วัน 93

รักอย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 40:9-17
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 9:28-56
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 35:1-36:13

เกริ่นนำ

กระสุนสี่นัดสาดโดนสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 โดยมีสองนัดติดอยู่ในลำไส้ส่วนล่าง และอีกนัดโดนมือซ้ายและแขนขวาของพระองค์ ความพยายามลอบสังหารสมเด็จพระสันตะปาปาในเดือนพฤษภาคม 1981 ทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดมาก สุขภาพของพระองค์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 1981 อาลี อักจา ผู้กระทำความผิดถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต โดยพระองค์ทรงขอให้ผู้คนอธิษฐานเผื่อ ‘อักจาพี่น้องของเรา ผู้ที่เราอภัยให้อย่างสมบูรณ์แล้ว’

สองปีต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาได้กุมมือของอาลี อักจา จากในคุกและกระซิบบอกว่าเขาได้รับการอภัยในสิ่งที่เขาทำไปแล้ว (แม้ว่าผู้ที่เกือบจะเป็นฆาตกรคนนี้ไม่ได้ขอการอภัยก็ตาม) ทรงพัฒนามิตรภาพระหว่างกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังได้มีโอกาสพบเจอแม่ของอักจา ในปี 1987 และพี่ชายของเขาในอีกทศวรรษต่อมา ในเดือนมิถุนายน ปี 2000 อักจา ได้รับการอภัยโทษโดยประธานาธิบดีอิตาลีตามคำขอของสมเด็จพระสันตะปาปา และในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 อักจาได้ส่งจดหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปา ขอให้อาการประชวรดีขึ้น และเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ในวันที่ 2 เมษายน 2005 เอเดรียนพี่ชายของอักจา ให้สัมภาษณ์ว่าอักจา และครอบครัวของเขาเศร้าสลดเสียใจอย่างมาก และพระสันตะปาปาทรงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพวกเขา

การตอบสนองด้วยความรักและความเมตตาของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เป็นแบบอย่างที่ดีแต่ความรักและพระเมตตาของพระเจ้านั้นพิเศษยิ่งกว่า นั้นเพราะ ‘ที่กางเขนของพระเยซู มีการอภัยโดยสมบูรณ์ แล้ว มีความรักกับความยุติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความจริงและความเมตตามาบรรจบกัน’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 40:9-17

9ข้าพระองค์ได้ประกาศข่าวดีเรื่องการช่วยกู้
 ในชุมนุมชนใหญ่
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงทราบแล้ว
 ข้าพระองค์มิได้ยับยั้งริมฝีปากของข้าพระองค์ไว้เลย
10ข้าพระองค์มิได้เก็บงำการชอบธรรมของพระองค์ไว้แต่ในใจ
 ข้าพระองค์ได้พูดถึงความซื่อสัตย์และความรอดของพระองค์
ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์
 ไว้จากชุมนุมชนใหญ่
11ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงปิดกั้น
 พระกรุณาของพระองค์จากข้าพระองค์
ขอให้ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์
 ปกป้องข้าพระองค์เสมอ
12เพราะความทุกข์ยากนับไม่ถ้วน
 ได้ล้อมข้าพระองค์ไว้
ความชั่วของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์
 จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น
มันมากกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์
 ใจของข้าพระองค์ก็ฝ่อไป
13ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดพอพระทัยที่จะช่วยกู้ข้าพระองค์
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
14ขอให้ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตของข้าพระองค์
 อับอายและอดสูด้วยกัน
ขอให้ผู้ที่พอใจจะให้ข้าพระองค์เจ็บนั้น
 ต้องหันกลับไปและขายหน้า
15ผู้ที่พูดล้อเลียนข้าพระองค์ว่า “ฮะฮ้า ฮะฮ้า” นั้น
 ขอให้พวกเขาตกตะลึงเพราะความอับอาย
16ขอให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
 ปีติและยินดีในพระองค์
ขอให้บรรดาผู้ที่รักความรอดของพระองค์
 กล่าวเสมอว่า “พระยาห์เวห์ใหญ่ยิ่งนัก”
17ฝ่ายข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
 ขอองค์เจ้านายเอาพระทัยใส่ข้าพระองค์
พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์
 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงรอช้า

อรรถาธิบาย

ความรักและความจริง

พระเยซูคริสต์ คือความรักของพระเจ้าที่มีตัวตน แต่พระองค์ตรัสด้วยว่า ‘เราคือ…ความจริง’ (ยอห์น 14:6) พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าเข้าสู่หัวใจของคุณ (โรม 5:5) ทั้งยังเป็นพระวิญญาณแห่งความจริงด้วย (ยอห์น 15:26) ความจริงแปลเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้างหากปราศจากความรักที่เข้ามาเติมความอ่อนโยน ส่วนความรักก็จะกลายเป็นสิ่งที่นุ่มนวลเกินไป หากปราศจากความจริงที่เข้ามาช่วยเติมความเข้มแข็ง

ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์’ (สดุดี 40:10ค) เขาอธิษฐานว่า ‘ขอให้ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ปกป้องข้าพระองค์เสมอ’ (ข้อ 11ข) ดาวิดไม่เห็นว่าความรักและความจริงเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันแต่อย่างใด แต่กลับเป็นสิ่งที่เสริมสร้างกันและกันมากกว่า ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าคือ พระองค์รักคุณ ทรงชอบธรรม และสัตย์ซื่อ และทรงนำความยุติธรรมมาสู่โลกใบนี้

ความรักและความจริงดำเนินไปด้วยกันเช่นเดียวกับความยุติธรรมและความเมตตากรุณา แนวคิดเรื่องความชอบธรรม (ตามข้อ 10) และความยุติธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในพระคัมภีร์ ในพระธรรมตอนนี้ ดาวิดวิงวอนขอความเมตตาจากพระเจ้าบนพื้นฐานของความรู้ของเขาว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงปิดกั้นพระกรุณาของพระองค์จากข้าพระองค์...ความชั่วของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์มองอะไรไม่เห็น’ (ข้อ 11ก, 12ข) ความบาปบังตาเรา เราต้องการความเมตตาและการให้อภัยจากพระเจ้า เพื่อที่เราจะได้เห็นได้ชัดเจน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ความรักและความจริงของพระองค์ปกป้องข้าพระองค์ตลอดไป
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 9:28-56

การทรงจำแลงพระกาย

 28หลังจากพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน 29ขณะพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวจนพร่าตา 30และนี่แน่ะ มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์ 31ผู้มาปรากฏด้วยรัศมี และกำลังกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ซึ่งใกล้จะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม 32ส่วนเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นกำลังง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อพวกเขาตาสว่างขึ้น เขาก็เห็นพระรัศมีของพระองค์และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ 33เมื่อสองคนนั้นกำลังจะลาจากพระองค์ไป เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ น่าจะทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป 34ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้ และเมื่อเข้าไปอยู่ในเมฆนั้นพวกเขาก็กลัว 35แล้วมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” 36เมื่อสิ้นพระสุรเสียงนั้นแล้ว พระเยซูก็ทรงปรากฏอยู่เพียงลำพัง พวกเขาก็ปิดเรื่องนี้เงียบ และในช่วงเวลาต่อมาเขาไม่ได้เล่าให้ใครฟังถึงสิ่งที่เขาเห็นนั้น

การทรงรักษาเด็กที่มีผีโสโครก

 37วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกสามคนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว มหาชนมาพบพระองค์ 38นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องว่า “ท่านอาจารย์ โปรดช่วยดูลูกของข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้ามีลูกเพียงคนเดียว 39เวลาเขาถูกผีสิง เด็กก็กรีดร้องขึ้นทันที ผีมักจะทำให้เขาชักดิ้นชักงอจนน้ำลายฟูมปาก ทำให้เนื้อตัวเขาฟกช้ำ และไม่ค่อยยอมออกจากตัวเขา 40ข้าพเจ้าขอให้พวกสาวกของพระองค์ขับมันออก แต่เขาทำไม่ได้” 41พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงไปพาบุตรของท่านมาที่นี่” 42ระหว่างที่เด็กคนนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มลงชัก แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้น และทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาของเขา 43ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมากในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

การทรงพยากรณ์อีกครั้ง ถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

 ระหว่างที่พวกเขายังประหลาดใจอยู่เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างที่พระเยซูทรงทำนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า 44“จงฟังคำเหล่านี้ให้ดี คือว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือมนุษย์” 45แต่พวกสาวกไม่เข้าใจคำตรัสนี้ เพราะความหมายถูกซ่อนไว้จากพวกเขา เพื่อเขาจะไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงเรื่องนี้

ใครยิ่งใหญ่ที่สุด

 46มีการทุ่มเถียงกันเกิดขึ้นท่ามกลางพวกสาวกว่าในพวกเขาใครยิ่งใหญ่ที่สุด 47พระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของพวกเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ พระองค์ 48แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าใครยอมรับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเรา และใครที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ยอมรับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะคนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

ผู้ที่ไม่ได้ต่อสู้ท่านก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน

 49ยอห์นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเรา” 50พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ต่อสู้ท่านก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านแล้ว”

ชาวสะมาเรียหมู่บ้านหนึ่งไม่ยอมต้อนรับพระเยซู

 51เมื่อใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไป พระองค์ตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 52และพระองค์ทรงใช้ผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อไปจัดเตรียมให้พระองค์ 53แต่ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ต้อนรับพระองค์เนื่องจากตั้งพระทัยที่จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54เมื่อสาวกของพระองค์คือยากอบและยอห์นเห็นอย่างนั้นก็ทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญพวกเขาสำเนาโบราณบางฉบับ เพิ่มข้อความว่า อย่างเอลียาห์ได้ทำนั้นไหม? 55แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสห้ามพวกเขา 56แล้วพระองค์กับพวกสาวกก็เดินทางต่อไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง

อรรถาธิบาย

ความรักและความเมตตา

ในชีวิตของคุณเคยมีประสบการณ์การทรงสถิตของพระเจ้าที่บนยอดเขาหรือไม่? คุณรู้สึกใกล้ชิดกับพระเยซูมากเป็นพิเศษหรือไม่? เนื้อหาตอนนี้เริ่มต้นด้วยประสบการณ์ดังกล่าว

พระเยซูพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน พวกเขาเห็นพระองค์จำแลงพระกายต่อหน้าต่อตา พวกเขาได้เห็นพระรัศมีของพระองค์ (ข้อ 32) เปโตรทูลพระเยซูว่า ‘พระอาจารย์ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีจริง!’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขา ‘รับรู้ถึงองค์ผู้เป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทั้งยังได้ ยินพระเจ้าตรัสว่า ‘ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ที่เราเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด’ (ข้อ 35)

อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับสาวกผู้ที่ ‘ลงมาจากภูเขา’ แน่นอนมีช่วงเวลาหนึ่งที่คุณต้องลงมาเช่นกัน (ข้อ 37) บนยอดเขาสร้างแรงบันดาลใจให้เรา แต่หุบเขาจะทำให้เราเติบโต

ความเป็นจริงที่ยากลำบากของชีวิตกำลังรอสาวกอยู่ที่ด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในงานรับใช้ การขาดความเข้าใจและการแก่งแย่งชิงดี แต่ประสบการณ์บนภูเขาสามารถสะท้อนให้คุณเห็นชีวิตด้านล่างในรูปแบบใหม่และแตกต่างออกไป

พระเยซูเรียกผู้ติดตามของพระองค์มาสู่ความรักที่โอบกอดไว้ พระองค์เรียกคุณเพื่อต้อนรับผู้คน ‘ถ้าใครยอมรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเรา คนนั้นก็ยอมรับเราและใครที่ยอมรับเรา คนนั้นก็ยอมรับ พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา’ (ข้อ 48) จงยอมรับผู้คนไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรให้คุณได้มากน้อยเพียงใดก็ตาม

วิธีการต้อนรับผู้คนมีความสำคัญมาก บางคนมีความอบอุ่นและรับแขกเป็นอย่างดี บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น คริสตจักรบางแห่งมีความอบอุ่นและเป็นมิตรมาก ผมได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากคริสตจักรฮิลซอง (Hillsong) ในการต้อนรับที่พวกเขามอบให้กับทุกคนที่มาร่วมนมัสการ และการประชุมของพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในการต้อนรับผู้คน เปรียบดั่งเป็นการต้อนรับองค์พระเยซู และในการต้อนรับพระเยซูคริสต์พวกเขาก็ยินดีต้อนรับผู้ที่พระองค์ส่งมา

ยอห์นกล่าวว่า ‘อาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ ห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเรา’ (ข้อ 49) พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ ต่อสู้ท่านก็อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านแล้ว’ (ข้อ 50 เปรียบเทียบลูกา 11:23) ให้เรายอมรับผู้คนที่อยู่นอกเหนือจากแวดวงนิกายและประเพณีของคุณเอง ถ้าพวกเขาไม่ต่อต้านพระเยซูพวกเขาก็อยู่เพื่อพระเยซูคริสต์ จงต้อนรับพวกเขาเช่นกัน

ในทางกลับกันอย่าแปลกใจถ้าคุณไม่ได้รับการยอมรับที่ดีเสมอไป แม้แต่พระเยซูก็ไม่ได้รับการยอมรับ ขณะที่ พระเยซูออกเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มอย่างแน่วแน่พระองค์ทรงส่งผู้สื่อสารไปล่วงหน้า ไปในหมู่บ้านชาว สะมาเรียเพื่อตระเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้พระองค์ แต่ผู้คนที่นั่นไม่ต้อนรับพระองค์ (9:51–53)

การตอบสนองทันทีของผมที่ไม่ได้รับการยอมรับจะคล้ายกับของยากอบและยอห์น คือตอบสนองด้วยการแก้แค้น เมื่อเหล่าสาวกเห็นว่าพระเยซูได้รับการปฏิบัติอย่างไรพวกเขาจึงถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงต้องการให้พวกข้าพระองค์ขอไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญพวกเขาไหม?’ (ข้อ 54) อย่างไรก็ตามการแก้แค้นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง: ‘แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสห้ามพวกเขา’ (ข้อ 55)

พระเยซูผู้ทรงเป็นความจริง และเป็นผู้ที่ต้องรับการพิพากษาของพระเจ้าบนไม้กางเขน แสดงให้เราเห็นว่าการรักศัตรู และเมตตาพวกเขามีความหมายมากเพียงใด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สวมกอดความรักไว้เหมือนดั่งพระเยซู โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะไม่ต้องแสวงหาการแก้แค้น แต่ให้ความเมตตาและความรักแม้กระทั่งกับศัตรูของข้าพระองค์เอง
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 35:1-36:13

เมืองของคนเลวี

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ณ ที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า 2“จงบัญชาคนอิสราเอลให้ยกเมืองจากมรดกที่พวกเขาได้รับเป็นกรรมสิทธิ์นั้นให้คนเลวีอาศัยบ้าง ทั้งทุ่งหญ้ารอบๆ เมืองเหล่านั้นก็ยกให้พวกเขาด้วย 3ให้เมืองแก่เขาเพื่อจะได้อยู่อาศัย และให้ทุ่งหญ้าเพื่อฝูงโค ฝูงสัตว์เลี้ยง และสัตว์ทั้งหมดของเขา 4ทุ่งหญ้าของเมืองต่างๆ ที่เจ้ายกให้แก่คนเลวีนั้น ให้มีขอบเขตนับจากกำแพงเมืองห่างออกไป 450 เมตรโดยรอบ 5และเจ้าจงวัดบริเวณรอบนอกของเมืองด้านตะวันออกให้ยาว 900 เมตร ด้านใต้ยาว 900 เมตร ด้านตะวันตกยาว 900 เมตร และด้านเหนือยาว 900 เมตร โดยให้ตัวเมืองอยู่ตรงกลาง และนี่จะเป็นบริเวณทุ่งหญ้าสำหรับพวกเขาในเมืองเหล่านั้น 6เมืองที่พวกเจ้าจะยกให้แก่คนเลวีนั้น คือเมืองลี้ภัยหกเมืองซึ่งเจ้าจะอนุญาตให้ผู้ที่ฆ่าคนหลบหนีไปที่นั่น และเจ้าจงเพิ่มให้พวกเขาอีกสี่สิบสองเมือง 7เมืองทั้งหมดที่เจ้ายกให้คนเลวีก็จะเป็นสี่สิบแปดเมือง รวมทั้งทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านั้นด้วย 8เมืองต่างๆ ที่เจ้าจะยกให้พวกเขาจากกรรมสิทธิ์ของคนอิสราเอลนั้น ให้เอาเมืองมากหน่อยจากเผ่าใหญ่ และเอาเมืองน้อยหน่อยจากเผ่าเล็ก ให้แต่ละเผ่ายกเมืองแก่คนเลวีตามส่วนของมรดกที่ได้รับ”

เมืองลี้ภัย

 9พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 10“จงกล่าวกับคนอิสราเอลและพูดกับพวกเขาว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าในแผ่นดินคานาอัน 11เจ้าจงเลือกเมืองต่างๆ ให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับเจ้าทั้งหลาย เพื่อให้ผู้ที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาหลบหนีไปอยู่ที่นั่นได้ 12ให้เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองลี้ภัยจากผู้แก้แค้นสำหรับพวกเจ้า เพื่อไม่ให้ผู้ฆ่าคนต้องตายก่อนที่เขาจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนและรับการพิพากษา 13เมืองต่างๆ ที่เจ้ายกให้นั้นจะเป็นเมืองลี้ภัยหกเมืองสำหรับพวกเจ้า 14เจ้าจงให้สามเมืองอยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และอีกสามเมืองอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย 15ทั้งหกเมืองนี้ให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับคนอิสราเอล คนต่างด้าว และคนที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เพื่อให้ผู้ที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาทุกคนจะหลบหนีไปที่นั่นได้

เรื่องผู้ฆ่าคนและการแก้แค้น

 16“แต่ถ้าใครตีคนด้วยเครื่องมือเหล็กจนคนนั้นตาย เขาก็เป็นฆาตกร ฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต 17และถ้าใครทุบคนด้วยก้อนหินในมือที่มีขนาดฆ่าคนได้ แล้วคนนั้นตาย เขาก็เป็นฆาตกร ฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต 18หรือใครใช้ไม้ในมือซึ่งมีขนาดฆ่าคนได้ตีคน แล้วคนนั้นตาย เขาเป็นฆาตกร ฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต 19ให้ผู้แก้แค้นแทนโลหิตเองเป็นผู้ประหารชีวิตฆาตกรนั้น ให้ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารชีวิตคนนั้นเมื่อพบเขา 20ถ้าใครแทงคนอื่นด้วยความเกลียดชัง หรือซุ่มคอยขว้างจนคนนั้นตาย 21หรือชกด้วยมือจนคนนั้นตายเพราะเป็นศัตรูกัน ให้ประหารชีวิตผู้ที่ทำให้คนนั้นตาย เขาเป็นฆาตกร ให้ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารชีวิตฆาตกรเมื่อพบเขา
 22“แต่ถ้าใครแทงถูกคนอื่นอย่างกะทันหันโดยไม่ได้เป็นศัตรูกัน หรือเอาอะไรขว้างถูกเขาโดยไม่ได้ดักซุ่มอยู่ 23หรือใช้ก้อนหินขนาดฆ่าคนได้ขว้างถูกเขาโดยไม่เห็น แล้วคนนั้นตาย แต่เขาไม่ได้เป็นศัตรู และไม่ได้มุ่งทำร้ายคนนั้น 24ก็ให้ชุมนุมชนตัดสินความระหว่างผู้ฆ่าคนและผู้แก้แค้นแทนโลหิตตามกฎหมายนี้ 25ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ที่ฆ่าคนให้พ้นจากมือของผู้แก้แค้นแทนโลหิต ให้ชุมนุมชนนำตัวเขากลับไปยังเมืองลี้ภัยที่เขาหลบหนีไปอยู่นั้น ให้เขาอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์จะถึงแก่กรรม 26แต่ถ้าเมื่อไรที่ผู้ฆ่าคนออกจากเขตเมืองลี้ภัยซึ่งเขาหนีเข้าไปอยู่นั้น 27และผู้แก้แค้นแทนโลหิตพบคนนั้นที่นอกเขตเมืองลี้ภัย แล้วผู้แก้แค้นแทนโลหิตฆ่าผู้ฆ่าคนนั้น เขาก็ไม่มีความผิดจากการฆ่าคน 28เพราะว่าผู้ฆ่าคนนั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัยจนกว่ามหาปุโรหิตจะถึงแก่กรรม หลังจากมหาปุโรหิตถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจึงจะกลับไปยังที่ดินซึ่งเขาถือกรรมสิทธิ์อยู่นั้นได้ 29“สิ่งเหล่านี้จะเป็นหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายของเจ้าตลอดไป ในทุกๆ ที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ 30ใครก็ตามที่ฆ่าคน ก็ให้ฆาตกรนั้นถูกประหารชีวิตตามปากคำของพยาน แต่อย่าประหารใครด้วยพยานเพียงปากเดียว 31ยิ่งกว่านั้น ห้ามเจ้ารับค่าไถ่ชีวิตของผู้ฆ่าคนที่มีความผิดถึงตาย เพราะเขาต้องตายแน่นอน 32และห้ามเจ้ารับค่าไถ่ของคนที่หลบหนีไปยังเมืองลี้ภัย เพื่อให้กลับมาอยู่ในที่ดินของเขาก่อนที่มหาปุโรหิตภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ปุโรหิตจะถึงแก่กรรม 33ดังนั้นพวกเจ้าจึงจะไม่ทำให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่เป็นมลทิน เพราะโลหิตทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีอะไรที่จะชำระแผ่นดินให้หมดมลทินจากโลหิตที่หลั่งลงบนนั้น นอกจากโลหิตของผู้นั้นที่ทำให้โลหิตหลั่งลง 34ห้ามเจ้าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ซึ่งเราเองก็อยู่ท่ามกลางนั้นเป็นมลทิน เพราะว่าเราคือพระยาห์เวห์ผู้อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล”

กันดารวิถี 36

การสมรสของหญิงที่รับมรดก

 1หัวหน้าสกุลของตระกูลกิเลอาด บุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์แห่งพงศ์พันธุ์โยเซฟ เข้ามาใกล้และพูดต่อหน้าโมเสสและต่อหน้าพวกผู้นำ คือบรรดาหัวหน้าสกุลของคนอิสราเอล 2พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเจ้านายของข้าพเจ้าให้จับฉลากยกแผ่นดินเป็นมรดกแก่คนอิสราเอล และเจ้านายของข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาจากพระยาห์เวห์ให้ยกมรดกของเศโลเฟหัด พี่น้องของเราแก่บุตรหญิงทั้งหลายของเขา 3ถ้าพวกเธอแต่งงานกับบุตรชายของใครคนหนึ่งในเผ่าอื่นของคนอิสราเอล ส่วนมรดกของพวกเธอก็จะถูกโยกย้ายไปจากมรดกแห่งบรรพบุรุษของเรา แล้วไปเพิ่มให้กับมรดกของเผ่าที่เธอไปอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการโยกย้ายมรดกไปจากส่วนที่จัดแบ่งไว้เป็นของเรานั้น 4และเมื่อถึงปีอิสรภาพของคนอิสราเอล มรดกที่เป็นส่วนของพวกเธอก็จะถูกเพิ่มให้กับส่วนของเผ่าที่เธอไปอยู่ด้วย ดังนั้นส่วนมรดกของพวกเธอก็จะถูกโยกย้ายไปจากส่วนมรดกของเผ่าแห่งบรรพบุรุษของเรา”
 5และโมเสสบัญชาคนอิสราเอลตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ว่า “คนเผ่าโยเซฟพูดถูกต้องแล้ว 6นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเกี่ยวกับบุตรหญิงของเศโลเฟหัด ซึ่งว่า ‘จงให้พวกเธอแต่งงานกับใครก็ได้ที่เธอพอใจ เพียงแต่จะต้องแต่งงานกับคนภายในตระกูลของเผ่าแห่งบรรพบุรุษของเธอ 7ดังนี้แหละส่วนมรดกของคนอิสราเอลจะไม่ถูกเปลี่ยนมือจากเผ่าหนึ่งไปให้อีกเผ่าหนึ่ง เพราะอิสราเอลแต่ละคนต้องปักหลักอยู่ในที่มรดกของเผ่าแห่งบรรพบุรุษของตน 8และบุตรหญิงทุกคนผู้รับกรรมสิทธิ์ในมรดกในเผ่าใดของคนอิสราเอล ก็ให้แต่งงานกับคนใดคนหนึ่งจากตระกูลในเผ่าแห่งบรรพบุรุษบิดาของตน เพื่อคนอิสราเอลแต่ละคนจะถือกรรมสิทธิ์ในมรดกของบรรพบุรุษบิดาของเขา 9ดังนั้นจะไม่มีมรดกที่ถูกเปลี่ยนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง เพราะอิสราเอลแต่ละเผ่าต้องปักหลักอยู่ในที่มรดกของตน’ ”
 10พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสอย่างไร บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดก็ทำอย่างนั้น 11และบรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ต่างก็แต่งงานกับพวกบุตรชายของลุงของตน 12พวกเธอแต่งงานกับคนจากตระกูลมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ และส่วนมรดกของพวกเธอก็คงอยู่ในเผ่าของตระกูลแห่งบรรพบุรุษของเธอ
 13สิ่งเหล่านี้เป็นพระบัญญัติและกฎหมาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาคนอิสราเอลผ่านโมเสส ณ ที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

อรรถาธิบาย

ความรักและความชอบธรรม

ทุกชีวิตของชนชาติอิสราเอลอยู่ภายใต้การครอบครองขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยตรง ที่ดำเนินอยู่ในโลกที่ถูกควบคุมดูแลในรูปแบบที่แตกต่างไปจากโลกที่เราอยู่อย่างสิ้นเชิง บางกฎหมายก็ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่บางกฎก็มีไว้เฉพาะกับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น และในตอนนี้เราก็ได้เห็นจุดเริ่มต้นของแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้คนชาวอิสราเอลในยุคโบราณ

การถูกลงโทษประหารชีวิตเนื่องจากคดีฆาตกรรมเป็นภาพของการชดใช้บาปในชีวิตของมนุษย์ (ปฐมกาล 9:6) เพราะการเอาชีวิตมนุษย์นั้นร้ายแรงถึงขั้นต้องรับโทษอย่างรุนแรง นี่เป็นสังคมที่ทางเลือกอื่นเช่น การจำคุก ตลอดชีวิตใช้ไม่ได้จริง

เราเห็นว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้นระหว่างการฆ่าคน ‘ด้วยความเกลียดชัง’ (กันดารวิถี 35:20) และการฆ่าโดยไม่เจตนา (‘ไม่ได้เป็นศัตรูกัน’ และ ‘โดยไม่ได้ดักซุ่มอยู่’ ข้อ 22) เราเห็นจุดเริ่มต้นของสิทธิในการพิจารณาคดี โดยคณะลูกขุนนั่นคือโดยประชาชน ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจะต้อง ‘ปรากฏตัวต่อหน้าชุมนุมชนในศาล’(ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘ต่อชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

‘ผู้แก้แค้นแทนโลหิต’ (ข้อ 19) ไม่ได้ทำการแก้แค้นเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้จะต้องถูกนำไปสู่ในศาล (‘ชุมนุมชน’, ข้อ 12) โดยมีพยานมากกว่าหนึ่งปากและศาลจะเป็นผู้ตัดสินคดี และจำเป็นต้องมีหลักฐาน ที่ดีจริง ๆ (ข้อ 30) ต้องไม่มีการติดสินบนใด ๆ (ข้อ 31)

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างอำนาจการจัดการของฝ่ายปกครองกับศีลธรรมส่วนบุคคล สิทธิอำนาจของฝ่ายปกครองนั้นมาจากพระเจ้าและบุคคลที่ได้รับสิทธิอำนาจนั้น พวกเขาก็คือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่เป็นตัวแทนของความพิโรธ เพื่อจะลงโทษผู้กระทำผิด (โรม13:4) ฝ่ายปกครองให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิตของผู้คนมากกว่า การยืนอยู่ฝ่ายอธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้ เกิดความรักและขาดความเป็นคริสตชน คงเหมือนกับการปล่อยให้คนชั่วได้ลอยนวลโดยปราศจากการตรวจสอบ และเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

อย่างไรก็ตามในศีลธรรมส่วนตัวเราได้รับการบอกกล่าวทั้งจากทั้งพระเยซูและอัครสาวกเปาโลว่า อย่าแก้แค้น (มัทธิว 5:38–42; โรม 12:17–19) ทัศนคติของความรักและการให้อภัยนี้ไม่ได้เป็นการปฏิเสธความยุติธรรม แต่เป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจในความชอบธรรมสูงสุดของพระเจ้า (ดูโรม 12:19) เมื่อเราวางใจในความยุติธรรมของพระเจ้า เราจึงมีอำนาจที่จะเลียนแบบความรักของพระองค์ ดังที่ มิโรสลาฟ โวล์ฟ เขียนไว้ว่า ‘การยุติการใช้ความรุนแรง จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา’ เขาอธิบายว่าเมื่อเรารู้ว่า ‘ฝ่ายที่ทรมานผู้อื่นนั้นไม่มีทางที่จะมีชัยชนะเหนือฝ่ายที่ถูกกระทำได้ตลอดไป เราก็เริ่มมีอิสระที่จะมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขาเหล่านั้น และให้เราเลียนแบบพระเจ้าในการมอบความรักให้กับพวกเขา’

ความแตกต่างระหว่างศีลธรรมของเราเอง และของบ้านเมืองทำให้เกิดความตึงเครียดภายในตัวเราทุกคน พระบัญชาจากพระเยซูบอกให้เราทุกคนไม่ให้ตอบโต้หรือแก้แค้น เรายังเป็นพลเมืองของบ้านเมืองที่มีหน้าที่ในการป้องกันอาชญากรรม และนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับความตึงเครียดนี้ แต่ทัศนคติของความรักเรียกร้องให้เราทำ แรงจูงใจของเราควรเป็นความรักและความยุติธรรมเสมอ ไม่ใช่การตอบโต้ หรือแก้แค้น ในทุกสถานการณ์เราต้องแสดงออกด้วยทัศนคติแห่งความรัก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รวมความกระหายในความจริง และความชอบธรรมเข้าด้วยกันกับทัศนคติของความรัก และความเมตตา

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 9:46–48

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะกลับมาทุ่มเถียงกันอีกครั้งว่าใครจะยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างน้อยพวกเขาก็ซื่อสัตย์ ในข้อ 48 ที่กล่าวว่า ‘คนที่เล็กน้อยที่สุดในพวกท่านคือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ การถ่อมตนที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สวยงามและสร้างแรงบันดาลใจ

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 40:11

‘...ขอให้ความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ปกป้องข้าพระองค์เสมอ’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม