางคนกำลังมองหา ‘หมายสำคัญจากท้องฟ้า’ (ข้อ 16) คนกลุ่มเดียวกันนี้อ้างถึงภูตผีปีศาจต่อสิ่งที่พระเยซูทรงทำผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 15)
พระเยซูชี้ให้เห็นว่าผีไม่สามารถขับผีด้วยกันออกเหมือนที่พระองค์ทรงทำได้ (ข้อ 17–20) จากนั้นพระองค์ตรัส กับพวกเขาว่าอย่าแสวงหา ‘หมายสำคัญ’ หมายสำคัญเดียวที่เราต้องการคือหมายสำคัญของการฟื้นคืน พระชนม์ (ข้อ 29–30) นี่เป็นหมายสำคัญที่สำแดงว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทั้งโซโลมอนและโยนาห์ (ข้อ 31–32)
อย่าแสวงหาสิ่งที่ผิด อย่าล้มเลิกในการแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำอธิษฐาน
เฉลยธรรมบัญญัติ 4:15-5:33
15“ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี เพราะในวันนั้นท่านไม่เห็นสัณฐานใดๆ เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านที่โฮเรบจากท่ามกลางไฟ 16จงระวังเถิด เกรงว่าท่านทั้งหลายจะหลงทำรูปเคารพแกะสลักสำหรับตัวเอง เป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นรูปตัวผู้หรือตัวเมีย 17เหมือนสัตว์ใดๆ ในโลก เหมือนนกที่มีปีกบินไปในอากาศ 18เหมือนสิ่งใดๆ ที่คลานอยู่บนดิน เหมือนปลาใดๆ ที่อยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน 19และจงระวังให้ดี เกรงว่าเมื่อท่านเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าและท่านเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว คือบริวารของท้องฟ้า แล้วท่านจะถูกชักนำให้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงแบ่งสรรแก่ชนชาติทั้งหลายทั่วใต้ฟ้า 20แต่พระยาห์เวห์ทรงเลือกท่านทั้งหลายและทรงนำท่านออกมาจากเตาเหล็กคือจากอียิปต์ ให้เป็นประชากรในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 21ยิ่งกว่านั้น เพราะท่านทั้งหลายเป็นเหตุ พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้า และทรงปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนและจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินดี ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านเป็นมรดก 22แต่ข้าพเจ้าจะตายเสียในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่ท่านทั้งหลายจะได้ข้ามไปและยึดครองแผ่นดินดีนั้น 23จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าท่านทั้งหลายจะลืมพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งทรงทำไว้กับท่าน และสร้างรูปเคารพแกะสลักเป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงห้ามไว้นั้น 24เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ ทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหน
25“เมื่อท่านมีลูกและมีหลานและได้อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นเวลานาน และถ้าท่านหลงทำรูปเคารพแกะสลักเป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด และทำชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เป็นที่ขัดเคืองพระทัยพระองค์ 26ข้าพเจ้าขออัญเชิญฟ้าและดินมาเป็นพยานกล่าวโทษท่านในวันนี้ว่า ท่านทั้งหลายจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น ท่านจะไม่ได้อยู่ในแผ่นดินนั้นนาน แต่ท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง 27และพระยาห์เวห์จะทรงทำให้พวกท่านกระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย และท่านจะเหลือจำนวนน้อยในท่ามกลางประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงขับไล่ท่านให้เข้าไปอยู่นั้น 28ณ ที่นั่นท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระที่คนทำขึ้นด้วยไม้และหิน ซึ่งไม่สามารถมอง หรือฟัง หรือรับประทาน หรือดมกลิ่นได้ 29แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ ท่านจะพบพระองค์ 30เมื่อท่านมีความทุกข์ลำบาก และทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน ในกาลภายหน้า ท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 31เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งท่านหรือทำลายท่านหรือลืมพันธสัญญา ซึ่งทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของท่านโดยการปฏิญาณ
32“เพราะบัดนี้จงถามดูเถิดว่าในอดีตกาล คือวันที่อยู่ก่อนท่าน ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก และถามดูจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้นว่า เคยมีเรื่องใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้นบ้างไหม? หรือเคยได้ยินถึงเรื่องอย่างนี้บ้างไหม? 33มีชนชาติใดได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสออกมาจากกลางเพลิง ดังที่ท่านได้ยินและยังมีชีวิตอยู่ได้ 34หรือมีพระเจ้าองค์ใดได้ทรงพยายามไปนำชนชาติหนึ่งจากท่ามกลางอีกชนชาติหนึ่งด้วยการลองใจ ด้วยหมายสำคัญ ด้วยการอัศจรรย์ ด้วยสงคราม ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออกและด้วยเหตุน่ากลัวอย่างยิ่ง ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงทำเพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาท่าน? 35ที่ได้ทรงสำแดงแก่ท่านนั้นก็เพื่อท่านจะทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย 36พระองค์ทรงให้พวกท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากฟ้า เพื่อให้ท่านมีวินัย พระองค์ทรงให้ท่านเห็นเพลิงใหญ่ของพระองค์ในโลก และท่านได้ยินพระวจนะของพระองค์จากกลางเพลิง 37และเพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่าน และทรงเลือกเชื้อสายของเขา และทรงพาท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เอง ด้วยเดชานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ 38ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่านเสียให้พ้นหน้าท่าน และนำท่านเข้ามา และประทานแผ่นดินของพวกเขาให้ท่านเป็นมรดกดังทุกวันนี้ 39ดังนั้นจงทราบเสียในวันนี้ และตรึกตรองอยู่ในใจว่าพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินเบื้องล่าง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย 40ฉะนั้น ท่านจงรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาแก่ท่านในวันนี้ เพื่อท่านและลูกหลานที่เกิดมาภายหลังท่านจะไปดีมาดี และวันคืนของท่านจะยืนนานอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านตลอดไป”
เมืองลี้ภัยทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
41แล้วโมเสสแยกเมืองทางทิศตะวันออกฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นไว้สามเมือง 42เพื่อผู้ที่ฆ่าคนจะได้หนีไปที่นั่น คือผู้ที่ฆ่าเพื่อนบ้านโดยไม่เจตนา โดยไม่ได้เป็นศัตรูกันมาก่อน และเมื่อหนีไปเมืองใดเมืองหนึ่งในเมืองเหล่านี้ก็จะรอดชีวิต 43เมืองเหล่านี้คือ เมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบสำหรับเผ่ารูเบน และเมืองราโมทในกิเลอาดสำหรับเผ่ากาด และเมืองโกลานในบาชานสำหรับเผ่ามนัสเสห์
คำนำก่อนการปราศรัยครั้งที่สอง
44ต่อไปนี้เป็นธรรมบัญญัติที่โมเสสได้ตั้งไว้ต่อคนอิสราเอล 45เหล่านี้เป็นพระโอวาท เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมาย ซึ่งโมเสสกล่าวกับคนอิสราเอลเมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์ 46ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนที่หุบเขาตรงข้ามเบธเปโอร์ ในแผ่นดินของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้ประทับที่เฮชโบนซึ่งโมเสสและคนอิสราเอลได้ตีพ่ายไปเมื่อออกจากอียิปต์ 47คนอิสราเอลได้เข้ายึดครองแผ่นดินของท่านและแผ่นดินของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน กษัตริย์สองพระองค์ของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ทางทิศตะวันออกฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น 48ตั้งแต่อาโรเออร์ที่อยู่ริมลุ่มน้ำอารโนน ไปจนถึงภูเขาสีรีออน (คือเฮอร์โมน) 49รวมกับที่ราบทั้งหมด ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ ใต้ที่ราบแถบเนินเขาปิสกาห์
เฉลยธรรมบัญญัติ 5
พระบัญญัติสิบประการ
1โมเสสได้เรียกคนอิสราเอลทั้งหมดเข้ามา แล้วกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “โอ คนอิสราเอล จงฟังกฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวให้เข้าหูของท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้เรียนรู้ที่จะรักษาและทำตามข้อความเหล่านั้น 2พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงทำพันธสัญญากับเราที่โฮเรบ 3ไม่ใช่พระยาห์เวห์จะทรงทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเราเท่านั้น แต่ทรงทำกับเรา คือเราทุกคนผู้มีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้ 4พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านทั้งหลายหน้าต่อหน้าที่ภูเขานั้นจากท่ามกลางเพลิง 5เวลานั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระยาห์เวห์กับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระยาห์เวห์แก่ท่าน เพราะท่านกลัวเพลิง จึงไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
6‘เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือออกจากแดนทาส
7‘ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
8‘ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน 9ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน 10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราจนถึงนับพันชั่วอายุคน
11‘ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะผู้ที่ใช้พระนามของพระองค์ไปในทางที่ผิดนั้น พระยาห์เวห์จะทรงลงโทษ
12‘จงรักษาวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาไว้แก่เจ้า13จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน 14แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโต แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า 15จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้นำเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจึงทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
16‘จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และจะเป็นการดีต่อเจ้าในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า
17‘ห้ามฆ่าคน
18‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา
19‘ห้ามลักขโมย
20‘ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
21‘ห้ามโลภ ภรรยาของเพื่อนบ้าน และห้ามละโมบบ้านของเพื่อนบ้าน ไร่นาของเขา หรือทาสของเขา หรือทาสีของเขา โคของเขา หรือลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน’
โมเสสผู้ไกล่เกลี่ยให้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
22“พระยาห์เวห์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ด้วยพระสุรเสียงกึกก้องแก่ชุมนุมชนทั้งหมดของพวกท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิง เมฆ และความมืดครึ้มหนาทึบ และไม่ได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก แล้วพระองค์ทรงจารึกลงบนแผ่นศิลาสองแผ่นและประทานแก่ข้าพเจ้า
23“เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงออกมาจากท่ามกลางความมืด ขณะเมื่อภูเขานั้นมีเพลิงลุกอยู่ ท่านทั้งหลายเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า คือหัวหน้าเผ่าของท่านทั้งหมด และพวกผู้ใหญ่ของท่าน 24และท่านทั้งหลายกล่าวว่า ‘นี่แน่ะ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงสำแดงพระสิริและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเราได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากท่ามกลางเพลิง ในวันนี้เราได้เห็นพระเจ้าตรัสกับมนุษย์ และมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ได้ 25ดังนั้นทำไมเราจะต้องตาย? เพราะเพลิงยิ่งใหญ่นี้จะเผาผลาญเรา ถ้าเราได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราอีก เราก็จะต้องตาย 26เพราะในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ใครเล่าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ตรัสออกมาจากท่ามกลางเพลิงอย่างที่เราได้ยิน และยังมีชีวิตอยู่ได้? 27ท่านจงเข้าไปใกล้ และฟังทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัส และนำพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสแก่ท่านนั้นมากล่าวแก่เรา และเราจะฟังและทำตาม’
28“เมื่อท่านทั้งหลายพูดกับข้าพเจ้านั้น พระยาห์เวห์ทรงสดับเสียงถ้อยคำของท่าน และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราได้ยินเสียงถ้อยคำของชนชาตินี้ซึ่งเขาพูดกับเจ้าแล้ว ซึ่งเขาพูดกับเจ้าเช่นนั้นก็ดีอยู่ 29โอ อยากให้พวกเขามีใจเช่นนี้อยู่เสมอ คือใจที่ยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เพื่อจะเป็นการดีต่อพวกเขาตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์ 30จงไปบอกพวกเขาว่า “พวกเจ้าจงกลับไปเต็นท์ของตนทุกคนเถิด” 31แต่ตัวเจ้า จงยืนอยู่ที่นี่ใกล้เรา และเราจะบอกบัญญัติและกฎเกณฑ์และกฎหมายทั้งสิ้นแก่เจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องสอนเขาทั้งหลายเพื่อเขาจะทำตามในแผ่นดินซึ่งเราให้เขายึดครองนั้น’ 32ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังที่จะทำตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชานั้น อย่าหันไปทางขวาหรือทางซ้ายเลย 33จงดำเนินตามวิถีทางทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และท่านจะมีชีวิตยืนนานอยู่ในแผ่นดินซึ่งท่านจะยึดครองนั้น
อรรถาธิบาย
แสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ
คุณสามารถมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าได้ พระองค์ทรงตรัสกับประชาชนของพระองค์ว่า ‘ที่ได้สำแดงแก่ท่านนั้นก็เพื่อท่านตระหนัก และรับรู้เป็นการส่วนตัวว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า’ (4:35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
โมเสสกล่าวกับประชากรของพระเจ้าว่าพวกเขาจะกระจัดกระจายท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ (ข้อ 27) แต่เขาได้กล่าวอีกว่า ‘แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจท่านจะพบพระองค์’ (ข้อ 29)
เราเห็นการเน้นย้ำเช่นเดียวกันนี้ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในช่วงเริ่มต้นของบัญญัติสิบประการ เราอยู่ในโลกที่คิดว่าสิ่งเดียวที่สำคัญคือเราเกี่ยวข้องกับคนอื่นอย่างไร การที่เราเกี่ยวข้องกับผู้อื่นมีความ สำคัญอย่างยิ่งและอยู่ในพระบัญญัติข้อหกถึงสิบ (5:16–21) อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าการ ที่คุณเกี่ยวข้องกับผู้อื่น อันที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
จากความสัมพันธ์ที่มีต่อพระเจ้านี้เองที่ควรหลั่งไหลออกมาเป็นความรักไปสู่ผู้อื่น พระเจ้าไม่ได้เป็นสิ่งเสริม เติมแต่งในชีวิตของคุณ โมเสสกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ’ (4:24) พระองค์รักคุณ พระองค์ทรงเลือกคุณและต้องการอวยพรผ่านทางการทรงสถิตของพระองค์ (ข้อ 37) ทรงเป็น ‘พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา’ (ข้อ 31) พระองค์ทรงปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากการเป็นเชลยดั่งที่พระองค์ ทรงปลดปล่อยชาวอิสราเอล: ‘เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือออกจาก แดนทาส’ (5:6)
ในบริบทนี้พระองค์ทรงตรัสให้คุณวางความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ไว้เหนือสิ่งอื่นใด (บัญญัติข้อที่หนึ่งถึงข้อที่สี่, ข้อ 6–15) ลำดับความสำคัญต่อไป คือความสัมพันธ์ในครอบครัว (ข้อ 16) ตามด้วยความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่น (บัญญัติข้อที่หกถึงข้อที่เก้า, ข้อ 17–20) สุดท้ายบัญญัติข้อที่สิบ กล่าวถึงความโลภในชีวิตของคุณ (ข้อ 21)
โมเสสกล่าวให้ผู้คน ‘เชื่อฟัง’ กฎเกณฑ์เหล่านี้ รวมทั้ง ‘เรียนรู้’ และ ‘ปฏิบัติตาม’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอน นี้จาก The Message โดยผู้แปล) เช่นเดียวกับ ฮอวอร์ด คาร์เตอร์ ที่เขาได้ฝ่าฟันจนสำเร็จ ให้คุณแสวงหา พระเจ้าทุกวันอย่างไม่ย่อท้อและด้วยสุดจิตสุดใจ คุณจะพบชีวิตที่บริบูรณ์และนั่นจะเปลี่ยนวิธีที่คุณรักและ รับใช้ผู้อื่น
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เฉลยธรรมบัญญัติ 5:29ก
‘โอ อยากให้พวกเขามีใจเช่นนี้อยู่เสมอ คือใจที่ยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา’
ฉันพบว่ามันง่ายที่จะกลัวสิ่งที่น่ากลัว (ซึ่งในกรณีของฉันคือกลัวความสูง งู สุนัขเห่า และคนที่ชอบใช้ความ รุนแรง) แต่ความกลัวที่ถูกต้อง (ความเคารพยำเกรง) ต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพนั้นเป็นสิ่งที่ดี ฉันจำเป็น ต้องยำเกรงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราให้มากขึ้นเพื่อที่จะนำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในท่าทีที่ถูกต้อง ฉันชอบประโยค ต่อไปของพระธรรมข้อนี้: ‘เพื่อจะเป็นการดีต่อพวกเขาตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์!’ (ข้อ 29ข)
ข้อพระคำประจำวัน
ลูกา 11:9
‘เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)