คุณเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
เกริ่นนำ
ในปีแรกของผมในรั้วมหาวิทยาลัย ผมอายุ 18 ปี ผมอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จบเล่มภายในหนึ่งสัปดาห์ ตั้งแต่มัทธิวถึงวิวรณ์ และเริ่มเชื่อมั่นว่า 'มันเป็นความจริง’แต่ผมไม่เต็มใจที่จะติดตามพระเยซู เพราะผมคิดว่าชีวิตของผมจะน่าเบื่อมากและผมจะต้องละทิ้งความสุขทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้าม ผมได้พบกับสิ่งที่ดียิ่งกว่าความสุข
เราทุกคนต้องการมีชีวิตที่มีความสุข อริสโตเติลได้เขียนความหมายไว้ว่า ‘ความสุข’ คือความหมาย และเป้าหมายของชีวิตเป็นจุดมุ่งหมายทั้งหมด และเป็นจุดจบในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์’ แต่ยังมีสิ่งที่ดียิ่งกว่า ยิ่งใหญ่กว่าและลึกซึ้งกว่าความสุข ความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ของเรา แต่ความปีติยินดีนั้นลึกซึ้งกว่ามาก และไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอก เป็นพระพรจากพระเจ้า ความปีติยินดีเป็นพระลักษณะของพระเยซูแม้จะอยู่ในครรภ์ของมารดา (ลูกา 1:44)
ข้อพระคำในภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ใช้คำภาษากรีกที่แปลว่า ‘เป็นสุข’ หมายถึงเป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษในการได้รับความโปรดปรานของพระเจ้า และเป็นผู้โชคดีและมีความสุขเพราะสิ่งนี้ ใน Amplified Bible ได้อธิบายความเป็นสุขไว้ว่า ‘การมีความสุข เป็นที่น่าอิจฉา และเต็มล้นฝ่ายจิตวิญญาณ ด้วยชีวิตที่ปีติยินดีและพึงพอใจในความโปรดปรานและความรอดของพระเจ้า โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยภายนอก’ (มัทธิว 5:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
สดุดี 34:1-10
สรรเสริญพระเจ้า เพราะพ้นจากความทุกข์ยาก
ของดาวิด เมื่อท่านแสร้งทำเป็นบ้าอยู่ต่อหน้าอาบีเมเลคพระองค์จึงขับไล่ท่านออกไปเสีย และท่านก็ไป
1ข้าพเจ้าจะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ตลอดไป
คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเสมอ
2จิตใจข้าพเจ้าสรรเสริญพระยาห์เวห์
ให้ผู้ทุกข์ใจได้ฟังและยินดี
3จงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับข้าพเจ้า
ให้เรายกย่องพระนามของพระองค์ด้วยกัน
4ข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า
และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งสิ้น
5คนทั้งหลายที่เพ่งดูพระองค์จะเบิกบาน
เขาจะไม่อดสู
6คนยากจนคนนี้ร้องทูล และพระยาห์เวห์ทรงฟัง
และทรงช่วยเขาให้พ้นจากความยากลำบากทั้งสิ้น
7ทูตของพระยาห์เวห์ได้ตั้งค่าย
ล้อมบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และช่วยกู้พวกเขา
8เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ
คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข
9บรรดาวิสุทธิชนของพระองค์ จงยำเกรงพระยาห์เวห์
เพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน
10เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย
แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใดๆ
อรรถาธิบาย
สรรเสริญพระเจ้าสำหรับความโปรดปรานของพระองค์
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พิพพาและผมได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก บางครั้งเราก็ได้รับประทานอาหารหน้าตาแปลก ๆ ที่เราไม่เคยกินหรือไม่เคยเห็นมาก่อน แต่บ่อยครั้งที่กลับกลายเป็นว่ามันอร่อย มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ได้ คือ ‘การชิมและเห็นกับตา’
ดาวิดกล่าวว่า ‘เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข’ (ข้อ 8) นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้พบเมื่อผมเริ่มติดตามพระเยซู ตั้งแต่บัดนั้นก็เป็นความปรารถนาของผมที่จะนำถ้อยคำเหล่านี้ไปสู่ผู้คนมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และบอกกับพวกเขาว่า ‘ขอให้เรามาร่วมกันประกาศข่าวประเสริฐพร้อมกับข้าพเจ้า ขอให้เรามาเผยแพร่ออกไปด้วยกันเถิด’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เช่นเดียวกับดาวิด จงสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าได้นำมาสู่ชีวิตของคุณ จงสรรเสริญพระเจ้า ‘ตลอดไป’ (ข้อ 1) ไม่ใช่เพียงแค่เวลาที่สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี หรือเวลาที่สะดวกที่จะทำเท่านั้น ‘ข้าพเจ้าสรรเสริญพระเจ้าทุก ๆ โอกาส ใจของข้าพเจ้าพองโตด้วยคำสรรเสริญพระองค์ ข้าพเจ้าหายใจเข้าออกเป็นพระเจ้า หากสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปด้วยดี จงฟังสิ่งนี้และยินดี’ (ข้อ 1-2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
จงสรรเสริญพระเจ้าสำหรับ:
1. การตอบคำอธิษฐาน
ดาวิดเขียนไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า’ (ข้อ 4ก) พระเจ้าทรงช่วยเขาในเวลาที่พบปัญหา ‘เมื่อข้าพเจ้าสิ้นหวัง ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์ และพระเจ้าทรงนำข้าพเจ้าออกจากสถานการณ์คับขัน’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2.\tการเป็นอิสระจากความกลัว
ดาวิดอธิบายว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเขาอย่างไรในกรณีนี้ ‘พระองค์ทรงช่วยกู้ ข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งสิ้น’ (ข้อ 4ข)
ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับการปลดปล่อยจากความกลัว ‘จงยำเกรงพระยาห์เวห์’ (ข้อ 9ก) เทียบเท่ากับ ‘การแสวงหาพระยาห์เวห์’ (เปรียบเทียบ ข้อ 9ข, ‘ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน’ กับข้อ 10ข, ‘ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ’)
ดาวิดไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ขาดสิ่งใดเลย แต่เขาบอกว่า ‘ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ’ (ข้อ 10ข) หรือในพระคัมภีร์ The Message กล่าวว่า ‘การนมัสการเป็นการเปิดประตูไปสู่สิ่งดีทั้งสิ้นของพระองค์’ (ข้อ 9ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
3.\tใบหน้าที่เบิกบาน
ผมสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งก่อนที่ผมจะเป็นคริสเตียน คือความเบิกบานบนใบหน้าของคริสเตียนหลาย ๆ คน ‘คนทั้งหลายที่เพ่งดูพระองค์จะเบิกบาน เขาจะไม่อดสู’ (ข้อ 5)
4.\tการปกป้องจากทูตสวรรค์
‘ทูตของพระเจ้าได้ตั้งวงอารักขาล้อมเรา ในขณะที่เราอธิษฐาน’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ลองนึกดูว่านี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เมื่อคุณอธิษฐานและนมัสการพระเจ้า คุณก็ได้รับการปกป้องจากทูตสวรรค์
‘ความสุขทั้งหมดนั้นล้นออกมาเองเป็นคำสรรเสริญ’ ซี.เอส. ลูอิส ได้เขียนไว้ ‘...ความสุขนั้นยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะได้แสดงออก’
คำอธิษฐาน
ลูกา 1:39-56
มารีย์เยี่ยมนางเอลีซาเบธ
39ในเวลานั้นมารีย์จึงรีบไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย 40แล้วเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์ทักทายปราศรัยกับนางเอลีซาเบธ 41เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์ ทารกในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีเธอได้รับพรมาก และทารกในครรภ์ของเธอก็ได้รับพระพรด้วย 43ทำไมฉันถึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันมาหา 44นี่แน่ะ พอเสียงทักทายของเธอเข้าถึงหูของฉัน ทารกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความเปรมปรีดิ์ 45ความสุขเป็นของสตรีที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเธอนั้นจะสำเร็จ”
เพลงสรรเสริญของมารีย์
46มารีย์จึงกล่าวว่า
“จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่ององค์พระผู้เป็นเจ้า
47และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
48เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันต่ำต้อย ของทาสของพระองค์
นี่แน่ะ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกยุคจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก
49เพราะว่าผู้ทรงฤทธานุภาพทรงทำการใหญ่เพื่อข้าพเจ้า
พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์
50พระเมตตาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์
ในทุกยุคทุกสมัย
51พระองค์ทรงสำแดงอานุภาพด้วยพระกรของพระองค์
พระองค์ทรงทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งกระจัดกระจายไป
52พระองค์ทรงถอดเจ้านายออกจากบัลลังก์
และพระองค์ทรงยกผู้น้อยขึ้น
53พระองค์ทรงให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี
และทรงทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า
54พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลข้าทาสของพระองค์
พระองค์ทรงจดจำพระกรุณาของพระองค์
55ที่มีต่ออับราฮัม และต่อพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์
ตามที่พระองค์ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา”
56มารีย์อาศัยอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือน แล้วจึงกลับไปยังบ้านของตน
อรรถาธิบาย
เชื่อในพระสัญญาแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า
มารีย์เป็นที่ ‘โปรดปรานมาก’ (1:28) ทูตสวรรค์กล่าวแก่นางว่า ‘เธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน’ (ข้อ 30)
พระธรรมตอนนี้เต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง เนื่องจากเอลีซาเบธและมารีย์ตระหนักว่าพระเจ้าทรงโปรดปรานพวกเธอ
เอลีซาเบธที่เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ร้องเพลงถึงมารีย์ ‘ในบรรดาสตรีเธอได้รับพรมาก และทารกในครรภ์ของเธอก็ได้รับพรด้วย! ทำไมฉันถึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันมาหา?... ความสุขเป็นของสตรีที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเธอนั้นจะสำเร็จ!’ (ข้อ 42-45)
การเน้นย้ำถึงเรื่องความเชื่อของมารีย์มีความสำคัญ เพราะหลาย ๆ คนมีการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ความโปรดปรานของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าปัญหาทั้งหมดของมารีย์จะหายไป เธอตั้งครรภ์ และไม่ได้แต่งงานตามประเพณีซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาในทุกรูปแบบ
เธอยังคงเลือกที่จะรับรู้หนทางที่พระเจ้าจะทรงอวยพรเธอ เธอหยิบเอาคำอวยพรของเอลีซาเบธและร้องเป็นเพลงที่กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Magnificat’ ในบทเพลงเธอร้องว่า ‘เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าพระผู้ช่วย ให้รอดของข้าพเจ้า’ (ข้อ 47) สำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรง ‘ทำการใหญ่เพื่อข้าพเจ้า’ (ข้อ 49)
ความโปรดปรานที่ทรงมีต่อมารีย์นั้นไม่เหมือนใคร ‘ในบรรดาสตรีเธอได้รับพรมาก’ (ข้อ 42ก) มารีย์เป็น:
1.\tพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มารีย์อุ้มท้องพระบุตรของพระเจ้าในครรภ์ของเธอ พระเยซูได้รับพระพร (ข้อ 42ข) เมื่อเอลีซาเบธเข้ามาต่อหน้าพระเยซูที่ทรงเป็นทารกในครรภ์ เอลีซาเบธก็ ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 41) ‘ความเปรมปรีดิ์’ เป็นลักษณะที่ตอบสนองต่อองค์พระเยซู แม้กระทั่งทารกในครรภ์ก็ ‘ดิ้นด้วยความเปรมปรีดิ์’ (ข้อ 44)
2.\tที่ยอมรับสำหรับคนรุ่นหลัง
‘ตั้งแต่นี้ไปคนทุกยุคจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก' (ข้อ 48) มารีย์ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มารีย์ผู้บริสุทธิ์ผู้ได้รับการอวยพร’ (The Blessed Virgin Mary) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดีเอ็นเอของพระเยซูมาจากการรวมกันของมารีย์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นบุตรของมารีย์โดยกำเนิด พระองค์ต้องดูเหมือนนาง พระองค์ต้องมีลักษณะทางกายภาพบางอย่างเหมือนนาง เธอเลี้ยงดูพระองค์มา ฝึกฝนและสอนพระองค์ เป็นเวลา 30 ปีที่เธอเป็นหญิงที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของพระองค์
3.\tจุดสูงสุดของความเชื่อ
‘ความสุขเป็นของสตรีที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเธอนั้นจะสำเร็จ!’ (ข้อ 45) มารีย์เชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเธอนั้นเป็นสิ่งพิเศษและเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์จะเกิดขึ้นจริง ดังที่ทูตสวรรค์ได้กล่าวกับมารีย์ว่า ‘เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้’ (ข้อ 37)
สำหรับมารีย์สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้นดีพอ ๆ กับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ‘เพราะว่าผู้ทรงฤทธานุภาพทรงทำการใหญ่เพื่อข้าพเจ้า’ (ข้อ 49) คอร์รี่ เท็น บูมกล่าวว่า ‘ความเชื่อทำให้มองเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น เชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ และได้รับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้'
แน่นอนว่ามารีย์นั้นไม่เหมือนใคร แต่ในบางหนทางความโปรดปรานที่เธอพูดถึงสามารถใช้ได้กับคุณและผม คุณได้รับพระพรจากพระผู้ช่วยให้รอด (‘พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า’ ข้อ 47) พระสัญญา เติมเต็มผู้หิวโหยด้วยสิ่งดี ๆ (ข้อ 53) พระสัญญาแห่งความโปรดปรานของพระเจ้าในการตอบสนองความหิวกระหายทางจิตวิญญาณของคุณด้วยการจัดเตรียมของพระองค์ ประยุกต์ใช้ได้กับคุณและผม
คำอธิษฐาน
กันดารวิถี 2:10-3:51
10“ให้ที่ตั้งธงค่ายรูเบนอยู่ทางทิศใต้ตามกองของพวกเขา
เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์รูเบน 11กองทหารที่นับไว้มี 46,500 คน
12ให้เผ่าสิเมโอนตั้งค่ายพักเรียงถัดมา เชลูมิเอลบุตรศุริชัดดัยเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์สิเมโอน 13กองทหารที่นับไว้มี 59,300 คน
14ต่อจากนั้นได้แก่เผ่ากาด เอลียาสาฟบุตรเดอูเอลภาษาฮีบรูคือ เรอูเอลเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์กาด 15กองทหารที่นับไว้มี 45,650 คน
16จำนวนคนทั้งหมดในค่ายรูเบนตามกองของเขาคือ 151,450 คน พวกเขาจะเป็นกลุ่มที่สองเมื่อออกเดินทาง
17“หลังจากนั้นให้ยกเต็นท์นัดพบออกเดินตามไป ให้ค่ายคนเลวีอยู่กลางขบวนค่ายต่างๆ ให้เขาทั้งหลายออกเดินตามค่ายพักของเขาแต่ละค่ายตามที่ตั้งธงของตน
18“ให้ที่ตั้งธงค่ายเอฟราอิมอยู่ทางทิศตะวันตกตามกองของพวกเขา
เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์เอฟราอิม 19กองทหารที่นับไว้มี 40,500 คน
20ถัดมาคือเผ่ามนัสเสห์ กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์เป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์ 21กองทหารที่นับไว้มี 32,200 คน
22ต่อจากนั้นได้แก่เผ่าเบนยามิน อาบีดันบุตรกิเดโอนีเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์เบนยามิน 23กองทหารที่นับไว้มี 35,400 คน
24จำนวนคนทั้งหมดในค่ายเอฟราอิมตามกองของเขาคือ 108,100 คน พวกเขาจะเป็นกลุ่มที่สามเมื่อออกเดินทาง
25“ให้ที่ตั้งธงค่ายดานอยู่ทางทิศเหนือตามกองของพวกเขา
อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์ดาน 26กองทหารที่นับไว้มี 62,700 คน
27ให้เผ่าอาเชอร์ตั้งค่ายพักเรียงถัดมา ปากีเอลบุตรโอครานเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์อาเชอร์ 28กองทหารที่นับไว้มี 41,500 คน
29ต่อจากนั้นได้แก่เผ่านัฟทาลี อาหิราบุตรเอนันเป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี 30กองทหารที่นับไว้มี 53,400 คน
31จำนวนคนทั้งหมดในค่ายดาน คือ 157,600 คน พวกเขาจะเป็นกลุ่มสุดท้ายเมื่อออกเดินทางตามธงของเขา”
32คนเหล่านี้เป็นผู้ชายอิสราเอลที่นับตามสกุล คนทั้งหมดที่อยู่ในค่ายนับตามกองของพวกเขามีจำนวน 603,550 คน 33แต่คนเลวีไม่ได้ถูกนับรวมเข้ากับคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
34คนอิสราเอลก็ทำทุกสิ่ง ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสทุกประการ โดยเขาทั้งหลายตั้งค่ายพักอยู่ตามธงของตน ดังนั้นแต่ละคนก็ออกเดินทางตามตระกูล และตามสกุลของเขา
กันดารวิถี 3
บรรดาบุตรของอาโรน
1ต่อไปนี้เป็นชาติพันธุ์ของอาโรนและโมเสส ในช่วงเวลาที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย 2ชื่อบุตรทั้งหลายของอาโรนคือ นาดับบุตรหัวปี อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 3เหล่านี้เป็นชื่อของบรรดาบุตรของอาโรนที่ได้รับการเจิมให้เป็นปุโรหิต ซึ่งเป็นผู้ที่ท่านสถาปนาไว้ให้ทำหน้าที่ปุโรหิต 4แต่นาดับและอาบีฮูตายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อเขาทั้งสองเอาไฟที่ต้องห้ามมาถวายพระยาห์เวห์ ที่ถิ่นทุรกันดารซีนาย เขาทั้งสองต่างก็ไม่มีบุตร ดังนั้นเอเลอาซาร์และอิธามาร์จึงทำหน้าที่ปุโรหิตในความดูแลของอาโรนบิดาของเขา
หน้าที่ของคนเลวี
5พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 6“จงนำเผ่าเลวีเข้ามาใกล้และตั้งพวกเขาไว้ต่อหน้าอาโรนปุโรหิตและให้พวกเขาเป็นผู้ช่วยอาโรน 7เขาทั้งหลายจะปฏิบัติงานแทนอาโรน และแทนชุมนุมชนทั้งหมดที่หน้าเต็นท์นัดพบ ขณะทำงานรับใช้ที่พลับพลา 8เขาจะดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างของเต็นท์นัดพบ และปฏิบัติหน้าที่แทนคนอิสราเอล ขณะทำงานรับใช้ที่พลับพลา 9จงมอบคนเลวีไว้กับอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขา จงเอาคนเลวีจากคนอิสราเอลมามอบให้แก่อาโรนอย่างสิ้นเชิง 10เจ้าจงแต่งตั้งอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งปุโรหิต แต่คนอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย” 11และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 12“นี่แน่ะ เราเองได้เลือกคนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอลแทนบรรดาบุตรหัวปีของคนอิสราเอลที่คลอดจากครรภ์มารดา คนเลวีจึงเป็นของเรา 13เพราะลูกหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา ในวันที่เราประหารลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์นั้น เราได้แยกลูกหัวปีทั้งหมดในอิสราเอล ทั้งของคนและสัตว์ไว้เป็นของเรา เหล่านี้เป็นของเรา เราคือยาห์เวห์”
การทำสำมะโนครัวคนเลวี
14พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสที่ถิ่นทุรกันดารซีนายว่า 15“จงนับพงศ์พันธุ์เลวีตามสกุลและตามตระกูล ให้นับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป” 16โมเสสจึงนับพวกเขาตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงบัญชา 17ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรชายทั้งหลายของเลวีคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี 18และชื่อบุตรของเกอร์โชนตามตระกูลคือ ลิบนี และชิเมอี 19บุตรของโคฮาทตามตระกูลคือ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล 20และบุตรของเมรารีตามตระกูลคือ มาลี และมูชี เหล่านี้เป็นตระกูลคนเลวี ตามสกุลของเขา
21วงศ์เกอร์โชนมีตระกูลลิบนี และตระกูลชิเมอี คนเหล่านี้เป็นตระกูลเกอร์โชน 22จำนวนคนทั้งหลายคือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปคือ 7,500 คน 23ตระกูลทั้งหลายของเกอร์โชนนั้นให้ตั้งค่ายพักอยู่ข้างหลังพลับพลาคือด้านตะวันตก 24มีเอลียาสาฟบุตรลาเอลเป็นผู้นำสกุลเกอร์โชน 25งานของวงศ์วานเกอร์โชนในเต็นท์นัดพบ มีงานพลับพลา งานเต็นท์พร้อมกับเครื่องคลุมเต็นท์ และม่านประตูเต็นท์นัดพบ 26ม่านบังลานและม่านประตูลาน ซึ่งอยู่รอบพลับพลาและรอบแท่นบูชารวมทั้งเชือกโยง รวมทั้งงานรับใช้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับส่วนนี้
27วงศ์โคฮาทมีตระกูลอัมราม ตระกูลอิสฮาร์ ตระกูลเฮโบรน และตระกูลอุสซีเอล คนเหล่านี้เป็นตระกูลโคฮาท 28จำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปคือ 8,600 คน เป็นผู้ปฏิบัติงานที่สถานนมัสการ 29บรรดาตระกูลของวงศ์วานโคฮาทจะตั้งค่ายพักอยู่ทางด้านใต้ของพลับพลา 30มีเอลีซาฟานบุตรชายอุสซีเอลเป็นผู้นำของสกุลทั้งหลายในตระกูลของโคฮาท 31งานของพวกเขาคือดูแลหีบ โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาทั้งสอง พวกเครื่องใช้ของสถานนมัสการซึ่งพวกเขาใช้ในการปรนนิบัติ และม่าน รวมทั้งงานรับใช้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับส่วนนี้ 32เอเลอาซาร์บุตรของปุโรหิตอาโรนเป็นผู้นำสูงสุดอยู่เหนือบรรดาผู้นำของคนเลวีและเป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานในสถานนมัสการ
33วงศ์เมรารีมีตระกูลมาลี และตระกูลมูชี คนเหล่านี้เป็นตระกูลเมรารี 34จำนวนคนทั้งหลาย คือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปคือ 6,200 คน 35มีศุรีเอลบุตรอาบีฮาอิลเป็นผู้นำของสกุลทั้งหลายในตระกูลของเมรารี พวกเขาจะตั้งค่ายพักอยู่ด้านเหนือของพลับพลา 36งานที่กำหนดให้แก่วงศ์วานของเมรารีคืองานดูแลไม้กรอบของพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและส่วนประกอบทั้งหลาย รวมทั้งงานรับใช้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับส่วนนี้ 37และพวกเสารอบลานพร้อมกับฐานรอง หลักหมุดและเชือกโยง
38ส่วนพวกที่จะตั้งค่ายพักอยู่หน้าพลับพลาทางด้านตะวันออกตรงหน้าเต็นท์นัดพบด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น มีโมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรหลานของอาโรน พวกเขาปฏิบัติงานภายในสถานนมัสการและงานทั้งหลายที่ทำแทนคนอิสราเอล ส่วนคนอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย 39คนที่ถูกนับเข้าไปในพวกเลวี ซึ่งโมเสสและอาโรนนับตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ตามตระกูลของเขา คือผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปมี 22,000 คน
การไถ่บุตรหัวปี
40และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนับบุตรชายหัวปีของคนอิสราเอลที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดจำนวนรายชื่อไว้ 41เราคือยาห์เวห์ เจ้าจงกันพวกเลวีไว้ให้เรา เพื่อแทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล และให้สัตว์ทั้งหลายของคนเลวีแทนสัตว์หัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล” 42ดังนั้นโมเสสจึงนับบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งท่าน 43บุตรชายหัวปีทั้งหมดตามจำนวนรายชื่อที่นับได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปมี 22,273 คน
44แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 45“จงเอาคนเลวีแทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล และเอาสัตว์ของคนเลวีแทนสัตว์ของพวกเขา คนเลวีจะเป็นของเรา เราคือยาห์เวห์ 46ส่วนค่าไถ่บุตรหัวปีของคนอิสราเอลจำนวน 273 คน ที่เกินจากจำนวนผู้ชายคนเลวีนั้น 47เจ้าจงเก็บเงินคนละห้าเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (หนึ่งเชเขลหนักประมาณ 12 กรัม) 48แล้วจงมอบเงินค่าไถ่ของคนที่เกินจำนวนเหล่านั้นให้แก่อาโรนและลูกๆ ของเขา” 49โมเสสจึงเก็บเงินค่าไถ่จากคนเหล่านั้นที่เกินจากจำนวนที่คนเลวีไถ่ได้ 50โดยเก็บจากบุตรหัวปีของคนอิสราเอลเป็นเงิน 1,365 เชเขลเงินหนึ่งเชเขลมีค่าเท่ากับเงินหนักประมาณ 12 กรัม ตามเชเขลของสถานนมัสการ 51แล้วโมเสสก็ให้เงินค่าไถ่แก่อาโรนและบุตรของท่านตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงบัญชาโมเสสไว้
อรรถาธิบาย
สัมผัสกับความโปรดปรานของการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ‘ในช่วงเวลาที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส’ (3:1) สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความโปรดปรานสำหรับโมเสส บัดนี้ได้เปิดให้สำหรับทุกคน คุณสามารถสัมผัสกับความโปรดปรานในการที่พระเจ้าตรัสกับคุณ
ต้องมีการดูแลอย่างมหาศาลเพราะความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และพระพรอันยิ่งใหญ่ของการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนของพระองค์ ‘เต็นท์นัดพบ’ (ที่ประทับของพระเจ้า) อยู่ ‘กลางขบวนค่ายต่าง ๆ’ (2:17) ทุก ๆ คนได้รับหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งได้รับการแต่งตั้ง (คนเลวี) ให้ทำหน้าที่เต็มเวลา พวกเขาถูก ‘สถาปนาไว้ให้ทำหน้าที่’ (3:3) พวกเขาถูก ‘มอบให้’ แด่พระเจ้า (ข้อ 9)
ชีวิตของประชาชนของพระเจ้าวนเวียนอยู่กับที่ประทับของพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นหัวใจสำคัญของความเป็นตัวตน ความสำเร็จ และความโปรดปรานของพวกเขา
แต่ในที่นี้เราจะเห็นได้ว่าการที่พระเจ้าทรงอยู่กับประชาชนของพระองค์ก็มีข้อจำกัด ประชาชนถูกกันออกจากสถานศักดิ์สิทธิ์ (ข้อ 10) คือใจกลางของที่ประทับของพระเจ้า ซึ่งในภาคพันธสัญญาใหม่คือ การแบ่งแยกที่กล่าวถึงนี้ได้ถูกลบออกแล้ว
ตอนนี้คุณสามารถสัมผัสกับความโปรดปรานของการที่พระเจ้าทรงสถิตกับคุณ สาระสำคัญของพระพรในการทรงสถิตของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตลอดทั้งพระคัมภีร์ พระเยซูทรงนำการทรงสถิตของพระเจ้ามายังเรา (ยอห์น 1:14ก) พระเยซูทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เรา ซึ่งพระองค์ทรงได้รับจากพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน (1 โครินธ์ 6:19) เราได้สัมผัสกับการทรงสถิตของพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารวมตัวกัน (มัทธิว 18:20) วันหนึ่งคุณจะได้รู้จักกับการทรงสถิตของพระเจ้าตัวต่อตัว (วิวรณ์ 21:3, 22:4)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 1:39-56
เป็นการดีที่จะมีใครสักคนร่วมทางเดินไปในชีวิตกับเรา พระเจ้าไม่ได้ทรงทิ้งให้มารีย์อยู่ลำพังเพื่อที่จะเปิดเผยเรื่องราวพิเศษนี้ พระองค์ทรงประทานเอลีซาเบธให้กับเธอ พวกเธอต้องเป็นกำลังใจสำคัญของกันและกัน ทั้งสองตั้งครรภ์ในสถานการณ์ที่น่าอัศจรรย์ คือพวกเธอรู้ว่าบุตรชายของพวกเธอจะเข้ามาในโลกเพื่อทำพันธกิจอันอัศจรรย์ของพระเจ้าให้สำเร็จ (และหนึ่งในนั้นคือพระเจ้า!)
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 34:4
‘ข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งสิ้น’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)