วัน 78

วิธีการเติบโตและติดสนิทกับพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 35:11-18
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 2:41-52
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 7:66-9:14

เกริ่นนำ

ชีวิตและงานรับใช้ของ จอห์น วิมเบอร์ ศิษยาภิบาลชาวอเมริกัน มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของผม คริสตจักรของเราและคริสตจักรอื่น ๆ อีกมากมายทั่วโลก

เขากล่าวว่า ‘ความสามารถในการได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสเพื่อดูว่าพระองค์ทรงกำลังทำอะไรและการเคลื่อนไหวในการอัศจรรย์นั้น มาจากการที่แต่ละคนพัฒนาการติดสนิทกับพระเจ้าและพึ่งพาพระบิดา (ตามที่พระเยซูทรงมี)’ พระเยซูทรงทำอะไรและอย่างไร? คำตอบอยู่ในความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดา เราจะทำ ‘กิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก’ อย่างที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ได้อย่างไร (ยอห์น 14:12)? เราสามารถพบได้จากความสัมพันธ์เดียวกันกับการใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าอย่างเรียบง่าย และเชื่อฟัง

พระเจ้าทรงรักคุณด้วยความใกล้ชิดเกินกว่าที่คุณคาดฝันไว้ พระองค์ต้องการให้คุณมีสัมพันธภาพส่วนตัวที่ใกล้ชิดสนิทสนม เรียบง่าย และเชื่อฟัง นี่เป็นเกียรติและสิทธิพิเศษที่ไม่ธรรมดา โมเสส ดาวิดและแน่นอนพระเยซูมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่คุณจะพัฒนาความใกล้ชิดกับพระเจ้าได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 35:11-18

11พวกพยานคิดร้ายลุกขึ้น
 เขาถามข้าพระองค์ถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่ทราบ
12พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่ว
 จิตใจของข้าพระองค์ก็ตรอมตรม
13ส่วนข้าพระองค์ เมื่อพวกเขาป่วย
 ข้าพระองค์สวมผ้ากระสอบเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์
ข้าพระองค์ถ่อมตัวลงด้วยการอดอาหาร
 ข้าพระองค์ซบหน้าลงที่อก อธิษฐาน
14ข้าพระองค์ทุกข์ใจ อย่างกับเขาเป็นเพื่อน หรือเป็นพี่น้องของข้าพระองค์
 ข้าพระองค์หมอบราบลงอย่างทุกข์โศก อย่างกับคนไว้ทุกข์ให้มารดา
15แต่พอข้าพระองค์สะดุด พวกเขาก็ยินดี
 เขารวมหัวกันต่อสู้ข้าพระองค์
พวกอันธพาลซึ่งข้าพระองค์ไม่รู้จัก
 ได้ใส่ร้ายป้ายสี
16พวกเขาเย้ยหยันข้าพระองค์อย่างหยาบคาย
 ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ข้าพระองค์
17ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์จะนิ่งทอดพระเนตรอีกนานเท่าใด?
 ขอทรงช่วยข้าพระองค์จากการปองร้ายของเขา
 ช่วยชีวิตข้าพระองค์จากเหล่าสิงห์หนุ่ม
18แล้วข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ในที่ชุมนุมใหญ่
 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนเป็นอันมาก

อรรถาธิบาย

การเปิดเผย ความอ่อนแอ และความซื่อสัตย์

มีหลายครั้งที่ดาวิดตกต่ำ จิตวิญญาณของเขารู้สึกว่างเปล่า (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาซื่อสัตย์และเปิดเผยมากพอที่จะพูดถึงความท้าทายต่าง ๆ ที่เขาต้องเผชิญ:

1.\tการต่อต้าน

ดาวิดต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างมากจากศัตรูและผู้ที่ทำร้ายเขา คุณอาจเผชิญกับการต่อต้านอย่างมากจากศัตรู และผู้ที่โจมตีคุณ (ข้อ 12,15ข) พวกเขาอาจใส่ร้ายป้ายสี (ข้อ 15ค) หรือเย้ยหยันอย่างหยาบคาย (ข้อ 16ก) การต่อต้านไม่เพียงมาจากโลกเท่านั้น แต่ยังมาจากประชากรของพระเจ้าได้ด้วย (ข้อ 16)

2.\tคำอธิษฐาน ‘ที่ไม่ได้รับคำตอบ'

อาจมีบางครั้งที่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่สดับฟัง ‘คำอธิษฐานของข้าพระองค์กลับมายังอกของข้าพระองค์’ (ข้อ 13) ดาวิดพูดกับพระเจ้าว่า ‘พระองค์จะยืนนิ่งอยู่ที่นั่นอีกนานแค่ไหน?’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

3.\tความล้มเหลว

เราทุกคนสะดุด (ข้อ 15ก) เราต่างรู้สึกได้ว่าเรากำลังเดินกับพระเจ้าอย่างมีความสุขและทันใดนั้นเราก็สะดุด อาจมีหลายครั้งที่เราไม่บรรลุมาตรฐานของตัวเอง นับประสาอะไรกับมาตรฐานของพระเจ้า

เช่นเดียวกับดาวิดที่ทูลกับพระเจ้าเกี่ยวกับความท้าทายทั้งหมดนี้ อย่าแสร้งทำเป็นว่าทั้งหมดเป็นไปด้วยดี พูดจากส่วนลึกของหัวใจของคุณ พระองค์จะไม่แปลกใจ หรือตกใจกับสิ่งที่คุณเอ่ย การเปิดกว้าง ความอ่อนแอ และความซื่อสัตย์นี่เองที่ดึงคุณเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ฟังเสียงร้องจากหัวใจของข้าพระองค์ ขอบคุณที่ทรงช่วยข้าพระองค์ และทำให้ข้าพระองค์พูดได้ว่า ‘ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนเป็นอันมาก’ (ข้อ 18)
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 2:41-52

พระกุมารเยซูในพระวิหาร

 41บิดามารดานั้นเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาเทศกาลของพวกยิว เพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตนให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ทุกๆ ปี 42ดังนั้นเมื่อพระกุมารมีอายุได้สิบสองปี พวกเขาก็ขึ้นไปร่วมเทศกาลนั้นตามธรรมเนียม 43หลังจากครบกำหนดวันเทศกาลแล้ว ขณะกำลังเดินทางกลับ พระกุมารเยซูยังคงค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่บิดามารดาไม่รู้ 44เพราะเขาทั้งสองคิดว่าพระกุมารอยู่ในหมู่คนที่มาด้วยกัน เขาจึงเดินทางต่อไปได้วันหนึ่งแล้วก็เริ่มหาพระกุมารในหมู่ญาติพี่น้องและพวกคนที่รู้จักกัน 45เมื่อไม่พบจึงกลับไปตามหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46เมื่อหาได้สามวันแล้ว ก็พบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ กำลังฟังและไต่ถามอาจารย์เหล่านั้นอยู่ 47คนทั้งหลายที่ได้ยินต่างประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น 48ส่วนบิดามารดาเมื่อเห็นแล้วก็ประหลาดใจ มารดากล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ ดูซิ พ่อกับแม่เที่ยวตามหาลูกด้วยความทุกข์ใจ” 49พระเยซูตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม? พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?” 50แต่บิดามารดาไม่เข้าใจคำที่พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งสอง 51แล้วพระกุมารก็ลงไปกับบิดามารดา ยังเมืองนาซาเร็ธ และยอมเชื่อฟังเขาทั้งสอง ส่วนมารดาเก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ
52พระเยซูเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย

อรรถาธิบาย

เติบโตขึ้นในสติปัญญา

พระเยซูทรงมีสติปัญญาที่น่าอัศจรรย์แม้ตอนทรงพระเยาว์ ‘และทุกคนที่ได้ยินพระองค์ก็ประหลาดใจ และเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ในสติปัญญาและความเข้าใจและคำตอบของพระองค์’ (ข้อ 47, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ดังที่มีคนกล่าวไว้ว่า ‘ความรู้ คือการรู้ว่ามะเขือเทศเป็นผลไม้ แต่ความมีปัญญา คือการไม่เอามันไปใส่ในสลัดผลไม้!’ ความรู้เป็นแนวนอน ปัญญาอยู่ในแนวดิ่งลงมาจากด้านบน การเติบโตในปัญญานั้นสำคัญกว่าการเติบโตในความมั่งคั่ง สติปัญญามีมากกว่าความมั่งคั่ง ความใกล้ชิดกับพระบิดานำไปสู่การเติบโตในสติปัญญา

หลังจากบิดามารดาของพระเยซูพบพระองค์ในลานพระวิหารแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘ท่านไม่รู้หรือว่าเราต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?’ (ข้อ 49ข) หรือตาม The Message ระบุไว้ว่า ‘เราต้องกระทำพระราชกิจแห่งพระบิดาของเรา’ (ข้อ 49ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในอีกแง่หนึ่ง ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับ ‘พระบิดา’ นั้นไม่เหมือนใคร ในทางกลับกันพระองค์ยังช่วยให้คุณสามารถเรียกพระเจ้าว่า ‘พ่อ’ พระองค์อธิษฐานต่อพระเจ้าในฐานะ ‘อับบา’ (คำในภาษาอาราเมคที่เด็ก ๆ ใช้พูดกันอย่างสนิทสนมกับพ่อของพวกเขา) และพระองค์ก็สอนสาวกให้ทำเช่นเดียวกัน (11:2) อัครทูตเปาโล ได้เขียนเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวว่า เพราะ ‘พระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่าน เป็นทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)”’ (โรม 8:15)

เราสามารถเรียนรู้ 4 สิ่ง เกี่ยวกับสติปัญญาที่มาจากความใกล้ชิดกับพระบิดาโดยพิจารณาตัวอย่างของพระเยซู ในข้อเหล่านี้

1.\tสติปัญญาเกิดจากการฟัง

สติปัญญา คือ ความเต็มใจที่จะฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น พระเยซูทรง ‘นั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์กำลังฟังและไต่ถามอาจารย์เหล่านั้นอยู่’ (ลูกา 2:46)

เซอร์ ไอแซก นิวตันกล่าวว่า ‘ผมพบว่าความฉลาดนั้นมีมากขึ้น เมื่อได้วิเคราะห์คำถามที่ถามมากกว่าคำตอบที่ได้รับ’

บ่อยครั้งผู้ที่รู้มากที่สุดมักพูดน้อยที่สุด เวลาคุยกัน เรามักจะพูดซ้ำ ๆ ในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่เวลาที่เรากำลังฟัง เราอาจกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

การถามคำถามที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการเป็นนักสนทนาที่ดี มีการกล่าวถึงประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ว่าเขาสามารถทำให้คุณคิดว่าเขาไม่มีอะไรจะทำ นอกจากถามคำถามและรับฟังคุณด้วยความตั้งใจ และสนใจเป็นพิเศษ คุณจะรู้ว่าในขณะนี้เขาได้ลบล้างทั้งอดีตและอนาคตให้กับคุณ

2.\tสติปัญญานำไปสู่ความเรียบง่าย

สติปัญญานำมาซึ่งความกระจ่าง พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์ควรอยู่ที่ไหนและควรทำอะไร พระองค์ตรัสว่า ‘พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?’ (ข้อ 49) ความรู้นำพาเราจากสิ่งธรรมดาไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อน แต่ปัญญานำเราจากสิ่งที่สลับซับซ้อนไปสู่สิ่งที่เรียบง่าย

3.\tสติปัญญาเป็นองค์รวม

สติปัญญาไม่เพียงแสดงให้เห็นในสิ่งที่เราพูด แต่ยังแสดงให้เห็นในวิธีการดำเนินชีวิตของเราด้วย ‘แล้วพระกุมารก็ลงไปกับบิดามารดายังเมืองนาซาเร็ธ และยอมเชื่อฟังเขาทั้งสอง’ (ข้อ 51) สติปัญญาเป็นเรื่องทั้งหมดของชีวิต ไม่ใช่แค่เฉพาะมันสมองหรือคำพูดของเรา

4.\tสติปัญญาควรเติบโตขึ้น

โดยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ‘พระเยซูทรงเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย’ (ข้อ 52) เป็นคำอธิบายที่คล้ายกันมากกับคำอธิบายของซามูเอล (1 ซามูเอล 2:26)

สติปัญญาควรเติบโตเมื่อเราอายุมากขึ้น ไม่ใช่ว่าสติปัญญาของพระเยซูมีข้อบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์ แต่มันจะเติบโตขึ้นเมื่อเราเจริญเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

นี่คือคำอธิษฐานที่เรามักจะอธิษฐานเพื่อลูก ๆ ของเรา ให้พวกเขาเติบโตในสติปัญญาและร่างกายรวม ถึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและคนอื่น ๆ

เหนือสิ่งอื่นใดสติปัญญาของพระเยซูมาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระองค์ พระองค์รู้ว่าพระองค์ต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดาและความใกล้ชิดกับพระบิดาเป็นรากฐานแห่งสติปัญญาของพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณที่ทรงประทานพระวิญญาณแห่งฐานะบุตรของพระเจ้าแก่ข้าพระองค์ โดยข้าพระองค์สามารถเรียกพระองค์ได้ว่า ‘อับบา (พ่อ)’ ขอบคุณที่ทรงเรียกข้าพระองค์เข้าสู่สัมพันธภาพอันใกล้ชิดแบบเดียวกับที่พระเยซูทรงมีกับพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์เติบโตขึ้นในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เรียบง่าย และเชื่อฟัง ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เติบโตในสติปัญญาและร่างกาย โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและคนอื่น ๆ
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 7:66-9:14

66วันที่สิบ อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย ผู้นำของพงศ์พันธุ์ดาน
 67ของถวายของเขาคือจานเงินใบหนึ่งหนัก 1.5 กิโลกรัม ชามเงินใบหนึ่งหนัก 800 กรัม ตามมาตรฐานของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มีแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันบรรจุเต็มเพื่อเป็นธัญบูชา 68ชามทองคำเล็กใบหนึ่งหนัก 110 กรัม มีเครื่องหอมบรรจุเต็ม 69ลูกโคผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 70แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 71โคผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิเยเซอร์บุตรของอัมมีชัดดัย
72วันที่สิบเอ็ด ปากีเอลบุตรโอคราน ผู้นำของพงศ์พันธุ์อาเชอร์
 73ของถวายของเขาคือจานเงินใบหนึ่งหนัก 1.5 กิโลกรัม ชามเงินใบหนึ่งหนัก 800 กรัม ตามมาตรฐานของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มีแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันบรรจุเต็มเพื่อเป็นธัญบูชา 74ชามทองคำเล็กใบหนึ่งหนัก 110 กรัม มีเครื่องหอมบรรจุเต็ม 75ลูกโคผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 76แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 77โคผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของปากีเอลบุตรของโอคราน
78วันที่สิบสอง อาหิราบุตรเอนัน ผู้นำของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี
 79ของถวายของเขาคือ จานเงินใบหนึ่งหนัก 1.5 กิโลกรัม ชามเงินใบหนึ่งหนัก 800 กรัม ตามมาตรฐานของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มีแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันบรรจุเต็มเพื่อเป็นธัญบูชา 80ชามทองคำเล็กใบหนึ่งหนัก 110 กรัม มีเครื่องหอมบรรจุเต็ม 81ลูกโคผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 82แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 83โคผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิราบุตรของเอนัน
 84นี่เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาจากผู้นำของคนอิสราเอลในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชา คือจานเงินสิบสองใบ ชามเงินสิบสองใบ ชามทองคำเล็กสิบสองใบ 85จานเงินใบหนึ่งหนัก 1.5 กิโลกรัม และชามใบหนึ่งหนัก 800 กรัม เงินที่ใช้ทำภาชนะทั้งหมดหนัก 27.6 กิโลกรัม ตามมาตรฐานของสถานนมัสการ 86ชามทองคำเล็กสิบสองใบมีเครื่องหอมบรรจุเต็ม หนักใบละ 110 กรัม ตามมาตรฐานของสถานนมัสการ ทองคำที่ใช้ทำถ้วยทั้งหมดหนัก 1.32 กิโลกรัม 87สัตว์สำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว มีโคผู้สิบสองตัว แกะผู้สิบสองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีสิบสองตัวพร้อมกับธัญบูชาที่คู่กัน และแพะผู้สิบสองตัวเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 88สัตว์ทั้งหมดที่ใช้ถวายเป็นศานติบูชามีโคผู้ยี่สิบสี่ตัว แกะผู้หกสิบตัว แพะผู้หกสิบตัว และลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีหกสิบตัว เหล่านี้เป็นของถวายในงานมอบถวายแท่นบูชาเมื่อแท่นได้รับการเจิมแล้ว
 89เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อจะกราบทูลพระองค์ ท่านได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับท่านมาจากพระที่นั่งกรุณา ซึ่งอยู่บนหีบแห่งสักขีพยานระหว่างเครูบทั้งสอง และพระองค์ทรงสนทนากับท่าน

กันดารวิถี 8

ตะเกียงทั้งเจ็ดดวง

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงกล่าวกับอาโรนว่า เมื่อเจ้าตั้งตะเกียง จงให้ตะเกียงทั้งเจ็ดส่องแสงไปด้านหน้าคันประทีป” 3และอาโรนก็ทำตาม ท่านตั้งตะเกียงให้ส่องแสงออกไปทางด้านหน้าคันประทีป ตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งกับโมเสส 4การทำคันประทีปให้ทำดังนี้ คือเป็นงานทองคำที่ใช้ค้อนทุบ เป็นการทุบด้วยค้อนตั้งแต่ฐานขึ้นไปถึงดอก ตามแบบที่พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่โมเสส เขาจึงทำคันประทีปตามนั้น

การชำระคนเลวีเพื่อทำหน้าที่

 5และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 6“จงนำคนเลวีออกจากคนอิสราเอลและชำระเขาทั้งหลาย 7เจ้าจงชำระพวกเขาดังนี้ จงเอาน้ำชำระมาประพรมเขาและให้พวกเขาโกนทั่วทั้งตัว ทั้งให้ซักเสื้อผ้า แล้วเขาทั้งหลายก็ได้ชำระตัวเองให้สะอาด 8และให้เขาทั้งหลายนำลูกโคผู้กับเครื่องธัญบูชาที่คู่กัน คือแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมัน และเจ้าจงนำลูกโคผู้อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 9แล้วจงพาพวกคนเลวีมาที่หน้าเต็นท์นัดพบ และให้ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน 10เมื่อเจ้านำคนเลวีมาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ จงให้คนอิสราเอลเอามือของพวกเขาวางบนคนเลวี 11และให้อาโรนถวายคนเลวีแด่พระยาห์เวห์ให้เป็นเครื่องถวายเครื่องถวาย เพื่อเขาทั้งหลายจะทำงานปรนนิบัติพระยาห์เวห์ 12แล้วคนเลวีจะเอามือของตนวางบนหัวโคผู้ทั้งสองตัว เจ้าจงเอาโคตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ เพื่อลบมลทินบาปของคนเลวี 13เจ้าจงให้คนเลวียืนต่อหน้าอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขา และจงถวายเขาทั้งหลายให้เป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์
 14“ดังนี้แหละ เจ้าจะแยกคนเลวีออกจากคนอิสราเอล และคนเลวีจะเป็นของเรา 15หลังจากนั้น คนเลวีจะเข้าไปรับใช้ที่เต็นท์นัดพบ ในเมื่อเจ้าได้ชำระพวกเขาและได้ถวายพวกเขาเป็นเครื่องถวายแล้ว 16เพราะพวกเขาถูกแยกจากคนอิสราเอลและมอบให้แก่เราอย่างสิ้นเชิง เรารับเขาทั้งหลายมาเป็นของเราเพื่อแทนที่ทุกคนซึ่งเป็นคนแรกที่เกิดจากครรภ์มารดา คือบุตรหัวปีทั้งหมดของประชาชนอิสราเอล 17เพราะว่าลูกหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลเป็นของเราไม่ว่าคนหรือสัตว์ ในวันที่เราสังหารลูกหัวปีในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกเขาไว้เป็นของเรา 18แต่เราเอาคนเลวีแทนที่บุตรหัวปีของคนอิสราเอล 19และเราให้คนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอลแก่อาโรนและบุตรทั้งหลายของเขา ให้ทำงานรับใช้แทนคนอิสราเอลที่เต็นท์นัดพบ และลบมลทินให้คนอิสราเอล เพื่อจะไม่มีภัยพิบัติเกิดแก่คนอิสราเอล เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้สถานนมัสการ”
 20โมเสส อาโรน และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็ได้ทำต่อคนเลวีอย่างนั้น คนอิสราเอลทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสในเรื่องคนเลวี 21คนเลวีก็ชำระตัวเองจากบาปและซักเสื้อผ้าของพวกเขา อาโรนก็ถวายพวกเขาเป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์ แล้วอาโรนลบมลทินเพื่อชำระเขาทั้งหลาย 22ตั้งแต่นั้นมาคนเลวีก็เข้าไปทำงานรับใช้ในเต็นท์นัดพบต่อหน้าอาโรนและบุตรชายของอาโรน พวกเขาทำอย่างนั้นกับคนเลวีตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสในเรื่องคนเลวี
 23พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 24“นี่เป็นกฎเกี่ยวกับคนเลวี คือให้คนเลวีที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป เข้าไปทำหน้าที่ในงานรับใช้ที่เต็นท์นัดพบ 25พออายุ 50 ปีก็ให้เขาหยุดทำหน้าที่ในงานรับใช้ และไม่ต้องทำงานอีกต่อไป 26เขาอาจจะช่วยเหลือพี่น้องที่เต็นท์นัดพบในการดูแลการงาน แต่ไม่ต้องลงมือทำเอง เจ้าจงทำเช่นนี้กับคนเลวีเกี่ยวกับงานของพวกเขา”

กันดารวิถี 9

การถือเทศกาลปัสกาที่ซีนาย

 1ในเดือนที่หนึ่งปีที่สอง ตั้งแต่เขาทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสที่ถิ่นทุรกันดารซีนายว่า 2“จงให้คนอิสราเอลถือเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ 3คือในวันที่สิบสี่เวลาเย็นของเดือนนี้ เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดนั้น เจ้าจงทำตามกฎเกณฑ์และกฎหมายทั้งสิ้นของเทศกาลเลี้ยงนั้น” 4โมเสสจึงบอกคนอิสราเอลให้ถือเทศกาลปัสกา 5เขาทั้งหลายถือเทศกาลปัสกาในเวลาเย็นของวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่งที่ถิ่นทุรกันดารซีนาย และคนอิสราเอลก็ทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสส 6แต่มีผู้ชายบางคนเป็นมลทินเพราะแตะต้องศพ จึงถือปัสกาในวันนั้นไม่ได้ พวกเขาจึงมาหาภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า มาอยู่ต่อหน้าโมเสสและอาโรนในวันนั้น 7คนเหล่านั้นกล่าวกับท่านว่า “เรามีมลทินเพราะแตะต้องศพ ทำไมจึงไม่ให้เราถวายเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์ตามเวลาที่กำหนดไว้ท่ามกลางคนอิสราเอล?” 8และโมเสสบอกเขาทั้งหลายว่า “จงคอยอยู่ก่อนเพื่อข้าพเจ้าจะฟังดูว่า พระยาห์เวห์จะตรัสสั่งในเรื่องของพวกท่านอย่างไร”
 9พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 10“จงกล่าวกับคนอิสราเอลว่า ถ้ามีใครในพวกเจ้าหรือในชาติพันธุ์ของเจ้ามีมลทินเพราะแตะต้องศพหรือไปทางไกล ผู้นั้นสามารถถือปัสกาแด่พระยาห์เวห์ได้ 11แต่ให้ถือปัสกาในเวลาเย็นของวันที่สิบสี่เดือนที่สอง ให้เขากินขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม 12เขาทั้งหลายต้องไม่ให้อะไรเหลือไว้จนวันรุ่งขึ้น และไม่ให้หักกระดูกแกะปัสกา ให้เขาทำตามกฎเกณฑ์ในเรื่องเทศกาลปัสกาทุกประการ 13ส่วนคนที่สะอาดและไม่ได้เดินทาง แต่ไม่ยอมถือเทศกาลปัสกา ก็ให้คนนั้นถูกตัดออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา เพราะเขาไม่ได้นำเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์มาถวายตามเวลากำหนด เขาต้องรับโทษของเขา 14ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลายจะถือเทศกาลปัสกาแด่พระยาห์เวห์ ก็ให้เขาถือตามกฎเกณฑ์และกฎหมายของเทศกาลปัสกา เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและคนพื้นเมือง”

อรรถาธิบาย

สงบนิ่ง และฟัง

คุณไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าได้โดยไม่อาศัยการจัดเวลาและใช้เวลาในการสื่อสารกับพระองค์ได้ ‘เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อจะกราบทูลพระองค์ ท่านได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับท่าน ... และพระองค์ทรงสนทนากับท่าน พระเจ้าตรัสกับโมเสส…’ (7:89 - 8:1)

พระเจ้าตรัสกับโมเสส (8:1; 9:1) โมเสสกราบทูลพระเจ้า (7:89) มันเป็นการสนทนากันแบบสองทาง พระเจ้าตรัสกับโมเสสแบบซึ่ง ๆ หน้าอย่างชัดเจนเหมือนพูดกับเพื่อน (12:8) ให้เราพูดคุยและฟังในเวลาเดียวกัน คอยดูปฏิกิริยาของกันและกัน

ในยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์คุณอยู่ในฐานะที่ดียิ่งกว่าโมเสส คุณไม่จำเป็นต้องไปที่ใดสถานที่หนึ่งเหมือนกับโมเสสอีกต่อไป แต่คุณสามารถอยู่กับพระเจ้าได้ทุกที่ โดยพระวิญญาณทรงให้คุณมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า และเข้าสู่การสนทนาอย่างใกล้ชิดและตลอดไปกับองค์พระผู้เป็นเจ้าพระบิดา (โรม 8:15–17,26–27)

นี่คือแบบแผน ‘พระเจ้าตรัสกับโมเสส ... ดังนั้นโมเสสจึงบอกคนอิสราเอล ... คนอิสราเอลก็ทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสส’ (กันดารวิถี 9:1–5) วิถีชีวิตทั้งหมดของคนอิสราเอลก่อร่างสร้างขึ้นจากการเชื่อฟัง ในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสอันเป็นดั่งตัวแทนแห่งความใกล้ชิด ความใกล้ชิดสนิทสนมของคุณกับพระเจ้าจำเป็นต้องไหลล้นไปสู่วิธีการดำเนินชีวิตของคุณ นำในสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่คุณไปปฏิบัติใช้ ให้เป็นดั่งตัวแทนความใกล้ชิดสนิทสนม

มีหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนเสมอไปว่าพระเจ้าทรงนำทางเราอย่างไร อีกครั้งในตัวอย่างของโมเสสเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อผู้คนถามคำถามที่ยากต่อโมเสสซึ่งเขาไม่รู้คำตอบ เขาตอบว่า ‘จงคอยอยู่ก่อนเพื่อข้าพเจ้าจะฟังดูว่า พระยาห์เวห์ตรัสสั่งในเรื่องของพวกท่านอย่างไร’ (ข้อ 8) หากคุณไม่ทราบคำตอบที่เหมาะสมก็เป็นการฉลาดที่จะขอให้ผู้คน*‘รอ’* สิ่งนี้ทำให้คุณมีเวลาอธิษฐานและค้นหาทางที่ถูกต้องจากพระเจ้า

ยูจีน ปีเตอร์สัน แปลไว้ว่า ‘ให้เวลาข้าพเจ้าหน่อย ข้าพเจ้าจะค้นหาสิ่งที่พระเจ้าตรัสในสถานการณ์ของท่าน’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระคัมภีร์ Amplified Bible กล่าวว่า ‘จงสงบนิ่งเพื่อข้าพเจ้าจะได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่งในเรื่องของพวกท่าน’ ในชีวิตที่วุ่นวาย จงหยุดนิ่งและฟังสิ่งที่พระเจ้าทรงปราถนาให้คุณทำ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ทรงให้ข้าพระองค์พบพระองค์ได้ทุกวัน เพื่อที่จะได้พูดคุยและฟังเสียงของพระองค์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ได้ยินสิ่งที่พระองค์กำลังตรั และมีชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด เรียบง่าย และเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 2:43

ฉันสงสัยมาตลอดว่ามารีย์และโยเซฟเดินทางทั้งวันได้อย่างไรก่อนที่พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าลูกชายไม่ได้อยู่ด้วยกับพวกเขา อย่างไรก็ตามฉันต้องสารภาพว่าครั้งหนึ่งเราออกไปทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ เมื่อไปถึงจุดหมาย เรากลับพบว่าลูก ๆ ไม่ได้อยู่กับเรา ฉันค่อนข้างลำบากใจในการอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าภาพ และกังวลเล็กน้อยว่าลูก ๆ ของเราจะปลอดภัยดีไหมหรือไม่ได้บาดเจ็บจนเกินไป ฉันสงสัยว่ามารีย์และโยเซฟมีการพูดคุยกันเหมือนเดิมหรือไม่ ระหว่างทางกลับเหมือนที่เราทำเพื่อหาว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดของใคร ขอบคุณพระเจ้าในทั้งสองกรณีที่เด็ก ๆ ปลอดภัยดี พระเยซูอยู่ในพระวิหารสนทนากับเหล่าอาจารย์ ส่วนลูก ๆของเรากำลังนั่งดูทีวี!

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 35:17–18

‘ข้าแต่องค์เจ้านาย…ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์…’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม