ไม่มีพระพรใดที่ได้มาอย่างราบรื่น
เกริ่นนำ
‘ไม่มีพระพรใดที่ได้มาอย่างราบรื่น’ เป็นหนึ่งในคติพจน์ของบิชอปแซนดี้ มิลลาร์ ซึ่งเขาได้หนุนใจเราทุกคน ในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งตัวแทนของคริสตจักร โฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น ประเทศอังกฤษ เขาสอนเราว่า อย่าท้อแท้กับความยากลำบากที่เราเผชิญเพราะ ‘ไม่มีพระพรใดที่ได้มาอย่างราบรื่น’ เป็นสิ่งที่เขามักหนุนใจเราเสมอ
พระเจ้าจะอวยพรคุณด้วยวิธีที่น่าอัศจรรย์และน่าทึ่ง เนื้อหาสำหรับวันนี้เราได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับพระสัญญา ของพระเจ้า ขอบเขตและสิทธิพิเศษแห่งพระพรของพระเจ้า
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นความจริงในประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และสาวกของพระเยซู และในชีวิตของคุณก็จะเป็นจริงเช่นกันที่ ‘ไม่มีพระพรใดที่ได้มาอย่างราบรื่น’
สดุดี 41:1-6
คำอธิษฐานขอการรักษาโรค
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1ผู้ใดเอาใจใส่คนจน ก็เป็นสุข
พระยาห์เวห์จะทรงช่วยกู้เขาในวันยากลำบาก
2พระยาห์เวห์จะทรงป้องกันเขาและรักษาชีวิตเขาไว้
เขาจะได้รับพระพรในแผ่นดินนั้น
ขออย่าทรงมอบเขาให้ศัตรูทำตามใจชอบ
3เมื่อเขานอนเจ็บ พระยาห์เวห์จะทรงพยาบาลเขา
เมื่อเขาล้มป่วย พระองค์จะทรงรักษาเขาให้หายดี
4ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงพระกรุณาข้าพระองค์
ขอทรงรักษาข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์”
5พวกศัตรูกล่าวไม่ดีถึงข้าพเจ้าว่า
“เมื่อไรเขาจะตายนะ ชื่อของเขาจะได้สูญไป”
6เมื่อคนใดมาเห็นข้าพเจ้า เขาก็พูดเท็จ
ขณะที่ใจของเขาเก็บเรื่องร้าย
เมื่อเขาออกไป เขาก็ป่าวร้องไป
อรรถาธิบาย
พระพรที่ถูกขัดขวางโดยปัญหา ความเจ็บป่วยและการใส่ร้าย
พระพรมีแด่ผู้ที่ห่วงใยผู้ขัดสน
พระพรมีแด่ผู้ที่ ‘เอาใจใส่คนจน’ (ข้อ 1) คือผู้ที่คอยห่วงใยผู้อื่น เช่น คนยากจน ผู้หิวโหย คนป่วย คนติดยาเสพติดและคนที่อยู่ในคุก นี่ควรเป็นลักษณะของผู้ที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า หากคุณห่วงใย ผู้ที่ขัดสนพระเจ้าสัญญาว่าจะทรงช่วยคุณในยามลำบาก ปกป้อง รักษาชีวิตของคุณและอวยพรคุณ (ข้อ 2) พระองค์สัญญาว่าจะทรงเสริมกำลังและเยียวยารักษาคุณ (ข้อ 3) แต่พระพรเหล่านี้จากพระเจ้าอาจไม่ได้มาอย่างราบรื่นถูกขัดขวางจากปัญหา ความเจ็บป่วยและการใส่ร้าย
อาจมี ‘วันยากลำบาก’ (ข้อ 1ข) อาจมี ‘ศัตรู’ (ข้อ 2ข) อาจมีช่วงเวลาที่ ‘ล้มป่วย’ (ข้อ 3) หรืออาจมีศัตรูที่ ‘เขาก็พูดเท็จ ขณะที่ใจของเขาเก็บเรื่องร้ายเมื่อเขาออกไป เขาก็ป่าวร้องไป’ (ข้อ 6)
การตระหนักว่ามีศัตรูอยู่รอบ ๆ ตัวนั้นจะทำให้คุณระวังตัวมากขึ้น ตัวอย่างเช่นมีบางคนรวมกลุ่มกัน ‘ใส่ร้ายคุณ’ พวกเขากำลังหาเรื่องที่จะติฉินนินทาคุณเพื่อพวกเขาจะได้ ‘ป่าวร้องไป’ แต่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะอวยพรคุณ และพระองค์จะไม่มีวัน 'ทอดทิ้ง' คุณ (ข้อ 2ข)
สิ่งที่ทำให้หนุนใจอย่างมากเกี่ยวกับพระธรรมสดุดีคือพระพรแห่งการช่วยกู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดีงามที่คุณทำเสมอไป ดาวิดตระหนักดีถึงความบาปของตนเอง จึงร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อขอพระเมตตา และการรักษาในสิ่งที่เขาทำพลาดไป (ข้อ 4)
คำอธิษฐาน
ลูกา 9:57-10:24
ผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซู
57เมื่อพระองค์กับบรรดาสาวกกำลังเดินทางไป มีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น” 58พระเยซูตรัสกับเขาว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” 59แล้วพระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์ไปฝังศพพ่อก่อน” 60แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด ส่วนท่านจงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า” 61แล้วมีอีกคนหนึ่งมาทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์อำลาคนที่บ้านก่อน” 62พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ไม่มีใครที่เอามือจับคันไถแล้วหันหลังกลับ จะสมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า”
ลูกา 10
พวกเจ็ดสิบสองคนออกประกาศ
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูทรงแต่งตั้งอีกเจ็ดสิบสองสำเนาโบราณหลายฉบับว่า เจ็ดสิบคนและทรงใช้พวกเขาออกไปเป็นคู่ๆ ล่วงหน้าไปก่อนพระองค์ เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น 2พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ 3ไปเถอะ เราใช้พวกท่านออกไปเหมือนอย่างลูกแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า 4อย่าเอาถุงเงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป และอย่าทักทายใครตามทาง 5ถ้าจะเข้าไปในบ้านใดจงพูดก่อนว่า ‘ขอให้บ้านนี้มีสันติสุข’ 6ถ้ามีคนรักสันติอยู่ที่นั่น สันติสุขของพวกท่านจะอยู่กับเขา ถ้าไม่มี สันติสุขของท่านจะกลับคืนมาอยู่กับพวกท่าน 7จงอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันนั้นตลอด กินและดื่มของที่พวกเขาจัดให้นั้น เพราะว่าคนที่ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน อย่าย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น 8เมื่อพวกท่านเข้าไปในเมืองไหนและมีคนต้อนรับท่าน จงรับประทานสิ่งที่เขาจัดให้ 9และจงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หายและแจ้งกับเขาว่า ‘แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้พวกท่านแล้ว’ 10แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าไปในเมืองไหนและไม่มีใครต้อนรับท่าน จงออกไปที่กลางถนนของเมืองนั้นกล่าวว่า 11‘แม้แต่ผงคลีดินในเมืองของพวกท่านที่ติดอยู่กับเท้าของเรา เราก็จะสะบัดออกเพื่อเป็นการประท้วงท่าน แต่พวกท่านจงเข้าใจข้อความนี้ คือแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว’ 12เราบอกพวกท่านว่า โทษของเมืองโสโดมในวันนั้นจะยังเบากว่าโทษของเมืองนั้น
วิบัติแก่เมืองที่ไม่ได้กลับใจใหม่
13“วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งทำท่ามกลางพวกเจ้าได้ทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองคงได้นุ่งห่มผ้ากระสอบเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ นั่งบนขี้เถ้า กลับใจใหม่นานแล้ว 14แต่ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของพวกเจ้า 15ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม
เจ้าจะถูกยกขึ้นเทียมฟ้าหรือ?
เปล่าเลย เจ้าจะต้องลงไปถึงแดนคนตายต่างหาก
16ผู้ที่ยอมฟังพวกท่านก็ยอมฟังเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับพวกท่านก็ไม่ยอมรับเรา ผู้ที่ไม่ยอมรับเราก็ไม่ยอมรับผู้ที่ใช้เรามา”
พวกเจ็ดสิบสองคนกลับมา
17สาวกเจ็ดสิบสองคนนั้นกลับมาด้วยความยินดีทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” 18พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเห็นซาตานชื่อหนึ่งของมาร ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย 20แต่ว่าอย่าชื่นชมยินดีในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงชื่นชมยินดีที่ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”
พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์
21ในเวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น
22“พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรายน.3:35 ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้”
23พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวก ตรัสกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า “ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลายองค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน”
อรรถาธิบาย
พระพรที่ถูกขัดขวางโดยซาตานและพลังอำนาจที่ชั่วร้าย
- พระพรแห่งการเป็นสาวกพระเยซู
ในฐานะสาวกพระเยซูคุณได้รับพระพรมากกว่ามนุษย์คนใดในประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซู พระเยซูตรัสว่า ‘ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็นก็เป็นสุข เพราะเราบอกพวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะหลายคน และกษัตริย์หลายองค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็น และอยากจะได้ยินสิ่ง ที่พวกท่านได้ยิน แต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน’ (10:23–24)
พระพรนั้นยิ่งใหญ่มากเกินกว่าสิ่งใดจะเทียบได้ บางครั้งคุณอาจต้องสละความสะดวกสบาย (9:58) การประนีประนอม (ข้อ 60) และแม้กระทั่งพวกพ้อง (ข้อ 61–62)
เช่นเดียวกับ ‘เจ็ดสิบสองคน’ คุณมีพระพรอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูส่งออกไปสู่การเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ (10:2) คุณมีสิทธิพิเศษในการรักษาคนป่วยและบอกผู้คนว่า ‘แผ่นดินของพระเจ้ามาอยู่ใกล้แค่เอื้อม’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ไม่ใช่แค่สิบสองคนที่ถูกส่งออกไปเพื่อรักษาคนป่วยและประกาศถึงแผ่นดินพระเจ้า มีถึงเจ็ดสิบสองคน ออกไปและทำอย่างนั้นด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างกลับมา ‘ด้วยความยินดี’ (ข้อ 17) พระเยซูทรง ‘ทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 21) ขณะที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระพรอันแสน วิเศษที่มาถึงสาวกของพระองค์
- การขัดขวางโดยซาตานและพลังอำนาจที่ชั่วร้าย
พระเยซูทรงส่งเราไปเป็น ‘ลูกแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า’ (ข้อ 3) แต่ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่นั้นคือจิตวิญญาณ (‘เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด’, เอเฟซัส 6:12) เมื่อ ‘สาวกเจ็ดสิบสองคนนั้นกลับมาด้วยความยินดีทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่พวกผีก็อยู่ใต้บังคับของพวก ข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” [พระเยซู] ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือน ฟ้าแลบ นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ฤทธานุภาพของศัตรูนั้น…”’ (ลูกา 10:17–19) ศัตรูของเราคือซาตานและลูกสมุนของมัน
ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจแม้จะเป็นเรื่องทางอ้อม เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่าพระองค์เองก็ทรงอยู่ที่นั่น ในขณะนั้นเมื่อซาตานได้ร่วงหล่นจากฟ้าสวรรค์ตั้งแต่ก่อนการทรงสร้างโลก
อีกครั้งที่คุณได้รับชัยชนะตามพระสัญญา ซาตานต้องยอมจำนนต่อพระนามของพระเยซู (ข้อ 17,20) แต่พระเยซูตรัสว่ามีพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกและนั่นก็คือ ‘ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์’ (ข้อ 20)
คำอธิษฐาน
เฉลยธรรมบัญญัติ 1:1-2:23
การระลึกถึงเหตุการณ์ที่โฮเรบ
1ข้อความต่อไปนี้เป็นคำที่โมเสสกล่าวกับคนอิสราเอลทั้งสิ้นในถิ่นทุรกันดารฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ณ ที่ราบข้างหน้าสูฟระหว่างปารานและโทเฟล ลาบาน ฮาเซโรทและดีซาหับ 2หนทางจากโฮเรบตามแนวเขาเสอีร์จนถึงคาเดชบารเนียนั้นเป็นระยะทางสิบเอ็ดวัน 3ในวันที่หนึ่งเดือนที่สิบเอ็ด ปีที่สี่สิบ โมเสสได้กล่าวกับคนอิสราเอลตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านให้แจ้งแก่เขาทั้งหลาย 4หลังจากท่านชนะสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้อยู่ในเฮชโบน และชนะโอกกษัตริย์ของบาชาน ผู้อยู่ในอัชทาโรทที่เอเดรอีนั้นแล้ว 5โมเสสได้เริ่มอธิบายธรรมบัญญัตินี้ในแผ่นดินโมอับฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนว่า 6“พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ตรัสสั่งเราที่โฮเรบว่า ‘เจ้าพักที่ภูเขานี้นานพอแล้ว 7จงหันไปและเดินตามทางของเจ้ามุ่งไปยังแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์ และที่ใกล้เคียงกันในที่ราบของแดนเทือกเขา และในเนินเชเฟลาห์ และในเนเกบ และที่ฝั่งทะเล แผ่นดินของคนคานาอันและที่เลบานอนจนถึงแม่น้ำใหญ่คือ แม่น้ำยูเฟรติส 8ดูสิ เราได้ตั้งแผ่นดินนั้นไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว จงเข้าไปยึดครองแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณกับบรรพบุรุษของเจ้า คือกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า จะให้แก่พวกเขาและแก่เชื้อสายของเขาที่ตามมาด้วย’
การแต่งตั้งผู้นำประจำเผ่า
9“เวลานั้นข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า ‘ข้าพเจ้าคนเดียวแบกพวกท่านไม่ไหว 10พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงให้พวกท่านทวีมากขึ้น และ ดูสิ ทุกวันนี้พวกท่านมีจำนวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้า 11ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงทำให้ท่านทวีขึ้นพันเท่า และทรงอวยพรท่านดังที่ทรงสัญญากับท่านแล้วนั้น 12ข้าพเจ้าคนเดียวจะแบกภาระ ความยากลำบากและการวิวาทของพวกท่านได้อย่างไร? 13จงเลือกคนที่มีปัญญา มีความรู้และมีชื่อเสียงในเผ่าของพวกท่าน และข้าพเจ้าจะตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าของท่าน’ 14ท่านก็ตอบข้าพเจ้าว่า ‘สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นดีแล้ว เราควรจะทำ’ 15ข้าพเจ้าจึงเลือกหัวหน้าจากทุกเผ่า ซึ่งเป็นคนมีปัญญาและมีชื่อเสียง ตั้งไว้เป็นหัวหน้าเหนือท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง และพนักงานต่างๆ ตามเผ่าของท่าน 16เวลานั้นข้าพเจ้าได้กล่าวกำชับพวกตุลาการของท่านว่า ‘จงพิจารณาคดีของพี่น้องของท่านและตัดสินอย่างยุติธรรมในคดีความระหว่างชายคนหนึ่งกับพี่น้องของตน หรือกับคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเขา 17ห้ามลำเอียงในการพิพากษา จงฟังทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ให้เสมอกัน อย่ากลัวหน้ามนุษย์เลย เพราะการพิพากษานั้นเป็นของพระเจ้า และคดีใดที่ยากจงนำมาให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะพิจารณาเอง’ 18 เวลานั้นข้าพเจ้าได้สั่งพวกท่านเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ท่านควรทำ
อิสราเอลปฏิเสธที่จะเข้าแผ่นดิน
19“พวกเราได้ออกจากโฮเรบ เดินผ่านถิ่นทุรกันดารใหญ่และน่ากลัวตามที่พวกท่านเห็นนั้น เดินไปตามแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสสั่งเราไว้ และเรามาถึงคาเดชบารเนีย 20และข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านว่า ‘พวกท่านมาถึงแดนเทือกเขาของคนอาโมไรต์แล้ว เป็นที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานแก่พวกเรา 21ดูสิ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงตั้งแผ่นดินนั้นไว้ตรงหน้าท่านแล้ว จงขึ้นไปยึดครองแผ่นดินนั้น ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ตรัสกับท่านว่า อย่ากลัวหรืออย่าตกใจเลย’ 22แล้วท่านทุกคนเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า พูดว่า ‘ให้เราใช้คนไปล่วงหน้าเรา และสอดแนมดูแผ่นดินนั้นแทนเรา แล้วนำข่าวเรื่องทางที่เราจะต้องขึ้นไป และเรื่องเมืองที่เราจะไปนั้นมาให้เรา’ 23เรื่องนี้ข้าพเจ้าเห็นดีด้วย ข้าพเจ้าจึงเลือกสิบสองคนจากพวกท่านเผ่าละคน 24แล้วคนเหล่านั้นได้มุ่งหน้าขึ้นแดนเทือกเขา มาถึงหุบเขาเอชโคล์ และสอดแนมดูที่นั่น 25เขาทั้งหลายได้เก็บผลไม้ของแผ่นดินนั้นติดมือมาให้เรา และนำข่าวมาแจ้งเราว่า ‘ที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานแก่เรานั้นเป็นแผ่นดินที่ดี’
26“แต่กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมขึ้นไป กลับขัดขืนพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย 27และพวกท่านได้บ่นอยู่ในเต็นท์ของตนและพูดว่า ‘เพราะพระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังเรา พระองค์จึงทรงพาเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ จะได้มอบเราไว้ในมือคนอาโมไรต์เพื่อจะทำลายเราเสีย 28เราจะขึ้นไปที่ไหนเล่า? พวกพี่น้องของเราก็ทำให้เราใจเสียโดยกล่าวว่า “คนเหล่านั้นสูงใหญ่กว่าพวกเราอีก เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่โตและมีกำแพงสูงเทียมฟ้า ยิ่งกว่านั้นเราเห็นพวกคนอานาคอยู่ที่นั่นด้วย’ ” 29แล้วข้าพเจ้าจึงพูดกับท่านทั้งหลายว่า ‘อย่าครั่นคร้ามหรือกลัวเขาเลย 30พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้นำหน้าท่าน พระองค์จะทรงต่อสู้เพื่อท่าน ดังที่พระองค์ได้ทรงทำทุกสิ่งเพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาท่าน 31และในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งท่านได้เห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอุ้มชูท่าน ดังพ่ออุ้มลูกของตนตลอดทางที่พวกท่านไปนั้น จนท่านทั้งหลายได้มาถึงที่นี่’ 32แต่อย่างไรก็ตาม พวกท่านไม่ได้เชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน33ผู้ทรงนำทางข้างหน้าท่าน เพื่อจะหาที่ให้ท่านทั้งหลายตั้งเต็นท์ของท่าน เป็นไฟในกลางคืน เพื่อโปรดให้ท่านเห็นทางที่ควรจะไป และเป็นเมฆในกลางวัน
การลงโทษเพราะอิสราเอลกบฏ
34“พระยาห์เวห์ได้ทรงสดับเสียงพูดของพวกท่าน จึงกริ้วและทรงปฏิญาณว่า 35‘จะไม่มีสักคนเดียวในชาติพันธุ์ที่ชั่วนี้ จะได้เห็นแผ่นดินดีนั้น ที่เราปฏิญาณว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเจ้า 36นอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ เขาจะเห็นแผ่นดินนั้น และเราจะให้แผ่นดินที่เขาเหยียบนั้นแก่เขาและแก่ลูกหลานของเขา เพราะเขาได้ติดตามพระยาห์เวห์อย่างสุดใจ’ 37เพราะพวกท่าน พระยาห์เวห์ก็ทรงพระพิโรธเราด้วย ตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในที่นั้นด้วยเหมือนกัน 38โยชูวาบุตรนูนผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าจะได้เข้าไป จงสนับสนุนเขา เพราะเขาจะพาคนอิสราเอลไปครอบครองแผ่นดินนั้น 39ยิ่งกว่านั้นบรรดาลูกน้อยของพวกเจ้าที่เจ้าว่าจะถูกปล้นเอาไปนั้น และเด็กๆ ของเจ้าที่ในวันนี้ยังไม่รู้จักผิดและชอบ จะได้เข้าไปที่นั่น เราจะให้แผ่นดินนั้นแก่พวกเขา และพวกเขาจะยึดครองที่นั่น 40แต่ฝ่ายพวกเจ้าจงเดินกลับเข้าถิ่นทุรกันดารตามทางสู่ทะเลแดงเถิด’ 41“แล้วท่านทั้งหลายตอบข้าพเจ้าว่า ‘พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว เราจะขึ้นไปสู้รบตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาเราทุกอย่าง’ และท่านทั้งหลายได้คาดอาวุธเตรียมพร้อมทุกคน คิดว่าการขึ้นไปยังแดนเทือกเขานั้นเป็นเรื่องง่าย 42พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงบอกพวกเขาว่า อย่าขึ้นไปสู้รบเลย เกรงว่าพวกเจ้าจะแพ้ศัตรู เพราะเราไม่ได้อยู่ท่ามกลางเจ้า’ 43ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่พวกท่าน แต่ท่านไม่เชื่อฟัง กลับขัดขืนพระบัญชาของพระยาห์เวห์ มีใจอุกอาจขึ้นไปยังแดนเทือกเขานั้น 44และคนอาโมไรต์ที่อยู่ในแดนเทือกเขานั้น ได้ออกมาต่อสู้และไล่ตีพวกท่านดุจฝูงผึ้งไล่ และได้ฆ่าพวกท่านตั้งแต่เสอีร์จนถึงโฮรมาห์ 45และพวกท่านกลับมาร้องไห้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ทรงสดับเสียงของท่าน หรือเงี่ยพระกรรณฟังท่าน 46ท่านทั้งหลายจึงพักอยู่ที่คาเดชหลายวันตามเวลาที่ท่านได้พักอยู่นั้น
เฉลยธรรมบัญญัติ 2
ระยะปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร
1“ต่อมาพวกเราได้เดินกลับเข้าถิ่นทุรกันดารตามทางสู่ทะเลแดงดูเชิงอรรถ 1:40 ตามที่พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้า และพวกเราได้เดินวนภูเขาเสอีร์ หลายวัน 2แล้วพระยาห์เวห์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า 3‘พวกเจ้าได้เดินวนเวียนในแดนเทือกเขานี้นานพอแล้ว จงหันไปทางทิศเหนือเถิด 4และจงบัญชาประชาชนว่า พวกเจ้ากำลังจะเดินผ่านเขตแดนเมืองพี่น้องของเจ้า คือลูกหลานของเอซาวที่อยู่ในเสอีร์แล้ว และพวกเขาจะกลัวพวกเจ้า ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี 5อย่าต่อสู้เขา เพราะเราจะไม่ให้ดินแดนของเขาแก่เจ้าเลย จะไม่ให้ที่ดินแม้เพียงฝ่าเท้าเหยียบ เพราะเราได้ให้ภูเขาเสอีร์แก่เอซาวเป็นกรรมสิทธิ์ 6พวกเจ้าจงเอาเงินซื้อเสบียงอาหารจากพวกเขาเพื่อจะได้กิน และจงเอาเงินซื้อน้ำจากเขาด้วยเพื่อจะได้ดื่ม 7เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ได้ทรงอวยพรเจ้าในงานทุกอย่างที่มือของเจ้าทำ พระองค์ทรงทราบทางที่เจ้าเดินในถิ่นทุรกันดารใหญ่นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้อยู่กับเจ้ามาสี่สิบปีแล้ว เจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลย’ 8แล้วเราจึงเดินเลยไปจากพี่น้องของเราคือ พวกลูกหลานเอซาวผู้อาศัยอยู่ที่เสอีร์ ออกจากเส้นทางแห่งอาราบาห์จากเอลัทและจากเอซิโอนเกเบอร์
“และเราได้เลี้ยวไปเดินตามทางถิ่นทุรกันดารโมอับ 9และพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่าเป็นศัตรูกับพวกโมอับ และอย่ารบกับเขาเลย เพราะเราจะไม่ให้ดินแดนของเขาแก่เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เพราะเราได้ให้เมืองอาร์แก่ลูกหลานของโลทเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว’ 10(แต่ก่อนคนเอมิมอยู่ที่นั่น เป็นชนชาติใหญ่และมีจำนวนมาก และสูงอย่างคนอานาค 11คนเหล่านี้ได้ชื่ออีกว่าเรฟาอิม เหมือนคนอานาค แต่คนโมอับเรียกพวกนี้ว่าเอมิม 12เมื่อก่อนพวกโฮรีอยู่ที่เสอีร์ด้วย แต่ลูกหลานของเอซาวได้มาอยู่แทนพวกเขา และทำลายเขาเสีย และเข้าอาศัยแทนที่เขา เหมือนอิสราเอลทำต่อดินแดนที่พระยาห์เวห์ประทานให้เขาเป็นกรรมสิทธิ์นั้น) 13‘บัดนี้พวกเจ้าจงยกเดินข้ามแม่น้ำเศเรด’ พวกเราจึงข้ามแม่น้ำเศเรด 14และนับเป็นเวลาสามสิบแปดปีที่เรามาจากคาเดชบารเนีย จนเราได้ข้ามแม่น้ำเศเรด จนคนรุ่นนั้นหมดไป คือพวกผู้ชายในค่ายที่ออกรบได้นั้นตายหมด ตามที่พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณกับพวกเขา15แท้จริงพระหัตถ์พระยาห์เวห์ทรงต่อสู้พวกเขา ทรงทำลายพวกเขาจากท่ามกลางค่าย จนพวกเขาพินาศหมดสิ้น
16“ต่อมาเมื่อคนที่ออกรบได้ตายไปหมดจากท่ามกลางประชาชนแล้ว 17พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 18‘วันนี้เจ้าจะเดินข้ามเมืองอาร์เขตแดนของคนโมอับ 19และเมื่อเข้าใกล้ชายแดนของคนอัมโมน อย่าเป็นศัตรูและอย่ารบกับเขา เพราะเราจะไม่ให้ดินแดนของลูกหลานคนอัมโมนแก่เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์เลย ด้วยเราได้ให้ที่นั่นแก่ลูกหลานของโลทเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว’ 20(ทั้งที่นั่นก็นับว่าเป็นแผ่นดินของพวกเรฟาอิม แต่ก่อนคนเรฟาอิมเคยอยู่ที่นั่น แต่คนอัมโมนได้เรียกพวกเขาว่าศัมซุมมิม 21คนเหล่านั้นสูงใหญ่และมีจำนวนมาก เหมือนคนอานาค แต่พระยาห์เวห์ทรงทำลายพวกเขาเสีย และพวกอัมโมนได้ยึดครองและเข้าอยู่แทนที่เขา 22เหมือนพระองค์ได้ทรงทำต่อลูกหลานของเอซาวผู้อยู่ที่เสอีร์ เมื่อพระองค์ทรงทำลายพวกโฮรีเสีย และพวกเขาได้ยึดครองแล้วเข้าอาศัยแทนที่เขาจนทุกวันนี้ 23ส่วนพวกอัฟวิมที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ จนถึงกาซา คนคัฟโทร์ซึ่งมาจากคัฟโทร์ ก็ได้ทำลายพวกเขาและเข้าอาศัยแทนที่เขา)
อรรถาธิบาย
พระพรที่ถูกขัดขวางโดยปัญหา ภาระและการวิวาท
- พระพรในช่วงเวลาหลายปีในถิ่นทุรกันดาร คุณกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนนี้หรือไม่? คุณรู้สึกว่าชีวิตเหมือนอยู่ในยุคของถิ่นทุรกันดารหรือเปล่า?
บางครั้งดูเหมือนว่าจะมีความล่าช้า ระหว่างพระสัญญาของพระเจ้าและการสำเร็จจริงตามพระสัญญานั้น เราจะทำอย่างไรในขณะที่กำลังรอคอยให้พระเจ้าทำตามพระสัญญาของพระองค์?
เป็นช่วงเวลาเหล่านี้ ความเชื่อของคุณได้รับการทดสอบ ให้เราเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า แสวงหาการทรง สถิตของพระองค์และนมัสการพระองค์เมื่อชีวิตตกอยู่ในความยากลำบาก
พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติเป็นหนึ่งในคำเทศนาที่ยาวที่สุดที่เคยเทศนามา ถือเป็นคำเทศนาที่ยาวที่สุด ในพระคัมภีร์และเป็นคำเทศนาครั้งสุดท้ายของโมเสส
ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ เราได้เห็นโมเสสส่งต่อและมอบรายละเอียดต่าง ๆ ไปสู่ประชาชน โมเสสกล่าว ย้ำถึงกฎหมายที่พระเจ้าประทานให้กับประชาชน เป็นการส่งต่อวิถีของพระเจ้าให้คนรุ่นใหม่ ประเด็นสำคัญ อยู่ที่คำว่า ‘แผ่นดิน’ ซึ่งอาจเล็งได้ถึง พระพรจาก ‘แผ่นดินของพระเจ้า’ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งได้มาจากการอยู่ในพระคริสต์และดำเนินชีวิตภายใต้การปกครองและการครอบครองของพระเจ้า
พระคัมภีร์เป็นเรื่องราวของประชากรของพระเจ้า พระพรจากพระองค์และการครอบครองของพระองค์ คุณได้รับพระพรจากพระเจ้าเมื่อชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ในช่วงเริ่มต้นของพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ เราได้รับการย้ำเตือนถึงพระพรของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ประการแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีต โดยโมเสสกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอุ้มชูท่าน ดังพ่ออุ้มลูกของตนตลอดทางที่พวกท่านไปนั้น ... พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ได้ทรงอวยพรเจ้าใน งานทุกอย่างที่มือของเจ้าทำ พระองค์ทรงทราบทางที่เจ้าเดินในถิ่นทุรกันดารใหญ่นี้ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าได้อยู่กับเจ้ามาสี่สิบปีแล้ว เจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลย’ (1:31; 2:7)
ประการที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัจจุบัน โมเสสย้ำเตือนพวกเขาถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อ พระสัญญาที่มีต่ออับราฮัม ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงให้พวกท่านทวีมากขึ้น และ ดูสิ ทุกวันนี้พวกท่านมีจำนวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้า’ (1:10) ในช่วงเริ่มต้นของพระธรรมบทนี้ถึงสี่ ครั้งที่เราพบว่าพระเจ้ากำลังประทานแผ่นดินคานาอันให้กับประชาชนของพระองค์ (ข้อ 8,20,21,25) ช่างเป็นของประทานแห่งพระคุณอันไม่ควรค่าแก่คนของพระเจ้าเสียเลย เช่นเดียวกับพระคุณอันบริสุทธิ์ที่คุณและผมสามารถมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์
ประการที่สาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต โมเสสพูดถึงพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าจะประทานให้กับประชากร ของพระองค์ โมเสสได้อธิษฐานว่า ‘ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงทำให้ท่าน ทวีขึ้นพันเท่า และทรงอวยพรท่านดังที่ทรงสัญญากับท่านแล้วนั้น!’ (ข้อ 11) คุณจะได้รับการทวีคูณพระพร จากพระเจ้า เมื่อชีวิตของคุณดำเนินอย่างสัตย์ซื่ออยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์
- ถูกขัดขวางโดยปัญหา ภาระและการวิวาท
นอกจากการอวยพรทั้งหมดนี้โมเสสยังเน้นถึงปัญหา ภาระและการวิวาทต่าง ๆ อีกด้วย (ข้อ 12) พระเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าพักที่ภูเขานี้นานพอแล้ว …เราได้ตั้งแผ่นดินนั้นไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว จงเข้าไปยึดครอง แผ่นดิน’ (ข้อ 6–8) จริง ๆ ใช้เวลาเดินทางเพียงสิบเอ็ดวัน แต่คนอิสราเอลใช้เวลาถึงสี่สิบปี! ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้พัฒนาท่าทีภายใน และยอมให้ตัวเองได้มีชัยชนะเหนือความกลัวและความท้อใจ (ข้อ 21) การบ่น (ข้อ 27) การเสียใจ (ข้อ 28) และการขัดขืน (ข้อ 26 เป็นต้นไป)
ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง ‘มุ่งหน้า’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่โมเสส ไม่ได้สัญญาว่าพวกเขาจะไม่มีปัญหาอะไร อันที่จริงโมเสสได้กล่าวถึง ‘ศัตรู' (ข้อ 42) พวกเขากำลังเผชิญ การสู้รบและการต่อต้านมากมายรออยู่ข้างหน้า กุญแจที่สำคัญก็คือการที่เราติดตามพระยาห์เวห์อย่างสุดใจ (ข้อ 36ข)
เรายังต้องการความเป็นผู้นำและมีวิธีการจัดการที่ดี โมเสสบอกให้พวกเขาเลือกคนที่ ‘มีปัญญา มีความรู้ และมีชื่อเสียง’ (ข้อ 13) เพื่อมอบหมายหน้าที่ให้ การเลือกคนที่เหมาะสมถือเป็นกุญแจสำคัญในการมอบหมายหน้าที่ และเพื่อหลีกเลี่ยงการแบกงานไว้คนเดียว ดังที่นายพลจอร์จ แพตตันกล่าวว่า ‘อย่าบอกคนอื่นถึงวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ บอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไรและพวกเขาจะทำให้คุณประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของพวกเขา’ การมอบหมายงาน คือการมอบหมายงานให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่ และรับผิดชอบสูงสุดด้วยความเต็มใจ (ข้อ 9–18)
อย่ายอมให้อีกฝ่ายทำให้คุณผิดหวัง โมเสสกล่าวว่า ‘อย่าครั่นคร้ามหรือกลัวเขาเลย พระยาห์เวห์พระเจ้า ของท่านผู้นำหน้าท่าน พระองค์จะทรงต่อสู้เพื่อท่าน’ (ข้อ 29–30)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 10:19
‘นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย’
ฉันพบว่าพระธรรมตอนนี้หนุนใจมากแม้ว่าฉันจะไม่อยากทดสอบก็ตาม!
ข้อพระคำประจำวัน
เฉลยธรรมบัญญัติ 1:30
‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้นำหน้าท่าน พระองค์จะทรงต่อสู้เพื่อท่าน …’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)