พระเจ้าทรงกิจเพื่อผลดีแก่คุณ
เกริ่นนำ
ในขณะที่ ลอร์ด แร๊ดสต๊อค พักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ ช่วงกลางศตวรรษที่สิบเก้า เขาได้ยินเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเล่นเปียโนอยู่ชั้นล่างตรงโถงทางเดิน เธอเล่นด้วยเสียงที่ดังฟังไม่รู้เรื่อง “ติ๊ง...ต่อง...ติ้ง... “ ทำให้เขาแทบคลั่ง แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามานั่งข้าง ๆ และเริ่มบรรเลงเคียงข้างเด็กน้อยคนนั้น เขาเพิ่มเติมช่องว่างของตัวโน๊ตให้สมบูรณ์ ผลที่ได้คือบทเพลงอันสุดแสนจะไพเราะ ภายหลังเขาพบว่าชายที่เล่นเคียงข้างเด็กน้อยคนนั้นคือพ่อของเธอเอง ชื่อของเขาคือ อเล็กซานเดอร์ โบโรดิน ผู้ประพันธ์บทละครโอเปร่าเรื่อง เจ้าชายอิกอร์
พระเจ้าเรียกคุณเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ ที่รวมถึงการมีส่วนร่วมกับพระองค์ด้วย ความเชื่อของคริสเตียนส่วนใหญ่มาจากสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อคุณในพระคริสต์ อย่างไรก็ตามเราไม่ใช่แค่ผู้ชม คุณถูกเรียกให้ตอบสนองด้วย พระเจ้านำคุณเข้ามาในแผนการของพระองค์ ทรงมาและประทับเคียงข้างคุณและ “ทุกอย่าง ... ร่วมกันก่อผลดี” (โรม 8:28) พระองค์ใช้ “ติ๊ง...ต่อง...ติ้ง... “ที่เราบรรเลงและสร้างสิ่งที่สวยงามจากชีวิตของเรา
สุภาษิต 4:20-27
20ลูกเอ๋ย จงใส่ใจถ้อยคำของข้า
จงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของข้า
21อย่าให้มันคลาดสายตาของเจ้า
จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า
22เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ค้นพบ
และเป็นพลานามัยแก่กายทุกส่วนของผู้นั้น
23จงระแวดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ
24จงทิ้งวาจาคดๆ เสีย
และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า
25ให้ดวงตาของเจ้าเพ่งมองไปเบื้องหน้า
และให้การจ้องของเจ้าตรงไปข้างหน้าเจ้า
26จงทำหนทางแห่งเท้าของเจ้าให้ราบ
แล้วทางทั้งสิ้นของเจ้าจะมั่นคง
27อย่าเหไปข้างขวาหรือข้างซ้าย
จงหันเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย
อรรถาธิบาย
ก้าวเดินไปอย่างชาญฉลาด
คุณเองก็มีส่วนในการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าและอยู่บนหนทางของพระองค์ รวมถึงดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาดและด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้บางสิ่งที่งดงามได้ออกมาจากชีวิตของคุณ ในพระธรรมข้อนี้เราจะได้เห็นสิ่งที่เฉพาะเจาะจงทั้งสี่ด้านที่คุณจำเป็นต้องใคร่ครวญหากคุณต้องการมีชัยชนะเหนือการทดลองต่าง ๆ
1.\tสิ่งที่คุณคิด
คุณสามารถเลือกว่าจะนึกคิดเกี่ยวกับอะไร ชีวิตที่คุณเป็นคนกำหนดนั้นหลั่งไหลออกมาจากหัวใจของคุณ 'จงระแวดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ' (ข้อ 23) คุณต้องเติมใจของคุณด้วยสิ่งที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเติมด้วยพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 20–21) ที่นำมาซึ่ง 'ชีวิต' และ 'พลานามัย' (ข้อ 22) ให้เราคิดถึง 'สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ' (ฟิลิปปี 4:8)
2. สิ่งที่คุณพูด
คำพูดของคุณมีพลัง จงใช้อย่างระมัดระวัง 'จงทิ้งวาจาคด ๆ เสีย และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า' (สุภาษิต 4:24) ว่ากันว่า ลิ้นคนเราควรมีสามสิ่งนี้คอยเฝ้าไว้ก่อนพูด นั่นคือ 'เป็นจริงไหม? เปี่ยมด้วยเมตตาไหม? จำเป็นไหม?'
3. สิ่งที่คุณมอง
ปกป้องดวงตาของคุณ ระแวดระวังในสิ่งที่คุณมอง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย) “ให้ดวงตาของเจ้าเพ่งมองไปเบื้องหน้าและให้การจ้องของเจ้าตรงไปข้างหน้าเจ้า” (ข้อ 25) พระเยซูทรงเตือนว่าหากคุณมองสิ่งผิดไป “ตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย” แต่ยังทรงกล่าวอีกว่า 'ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย' (มัทธิว 6:22–23)
4. ที่ที่คุณไป
คุณจะปลอดภัยจากการทดลองได้มากหากคุณระวังในที่ที่คุณจะไป 'จงทำหนทางแห่งเท้าของเจ้าให้ราบ…จงหันเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย' (สุภาษิต 4:26–27) ในพระธรรมฮีบรูตอนหนึ่ง ผู้เขียนเรียกร้องให้เรา 'วิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา' โดยให้สายตาของคุณจับจ้องไป 'ที่พระเยซู…” จงทำหนทางให้ตรงเพื่อเท้าของพวกท่าน”' (ฮีบรู 12:1–2,13)
คำอธิษฐาน
มัทธิว 27:45-66
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู
45แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง 46พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” 47บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์” 48ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวยคำราชาศัพท์หมายถึง ดื่ม 49แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่” 50และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์
51และนี่แน่ะ ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน 52อุโมงค์ฝังศพต่างๆ ก็เปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา 53และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ปรากฏกับคนจำนวนมาก 54แต่นายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็กลัวอย่างยิ่ง จึงพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ”
55ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระองค์จากกาลิลีเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ มองดูอยู่แต่ไกล 56ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี
การฝังพระศพพระเยซู
57เมื่อถึงเวลาพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู 58เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา 59โยเซฟก็เชิญพระศพลงและเอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มไว้ 60แล้วเชิญพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ของตนที่สกัดไว้ในศิลา และกลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป 61มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์
ทหารยามที่เฝ้าอุโมงค์
62วันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันเตรียม พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต 63เรียนว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’ 64เพราะฉะนั้น ขอท่านมีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก” 65ปีลาตจึงบอกพวกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่จะทำได้” 66พวกเขาจึงไปจัดการทำให้อุโมงค์แน่นหนาและประทับตราไว้ที่หิน แล้ววางยามประจำอยู่
อรรถาธิบาย
ให้ด้วยใจที่กว้างขวาง
พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อผลดีแก่คุณผ่านทางกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู พระเยซูทรงเผชิญกับความทุกข์ทรมานและการแยกจากพระเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อให้คุณได้มีความสุขกับการทรงสถิตของพระเจ้า
พระเยซูทรงถูกทอดทิ้งจากเหล่าผู้นำทางความเชื่อ ครอบครัวของพระองค์เอง เหล่าผู้คนหรือโดยสาวกของพระองค์และท้ายที่สุด “พระเยซูทรงคร่ำครวญจากเบื้องลึกและร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” ซึ่งหมายความว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (ข้อ 46 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ถ้อยคำแห่งความทุกข์ทรมานของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ถูกแยกออกจากพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงหยิบยกมาจากพระธรรมสดุดี 22:1 ซึ่งเป็นเสียงร้องแห่งความทุกข์ ความโศกเศร้า และการแยกออกจากพระเจ้า ในหนังสือโยบเราได้เห็นว่าพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับความยากลำบาก และความซับซ้อนของความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นกับมนุษย์อย่างไร และที่ไม้กางเขนเราจะได้พบคำตอบสุดท้ายของพระเจ้าสำหรับความทุกข์ทรมานของเรา นั่นคือพระองค์เลือกที่จะเข้าไปในนั้นและรับมันไว้เอง
จอห์น สตอทท์ สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานและไม้กางเขนไว้ดังนี้ “ผมไม่มีทางเชื่อในพระเจ้าได้เลยถ้าไม่ใช่เพราะไม้กางเขน ในโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนี้ มนุษย์เราจะนมัสการพระเจ้าที่ไม่เคยผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร”
การแบกความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนของพระเยซูไม่เพียงแต่เพื่อรวมเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เเล้ว แต่พระคำของพระองค์สะท้อนให้เราเห็นถึงการมาของพระองค์เพื่อ “ให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มัทธิว 20:28) พระองค์ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อที่คุณจะได้เป็นอิสระ ทรงถูกทอดทิ้งเพื่อที่คุณและผมจะได้รับการยอมรับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
เราได้พบความเป็นจริงของการยอมรับนี้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู “และนี่แน่ะ ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน” (27:51) สัญลักษณ์นี้มีอธิบายไว้ในหนังสือฮีบรู ม่านมีไว้กั้นผู้คนออกจาก “อภิสุทธิสถาน” นั่นคือที่ประทับของพระเจ้า (ฮีบรู 9:3)
ตอนนี้คุณสามารถเข้าถึงการทรงสถิตของพระเจ้าและความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์ผ่านทางพระเยซู แม้แต่รายละเอียดเกี่ยวกับม่านที่ฉีกขาดตั้งแต่บนจรดล่าง ก็ยังเตือนเราว่านี่เป็นผลงานของพระเจ้าไม่ใช่น้ำมือของมนุษย์ ที่ทำให้คุณรับเอาการทรงสถิตของพระองค์ คุณสามารถรับรู้ถึงการยอมรับและการทรงสถิตของพระเจ้าผ่านการที่พระเยซูผู้ทรงถูกทอดทิ้งและทนทุกข์ทรมานเพื่อเรา พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อผลดีแก่คุณ
แม้ในขณะที่พระเจ้าทรงจัดวางทุกสิ่งอย่างเฉียบขาดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ผ่านทางไม้กางเขน และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ยังทรงให้มนุษย์อยู่ในแผนการของพระองค์ด้วยเช่นกัน พระองค์ใช้เศรษฐีคนหนึ่งชื่อโยเซฟแห่งอาริมาเทีย ซึ่งกลายเป็นสาวกของพระเยซู ในการซื้ออุโมงค์ฝังศพเพื่อเป็นที่ฝังพระศพ แล้วกลายเป็นที่ฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในเวลาต่อมา (มัทธิว 27:57–60)
ไม่สำคัญว่าคุณจะยากดีมีจนขนาดไหน แต่อยู่ที่วิธีการตอบสนองของคุณต่อสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อคุณ และสิ่งที่คุณทำกับสิ่งที่คุณมี โยเซฟให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว และพระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่งดงามออกมาจากชีวิตของเขาซึ่งกลายเป็นที่สิ่งที่น่าจดจำไปตลอดกาล
คำอธิษฐาน
อพยพ 13:1-14-31
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงถวายลูกหัวปีทั้งหมดแก่เรา คือทุกสิ่งของชนชาติอิสราเอลที่ออกจากครรภ์ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งนั้นเป็นของเรา”
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ
3โมเสสจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงระลึกถึงวันนี้ ที่พวกท่านออกมาจากอียิปต์ จากแดนทาส” เพราะพระยาห์เวห์ทรงนำท่านออกจากที่นั่นด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ ห้ามกินขนมปังใส่เชื้อ 4วันนี้ในเดือนอาบีบ พวกท่านได้ออกไป 5พระยาห์เวห์ทรงนำท่านมาถึงแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนฮีไวต์ และคนเยบุส นี่เป็นแผ่นดินที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่า จะยกให้ท่าน มันเป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ พวกท่านจงถือพิธีนี้ในเดือนนี้ 6จงกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน และวันที่เจ็ดจงมีเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์ 7จงกินขนมปังไร้เชื้อทั้งเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังใส่เชื้อ หรือให้เห็นเชื้อในทุกเขตของท่าน 8ในวันนั้น จงบอกบุตรของท่านว่า ‘ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะเหตุการณ์ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำเพื่อข้า เมื่อข้าออกจากอียิปต์’ 9สำหรับท่าน พิธีนี้จะเป็นดังเครื่องหมายที่มือของท่าน และดังเครื่องเตือนใจที่หน้าผากของท่าน เพื่อพระธรรมของพระยาห์เวห์จะได้อยู่ในปากของท่าน เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงนำท่านออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 10ฉะนั้น ท่านจงรักษากฎเกณฑ์นี้ตามกำหนดทุกๆ ปี
การถวายลูกหัวปี
11“เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำท่านไปยังแผ่นดินของคนคานาอันดังที่ได้ทรงปฏิญาณไว้กับท่านและบรรพบุรุษของท่าน พระองค์ได้ประทานแผ่นดินนั้นแก่ท่าน 12ทุกอย่างที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกนั้น ท่านจงแยกถวายแด่พระยาห์เวห์ และลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ทุกตัวที่เกิดจากสัตว์ใช้งานของท่านก็เป็นของพระยาห์เวห์ 13จงเอาลูกแกะไถ่ลูกลาหัวปี ถ้าไม่ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย จงไถ่บุตรชายหัวปีทั้งหมดของท่าน 14และต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า ‘ทำไมจึงทำอย่างนี้?’ จงเล่าให้เขาฟังว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ คือจากแดนทาสด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 15เมื่อพระทัยของฟาโรห์ดื้อไม่ยอมปล่อยพวกเราไป พระยาห์เวห์จึงทรงประหารลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ เพราะฉะนั้น ข้าจึงถวายสัตว์ตัวผู้ทุกตัวที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกแด่พระยาห์เวห์ แต่บุตรชายหัวปีทั้งหมดของข้า ข้าก็ไถ่ไว้’ 16พิธีนี้จะเป็นดังเครื่องหมายที่มือของท่าน และดังสัญลักษณ์ที่หน้าผากของท่าน เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์”
เสาเมฆและเสาเพลิง
17เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชากรไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงนำพวกเขาไปทางแผ่นดินของคนฟีลิสเตียแม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เกรงว่าเมื่อประชากรไปเผชิญสงครามเข้า พวกเขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์” 18พระเจ้าจึงทรงนำประชากรอ้อมไปทางถิ่นทุรกันดารยังทะเลแดง ชนชาติอิสราเอลก็ออกจากแผ่นดินอียิปต์ มีอาวุธพร้อมทำสงคราม 19โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟให้ชนชาติอิสราเอลสาบานเป็นมั่นเหมาะว่า “พระเจ้าจะทรงเยี่ยมเยียนพวกท่านอย่างแน่นอน แล้วพวกท่านจงเอากระดูกของเราไปจากที่นี่ด้วย”
20พวกเขาออกจากเมืองสุคคท ไปตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ริมถิ่นทุรกันดาร 21พระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้พวกเขามีแสงสว่างเพื่อจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน 22พระองค์ไม่ได้ทรงให้เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนคลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย
อพยพ 14
ข้ามทะเลแดง
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้ย้อนกลับไปตั้งค่ายหน้าปิหะหิโรท ระหว่างมิกดลกับทะเล หน้าบาอัลเซโฟน ส่วนพวกเจ้าจงตั้งค่ายตรงข้ามที่นั้น คือบริเวณริมทะเล 3ฟาโรห์จะกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า ‘พวกเขาระส่ำระสายบนบก ถิ่นทุรกันดารนั้นปิดกั้นพวกเขาไว้แล้ว’ 4เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์กระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามพวกเจ้า แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์และกองกำลังทั้งสิ้นของเขา แล้วคนอียิปต์จะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์” คนอิสราเอลก็ทำตามรับสั่งนั้น
5เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทรงทราบว่าประชากรเหล่านั้นหนีไปแล้ว ท่าทีของฟาโรห์และของพวกข้าราชการที่มีต่อประชากรอิสราเอลก็เปลี่ยนไป พวกเขาจึงว่า “ทำไมพวกเราจึงทำอย่างนี้? ทำไมจึงปล่อยพวกอิสราเอลไปจากการรับใช้เราเล่า?” 6แล้วฟาโรห์ก็ทรงจัดราชรถและนำทัพไป 7พระองค์ทรงเอารถรบอย่างดี 600 คันกับรถรบอื่นทั้งหมดของอียิปต์ มีนายทหารประจำอยู่ทุกคัน 8พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์กระด้างไป ฟาโรห์จึงทรงไล่ตามชนชาติอิสราเอลซึ่งเดินออกไปอย่างองอาจ 9คนอียิปต์ไล่ตามไป มีทั้งม้าและรถรบทั้งสิ้นของฟาโรห์ และทหารม้ากับกองกำลังของท่านมาทันพวกอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่ริมทะเล ใกล้ปิหะหิโรท หน้าบาอัลเซโฟน
10เมื่อฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ ชนชาติอิสราเอลก็เงยหน้าขึ้นดู และนี่แน่ะ ชาวอียิปต์ยกติดตามมา พวกเขาก็หวาดกลัวยิ่งนัก จึงร้องทูลพระยาห์เวห์ 11พวกเขาบอกโมเสสว่า “หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ? ท่านจึงพาพวกเราออกมาตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมท่านจึงทำกับเราเช่นนี้คือพาพวกเราออกมาจากอียิปต์? 12เราบอกท่านในอียิปต์แล้วไม่ใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้คนอียิปต์เถิด เพราะการทำเช่นนั้นก็ยังดีกว่ามาตายในถิ่นทุรกันดาร”
13โมเสสกล่าวกับประชากรว่า “อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้ พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป 14พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด”
15พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ทำไมเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา? จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินหน้าต่อไป 16ส่วนเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเลและทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้ 17ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจคนอียิปต์กระด้างและตามพวกเขามา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ กองกำลัง รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา 18เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ รถรบ และพลม้าของเขาแล้ว คนอียิปต์ก็จะรู้ว่า เรานี่แหละคือยาห์เวห์”
19ทูตของพระเจ้าซึ่งนำหน้าทัพอิสราเอลก็กลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขา 20คือมาอยู่ระหว่างทัพอียิปต์และทัพอิสราเอล มีเมฆและความมืดกั้น เวลากลางคืนก็ผ่านไปโดยทั้งสองฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้กันตลอดคืน
21โมเสสยื่นมือออกเหนือทะเล และพระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง และน้ำแยกออกจากกัน 22ชนชาติอิสราเอลก็เดินผ่านกลางทะเลบนดินแห้ง ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
23คนอียิปต์ก็ไล่ตามพวกเขาเข้าไปกลางทะเล ทั้งม้าและรถรบและพลม้าทั้งสิ้นของฟาโรห์ 24เวลาเช้ามืดพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรลงมาจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นทัพอียิปต์ ก็ทรงบันดาลให้ทัพอียิปต์เกิดโกลาหล 25พระองค์ทรงทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้เราหนีจากคนอิสราเอลเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์เพื่อพวกเขา”
ผู้ไล่ล่าจมน้ำตาย
26จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถรบและพลม้าของพวกเขา” 27โมเสสจึงยื่นมือออกเหนือทะเล พอรุ่งเช้าทะเลก็ไหลกลับดังเดิม คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระยาห์เวห์ทรงสลัดคนอียิปต์ลงกลางทะเล 28น้ำก็ไหลกลับท่วมรถรบและพลม้า คือกองกำลังทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งตามพวกเขาเข้าไปในทะเล ไม่เหลือสักคนเดียว 29ส่วนชนชาติอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางท้องทะเล น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
30ด้วยเหตุนี้ในวันนั้นพระยาห์เวห์โปรดช่วยให้คนอิสราเอลรอดจากเงื้อมมือคนอียิปต์ คนอิสราเอลเห็นศพคนอียิปต์อยู่ที่ชายทะเล
31อิสราเอลเห็นกิจการใหญ่ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำต่อคนอียิปต์ ประชากรก็เกรงกลัวพระยาห์เวห์ พวกเขาเชื่อถือพระยาห์เวห์และเชื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
อรรถาธิบาย
เชื่ออย่างสุดกำลัง
การช่วยกู้ของพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซูได้สะท้อนออกมาไว้ล่วงหน้าแล้วในพันธสัญญาเดิม คือเมื่อพระเจ้าเปิดทางเข้าสู่ที่ประทับของพระองค์โดยม่านที่ฉีกขาด และเปิดหนทางผ่านการแยกทะเล
ตลอดทางเราเห็นการทรงนำของพระเจ้าในการช่วยประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ 'พระเจ้าทรงนำคุณออกมา...จงบอกลูกหลานของพวกท่านว่า 'ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะเหตุการณ์ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำเพื่อข้า' พระยาห์เวห์ทรงนำท่านไปยังแผ่นดิน พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์' (13:3–16)
พระเจ้าทรงนำผู้คนของพระองค์ไปตลอดหนทาง แม้ว่าที่น่าสนใจคือ พระองค์ไม่ได้ใช้เส้นทางที่สั้นที่สุดแต่อย่างใด (ข้อ 17) บางครั้งแทนที่จะใช้วิธีง่าย ๆ แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีที่ยาวกว่าและยากกว่า เพื่อเตรียมเราให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ในวันข้างหน้า แม้ว่าตอนนี้พวกเขาออกจากอียิปต์แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้อีกมากมาย พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาฤทธานุภาพและการทรงนำทางของพระเจ้าอย่างสุดกำลัง
พระองค์ทรงนำทางพวกเขาอย่างไม่ลดละ ด้วยเสาเมฆในเวลากลางวัน และเสาเพลิงในเวลากลางคืน (ข้อ 21) การทรงนำของพระเจ้าคือสิ่งที่เราแต่ละคนต้องการเป็นการส่วนตัว รวมถึงในฐานะประชากรของพระเจ้าเช่นเดียวกัน
บางครั้งเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะหาทางออกไม่ได้ คนอียิปต์ตามหลังพวกเขามาและทะเลก็ขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา 'พวกเขาหวาดกลัวเหลือเกิน' (14:10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แต่กระนั้น โมเสสก็วางใจในพระเจ้าอย่างสุดใจเชื่อว่าพระองค์จะช่วยให้พวกเขารอดได้ โมเสสกล่าวว่า 'อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด” (ข้อ 13–14) ผมมักจะกลับมาที่ข้อพระคำเหล่านี้ เมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถ้าพูดอย่างคนทั่วไปคือ มืดแปดด้าน
โมเสสต้องทำในส่วนของเขาคือ ('ยื่นมือออกไปเหนือทะเล' ข้อ 16ก) แต่ส่วนของพระเจ้านั้นค่อนข้างยากมากกว่า พระองค์ทรงแยกทะเลออก ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราอธิษฐานขอให้ใครบางคนเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทรงใช้เราในการเหยียดมือออกและอธิษฐานกับพระองค์ แต่พระเจ้าเป็นผู้เจิมผู้นั้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำในส่วนที่ยากมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงดึงคุณเข้ามาในแผนการของพระองค์
ส่วนของพระเจ้าคือการทรงช่วยกู้และนำความรอดมาสู่เรา 'พระยาห์เวห์โปรดช่วยให้คนอิสราเอลรอด' (ข้อ 30) แต่ส่วนของคุณคือการไว้วางใจในพระเจ้า 'พวกเขาเชื่อถือพระยาห์เวห์และเชื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์' (ข้อ 31)
พระเจ้ากระทำทุกสิ่งเพื่อผลดีของคุณ พระองค์ต้องการให้คุณร่วมมือกับพระองค์ นี่คือวิธีที่ทรงออกแบบการทรงสร้างของพระองค์ ไม่ว่าจะในโลกนี้ (ที่เราปลูกและพระเจ้าให้การเติบโต) หรือในแผ่นดินของพระเจ้าก็ตาม (ที่ซึ่งพระเจ้านำแผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ และคุณก็มีส่วนในนั้นด้วยเช่นกัน)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มัทธิว 27:52–53
'อุโมงค์ฝังศพต่าง ๆ ถูกเปิดออก ศพของธรรมิกชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วก็เป็นขึ้นมา...เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์ พากันเข้าไปในนครบริสุทธิ์ได้ปรากฎกับคนจำนวนมาก'
นั่นต้องทำให้หลายคนตกอกตกใจไม่น้อย! และฉันมักจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหลังจากนั้น? พวกเขากลับไปที่อุโมงค์ฝังพระศพหรือไม่?
มันเป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นในวันนั้น
ข้อพระคำประจำวัน
อพยพ 14:14
'พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด'
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)