วัน 91

ติดตามพระเยซู

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 40:1-8
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 8:40-9:9
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 31:25-32:42

เกริ่นนำ

ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้พิพพากับผมเข้าสู่โลกของทวิตเตอร์ และตอนนี้ก็เป็น อินสตราแกรมและมันเป็นโลกที่คุณ ‘ติดตาม’ คนอื่น และคนอื่นก็ ‘ติดตาม’ คุณเอง

คนดังหลายคนมีผู้ติดตามมากมาย ผู้คนกลายเป็นผู้ตามติดตัวยงของชีวิต ความสัมพันธ์และวิถีชีวิต อาหารการกินและแฟชั่นของคนดังเหล่านั้น พวกเขาต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนดังที่ชื่นชอบ ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา และเป็นเหมือนพวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะอยากติดตามคนที่เราชื่นชอบ การติดตามคนดังบนโซเชียลมีเดียอาจเป็นเรื่องสนุก และเบิกบานใจ

อย่างไรก็ตาม การติดตามผู้คนบนอินสตราแกรม หรือทวิตเตอร์ เป็นเรื่องหนึ่ง และการเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของใครบางคนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั้นหมายถึงการอุทิศตัวของคุณเองอย่างเต็มที่เพื่องานของพวกเขา ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพวกเขาและแม้กระทั่งทำในสิ่งที่พวกเขาบอกให้คุณทำ ให้เราเลือกคนที่จะติดตามให้ถูก มันสำคัญจริง ๆ หากคุณต้องการจะเลียนแบบเขาเหล่านั้น ตัวอย่างเช่นหลายล้านคนเลียนแบบฮิตเลอร์ สตาลิน และพอล พต ทุกวันนี้หลายล้านคนเลียนแบบการเผด็จการที่ชั่วร้าย การก่อการร้าย และหัวโจกอันธพาล

บางคนแคลงใจในเรื่องของประเพณีหรือสถาบัน และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตามใคร ประเพณีดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากครอบครัว สถาบันและผู้นำทางการเมืองได้พังทลายลงไปบ้าง ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าจะเดินตามใครดี

พระเยซูตรัสหลายครั้งว่า ‘ตามเรามา’ ในบรรดาผู้คนที่เคยมีชีวิตอยู่ พระเยซูมีผู้ติดตามจำนวนมากที่สุด ผู้คนกว่า 2.4 พันล้านคนในโลกปัจจุบันเต็มใจที่จะเดินตามพระเยซู ผู้ติดตามพระเยซูที่เรียกว่า ‘สาวก’ พวกเขาต้องการอยู่กับพระองค์ รู้จักพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ และทำทุกสิ่งที่พระเยซูให้ทำ

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 40:1-8

คำขอบพระคุณพระเจ้า เพราะได้รับการช่วยกู้

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าพเจ้าได้อดทนรอคอยพระยาห์เวห์
 พระองค์ได้เอนพระองค์มายังข้าพเจ้า และฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า
2พระองค์ได้ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมมรณะ
 ออกมาจากเลนตม
แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา
 ทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง
3พระองค์ได้ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า
 เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
คนมากมายจะเห็นและเกรงกลัว
 และวางใจในพระยาห์เวห์
4คนที่วางใจในพระยาห์เวห์ก็เป็นสุข
 คือคนที่ไม่หันไปหาคนจองหอง
 หรือพวกที่หลงเจิ่นไปตามพระเทียมเท็จ
5ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ได้ทรงทวี
 การอัศจรรย์และพระดำริของพระองค์แก่พวกข้าพระองค์
 ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ได้
ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้ว
 ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ
6เครื่องสัตวบูชาและของถวาย พระองค์ไม่ทรงประสงค์
 พระองค์ทรงเปิดหูของข้าพระองค์
เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องบูชาลบล้างบาป
 พระองค์มิได้ทรงเรียกร้อง
7แล้วข้าพระองค์ทูลว่า “นี่แน่ะ ข้าพระองค์มาแล้ว
 ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์
8ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์
 ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์”

อรรถาธิบาย

ทำตามแบบอย่างของพระเยซู

เมื่อคุณเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก คุณจะได้รับการเสริมกำลังอย่างมากมายเมื่อคุณได้ใคร่ครวญถึงพระพร ในอดีตและช่วงเวลาแห่งการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า

ดาวิดได้บรรยายถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ใน ‘หลุมมรณะ’ ซึ่งเต็มไปด้วย ‘เลนตม’ (ข้อ 2ก) เขาอาจกำลังบรรยาย ถึงประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับบาป ความเจ็บป่วยหรือความกดดัน คอรี่ เทน บูม กล่าวว่า ‘ไม่มีหลุมใดลึก เกินกว่าความรักของพระเจ้าจะลงไปถึง’

‘หลุม’ แห่งความซึมเศร้าอาจเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ในช่วงเวลาเหล่านี้เราจะเก็บเอาความล้มเหลว และความผิดหวังทั้งหมดไว้ เราเริ่มเชื่อว่าไม่มีสิ่งดีใด ๆ เกิดขึ้นกับเราได้ เรารู้สึกเป็นทุกข์และไม่มีประโยชน์ เราเริ่มคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันอยู่เหนือปัญหาและไม่สามารถเติมเต็มการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตได้

ในช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งหนทางดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าได้อดทนรอและรอและเฝ้ารอพระยาห์เวห์ ในที่สุดพระองค์ ก็ทรงมองและฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงดึงข้าพเจ้าจากคูน้ำและฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุม มรณา’ (ข้อ 1–2ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

หลังจากพระเจ้าทรงยกเขาขึ้นจากหลุมมรณะ พระองค์ทรง ‘วางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา ทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง’ (ข้อ 2ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้าได้ทรงบรรจุบทเพลง สรรเสริญใหม่ในปากของดาวิด และคำพยานของเขาได้เชื้อเชิญคนอื่น ๆ ให้ ‘วางใจใน (พระยาห์เวห์)’ (ข้อ 3)

ดาวิดอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่ของการไม่หันตาม ‘สิ่งบูชาของโลกนี้’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และพระพรของการดำเนินชีวิตตามพระเจ้า ‘คนที่วางใจในพระยาห์เวห์ก็เป็นสุข ...การอัศจรรย์และพระดำริของพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ได้ ถ้าข้าพระองค์ จะประกาศและบอกกล่าวแล้ว ก็มีมากมายเหลือที่จะนับ’ (ข้อ 4–5)

ดาวิดบรรยายไว้ว่า ‘พระองค์ทรงเปิดหูของข้าพระองค์ให้ได้ยินและทำตาม’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของดาวิดคือการอธิษฐานและเชื่อฟังนั่นเอง

ดาวิดอุทิศตัวที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วน เขากล่าวว่า ‘นี่แน่ะ ข้าพระองค์มาแล้วใน หนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์’ (ข้อ 7–8)

นี่คือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของพระเยซูเช่นกัน ตามที่พระธรรมฮีบรูได้กล่าวไว้ ข้อพระธรรมเหล่านี้สำเร็จเป็นจริงแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้เขียนบอกเราว่าพระเยซูได้กล่าวถึงข้อพระธรรม 6-8 ในพระธรรมสดุดี (ดูฮีบรู 10:5–10) พระเยซูทรงอธิษฐานและพระองค์ก็เชื่อฟัง ทรงกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์’ (ข้อ 7) พระธรรมฮีบรูกล่าวต่อไปว่า ‘โดยพระประสงค์นั้นเอง เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ’ (ข้อ 10)

ให้เราทำตามแบบอย่างของพระเยซูและอุทิศตัวทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดาวิดกล่าวว่าผู้ที่วางใจ ในพระเจ้าจะได้จะได้รับพร คุณจะได้เห็น ‘การอัศจรรย์’ (สดุดี 40:5) และ ‘พระดำริของพระองค์แก่ พวกข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ได้ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้ว ก็มีมากมาย เหลือที่จะนับ’ (ข้อ 5)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับช่วงเวลาที่ทรงฉุดข้าพระองค์ขึ้นจากหลุมมรณะ ออกจากเลนตม วางเท้าของข้าพระองค์บนศิลา ทำให้ย่างเท้าของข้าพระองค์มั่นคง ทรงบรรจุเพลงบทใหม่ในปากของ ข้าพระองค์และให้ข้าพระองค์ออกไปเป็นพยาน เพื่อนำให้คนอื่นวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้อธิษฐาน และเชื่อฟังพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 8:40-9:9

บุตรสาวของไยรัส และหญิงที่แตะต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู

40เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาแล้ว ฝูงชนก็ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขารอคอยพระองค์อยู่ 41นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งชื่อไยรัส เป็นนายธรรมศาลา เขามากราบที่พระบาทของพระเยซูอ้อนวอนขอให้พระองค์เสด็จไปที่บ้านของเขา 42เพราะว่าเขามีบุตรสาวคนเดียวอายุประมาณสิบสองปี และบุตรสาวคนนั้นกำลังนอนป่วยอยู่เกือบจะตายแล้ว
 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น ฝูงชนก็เบียดเสียดพระองค์ 43มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตมาได้สิบสองปีแล้ว (และใช้ทรัพย์ทั้งหมดของนางเป็นค่าหมอ) แต่ไม่มีใครรักษาให้หายได้ 44หญิงผู้นี้แอบมาทางข้างหลังและแตะต้องชายฉลองพระองค์ของพระองค์ และในทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุด 45พระเยซูจึงตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเรา?” เมื่อทุกคนปฏิเสธ เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ฝูงชนที่อยู่ล้อมรอบพระองค์กำลังเบียดเสียดพระองค์” 46แต่พระเยซูตรัสว่า “มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวเรา” 47เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าไม่สามารถจะซ่อนตัวต่อไปได้แล้ว นางก็ตัวสั่นเข้ามาหมอบกราบพระองค์ ทูลพระองค์ต่อหน้าทุกคนว่า นางแตะต้องพระองค์เพราะสาเหตุอะไรและหายโรคได้ในทันที 48พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด”
 49ขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่นั้น มีคนจากบ้านนายธรรมศาลามาบอกนายว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์อีก” 50เมื่อพระเยซูได้ยินจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัว จงเชื่อเท่านั้น แล้วลูกจะหายดี” 51เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน พระองค์ไม่ทรงยอมให้ใครเข้าไปยกเว้นเปโตร ยอห์น ยากอบและบิดามารดาของเด็กเท่านั้น 52ทุกคนกำลังร้องไห้ทุกข์โศกเพราะเด็กคนนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า “อย่าร้องไห้ เขายังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับอยู่” 53พวกเขาหัวเราะเยาะพระองค์ เพราะรู้ว่าเด็กคนนั้นตายแล้ว 54พระองค์ทรงจับมือของเด็กแล้วตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด” 55แล้ววิญญาณก็กลับเข้าไปในตัวเด็ก เขาก็ลุกขึ้นทันที พระองค์จึงตรัสสั่งให้เอาอาหารมาให้เขากิน 56บิดามารดาของเด็กคนนั้นก็ประหลาดใจมาก แต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้บอกใครถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น

ลูกา 9

พันธกิจของอัครทูตสิบสองคน

 1พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วทรงให้พวกเขามีฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจเหนือผีทั้งหลาย และรักษาโรคต่างๆ ให้หายได้ 2แล้วพระองค์ทรงใช้เขาทั้งหลายไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาคนป่วยให้หาย 3พระองค์ทรงสั่งพวกเขาว่า “อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่นไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อสองตัว 4และถ้าเข้าไปในบ้านไหน ก็จงอาศัยอยู่ในบ้านนั้นจนกว่าจะจากไป 5ถ้ามีใครไม่ต้อนรับพวกท่าน เมื่อท่านจะไปจากเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีดินออกจากเท้าของท่านเพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อต้านพวกเขา 6พวกสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาคนป่วยทุกแห่งหนให้หาย

ความสับสนของกษัตริย์เฮโรด

 7เฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ก็รู้สึกสับสนมาก เพราะบางคนบอกว่ายอห์นเป็นขึ้นจากตายแล้ว 8บางคนบอกว่าเอลียาห์มาปรากฏ คนอื่นว่าผู้เผยพระวจนะโบราณกลับเป็นขึ้นมา 9เฮโรดจึงกล่าวว่า “ยอห์นคนนั้นเราตัดศีรษะไปแล้ว แต่คนนี้ที่เราได้ยินเรื่องราวต่างๆ เป็นใครกันแน่?” แล้วเฮโรดจึงหาโอกาสที่จะพบพระองค์

อรรถาธิบาย

ดำเนินตามการทรงนำของพระเยซู

พระเยซูไม่ได้มีโซเชียลมีเดีย ระบบการถ่ายทอดสด ทีวีหน้าจอยักษ์ หรือแม้แต่ไมโครโฟนธรรมดา ๆ ที่จะส่งข้อความออกไป อันที่จริงพระองค์ไม่ต้องการมันด้วยซ้ำ เพราะพระองค์มี ‘ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจ’ ซึ่งได้ประทานให้กับเหล่าสาวกของพระองค์ (9:1)

แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่เราจะใช้ทุกเครื่องมือที่มีอยู่ในการประกาศเรื่องราวของพระเยซู แต่เราต้องไม่จมอยู่ กับเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเหล่านั้นจนเราลืมสิ่งที่เป็นหัวใจหลัก ให้เราทำตามแบบอย่างของพระเยซู และการทรงนำของพระองค์ซึ่งเรากำลังศึกษาผ่านพระธรรมตอนนี้

พระเยซูได้ทรงรักษาหญิงที่เป็นโรคตกเลือดและทำให้ลูกสาวของไยรัสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไยรัสและหญิงที่ เป็นโรคตกเลือดคนนั้นเป็นสองคนที่มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกคนเป็นชาย และอีกคนเป็น หญิง อีกคนโดดเดี่ยว ส่วนอีกคนเป็นคนของประชาชน อีกคนเป็นผู้มีอิทธิพล ส่วนคนหนึ่งดูเหมือนไม่มี ความสำคัญอะไร คนหนึ่งทูลกับพระเยซูเกี่ยวกับลูกสาวของเขา ส่วนอีกคนถูกพระเยซูเรียกว่า ‘ลูกหญิงเอ๋ย’ คนหนึ่งสุขภาพดีและส่วนอีกคนเจ็บป่วย

ถึงกระนั้นทั้งสองก็อยู่ภายใต้ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจของพระเยซู และทั้งสองก็ตอบสนองในทางเดียวกัน คือการเข้าเฝ้าพระเยซู ซึ่งไยรัส ‘มากราบที่พระบาทของพระเยซู’ (8:41) และผู้หญิงคนนั้น ‘ตัวสั่นเข้ามาหมอบกราบพระองค์’ (ข้อ 47)

ทั้งสองมีการตอบสนองที่ถูกต้องต่อพระเยซู พวกเขารับรู้ถึงอำนาจของพระองค์และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ของพระองค์และเชื่อว่าพระเยซูทรงมีฤทธิ์ อำนาจในการรักษาได้ พระเยซูตรัสกับหญิงคนนั้นว่า ‘ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด’ (ข้อ 48) และทรงตรัสกับไยรัสว่า ‘อย่ากลัว จงเชื่อเท่านั้น แล้วลูกจะหายดี’ (ข้อ 50) เรื่องราวเหล่านี้เป็นทั้งพลังที่เหนือธรรมชาติและเป็นพระเมตตาอันสุดจะบรรยาย

มีการกล่าวถึงพระเยซูว่า ‘ทุกคนที่แตะต้องก็หายป่วย’ (มาระโก 6:56) เมื่อหญิงที่เป็นโรคตกเลือดมาสิบสองปี แตะต้องชายฉลองพระองค์ พระองค์ทรงตรัสว่า ‘มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออก จากตัวเรา’ (ลูกา 8:46) และหญิงคนนั้นก็ ‘หายโรคได้ในทันที’ (ข้อ 47) จากนั้นพระเยซูทรงปลุกลูกสาวของ ไยรัสให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย จนทำให้ผู้คนรู้สึก ‘ประหลาดใจ’ (ข้อ 56) พระเยซูทรงกระทำพันธกิจด้วย ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้นช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่พระองค์ได้ประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจให้คุณด้วย ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจคือพระวจนะที่นำให้เราได้เข้าส่วนกับพันธกิจของพระเยซูคริสต์โดยชอบธรรม แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงเรียกสาวกของพระองค์มารวมกันและ ‘ให้พวกเขามีฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจ...ทรงใช้เขาทั้งหลายไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้าและรักษาคนป่วยให้หาย’ (9:1–2) นี่คือพันธกิจที่เหล่าสาวกได้รับมอบหมาย (มัทธิว 28:18–20) พระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดช และสิทธิอำนาจของพระองค์ให้คุณแล้ววันนี้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ดำเนินตามการทรงนำของพระองค์ เพื่อประกาศถึงแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บป่วย โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์อย่างใกล้ชิด และเรียนรู้ที่จะทำ พันธกิจด้วยฤทธิ์เดช และสิทธิอำนาจที่พระองค์ประทานให้
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 31:25-32:42

การแบ่งเชลยและของริบ

 25พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 26“ให้เจ้าและเอเลอาซาร์ปุโรหิตกับบรรดาหัวหน้าสกุลของชุมนุมชนนับสิ่งที่ชิงมา คือทั้งคนและสัตว์ที่ยึดได้ 27แล้วแบ่งสิ่งที่ชิงมาเหล่านั้นให้พวกทหารที่ออกไปทำสงครามส่วนหนึ่ง และให้ชุมนุมชนทั้งหมดอีกส่วนหนึ่ง 28และจงชักส่วนหนึ่งจากทหารที่ออกไปทำสงครามเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ คือชักหนึ่งในห้าร้อย จากทั้งคน ฝูงโค ฝูงลา และฝูงแพะแกะ 29แล้วเอาส่วนที่ชักจากพวกเขามอบให้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตเป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์ 30และจากส่วนของคนอิสราเอลนั้น เจ้าจงชักหนึ่งในห้าสิบจากคน ฝูงโค ฝูงลา ฝูงแพะแกะ และสัตว์เลี้ยงทั้งหมด แล้วมอบให้แก่คนเลวีที่ดูแลพลับพลาของพระยาห์เวห์” 31และโมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 32สิ่งที่ชิงมาซึ่งยังคงเหลืออยู่จากสิ่งที่ทหารยึดได้นั้น คือ แกะ 675,000 ตัว 33โค 72,000 ตัว 34ลา 61,000 ตัว 35และคน คือ ผู้หญิงที่ยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายรวมทั้งหมด 32,000 คน 36และจำนวนครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของคนที่ออกไปทำสงคราม มีแกะ 337,500 ตัว 37ส่วนของแกะที่เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์คือ 675 ตัว 38มีโค 36,000 ตัว ส่วนที่เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์คือ 72 ตัว 39มีลา 30,500 ตัว ส่วนที่เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์คือ 61 ตัว 40และมีคน 16,000 คน ส่วนที่เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์คือ 32 คน 41โมเสสได้มอบส่วนที่เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์นั้นแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 42และอีกครึ่งหนึ่งคือส่วนของคนอิสราเอล ซึ่งโมเสสได้แบ่งมาจากพวกทหารที่ไปทำสงครามนั้น 43(ครึ่งหนึ่งที่เป็นของชุมนุมชน มีแกะ 337,500 ตัว 44โค 36,000 ตัว 45ลา 30,500 ตัว 46และคน 16,000 คน) 47จากครึ่งที่เป็นส่วนของคนอิสราเอลนั้น โมเสสเอาหนึ่งในห้าสิบจากทั้งคนและสัตว์เลี้ยงมอบให้แก่คนเลวีที่ดูแลพลับพลาของพระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 48และบรรดานายทหารผู้บังคับกองพันคือ บรรดานายพันและนายร้อยเข้ามาหาโมเสส 49และกล่าวกับโมเสสว่า “ผู้รับใช้ของท่านได้ตรวจนับทหารผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเราแล้ว ไม่มีใครหายไปแม้แต่คนเดียว 50และเรานำของที่แต่ละคนพบมาถวายแด่พระยาห์เวห์ คือ สิ่งที่ทำด้วยทองคำ มีกำไลขาและกำไลมือ แหวนตรา ตุ้มหู และสร้อยคอ เพื่อลบมลทินบาปของเราเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์”
 51โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็รับสิ่งของต่างๆ ที่ทำด้วยทองคำจากเขาทั้งหลาย 52และทองคำทั้งหมดอันเป็นเครื่องถวายที่พวกเขาถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งมาจากบรรดานายพันและนายร้อยมีน้ำหนักรวม 200 กิโลกรัม 53(ทหารเหล่านั้นต่างคนต่างยึดมาเป็นของตนเอง) 54โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตรับทองคำจากนายพันและนายร้อย แล้วนำมาในเต็นท์นัดพบเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่คนอิสราเอลเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์

กันดารวิถี 32

การบุกยึดและแบ่งดินแดนฝั่งตะวันออกของจอร์แดน

 1พงศ์พันธุ์รูเบนและพงศ์พันธุ์กาดมีฝูงปศุสัตว์เป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน เขาทั้งหลายเห็นแผ่นดินยาเซอร์ และแผ่นดินกิเลอาดเป็นที่เหมาะกับฝูงปศุสัตว์ 2คนเผ่ากาดและคนเผ่ารูเบนจึงมาหาโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิตและบรรดาผู้นำของชุมนุมชนกล่าวว่า 3“อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน 4คือแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ทรงทำลายต่อหน้าชุมนุมชนอิสราเอลนั้น เป็นแผ่นดินที่เหมาะกับฝูงปศุสัตว์ และข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านมีฝูงปศุสัตว์” 5และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นที่โปรดปรานของท่าน ก็ขอมอบแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้รับใช้ของท่าน โปรดอย่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป”
 6แต่โมเสสพูดกับคนเผ่ากาดและเผ่ารูเบนว่า “ควรให้พี่น้องของพวกท่านไปทำสงครามในขณะที่พวกท่านอาศัยอยู่ที่นี่หรือ? 7ทำไมท่านทั้งหลายจึงทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อแท้ที่จะยกข้ามไปยังแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ได้ประทานแก่พวกเขาแล้ว 8บิดาของพวกท่านทำเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าใช้พวกเขาจากคาเดชบารเนียให้ไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น 9เมื่อเขาทั้งหลายขึ้นไปยังหุบเขาเอชโคล์ และได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว พวกเขาก็ทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อแท้ที่จะยกเข้าไปในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ประทานแก่เขาทั้งหลาย 10ในวันนั้นพระยาห์เวห์กริ้วพวกเขามาก และพระองค์ทรงปฏิญาณไว้ว่า 11‘จะไม่มีสักคนที่ออกจากอียิปต์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปจะได้เห็นแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่าจะมอบให้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเขาทั้งหลายไม่ได้ติดตามเราอย่างสุดใจ 12ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์คนเคนัส และโยชูวาบุตรนูน เพราะว่าเขาทั้งสองติดตามพระยาห์เวห์อย่างสุดใจ’ 13และพระยาห์เวห์กริ้วอิสราเอล พระองค์จึงทรงให้พวกเขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี จนกระทั่งชาติพันธุ์ที่ทำผิดต่อพระยาห์เวห์ตายหมด 14และดูซิ ท่านทั้งหลายเติบโตขึ้นมาแทนบิดาของพวกท่าน เป็นพันธุ์คนบาปที่จะทวีพระพิโรธของพระยาห์เวห์ต่ออิสราเอลให้มากยิ่งขึ้น 15เพราะว่าถ้าพวกท่านหันจากการติดตามพระองค์ พระองค์จะทรงทอดทิ้งเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารอีก และพวกท่านจะทำลายชนชาตินี้ทั้งหมด”
 16แล้วเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะสร้างคอกสำหรับฝูงปศุสัตว์ที่นี่ และสร้างเมืองสำหรับลูกเล็กๆ ทั้งหลายของพวกข้าพเจ้า 17แต่พวกข้าพเจ้าพร้อมจะถืออาวุธไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำพวกเขาไปถึงที่อยู่ของเขา ส่วนลูกเล็กของพวกข้าพเจ้าจะอยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเพราะเหตุชาวแผ่นดินนี้ 18ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่กลับบ้านจนกว่าคนอิสราเอลจะได้รับมรดกของพวกเขา 19เพราะพวกข้าพเจ้าจะไม่รับมรดกร่วมกับเขาทั้งหลายที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและที่ไกลออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดถึงข้าพเจ้าทั้งหลายนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน” 20โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายจะทำตามสิ่งที่พูดนี้ ถ้าท่านจะถืออาวุธเข้าสงครามเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 21และคนของท่านทุกคนที่ถืออาวุธจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูจากพระพักตร์ของพระองค์ 22และแผ่นดินนั้นพ่ายแพ้ต่อพระยาห์เวห์ ภายหลังท่านจึงจะกลับบ้านและพ้นจากพันธะที่มีต่อพระยาห์เวห์และอิสราเอล แผ่นดินนี้ก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 23แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ทำเช่นนี้ นี่แน่ะ ท่านทั้งหลายก็ทำบาปต่อพระยาห์เวห์ จงรู้แน่เถิดว่า บาปของท่านจะตามทัน 24จงสร้างเมืองสำหรับลูกเล็กๆ ทั้งหลายของท่าน และสร้างคอกสำหรับแพะแกะของท่าน แล้วทำตามที่ท่านทั้งหลายสัญญาไว้” 25และคนเผ่ากาดกับคนเผ่ารูเบนกล่าวกับโมเสสว่า “ผู้รับใช้ของท่านจะทำตามที่เจ้านายของข้าพเจ้าบัญชา 26พวกลูกเล็กๆ ของพวกข้าพเจ้า ภรรยาของข้าพเจ้า ฝูงปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของพวกข้าพเจ้าจะอยู่ในเมืองต่างๆ ของกิเลอาด 27แต่ผู้รับใช้ของท่านทุกคนที่ถืออาวุธทำศึกจะข้ามไปเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อทำสงครามตามที่เจ้านายของข้าพเจ้าบัญชา”
 28โมเสสจึงสั่งเอเลอาซาร์ปุโรหิตและโยชูวาบุตรนูน ทั้งบรรดาหัวหน้าสกุลของเผ่าต่างๆ ของคนอิสราเอลเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา 29และโมเสสกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ถ้าคนเผ่ากาดและคนเผ่ารูเบนทั้งหมดที่มีอาวุธทำสงครามจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับท่านทั้งหลายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และแผ่นดินนั้นพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกท่านแล้ว พวกท่านจงมอบแผ่นดินกิเลอาดให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่พวกเขา 30แต่ถ้าพวกเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปกับพวกท่าน พวกเขาจะต้องได้ส่วนแผ่นดินคานาอันร่วมกับท่านเป็นกรรมสิทธิ์” 31คนเผ่ากาดกับคนเผ่ารูเบนตอบว่า “พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกผู้รับใช้ของท่านอย่างไร ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำอย่างนั้น 32พวกข้าพเจ้าจะถืออาวุธข้ามไปยังแผ่นดินคานาอันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่มรดกที่เป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้านั้นจะคงอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน”
 33โมเสสมอบดินแดนแก่คนเผ่ากาด แก่คนเผ่ารูเบนและแก่คนครึ่งเผ่าของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ คืออาณาจักรของกษัตริย์สิโหนคนอาโมไรต์ และอาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ทั้งแผ่นดินและเมืองต่างๆ ตลอดพรมแดน คือเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบแผ่นดิน 34และคนเผ่ากาดก็สร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์ 35อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์ 36เบธนิมราห์ และเบธฮาราน ให้เป็นเมืองป้อม และสร้างคอกให้แกะ 37และคนเผ่ารูเบนก็สร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาธาอิม 38เนโบ และบาอัลเมโอน (บางชื่อถูกเปลี่ยนใหม่) และสิบมาห์ พวกเขาตั้งชื่อให้แก่เมืองต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้น 39พงศ์พันธุ์มาคีร์บุตรมนัสเสห์ยึดเมืองกิเลอาด ทั้งขับไล่พวกอาโมไรต์ที่อยู่ในเมืองนั้น 40และโมเสสยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรมนัสเสห์ และเขาก็อาศัยอยู่ในเมืองนั้น 41ส่วนยาอีร์บุตรมนัสเสห์เข้าไปยึดชนบทของพวกเขา และเรียกชื่อว่าฮาวโวทยาอีร์ 42และโนบาห์เข้าไปยึดเคนาทและชนบทของเมืองนี้ แล้วเรียกว่าเมืองโนบาห์ตามชื่อของเขา

อรรถาธิบาย

ติดตามพระเยซูอย่างสุดใจ

ฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ทรงประทานให้กับผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ (32:22) คาเลบและโยชูวาถูกเลือกออกมาจากชาวอิสราเอล เพราะมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ ‘ติดตามพระยาห์เวห์อย่างสุดใจ’ (ข้อ 12) นี่คือสิ่งที่คนของพระเจ้าถูกเรียกให้ทำ

โมเสสเตือนประชาชนว่าอย่า ‘หันจากการติดตามพระองค์’ (ข้อ 15) เขาเตือนประชาชนไม่ให้ละเมิดธรรมบัญญัติ ‘จงรู้แน่เถิดว่า บาปของท่านจะตามทัน’ (ข้อ 23) ความท้าทายอย่างต่อเนื่องของข้อพระคัมภีร์ คือ การติดตามพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา และไม่เล่นกับความบาป

เมื่อใคร่ครวญสิ่งนี้ผ่านมุมมองของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จะพบว่า การ ‘ติดตามพระเจ้า’ คือการติดตามพระเยซู ‘พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ ถือเป็นข้อพิสูจน์หลักในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (ดูตัวอย่างโรม 10:9)

เราได้เห็นในพระธรรมเหล่านี้ว่า ผู้ที่ติดตามพระเยซูอย่างสุดใจนั้น มีให้มากเพียงใด พวกเขาเชื่อและวางใจในพระองค์ ทั้งยังอุทิศตัวเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ นี่คือการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตคุณเช่นกัน เมื่อคุณเชื่อฟังและทำตาม พระเยซูจะส่งคุณออกไปในโลกพร้อมกับฤทธิ์เดช และสิทธิอำนาจในการประกาศพระกิตติคุณ และรักษาคนป่วยให้หาย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากเป็นเหมือนคาเลบและโยชูวาที่ติดตามพระองค์อย่างสุดใจ วันนี้ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทำตามแบบอย่างของพระองค์ อุทิศชีวิตในการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ โปรดช่วยข้า พระองค์ให้ทำพันธกิจด้วยฤทธิ์เดช และสิทธิอำนาจในการประกาศพระกิตติคุณ และรักษาคนป่วยด้วยเถิด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 9:2–3

พระองค์ ‘ทรงใช้เขาทั้งหลายไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า… พระองค์ทรงสั่งพวกเขาว่า “อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่น ไม้เท้าหรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อสองตัว”’

คุณควรเห็นสิ่งที่เรานำติดตัวไปด้วยเมื่อต่างเดินทางไปต่างประเทศ ดูเหมือนพวกเราจะเดินทางตัวเบา ๆ กันไม่ค่อยเป็น ฉันต้องบอกกับนิกกี้ว่าดูนั่นสิเห็นมั้ย พวกเขาไม่เห็นมีใครต้องพกไม้สควอชมาด้วยเลย!

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 40:1–2

‘พระยาห์เวห์...วางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา ทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม