วัน 90

วิธีพิชิตความกลัวของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 39:1-13
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 8:19-39
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 29:12-31:24

เกริ่นนำ

คนรุ่นมิลเลนเนียม (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1981-2000) ที่บางครั้งถูกเรียกว่า ‘ยุคสมัยแห่งความกลัว’ โดยในเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพลงหนึ่งของ ลิลลี่ อัลเลน เป็นบทเพลงที่เกี่ยวกับการ ‘ถูกครอบงำโดยความกลัว’

‘ความกลัว’ ถูกแยกเอาไว้สองความหมายในพระคัมภีร์ หนึ่งคือความกลัวที่แข็งแรงและอีกหนึ่งคือความกลัว ที่ไม่แข็งแรง ในความหมายที่ดีของคำนี้มักใช้ในบริบทของการยำเกรงพระเจ้าและบางครั้งก็ถือเป็นการเคารพ ต่อคนอื่น ๆ (โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจมากกว่า)

แต่ในความหมายที่ไม่ดีนั้นหมายถึงการทำให้กลัว เราควรเกรงกลัวพระเจ้า (ในแง่ดี) และไม่ควรกลัวใครหรือสิ่งอื่นใด หลายคนในปัจจุบันใช้ชีวิตที่ตรงกันข้าม พวกเขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า แต่ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วย ความกลัวแบบผิด ๆ

คุณสามารถก้าวผ่านความกลัวต่าง ๆ ไปได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 39:1-13

คำอธิษฐานขอสติปัญญาและการยกโทษ

ถึงหัวหน้านักร้อง ถึงเยดูธูน เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะระแวดระวังทางของข้าพเจ้า
 เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปด้วยลิ้นของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะใส่บังเหียนที่ปากของข้าพเจ้า
 ขณะที่คนอธรรมอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า”
2ข้าพเจ้าก็เป็นใบ้เงียบไป
 ข้าพเจ้านิ่งไม่พูดสักคำเดียว
 ความทุกข์ใจของข้าพเจ้ารุนแรงขึ้น
3จิตใจข้าพเจ้าร้อนอยู่ภายใน
 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังตรึกตรองอยู่นั้นไฟก็ลุก
 ข้าพเจ้าจึงทูลด้วยลิ้นของข้าพเจ้าว่า
4“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้ข้าพระองค์ทราบบั้นปลายของข้าพระองค์
 และทราบว่าข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่นานสักเท่าใด
 ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่าสังขารข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร
5ดูสิ พระองค์ทรงทำให้วันเวลาของข้าพระองค์สั้นแค่สองสามฝ่ามือเท่านั้น
 ช่วงชีวิตของข้าพระองค์ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์
 แน่ทีเดียว มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่ชั่วเวลาหนึ่งอย่างลมหายใจ
6แน่ทีเดียว มนุษย์ไปๆ มาๆ อย่างเงา
 แน่ทีเดียว เขาวุ่นวายอยู่เปล่าๆ
 เขาโกยกองสมบัติไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป”
7“ข้าแต่องค์เจ้านาย บัดนี้ข้าพระองค์จะคอยอะไร?
 ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
8ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากการละเมิดทั้งสิ้นของข้าพระองค์
 อย่าให้ข้าพระองค์เป็นที่เยาะเย้ยของคนโง่
9ข้าพระองค์เป็นใบ้ ข้าพระองค์ไม่อ้าปาก
 เป็นพระองค์เองที่ทรงทำเช่นนั้น
10ขอทรงถอนภัยพิบัติไปจากข้าพระองค์เถิด
 ข้าพระองค์ร่วงโรยไปด้วยพระหัตถ์ของพระองค์โบยตี
11เมื่อพระองค์ทรงตีสอนมนุษย์
 พร้อมไปกับการดุว่าเรื่องความชั่ว
พระองค์ทรงทำลายสิ่งที่เขารักเสียอย่างตัวมอดทำลาย
 มนุษย์ทุกคนเป็นแต่ลมหายใจแน่ทีเดียว”
12“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์
 ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำวิงวอนของข้าพระองค์
ขออย่าทรงเฉยเมยต่อน้ำตาของข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวสำหรับพระองค์
เป็นคนร่อนเร่ อย่างบรรพบุรุษทั้งสิ้นของข้าพระองค์
13ขอเมินพระพักตร์จากข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเบิกบานขึ้น
 ก่อนที่ข้าพระองค์จะจากไปและไม่มีตัวตนอยู่อีก”
 เป็นคนร่อนเร่ อย่างบรรพบุรุษทั้งสิ้นของข้าพระองค์
13ขอเมินพระพักตร์จากข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเบิกบานขึ้น
 ก่อนที่ข้าพระองค์จะจากไปและไม่มีตัวตนอยู่อีก”

อรรถาธิบาย

จงซื่อสัตย์ต่อความกลัวของคุณ

พวกเราทุกคนต่างเผชิญกับความกลัว คุณสามารถที่จะระงับและปฏิเสธความกลัวของคุณ หรือคุณสามารถที่จะสัตย์ซื่อ และเปิดเผยมันออกมาได้

ดาวิดเข้าเฝ้าพระเจ้าพร้อมกับคำถามที่ร้อนรน เขาพยายามที่จะ ‘เงียบไปและนิ่ง’ แต่กลับพบว่า ‘ความทุกข์ใจ’ ของเขารุนแรงขึ้น เมื่อเขาไม่ได้สื่อสารกับพระเจ้า (ข้อ 2)

เขาได้ตระหนักว่าชีวิตของมนุษย์นั้นใช้เวลาอยู่กับความวิตกกังวลและความกลัวมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามชีวิตที่สั้นลงอาจมองได้ว่าเราวิตกกังวลมากแค่ไหน สังขารที่ไม่เที่ยงแท้ (ข้อ 4) คือชีวิตที่ ‘ดำรงอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง อย่างลมหายใจ’ (ข้อ 5) ความกลัวมักเกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ ‘มนุษย์ ... วุ่นวายอยู่เปล่า ๆ เขาโกยกอง สมบัติไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป’ (ข้อ 6)

ดาวิดกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานที่เขาเห็นรอบ ๆ ตัวและในชีวิตของเขาเอง เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพระเจ้าจึงยอมให้มันเกิดขึ้น เขาขมขื่นจากการกระทำของพระเจ้าถึงขนาดอธิษฐานว่า ‘ขอเมินพระพักตร์จากข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเบิกบานขึ้น’ (ข้อ 13)

ท่ามกลางความสิ้นหวังเป็นเรื่องดีที่จะระบายความกังวลและความเสียใจของคุณต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงเข้าใจดีว่าความทุกข์ยากจะทำให้เราสับสนและเศร้าโศก เพราะพระองค์ทรงผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเพื่อเรา

ในพระธรรมสดุดีเราอาจจะไม่ได้พบคำตอบทั้งหมดสำหรับความกลัวที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ยาก ถึงกระนั้น ในหัวใจของพระธรรมสดุดีขณะที่ดาวิดคร่ำครวญด้วยความกลัว ความปวดร้าวและความขุ่นมัวต่อหน้า พระพักตร์พระเจ้า เราจะเห็นว่าเขาสามารถพบคำตอบในสัมพันธภาพของเขากับพระเจ้า ดาวิดร้องทูลต่อพระเจ้าว่า ‘ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์’ (ข้อ 7) และคำอธิษฐานของเขาในตอนท้ายเป็นการรับรู้ ว่าเขาพึ่งพาพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เพื่อทูลขอการทรงตอบของพระองค์

ชีวิตนั้นสั้นเกินไปที่จะกังวลเรื่องที่ไม่มีแก่นสาร ให้เราอธิษฐาน เชื่อพระเจ้า ใช้ชีวิตให้ชื่นบาน อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยทำให้คุณท้อแท้สิ้นหวัง

คำอธิษฐาน

‘ข้าแต่พระยาเวห์ ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำวิงวอนของข้าพระองค์ ขออย่าทรงเฉยเมยต่อน้ำตาของข้าพระองค์’ (ข้อ 8,12)
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 8:19-39

มารดาและบรรดาน้องชายของพระเยซู

 19มารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงตัวพระองค์ได้เพราะคนมาก 20มีคนทูลพระองค์ว่า “มารดาและบรรดาน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอก ต้องการจะพบท่าน” 21แต่พระองค์ตรัสกับพวกที่ชุมนุมกันในบ้านว่า “มารดาของเราและพี่น้องของเราคือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตาม”

การทรงห้ามพายุ

 22อยู่มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับพวกสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ให้พวกเราข้ามทะเลสาบไปฝั่งโน้น” พวกเขาก็ถอยเรือออกไป 23ขณะกำลังแล่นไปนั้นพระองค์บรรทมหลับ และเกิดพายุหนักขึ้นกลางทะเล น้ำก็ทะลักเข้าเรือจนทุกคนตกอยู่ในอันตราย 24พวกเขาจึงมาปลุกพระองค์ร้องว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากำลังจะจมน้ำตาย” พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบ 25พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?” เขาก็กลัวและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครนะ ถึงสั่งลมกับน้ำได้ และมันก็เชื่อฟังท่าน?”

การทรงรักษาคนผีเข้าที่แดนเก-ราซา

 26พวกเขาแล่นเรือไปถึงเขตแดนของเมืองเก-ราซาที่อยู่ตรงข้ามกาลิลี 27ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นฝั่ง มีชาวเมืองคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงมาพบพระองค์ เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเรือนนานแล้ว แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ร้องลั่นและมาหมอบกราบพระองค์ ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าทำไม? ขออย่าทรมานข้าเลย” 29ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพระองค์สั่งให้ผีโสโครกออกจากตัวชายคนนั้น (เพราะว่าผีแผลงฤทธิ์ในตัวเขาบ่อยๆ เขาเคยถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน แต่เขาหักที่ล่ามโซ่ออก และถูกผีผลักไสเข้าไปในถิ่นกันดาร) 30พระเยซูตรัสถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร?” มันตอบว่า “ชื่อกองพล” เพราะว่ามีผีหลายตัวสิงเขาอยู่ 31พวกผีก็อ้อนวอนขอพระองค์อย่าสั่งให้พวกมันกลับไปที่นรกขุมลึก 32ขณะนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนไหล่เขา ผีเหล่านั้นจึงอ้อนวอนพระองค์ ขออนุญาตให้พวกมันเข้าสิงในสุกรฝูงนั้น พระองค์ก็ทรงอนุญาต 33ผีเหล่านั้นจึงออกจากชายคนนั้นแล้วเข้าสิงในฝูงสุกร สุกรทั้งฝูงก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสาบสำลักน้ำตาย
 34เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุกรเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็วิ่งหนีไปและเล่าเรื่องนั้นทั้งในเมืองและในชนบท 35พวกชาวบ้านจึงพากันออกไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อพวกเขาพบพระเยซู ก็เห็นคนที่มีผีออกจากตัวแล้ว นุ่งผ้ามีสติสัมปชัญญะและกำลังนั่งอยู่ใกล้พระบาทพระเยซู พวกเขาก็พากันกลัว 36คนที่เห็นก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องคนผีเข้าว่าเขาหายเป็นปกติได้อย่างไร 37ชาวเมืองเก-ราซาและทุกคนที่อยู่ตามชนบทโดยรอบจึงขอให้พระองค์ไปเสียจากพวกเขา เพราะว่าเขากลัวมาก พระองค์จึงเสด็จลงเรือกลับไป 38คนที่ผีออกจากตัวแล้วนั้นก็ขออนุญาตติดตามพระองค์ แต่พระเยซูตรัสสั่งให้เขากลับไปเสีย ตรัสว่า 39“จงกลับไปที่บ้านของท่านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อท่าน” เขาก็ไปและประกาศให้คนทั้งเมืองทราบถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงทำต่อเขา

อรรถาธิบาย

จงวางใจในพระเยซู

อาจมีบางครั้งในชีวิตของคุณที่ความกลัวดูเหมือนเข้าครอบงำชีวิต บางครั้งก็เหมือนกับพายุที่พวกสาวกประสบโดยไม่คาดคิด (ข้อ 22–25)

ในพระธรรมตอนนี้เริ่มต้นด้วยการผสมผสานระหว่างความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษกับความน่าเกรงขาม พระเยซูตรัสถึงสาวกของพระองค์ว่า ‘คนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตาม’ (ข้อ 21) จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ พวกเขาคือ ‘มารดาและพี่น้อง’ ของพระองค์ (ข้อ 21)

ความใกล้ชิดและ ‘ความกลัว’ (ในแง่ดี) ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกัน แต่มันกลับเสริมสร้างซึ่งกันและกัน นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นในชีวิตแต่งงาน มิตรภาพที่ใกล้ชิด หรือกับพ่อแม่และลูก ๆ ความใกล้ชิดสนิทสนม นี้ถูกรวมเข้ากับความยำเกรงอันแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน

เหล่าสาวกเผชิญความกลัวสองประเภทที่แตกต่างกันตอนพวกเขาอยู่ริมทะเลสาบกับพระเยซู เมื่อเกิดพายุหนัก พวกเขาตกอยู่ใน ‘อันตราย’ (ข้อ 23) และเหล่าสาวกก็กลัวจึงปลุกพระเยซูและพูดว่า ‘พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากำลังจะจมน้ำตาย!’ (ข้อ 24ก)

พระเยซูจึงทรง ‘ตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบ’ (ข้อ 24ข) พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า ‘ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?’ (ข้อ 25ก) อีกครั้งที่เราเห็นความแตกต่างระหว่างความกลัวและ ความเชื่อที่ไม่แข็งแรง พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘ทำไมพวกท่านถึงไม่วางใจในเรา?’ (ข้อ 25ก, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำตอบสำหรับความกลัวของพวกเขานั้นง่ายมาก แต่ก็ยากที่จะนำไปปฏิบัติ ผมพบว่ามันเป็นบทเรียนที่ผมต้องเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอด ท่ามกลางความกลัวจงวางใจในพระเยซู ให้เราคงความเชื่อมั่นในพระองค์ต่อไป บางครั้งพระเยซูทรงทำให้พายุสงบดั่งที่พระองค์ทรงทำ บางครั้งพระองค์ก็ทรงปล่อยให้พายุซัดโหมกระหน่ำ และทำให้คุณสงบลง

การตอบสนองของสาวกที่มีต่อพระเยซูเป็นหนึ่งในความกลัวที่แข็งแรง (ข้อ 25ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทั้งยังเป็นความอัศจรรย์ใจและความถ่อมใจต่อหน้าพระเยซู พวกเขาถามพระองค์ว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นใครนะ?’ (ข้อ 25)

คำถามของพวกเขาได้รับคำตอบผ่านชายที่ถูกผีเข้าสิงซึ่งพระเยซูทรงรักษา พระเยซูทรงเป็น ‘บุตรของพระเจ้าสูงสุด’ (ข้อ 28)

เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงสุกรเห็นชายคนนั้นที่หายป่วยแล้ว ‘นั่งใกล้พระบาทของพระเยซู, นุ่งผ้ามีสติสัมปชัญญะ’ พวกเขาก็ ‘พากันกลัว’ (ข้อ 35) หรือ ‘กลัวแทบตาย’ (ข้อ 35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาขอให้พระเยซูไปเสียจากพวกเขา ‘เพราะว่าเขากลัวมาก’ (ข้อ 37) ‘มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปเร็วเกินไปและพวกเขากลัว’ (ข้อ 37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อีกครั้งที่เป็นความกลัวที่ไม่ถูกต้อง พวกเขากลัวเพราะสูญเสียสุกรที่มีค่าไป แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป? พวกเขามองไม่เห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของชีวิตคน ๆ หนึ่ง พวกเขาปฏิเสธพระเยซูด้วยความกลัว แต่พระเยซูทรงไม่เคยกลัวพวกเขาหรือสิ่งอื่นใด

พระเยซูมีแนวทางที่น่าสนใจในการติดตามผล ชายที่ถูกผีเข้าสิงต้องการ ‘ติดตามพระองค์’ (ข้อ 38) อย่างไรก็ตามแนวทางของพระเยซูคือให้เขามีส่วนร่วมในการประกาศกับคนอื่นทันที พระองค์ตรัสว่า ‘“จงกลับไปที่บ้านของท่านและเล่าให้ชาวเมืองฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อท่าน” เขาก็ไปและประกาศให้คนทั้งเมืองทราบถึงเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่พระเยซูทรงทำต่อเขา’ (ข้อ 39)

ในการเผชิญหน้ากับพระเยซู เขาได้พบกับพระเจ้า ลูกาบรรยายไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงทำต่อท่าน’ มากเพียงใด (ข้อ 39ก) และ ‘พระเยซูทรงทำต่อ(เขา)’ มากเพียงไร (ข้อ 39 ข) พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า นี่คือเหตุผลว่า ทำไมในที่สุดพระเยซูจึงเป็นคำตอบเดียวในความกลัวที่ผิด ๆ ของเรา อย่ามุ่งแต่เอาชนะความกลัว แต่จงเอาชนะความกลัวของคุณโดยพึ่งพาพระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงประทานความยำเกรงที่แข็งแรง ความหวาดกลัว ความอัศจรรย์ใจ และความถ่อมใจต่อหน้าพระเยซูแก่ข้าพระองค์ และประทานความเชื่อในพระองค์ที่ช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความกลัว ที่ไม่แข็งแรงทั้งหมดของข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 29:12-31:24

การถวายเครื่องบูชาในเทศกาลอยู่เพิง

 12“ในวันที่สิบห้าเดือนที่เจ็ด เจ้าทั้งหลายจงมีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามเจ้าทำงานอาชีพใดๆ และเจ้าจงมีการเลี้ยงฉลองเจ็ดวันแด่พระยาห์เวห์ 13เจ้าจงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว คือเครื่องบูชาด้วยไฟซึ่งเป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์ ได้แก่โคหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัวและลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว ต้องไม่ให้มีตำหนิ 14และถวายแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเป็นธัญบูชาที่คู่กัน คือแป้ง 3 กิโลกรัมสำหรับโคแต่ละตัวของโคทั้งสิบสามตัว แป้ง 2 กิโลกรัมสำหรับแกะผู้แต่ละตัวของแกะทั้งสองตัว 15และแป้งหนึ่งกิโลกรัมสำหรับลูกแกะแต่ละตัวของแกะทั้งสิบสี่ตัว 16และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 17“ในวันที่สองจงถวายโคหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 18กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 19และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 20“ในวันที่สามจงถวายโคสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 21กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 22และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 23“ในวันที่สี่จงถวายโคสิบตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 24กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 25และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 26“ในวันที่ห้าจงถวายโคเก้าตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 27กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 28และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 29“ในวันที่หกจงถวายโคแปดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 30กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 31และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 32“ในวันที่เจ็ดเจ้าจงถวายโคเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว 33กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 34และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 35“ในวันที่แปดเจ้าจงมีการประชุมทำพิธี ห้ามเจ้าทำงานอาชีพใดๆ 36แต่เจ้าจงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์ คือโคผู้หนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีไม่มีตำหนิเจ็ดตัว 37กับถวายธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันสำหรับโค แกะผู้ และลูกแกะผู้นั้นตามจำนวนตามกฎเกณฑ์ 38และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่ถวายต่อเนื่อง กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
 39“สิ่งเหล่านี้เจ้าทั้งหลายจงถวายแด่พระยาห์เวห์ตามเทศกาลเลี้ยงของเจ้า นอกเหนือจากเครื่องบูชาแก้บนของพวกเจ้า และเครื่องบูชาที่ถวายด้วยความสมัครใจของเจ้าที่เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชา เครื่องดื่มบูชา และเครื่องศานติบูชา”
 40และโมเสสได้บอกคนอิสราเอลตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านไว้ทุกประการ

กันดารวิถี 30

การสาบานของสตรี

 1โมเสสพูดกับบรรดาหัวหน้าเผ่าของคนอิสราเอลว่า “นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 2เมื่อชายคนไหนบนไว้กับพระยาห์เวห์ หรือสาบานผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อย่าให้เขาเสียวาจา เขาจะต้องทำตามคำทุกคำที่ออกจากปากของเขา 3หรือเมื่อหญิงคนไหนบนไว้กับพระยาห์เวห์ และผูกมัดตัวเองไว้ด้วยคำสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในขณะที่เธอยังสาวและอยู่ในบ้านของบิดา 4และบิดาของเธอได้ยินคำที่เธอบนไว้ และได้ยินคำสัญญาที่ผูกมัดตัวเธอโดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรกับเธอ ก็ให้คำที่บนไว้นั้นคงอยู่ รวมทั้งคำสัญญาที่ผูกมัดเธอไว้นั้นก็ให้คงอยู่ด้วย 5แต่ถ้าบิดาของเธอคัดค้านในวันที่เขาได้ยิน คำที่เธอบนไว้ทั้งหมดรวมทั้งคำสัญญาที่ผูกมัดเธอก็จะเป็นโมฆะ และพระยาห์เวห์จะทรงให้อภัยเธอ เพราะบิดาของเธอคัดค้านเธอไว้ 6และถ้าเธอแต่งงานโดยมีสิ่งที่เธอบนไว้หรือมีคำพูดที่ไม่ทันคิดผูกมัดเธอไว้ 7แล้วสามีก็มาได้ยิน และสามีไม่ได้พูดอะไรกับเธอในวันที่ได้ยินนั้น สิ่งที่เธอบนไว้นั้นก็คงอยู่ รวมทั้งคำสัญญาที่ผูกมัดตัวเธอก็คงอยู่ด้วย 8แต่ถ้าสามีคัดค้านในวันนั้นที่เขาได้ยิน ก็จะทำให้คำที่เธอบนไว้นั้นเป็นโมฆะ รวมทั้งคำพูดที่ไม่ทันคิดของเธอซึ่งผูกมัดเธอนั้นก็เป็นโมฆะด้วย และพระยาห์เวห์จะทรงให้อภัยเธอ 9(แต่คำที่แม่ม่ายหรือหญิงที่หย่าร้างบนไว้รวมทั้งคำใดๆ ที่นางพูดผูกมัดตัวเองย่อมคงอยู่กับนาง) 10และถ้านางบนไว้ในบ้านสามีของนาง รวมทั้งสาบานด้วยคำสัญญาที่ผูกมัดตัวเองไว้ 11และสามีของนางได้ยิน แต่ไม่พูดอะไรกับนาง และไม่คัดค้านนาง คำบนบานทั้งหมดของนางย่อมคงอยู่ และคำสัญญาทุกอย่างที่นางผูกมัดตัวเองย่อมคงอยู่ 12แต่ถ้าสามีของนางได้ทำให้เป็นโมฆะในวันที่เขาได้ยิน สิ่งใดๆ ที่ออกจากปากของนางเกี่ยวกับคำบนบาน หรือเกี่ยวกับคำที่ผูกมัดตัวเองย่อมไม่คงอยู่ สามีของนางได้ทำให้เป็นโมฆะแล้ว และพระยาห์เวห์จะทรงให้อภัยนาง 13คำบนบานใดๆ หรือคำสาบานใดๆ ที่เป็นการปฏิเสธความต้องการภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า เป็นการบังคับใจของนางนั้น สามีของนางจะให้คงอยู่หรือเป็นโมฆะก็ได้ 14แต่ถ้าสามีของนางไม่กล่าวอะไรกับนางวันแล้ววันเล่า เขาก็ทำให้คำบนบานและคำสัญญาทั้งหมดของนางที่จะตกกับนางนั้นคงอยู่ เขาทำให้คงอยู่เพราะเขาไม่พูดอะไรกับนางในวันที่เขาได้ยิน 15แต่ถ้าเขาจะทำให้เป็นโมฆะอย่างแน่นอนหลังจากวันที่เขาได้ยิน เขาจะต้องรับความผิดแทนนาง”
 16ข้อความเหล่านี้เป็นบรรดาข้อกำหนดซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้ เป็นเรื่องระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และระหว่างบิดากับบุตรหญิง ขณะเมื่อเธอยังสาวและยังอยู่ในบ้านบิดาของเธอ

กันดารวิถี 31

การทำสงครามกับคนมีเดียน

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงแก้แค้นคนมีเดียนเพื่อคนอิสราเอล หลังจากนั้นเจ้าจะจากภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า จะถูกรวบไปอยู่กับประชาชนของเจ้า” 3และโมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงเตรียมคนในพวกเจ้าให้พร้อมด้วยอาวุธเพื่อทำสงคราม แล้วยกไปสู้กับพวกมีเดียน เพื่อแก้แค้นคนมีเดียนให้กับพระยาห์เวห์ 4จงส่งคนจากทุกเผ่าของอิสราเอลเผ่าละพันคนเข้าทำสงคราม” 5ดังนั้นเขาจึงจัดคนเผ่าละพันคนจากอิสราเอลที่เป็นพันๆ รวม 12,000 คน พร้อมด้วยอาวุธเพื่อเข้าสงคราม 6แล้วโมเสสส่งคนเผ่าละพันคนออกไปทำสงคราม เขาทั้งหลายออกไปทำสงครามพร้อมกับฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิตและเครื่องใช้บริสุทธิ์ และมีแตรปลุกอยู่ในมือของฟีเนหัส 7เขาทั้งหลายทำสงครามต่อสู้กับคนมีเดียนตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส และพวกเขาฆ่าผู้ชายหมดทุกคน 8เขาทั้งหลายประหารบรรดากษัตริย์คนมีเดียนพร้อมกับคนอื่นๆ ที่ถูกฆ่า ได้แก่เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์และเรบาซึ่งเป็นกษัตริย์ทั้งห้าของคนมีเดียน และเขาประหารบาลาอัมบุตรเบโอร์ด้วยดาบ 9คนอิสราเอลจับสตรีชาวมีเดียนมาเป็นเชลยพร้อมกับพวกเด็กๆ รวมทั้งกวาดเอาฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงแพะแกะ และข้าวของทั้งหมดไปเป็นของริบ 10แล้วเอาไฟเผาทุกเมืองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขา และเผาค่ายพักทั้งหมดของเขา 11แล้วเก็บของที่ริบมาทั้งหมด และสิ่งที่ชิงมาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์กลับไป 12แล้วพวกเขานำบรรดาเชลยและทรัพย์สินที่ชิงมาได้ รวมทั้งของที่ริบได้มายังโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่ายพัก ณ ที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

การกลับมาจากสงคราม

 13โมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาผู้นำของชุมนุมชนออกไปต้อนรับเขาทั้งหลายนอกค่ายพัก 14และโมเสสโกรธพวกนายทหาร คือพวกนายพันและพวกนายร้อยผู้กลับจากการทำสงคราม 15โมเสสพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านไว้ชีวิตผู้หญิงทั้งหมดหรือ? 16ดูซิ หญิงเหล่านี้ทำให้คนอิสราเอลหลงทำผิดต่อพระยาห์เวห์ในเรื่องเปโอร์ โดยคำแนะนำของบาลาอัม และภัยพิบัติจึงเกิดขึ้นท่ามกลางชุมนุมชนของพระยาห์เวห์ 17ฉะนั้นจงประหารเด็กผู้ชายทุกคน และประหารผู้หญิงทุกคนซึ่งเคยร่วมหลับนอนกับผู้ชาย 18แต่ให้ไว้ชีวิตหญิงสาวที่ยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับผู้ชายสำหรับพวกท่านเอง 19จงพักอยู่ภายนอกค่ายเจ็ดวัน คือทุกคนที่ได้ฆ่าคน และทุกคนที่ได้แตะต้องศพผู้ที่ถูกฆ่านั้น จงชำระตัวและชำระเชลยของตนในวันที่สามและวันที่เจ็ด 20พวกท่านต้องชำระเครื่องแต่งกายทุกชิ้น เครื่องใช้ที่ทำด้วยหนังสัตว์ทุกชิ้น เครื่องใช้ที่ทำจากขนแพะทุกชิ้น และเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้ทุกชิ้น”
 21และเอเลอาซาร์ปุโรหิตกล่าวกับคนที่ออกไปทำสงครามว่า “นี่เป็นข้อกำหนดของธรรมบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส 22เฉพาะทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุก และตะกั่ว 23และทุกสิ่งที่ทนไฟได้ ท่านทั้งหลายจงนำไปผ่านไฟ แล้วก็จะสะอาด อย่างไรก็ดีต้องล้างชำระมลทินด้วยน้ำ และสิ่งใดที่ทนไฟไม่ได้ท่านต้องผ่านน้ำ 24ท่านต้องซักเสื้อผ้าของท่านในวันที่เจ็ด แล้วท่านจะสะอาด หลังจากนั้นพวกท่านจึงจะเข้ามาในค่ายได้”

อรรถาธิบาย

จงยำเกรงพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนี้ สร้างความตกตะลึงให้กับคนสมัยใหม่อย่างเรา ๆ เป็นอย่างมาก บางส่วนของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมดูเหมือนจะยากมาก (เช่น กันดารวิถี 31:15–18) ไม่มีคำตอบง่าย ๆ สำหรับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ บางครั้งสิ่งที่เราทำได้คือยึดมั่นในสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับความรักและความดีงามของพระเจ้า และวางใจว่ามีคำตอบแน่นอน แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม

สิ่งที่เราเข้าใจได้ในพระธรรมตอนนี้ คือ ประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม มีความเกรงกลัวพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับการทรงสถิตของพระเจ้าแต่อย่างใด พวกเขารู้ว่าพระเจ้าแห่ง ความรักของพวกเขาเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรมที่ทรงรับโทษบาป และการละเมิดไปได้อย่างแน่นอน (กันดารวิถี 31)

สิ่งสำคัญสำหรับเราในฐานะคริสเตียนคือการตีความทั้งหมดนี้ผ่านทางชีวิตของพระเยซู:

1.\tพระเยซูเป็นเครื่องถวายบูชาที่สมบูรณ์องค์เดียว
จำนวนโคที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาลดน้อยลงในแต่ละวัน (กันดารวิถี 29) จากจำนวนสิบสามเป็นเจ็ด ตัวและเหลือแค่หนึ่งตัว ได้ชี้ไปยังช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องถวายบูชาอีกต่อไป พระเยซูซึ่งเป็น เครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบเพียงพระองค์เดียว ที่เราไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องเผาบูชาใด ๆ อีกต่อไป

2.\tในพระเยซูไม่มีทั้งชายและหญิง ข้อบังคับเกี่ยวกับคำสาบาน (กันดารวิถี 30) เหล่านี้ดูเหมือนทั้งพยายามปกป้องสตรีและเลือกปฏิบัติต่อพวกนาง เราต้องจำไว้ว่าสังคมโบราณส่วนใหญ่ผู้นำเผ่าและพวกผู้ชายถือเป็นผู้นำของครอบครัว ดังนั้นกฎเกณท์เหล่านี้จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้หญิงในสถานการณ์ที่พวกเธอถูกขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติตามคำสาบานที่ได้ทำไว้

อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องใคร่ครวญสิ่งนี้ผ่านทางมุมมองของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลว่า ในพระคริสต์ไม่มีทั้งชายและหญิง (กาลาเทีย 3:28) เนื้อหาตอนนี้ในพระธรรมกันดารวิถีตอบสนองต่อบริบททางวัฒนธรรมโดยไม่ได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับเพศ

3.\tพระเยซูตรัสว่า ‘จงรักศัตรูของท่าน’ ในขณะที่เราได้เห็นการแก้แค้นของชาวมีเดียน มันเป็นการย้ำเตือนให้เห็นว่าพระเจ้ามีพระทัยเช่นไร กับคนที่พยายามชักนำผู้คนไม่ให้ติดตามพระองค์ ดูเหมือนว่าชาวมีเดียนจงใจพยายามทำเช่นนี้ ครั้งแรกด้วยการล่วงประเวณี และจากนั้นผ่านการต่อต้านทางการศึกสงคราม (กันดารวิถี 31:16 ; ดูข้อ 18 ด้วย)

อย่างไรก็ตาม เราต้องใคร่ครวญบทลงโทษนี้ ผ่านมุมมองของพระเยซูที่ตรัสว่า ‘จงรักศัตรู’ (มัทธิว 5:44) กุญแจสำคัญของทั้งหมดนี้คือไม้กางเขน ที่ไม้กางเขนเราจะเห็นอีกครั้งว่าพระเจ้ามีท่าทีจริงจัง เพียงใดเกี่ยวกับบาปและการพิพากษาของพระองค์ เรายังเห็นว่าความปรารถนาสูงสุดของพระองค์ คือ การอวยพรและไถ่เราทุกคน

สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงท่าทีของเราต่อพระคำเหล่านี้ เปาโลบอกว่า ‘อย่าแก้แค้น’ (โรม 12:19) แต่เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความรัก ดังที่อัครสาวกยอห์นเขียนไว้ว่า ‘ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่ สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย’ (1 ยอห์น 4:18) นี่คือวิธีที่จะเอาชนะความกลัวของคุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไป ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์รักพระองค์และไม่กลัวใครหรือสิ่งอื่นใด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 39:4

ฉันไม่อยากอธิษฐานเหมือนที่ดาวิดอธิษฐาน คือ ขอให้พระเจ้าเปิดเผยวาระสุดท้ายของชีวิตและนับจำนวนวันของเขา แต่ฉันเลือกที่จะวางใจในพระเจ้าว่า เวลาที่พระองค์พาฉันกลับบ้านบนแผ่นดินสวรรค์นั้น จะเป็นเวลาที่เหมาะสม ฉันตระหนักดีว่าชีวิตที่ไม่เที่ยงเป็นอย่างไร และจะสั้นลงแค่ไหน มันทำให้ฉันถามตัวฉันเองว่า ฉันทำทุกอย่างที่ควรทำในแต่ละวันแล้วหรือยัง?

ข้อพระคำประจำวัน

ลูกา 8:24

‘พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบ’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม