การทรงนำแห่งชีวิต
เกริ่นนำ
พิพพากับผมมักจะทำอะไรรีบร้อน เราวางแผนการเดินทางด้วยรถยนต์ไม่เก่งนัก และมักจะเดินทางไปในทิศทางที่ผิดและหลงทางอยู่บ่อย ๆ (แม้จะมีระบบนำทางแล้วก็ตาม) ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงใช้เวลานานนักในการเรียนรู้ความสำคัญของการรับคำแนะนำที่ดีและทำตามมัน
พวกเราหลายคนมีชีวิตแบบนั้น เราผิดพลาดกันอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรับคำแนะนำที่ดีในชีวิต หากคุณทำตามการทรงนำของพระเจ้า ชีวิตคุณก็จะได้รับพรและสามารถส่งต่อพระพรไปให้ผู้อื่นได้อีกด้วย
สดุดี 5:1-12
คำอธิษฐานขอการคุ้มครองรักษา
ถึงหัวหน้านักร้อง สำหรับพวกขลุ่ย เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเอียงพระโสตสดับถ้อยคำของข้าพระองค์
ขอทรงฟังเสียงคร่ำครวญของข้าพระองค์
2ข้าแต่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์
ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
3ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์
ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐานหรือ เครื่องบูชาแด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่
4พระองค์มิใช่พระเจ้าผู้ปีติยินดีในความอธรรม
ความชั่วร้ายจะไม่อาศัยอยู่กับพระองค์
5คนโอ้อวดจะไม่ยืนอยู่เฉพาะพระเนตรของพระองค์
พระองค์ทรงเกลียดชังผู้ทำความชั่วทุกคน
6พระองค์ทรงทำลายผู้ที่พูดมุสา
พระยาห์เวห์ทรงสะอิดสะเอียนผู้กระหายเลือดและคนหลอกลวง
7แต่โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์
ข้าพระองค์จะเข้าไปในพระนิเวศของพระองค์
ข้าพระองค์จะกราบลงตรงมายังพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
ด้วยความยำเกรง
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ เนื่องด้วยพวกศัตรูของข้าพระองค์
ขอทรงนำข้าพระองค์ไปโดยความชอบธรรมของพระองค์
ขอทรงให้ข้าพระองค์เดินในพระมรรคาของพระองค์อย่างราบรื่น
9เพราะในปากของพวกเขาไม่มีความจริง
จิตใจของพวกเขาคือการทำลาย
ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
พวกเขาประจบสอพลอด้วยลิ้น
10ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้พวกเขารับกรรมชั่วของตน
และให้ล้มลงด้วยความคิดเห็นของตนเอง
เพราะการละเมิดมากมายนั้น ขอทรงขับไล่พวกเขาไป
เนื่องจากพวกเขาได้กบฏต่อพระองค์
11แต่ให้ทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ยินดี
ให้พวกเขาร้องเพลงด้วยความยินดีเป็นนิตย์
และขอทรงป้องกันพวกเขาไว้ เพื่อคนที่รักพระนามของพระองค์จะปรีดาปราโมทย์ในพระองค์
12ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงอวยพรคนชอบธรรม
พระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาไว้ด้วยความโปรดปรานประดุจโล่
อรรถาธิบาย
เริ่มต้นแต่ละวันด้วยรอการทรงนำ
ในการเดินทาง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรับการคำแนะนำนั้นคือก่อนที่คุณจะเริ่มต้น
ในพระธรรมสดุดีตอนนี้เรามีตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในการเริ่มต้นในแต่ละวัน ‘ข้าแต่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐานแด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่’ (ข้อ 2–3) เดวิดกำลัง ‘รอคอยการทรงนำ’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
มีบางอย่างพิเศษมากเกี่ยวกับการเริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยการร้องทูลต่อพระเจ้า ตลอดทั้งวันมีความล้ำลึกที่แตกต่างออกไปเมื่อคุณ ‘เฝ้าคอยอยู่’ (ข้อ 3)
คำอธิษฐาน
มัทธิว 5:21-42
เรื่องความโกรธ
21“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้กับคนในสมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน ถ้าใครฆ่าคน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา’ 22แต่เราบอกพวกท่านว่า ใครโกรธพี่น้องของตน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา ถ้าใครพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยาม คนนั้นจะต้องถูกนำไปยังศาลสูงให้พิพากษา และถ้าใครพูดว่า ‘อ้ายโฉด’ คนนั้นจะมีโทษถึงไฟนรก 23เพราะฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน 24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา และกลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน 25จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล มิฉะนั้นคู่ความนั้นจะมอบตัวท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบตัวท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในคุก 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้หมด
เรื่องการล่วงประเวณี
27“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ 28ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ใครมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น คนนั้นได้ล่วงประเวณีในใจของเขากับหญิงนั้นแล้ว 29ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก 30ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก
เรื่องการหย่าร้าง
31“ยังมีคำกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าใครจะหย่าภรรยาก็ให้ทำหนังสือหย่าให้กับภรรยานั้น’ 32เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าใครจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการมีชู้ คนนั้นก็จะเป็นเหตุให้หญิงนั้นผิดศีลล่วงประเวณี และถ้าใครแต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้วนั้น คนนั้นก็ผิดศีลล่วงประเวณีด้วย
เรื่องการสาบาน
33“อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า‘ห้ามเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น’ 34ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะทำโดยอ้างถึงสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35หรืออ้างถึงแผ่นดินโลก เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรืออ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ 37จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว
เรื่องการตอบแทน
38“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า‘ตาแทนตา และฟันแทนฟัน’ 39ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย 40ถ้าใครต้องการจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงสละเสื้อคลุมให้เขาด้วย 41ถ้าใครจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร 42ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่ต้องการขอยืมจากท่าน
อรรถาธิบาย
ให้ชีวิตเดินตามการทรงนำของพระเยซู
ในการเดินทางด้วยรถยนต์ทุกประเภทจะมีคำแนะนำทั่ว ๆ ไปซึ่งเป็นกฎของการใช้รถใช้ถนน คำแนะนำของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขาเปรียบเสมือน ‘กฎหมายการใช้ทาง’ สำหรับชีวิตแห่งพระพร
การทำตามการทรงนำของพระเยซูต้องอาศัยวิถีชีวิตที่ลงลึกไปกับพระเจ้า พระองค์ท้าทายให้เราจัดการกับทัศนคติความคิดคำพูดและการกระทำที่ไม่ถูกต้องได้อย่างเด็ดขาด
เราควรใช้คำพูดเพื่อกล่าวแต่คำอวยพรไม่ใช่คำโกรธเกลียด อย่าพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยาม (ข้อ 21–22) ‘ความจริงก็คือคำพูดสามารถฆ่าคนได้’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และคำพูดยังสามารถให้ชีวิตได้เช่นเดียวกัน วันนี้ให้คุณเลือกใช้ถ้อยคำแห่งสติปัญญา หนุนจิตชูใจ และพระพรที่ให้ชีวิต
เราถูกเรียกให้ปฏิบัติต่อคนที่เราขัดเคืองใจด้วยภายใต้อำนาจแห่งพระพร (ข้อ 23–26) หากเรายังจดจำ ‘ความขุ่นเคืองใจ’ ของพี่น้องที่มีต่อเรา เราควรไปพบพวกเขาและพยายาม ‘กลับไปคืนดี’ (ข้อ 23–24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากเราพบกับ ‘คู่ความ’ เราควร ‘เดินหน้าก่อน กลับไปคืนดี’ กับพวกเขา (ข้อ 25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เราต้องระวังสายตาและใจของเราให้ดี หากเราปล่อยให้สายตาและจิตใจเราถูกทำลายไปเมื่อนั้นเราจะห่างไกลจากการเป็นพรแก่ผู้อื่น แล้วเราก็จะเสื่อมสลายไปเสียเอง
ให้เรามีชีวิตที่ลงลึกไปกับพระเจ้า ให้เรามาดูในคำสอนเรื่องการล่วงประเวณี พระเยซูตรัสว่าไม่ใช่แค่เรื่องภายนอกเท่านั้น ทรงตรัสว่า ‘อย่าคิดว่าท่านสงวนคุณธรรมของตนเองเพียงแค่ไม่ได้ล่วงประเวณี จิตใจท่านถูกทำลายลงเร็วยิ่งกว่าร่างกายเพราะราคะ ท่านอาจคิดว่าไม่มีใครเห็น แต่ใครมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น คนนั้นได้ล่วงประเวณีในใจของเขากับหญิงนั้นแล้ว’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเยซูตรัสว่าดวงตาเป็นจุดเริ่มต้นของการล่วงประเวณี การมีชีวิตที่ลงลึกไปกับพระเจ้าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ (ข้อ 29–30) ดังที่โยบกล่าวว่า 'ข้าได้ทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของตัวเองว่า จะไม่มองหญิงสาวด้วยใจกำหนัด’ (โยบ 31:1)
เป้าหมายของการแต่งงานคือเพื่อให้เป็นที่แห่งการอวยพรซึ่งกันและกันและเป็นแหล่งแห่งพระพรสำหรับผู้อื่น นั่นหมายถึงการมีชีวิตสมรสที่สัตย์ซื่อมั่นคง (มัทธิว 5:31–32) พระเยซูต่อต้านการหย่าร้างเพราะเป็นเหมือน ‘การปกปิดความเห็นแก่ตัวและความต้องการ’ (ข้อ 32ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์อย่างถ่องแท้ ให้เราพูดในสิ่งที่เจตนาและเจตนาสิ่งที่เราพูด ‘“จริง” ก็จงว่า “จริง” “ไม่” ก็ว่า “ไม่” คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว’ (ข้อ 37)
การอวยพรผู้อื่นหมายถึงอวยพรแม้กระทั่งคนที่ทำไม่ดีกับเราด้วย (ข้อ 38–42) ‘อย่าสวนกลับเลย…อย่าตอบสนองกลับ อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว’ (ข้อ 39,42, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การตอบแทนการดีด้วยการร้ายคือวิญญาณชั่ว การตอบแทนการดีด้วยการดีคือมนุษย์ การตอบแทนการร้ายด้วยการดีคือวิถีของพระเยซู
คำอธิษฐาน
ปฐมกาล 11:10-13:18
เชื้อสายของเชม
10ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของเชม เมื่อเชมมีอายุได้ 100 ปีก็มีบุตรชื่ออารปัคชาดหลังน้ำท่วมสองปี 11ตั้งแต่เชมมีบุตรคือ อารปัคชาดแล้ว ก็มีชีวิตอยู่อีก 500 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
12เมื่ออารปัคชาดมีอายุได้ 35 ปี ก็มีบุตรชื่อเช-ลาห์ 13ตั้งแต่อารปัคชาดมีบุตรคือเช-ลาห์แล้ว ก็มีชีวิตอีก 403 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
14เมื่อเช-ลาห์มีอายุได้ 30 ปี ก็มีบุตรชื่อเอเบอร์ 15ตั้งแต่เช-ลาห์มีบุตรคือเอเบอร์แล้ว ก็มีชีวิตอีก 403 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
16เมื่อเอเบอร์มีอายุได้ 34 ปี ก็มีบุตรชื่อเปเลก 17ตั้งแต่เอเบอร์มีบุตรคือเปเลกแล้ว ก็มีชีวิตอีก 430 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
18เมื่อเปเลกมีอายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชื่อเรอู 19ตั้งแต่เปเลกมีบุตรคือเรอูแล้ว ก็มีชีวิตอีก 209 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
20เมื่อเรอูมีอายุได้ 32 ปี ก็มีบุตรชื่อเสรุก 21ตั้งแต่เรอูมีบุตรคือเสรุกแล้ว ก็มีชีวิตอีก 207 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
22เมื่อเสรุกมีอายุได้ 30 ปี ก็มีบุตรชื่อนาโฮร์ 23ตั้งแต่เสรุกมีบุตรคือนาโฮร์แล้ว ก็มีชีวิตอีก 200 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
24เมื่อนาโฮร์มีอายุได้ 29 ปี ก็มีบุตรชื่อเท-ราห์ 25ตั้งแต่นาโฮร์มีบุตรคือเท-ราห์แล้ว ก็มีชีวิตอีก 119 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
26เมื่อเท-ราห์มีอายุได้ 70 ปี ก็มีบุตร ชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน
เชื้อสายของเท-ราห์
27ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของเท-ราห์ เท-ราห์มีบุตรชื่อ อับราม นาโฮร์ และฮาราน ฮารานก็มีบุตรชื่อโลท 28ส่วนฮารานสิ้นชีวิตก่อนเท-ราห์บิดาของเขาในแผ่นดินที่เขาเกิด คือเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย 29อับรามกับนาโฮร์ต่างก็ได้ภรรยา ภรรยาของอับรามชื่อซาราย ภรรยาของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์ ซึ่งเป็นบุตรีของฮาราน ฮารานเป็นบิดาของนางมิลคาห์และนางอิสคาห์ 30ฝ่ายนางซารายนั้นเป็นหมัน ไม่มีบุตร
31เท-ราห์ก็พาอับรามบุตรของตน กับโลทหลานชายซึ่งเป็นบุตรของฮาราน พร้อมกับซารายบุตรสะใภ้ คือภรรยาของอับรามบุตรชายของเขา พวกเขาออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แต่เมื่อพวกเขามาถึงฮารานแล้วก็อาศัยอยู่ที่นั่น 32เท-ราห์ก็สิ้นชีวิตในเมืองฮาราน รวมอายุเท-ราห์ได้ 205 ปี
ปฐมกาล 12
พระเจ้าทรงเรียกอับราม
1พระยาห์เวห์ตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรเจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต แล้วเจ้าจะเป็นพร 3เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า”
4ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ โลทก็ไปด้วย เมื่ออับรามออกจากเมืองฮารานนั้นท่านมีอายุได้ 75 ปี 5อับรามพานางซารายภรรยาของท่าน กับโลทบุตรของน้องชายและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่สะสมไว้ ทั้งบรรดาผู้คนที่ได้ไว้ที่ฮารานนั้นออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน เมื่อเข้าไปในแผ่นดินคานาอันแล้ว 6อับรามก็ผ่านดินแดนนั้นมาถึงสถานที่ของเชเคม คือ ที่ต้นโอ๊กคือ ต้นก่อซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ณ โมเรห์แปลได้อีกว่า ของโมเรห์ คราวนั้นคนคานาอันอยู่ที่แผ่นดินนั้น 7พระยาห์เวห์ทรงปรากฏพระองค์แก่อับราม ตรัสว่า “ดินแดนนี้เราจะยกให้เชื้อสายของเจ้า” ณ ที่นั่นอับรามสร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์ผู้ปรากฏพระองค์แก่ท่าน 8ท่านย้ายไปจากที่นั่น มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเบธเอล จึงตั้งเต็นท์อยู่ที่นั่น โดยเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและอัยอยู่ทางทิศตะวันออก และสร้างแท่นบูชาพระยาห์เวห์ที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระยาห์เวห์ 9แล้วอับรามก็เดินทางต่อไป ยกเต็นท์เดินทางเรื่อยไปทางเนเกบ
อับรามและซารายในอียิปต์
10เกิดการกันดารอาหารในแผ่นดินนั้น อับรามจึงลงไปที่อียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่น ด้วยว่ามีการกันดารอาหารหนักในแผ่นดิน 11เมื่อใกล้จะเข้าอียิปต์ อับรามก็พูดกับนางซารายภรรยาของท่านว่า “นี่แน่ะ ฉันรู้ว่าเธอเป็นหญิงรูปงาม 12เมื่อคนอียิปต์เห็นเธอ พวกเขาจะว่า ‘หญิงคนนี้เป็นภรรยาของเขา’ แล้วก็จะฆ่าฉันเสีย แต่จะไว้ชีวิตเธอ 13ขอให้บอกว่าเธอเป็นน้องสาวของฉัน เพื่อเขาจะได้ทำดีต่อฉันเพราะเธอ และฉันจะได้รอดชีวิตเพราะเธอ” 14เมื่ออับรามมาถึงอียิปต์แล้ว คนอียิปต์เห็นว่านางสวยมาก 15เมื่อคนในราชสำนักของฟาโรห์เห็นนางแล้ว ก็ทูลยกย่องนางนั้นต่อฟาโรห์ นางจึงถูกพาไปอยู่ในวังของฟาโรห์ 16ฝ่ายฟาโรห์ทรงโปรดปรานอับรามเพราะเห็นแก่นางนั้น อับรามก็ได้แกะ โค ลาตัวผู้ ทาส ทาสี ลาตัวเมีย และอูฐ
17แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ แก่ฟาโรห์ และราชวงศ์ของพระองค์ เพราะเรื่องนางซารายภรรยาของอับราม 18ฟาโรห์จึงทรงเรียกอับรามมา ตรัสว่า “ทำไมเจ้าทำแก่เราอย่างนี้เล่า? ทำไมเจ้าไม่บอกให้เรารู้ว่านางเป็นภรรยาของเจ้า? 19ทำไมเจ้าว่า ‘เธอเป็นน้องสาวของข้าพระบาท’? เราจึงรับนางมาเพื่อเป็นภรรยาของเรา นี่แน่ะ ภรรยาของเจ้า จงรับไป แล้วออกไปได้” 20ฟาโรห์ตรัสสั่งพวกมหาดเล็กเรื่องอับราม พวกเขาจึงส่งอับรามไปกับภรรยาและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่าน
ปฐมกาล 13
อับรามแยกกับโลท
1อับรามกับภรรยาจึงออกจากอียิปต์ไปเนเกบ พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมด โลทก็ไปด้วย 2อับรามมั่งคั่งมากด้วยฝูงปศุสัตว์ เงินและทองคำ 3ท่านเดินทางเป็นระยะๆ ต่อไปจากเนเกบจนมาถึงเบธเอล ที่ที่เต็นท์ของท่านตั้งอยู่คราวก่อน ระหว่างเบธเอลกับอัย 4คือที่ที่เมื่อก่อนท่านสร้างแท่นบูชาไว้ และที่นั่นอับรามนมัสการออกพระนามพระยาห์เวห์ 5ฝ่ายโลทที่ไปกับอับรามนั้น มีฝูงแพะแกะ และฝูงโคกับเต็นท์ด้วย 6ที่ดินที่นั่นไม่กว้างขวางพอให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ เพราะทรัพย์สมบัติของพวกเขามีมาก จึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ 7คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทก็วิวาทกัน เวลานั้นคนคานาอันและคนเปริสซียังอาศัยอยู่ในดินแดนนั้น
8อับรามจึงพูดกับโลทว่า “ขออย่าให้เราและคนเลี้ยงสัตว์ของเราทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นญาติสนิท 9ที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ? ขอให้เจ้าแยกไปจากเราเถิด ถ้าเจ้าไปทางซ้ายเราก็จะไปทางขวา หรือเจ้าจะไปทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย” 10โลทเงยหน้าแลดูที่ลุ่มของแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมด เห็นว่ามีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่ง (นี่เป็นสภาพก่อนพระยาห์เวห์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์) เหมือนพระอุทยานของพระยาห์เวห์ เหมือนแผ่นดินอียิปต์ ในทิศที่จะไปทางเมืองโศอาร์ 11โลทจึงเลือกที่ลุ่มทั้งหมดของแม่น้ำจอร์แดน โลทออกเดินทางไปทิศตะวันออก ญาติสนิททั้งสองจึงแยกกันไป 12อับรามอาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ส่วนโลทอาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองต่างๆ ในที่ราบ และย้ายเต็นท์ไปตั้งถึงเมืองโสโดม 13ผู้ชายเมืองโสโดมเป็นคนชั่วร้าย ทำผิดบาปต่อพระยาห์เวห์มาก
14 เมื่อโลทจากอับรามไปแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสแก่อับรามว่า “จงเงยหน้าดูสถานที่ตั้งแต่เจ้าอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก 15เพราะดินแดนทั้งหมดที่เจ้าแลเห็นนี้ เราจะยกให้เจ้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดนิรันดร์ 16เราจะทำให้เชื้อสายของเจ้ามากเหมือนผงคลีดิน ใครนับผงคลีดินได้ก็จะนับเชื้อสายของเจ้าได้ 17จงลุกขึ้นเดินให้ทั่วดินแดนนี้ ทั้งด้านยาวและด้านกว้าง เพราะว่าเราจะยกดินแดนนี้ให้เจ้า” 18อับรามจึงย้ายเต็นท์มาอาศัยอยู่ที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเร ซึ่งอยู่ที่เฮโบรน แล้วสร้างแท่นบูชาถวายพระยาห์เวห์ที่นั่น
อรรถาธิบาย
วางใจให้พระเจ้าให้ทรงนำคุณทีละก้าว
สิ่งที่ผมชอบมากกว่าอะไรทั้งหมดเมื่อได้ขับรถ (ดีกว่าเครื่องบอกทางด้วยซ้ำ) คือการมีคนในรถที่รู้เส้นทางและบอกผมทีละก้าวว่าควรทางไหน ในเส้นทางชีวิตของเรานั้นพระเจ้าเสนอที่จะติดตามและนำคุณทีละก้าวเพื่อไปสู่ชีวิตแห่งพระพร
นี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญในพระคัมภีร์ เมื่อพระเจ้าทรงริเริ่มแผนการช่วยเหลือมนุษยชาติ ในบทก่อนหน้านี้เป็นเรื่องราวของความบาปที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และการแยกตัวออกจากพระเจ้า แต่ในพระธรรมตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยทางออกแก่อับราฮัม!
พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่า ‘เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรเจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต แล้วเจ้าจะเป็นพร...เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า...บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า’ (12:2–3)
พระเจ้าทรงเลือกคนหนึ่งคนและอวยพรเขา จากนั้นก็เลือกชนชาติหนึ่งและอวยพรพวกเขา แต่แผนของพระองค์คือเพื่อให้พวกเขาเป็นพรต่อไป (ข้อ 3ข) นี่เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ที่อธิบายว่าเหตุใดพระเจ้าจึงเลือกอิสราเอล นั้นก็เพื่อให้คนทั้งโลกได้รับพรผ่านทางพวกเขา
ในที่สุดพระสัญญานี้ก็สำเร็จในองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นผู้เติมเต็มพระสัญญาและความหวังทั้งสิ้นของคนอิสราเอล และโดยพระองค์ทุกชนชาติก็ได้รับพร
นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคุณ อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า ‘ขอให้รู้เถิดว่าเหล่าชนแห่งความเชื่อเป็นบุตรของอับราฮัมอย่างนั้น และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า “ชนทุกชาติจะได้รับพรเพราะเจ้า" เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อจึงได้รับพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ’ (กาลาเทีย 3:7–9)
คริสตจักรได้รับพระพรเช่นเดียวกับอับราฮัมและอิสราเอล ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่เพื่อนำพรมาสู่คนทั้งโลก หากคุณได้รับพระพรจากพระเจ้านั้น ไม่ใช่เพื่อให้คุณหลงระเริงในตนเองหรือภาคภูมิใจกับตนเอง แต่เพื่อที่คุณจะได้เป็นพรแก่ผู้อื่น
พระเจ้าเรียกให้อับราฮัมออกจากประเทศ ผู้คนและบ้านเกิดไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงสำแดงให้เขาเห็น (ปฐมกาล 12:1) อับราฮัมทำตามที่พระเจ้าทรงนำทุกประการ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เขาวางใจให้พระเจ้านำเขาทีละก้าว เขาไม่อาจมองเห็นเส้นทางในอนาคต แต่เขาเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า
นี่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผมเผชิญ พระเจ้าอาจให้เราเห็นภาพว่าพระองค์มีพระประสงค์จะให้เราทำอะไร แต่ตราบใดที่ต้องคำนึงถึงรายละเอียด พระองค์ทรงนำไปทีละขั้นตอน ชีวิตแห่งความเชื่อคือการทำตามการทรงนำของพระองค์ไปทีละขั้นตอน
การเดินทางไม่ได้ราบรื่นเสมอไป อับราฮัมเป็นมนุษย์ที่มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเรา พระเจ้าอวยพรเขาด้วยความมั่งคั่ง (13:1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และ ‘ภรรยาที่รูปงาม’ (12:14 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่างไรก็ตามในการกระทำที่อ่อนแอและเจ้าเล่ห์ พระองค์อนุญาตให้ฟาโรห์รับเธอเพื่อไปเป็นภรรยาของเขา (ข้อ 10–20)
หลังจากนั้น ‘คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทก็วิวาทกัน’ (13:7) อับราฮัมตัดสินใจแยกทางจากหลานชายของตน (ข้อ 8–11) ที่จริงแล้วไม่ใช่อับราฮัมและโลทที่ผิดใจกัน แต่เป็นผู้ติดตามของพวกเขาต่างหาก การกระทบกระทั่งในความสัมพันธ์มนุษย์เป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นเด่นมาก
โลทเลือกดินแดนที่ดีที่สุดและทิ้งอับราฮัมไว้กับสิ่งที่ดูไม่ค่อยดีนัก แต่อีกครั้งพระเจ้าทรงนำอับราฮัมให้ ‘เงยหน้าดูสถานที่ตั้งแต่เจ้าอยู่’ (ข้อ 14)
พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้ามากเหมือนผงคลีดิน - ผู้ใดนับผงคลีดินได้ก็จะนับเชื้อสายของเจ้าได้ จงลุกขึ้นเดินเที่ยวไปตลอดดินแดนนี้ให้ทั่วทั้งด้าน ยาวด้านกว้างเถิด ด้วยว่าเราจะยกดินแดนนี้ให้เจ้า’ (ข้อ 16–17 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เมื่อคุณผิดหวังจากใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง ให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้สึกโกรธหรือขมขื่นใจ ให้เรา ‘เงยหน้าดูสถานที่ตั้งแต่เจ้าอยู่’ (ข้อ 14) จงมองที่พระเจ้าและมองสิ่งต่าง ๆ จากสายตาของพระองค์ไม่ใช่สายตาของศัตรู วางใจให้พระองค์ช่วยคุณในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้แทนที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง แผนของพระเจ้าคืออวยพรคุณ
เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้อับราฮัมได้รับพระสัญญาแห่งพระพรอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ พระประสงค์เดียวคือ อับราฮัมจะเป็นพรแก่คนทั้งโลกเช่นเดียวกันกับคุณ คุณถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตภายใต้พระพรของพระเจ้าและนำพรมาสู่คนรอบข้าง
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ในแต่ละวันเราทุกคนต้องการคำแนะนำให้กับทุก ๆ การตัดสินใจที่ยากลำบาก การเดินตามทางตรงจะช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาและเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ คำอธิษฐานของฉันในวันนี้คือ ‘ข้าแต่พระเจ้าขอทรงนำข้าพระองค์ไปโดยความชอบธรรมของพระองค์ ขอทรงให้ข้าพระองค์เดินในพระมรรคาของพระองค์อย่างราบรื่น’ (สดุดี 5:8)
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 5:3
‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐานแด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)