พระองค์ทรงช่วยกู้คุณ
เกริ่นนำ
เมื่อวันที่ 13 มกราคม ปี 1982 สายการบินฟลอริดา เที่ยวบินที่ 90 บินจากวอชิงตัน ดี ซี ได้พุ่งชนแม่น้ำโปโตแมค ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวและแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำ กล้องทีวีสามารถจับภาพได้ทุกอย่าง ผู้ชมหลายล้านคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นต่างได้เห็นเหตุการณ์ผ่านจอทีวีขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินเหนือศีรษะ และปล่อยสายชูชีพให้กับชายคนหนึ่งที่กำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำ เขาจับสายนั้นไว้แล้วว่ายไปยังผู้รอดชีวิตอีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ เขากลัดสายชูชีพที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วเธอก็ได้รับการยกขึ้นไปยังที่ปลอดภัยเฮลิคอปเตอร์ปล่อยสายชูชีพอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชายคนนั้นก็ทำแบบเดียวกัน เขาว่ายน้ำไปหาคนอื่นและช่วยชีวิตพวกเขา เขาช่วยคนอื่นก่อนที่จะหมดแรง และตัวเขาเองก็จมน้ำเสียชีวิตไป
ทำไมชายคนนี้จึงไม่รักษาชีวิตตัวเอง? คำตอบ คือ เพราะเขาออกไปช่วยชีวิตคนอื่นก่อน ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นพระเยซูไม่ได้รักษาพระองค์เอง เพราะพระองค์กำลังออกไปช่วยคุณและผม
วันนี้ให้เรามุ่งความคิดของคุณไปที่พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของโลก และใคร่ครวญว่าพระองค์ช่วยคุณให้รอดได้อย่างไร
สดุดี 21:1-7
คำขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับชัยชนะ
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระราชาจะยินดีในพระกำลังของพระองค์
ท่านจะเปรมปรีดิ์ในชัยชนะของพระองค์มากเพียงไร
2พระองค์ทรงให้ตามใจปรารถนาของท่าน
และมิได้ทรงปฏิเสธสิ่งที่ริมฝีปากท่านทูลขอ
3เพราะพระองค์ประทานพระพรดีมากมายแก่ท่าน
พระองค์ทรงสวมมงกุฎทองบริสุทธิ์บนศีรษะท่าน
4ท่านทูลขอชีวิต และพระองค์ก็ประทานแก่ท่าน
ชีวิตยืนนานเป็นนิตย์นิรันดร์
5โดยชัยชนะของพระองค์ เกียรติศักดิ์ของท่านจึงใหญ่ยิ่ง
พระองค์ประทานพระสิริและความสง่างามแก่ท่าน
6พระองค์ทรงให้ท่านรับพระพรเป็นนิตย์
และทรงให้ท่านปลาบปลื้มยินดีต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
7เพราะพระราชาวางใจในพระยาห์เวห์
ด้วยความรักมั่นคงของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านจะไม่หวั่นไหวเลย
อรรถาธิบาย
ได้รับการช่วยกู้โดยพระเจ้า
คุณไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยคุณให้รอดได้ พระองค์ช่วยคุณให้รอด “ด้วยความรักมั่นคง” ของพระองค์ เช่นเดียวกับดาวิด วันนี้ให้เราวางใจในพระองค์ (ข้อ 7)
พระธรรมสดุดีตอนนี้ดาวิดเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความรอด
'ข้าแต่พระเจ้า พระราชาจะเปรมปรีดิ์ในพระกำลังของพระองค์
ท่านจะปีติยินดีในความช่วยเหลือของพระองค์' (ข้อ 1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ในพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นพระพรแห่งความรอดมากมายอันประกอบด้วย
1. ตอบคำอธิษฐาน
'พระองค์ทรงให้ตามใจปรารถนาของท่านและมิได้ทรงปฏิเสธสิ่งที่ริมฝีปากท่านทูลขอ' (ข้อ 2 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
2. พระพรไม่รู้จบ
'พระองค์ประทานพระพรดีมากมาย...ทรงสวมมงกุฎทองบริสุทธิ์บนศีรษะท่าน...พระองค์ประทานพระพรนิรันดร์แก่ท่าน' (ข้อ 3,6ก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
3. ชีวิตนิรันดร์
'ท่านทูลขอชีวิต พระองค์ก็ประทานวันคืนแห่งชีวิตของท่านจึงยืนยงนิรันดร์' (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
4. ใช้ชีวิตอย่างมีชัย
“โดยชัยชนะที่พระองค์ประทาน ศักดิ์ศรีของท่านยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงประสิทธิ์ประสาทสง่าราศีและบารมีแก่ท่าน” (ข้อ 5)
5. มีความสุขและความยินดี
“ทรงกระทำให้ท่านยินดีปรีดาต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 6ข พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
มัทธิว 27:11-44
ปีลาตไต่สวนพระเยซู
11เมื่อพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงถามว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดถูกแล้ว” 12แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสตอบประการใด 13ปีลาตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเป็นพยานกล่าวหาเจ้าหรือ?” 14แต่พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบสักคำเดียว เจ้าเมืองจึงประหลาดใจยิ่งนัก
การทรงถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต
15ในช่วงเทศกาล เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ฝูงชนต้องการ 16เวลานั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์อยู่รายหนึ่งชื่อบารับบัส 17เมื่อทุกคนมาประชุมพร้อมกันแล้ว ปีลาตก็ถามเขาทั้งหลายว่า “พวกเจ้าต้องการให้เราปล่อยคนไหน บารับบัส หรือเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” 18เพราะท่านรู้แล้วว่าพวกเขามอบตัวพระองค์ไว้เพราะความอิจฉา 19ในขณะที่ปีลาตนั่งว่าราชการอยู่นั้น ภรรยาของท่านใช้คนมาเรียนว่า “อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย เพราะว่าวันนี้ดิฉันไม่สบายใจมากเนื่องด้วยความฝันที่เกี่ยวกับคนนั้น” 20แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ก็ยุยงฝูงชนให้ขอปล่อยบารับบัส และประหารพระเยซูเสีย 21เจ้าเมืองจึงถามพวกเขาว่า “ในสองคนนี้พวกเจ้าจะให้เราปล่อยคนไหน?” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” 22ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?” พวกเขาพากันร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน” 23เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม? เขาทำผิดอะไร?” แต่พวกเขายิ่งร้องว่า “ให้ตรึงที่กางเขน”
24เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่ได้การ มีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวว่า “เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้ พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด” 25ฝูงชนทั้งหมดก็ร้องว่า “ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา” 26ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา และเมื่อโบยตีพระเยซูแล้วก็มอบตัวให้ตรึงไว้ที่กางเขน
พวกทหารล้อเลียนพระเยซู
27พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในกองบัญชาการปรีโทเรียม และรวมทหารทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 28แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ 29เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” 30แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์ 31เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน
การตรึงพระเยซูที่กางเขน
32เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป 33เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ 34เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย 35เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน 36แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว” 38เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง 39คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย 40ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” 41พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า 42“เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง 43เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 44แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย
อรรถาธิบาย
ได้รับการช่วยกู้ผ่านการเสียสละพระองค์เอง
เหล่าประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมคาดหวังว่าจะมีพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) พระเมสสิยาห์องค์นี้เอง 'บนพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม' (อิสยาห์ 9:7)
อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมยังมีอีกกระแสหนึ่งของความคาดหวังเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์ สิ่งนี้เห็นได้จาก 'ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์' ในพระธรรมอิสยาห์ 40–55 ที่ “เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า (อิสยาห์ 53:7) ผู้ซึ่งจะรับบาปของโลกไว้และตายแทนคนบาปเหล่านั้น (ข้อ5–6)
ไม่มีใครคาดคิดว่าพระเมสสิยาห์องค์จอมราชากับผู้รับใช้ผู้ทนทุกข์จะเป็นคนเดียวกัน กระนั้นด้วยวิธีที่น่าทึ่งพระเยซูเป็นผู้นำแก่นของเรื่องพระเมสสิยาห์มารวมไว้ด้วยกัน นั้นเพราะพระเยซูทรงเป็นทั้งกษัตริย์และผู้รับใช้ที่ทนทุกข์นี้ด้วย
1.พระเมสสิยาห์องค์จอมราชา
เมื่อปีลาตถามพระเยซูว่า 'เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ' (มัทธิว 27:11ก) พระองค์ตรัสตอบว่า 'ท่านพูดถูกแล้ว' (ข้อ 11ข) พวกทหารหัวเราะเยาะพระเยซูและแต่งกายพระองค์เป็นกษัตริย์พร้อมแสร้งทำเป็นคำนับและคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์เรียกพระองค์ว่า 'ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว'(ข้อ 29ข)
“และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า 'คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว (ข้อ 37) พวกผู้ใหญ่ยังล้อเลียนพระองค์อีกว่า “เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” (ข้อ 42)
มัทธิวกล่าวให้ชัดเจนว่าข้อกล่าวหาเดียวที่พระเยซูมีความ “ผิด” คือการเป็น 'กษัตริย์' (ข้อ 11) 'พระคริสต์' (เมสสิยาห์) (ข้อ 22) และ 'บุตรของพระเจ้า' (ข้อ 43)
2. ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์
พระเยซูเป็นไปตามคำพยากรณ์ที่ว่า “ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปากเหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใดท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น” (อิสยาห์ 53:7)
เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ 'พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสตอบประการใด' (มัทธิว 27:12) เมื่อปีลาตถามพระองค์ว่า 'เจ้าไม่ได้ยินสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาเป็นพยานกล่าวหาเจ้าหรือ' (ข้อ 13) 'แต่พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบสักคำเดียว เจ้าเมืองจึงประหลาดใจยิ่งนัก' (ข้อ 14)
พระเยซูเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์และไร้มลทิน ทรงสิ้นพระชนม์แทนคุณเพื่อที่คุณจะได้หลุดพ้นจากบาป บารับบัสถือเป็นตัวแทนของทั้งคุณและผมในการเป็นผู้ที่มีความผิด เขาเป็น 'นักโทษอุกฉกรรจ์' (ข้อ 16) มีคำถามว่าจะปล่อยตัวใครระหว่าง 'บารับบัส หรือเยซู' (ข้อ 17) แต่ฝูงชนกลับถูกยุยงให้ปล่อยตัวบารับบัส และประหารพระเยซูเสีย (ข้อ 20) บารับบัสจึงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ (ข้อ 26) คำพยากรณ์ของอิสยาห์เกี่ยวกับผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ในที่สุดก็เป็นจริง 'ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา' (อิสยาห์ 53:5)
แม้ว่าพระเยซูจะเป็นกษัตริย์ที่ใครหลายคนรอคอยมาเนิ่นนาน แต่พระองค์ก็ไม่ใช่กษัตริย์แบบที่ผู้คนคาดหวังที่เป็นผู้นำชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มา แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระเยซูกลับต้องรับมือกับสิ่งที่ประดังมาจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นความอิจฉา การกล่าวเท็จ การวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม ความไม่ยุติธรรม ความเข้าใจผิด แทบจะไม่มีสิทธิอำนาจเลย การถูกเยาะเย้ยและการถูกดูหมิ่นจากคนในศาสนาและทางโลกนี้ แม้กระทั่งถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร
ปีลาตรู้ดีว่าพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาตระหนักว่า 'พวกเขามอบตัวพระองค์ไว้เพราะความอิจฉา' (มัทธิว 27:18) (ความอิจฉามักจะเป็นความบาปของผู้ที่เคร่งศาสนา เรามักจะถูกล่อลวงให้อิจฉาคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้มากกว่าเรา) ปีลาตรับรู้ว่าพระเยซูทรงบริสุทธิ์ด้วยเหตุผลอื่นด้วยเช่นกัน ภรรยาของเขาได้รับการเตือนในความฝันและยืนยันว่าพระเยซูเป็น “คนชอบธรรม” (ข้อ 19) แต่กระนั้นเขากลับเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเธออย่างโง่เขลา
ช่างย้อนแย้งเหลือเกิน บุรุษผู้ซึ่งต้องถูกจดจำตลอดประวัติศาสตร์ในฐานะผู้รับผิดชอบต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ('ถูกตรึงโดยปอนทัสปีลาต' จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วศาสนนิกายทั่วโลกเป็นเวลานับร้อยปี) กลับพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยกล่าวโทษผู้อื่นว่า 'เราไม่มีความผิดเรื่องความตายของคนนี้ พวกเจ้าต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด' (ข้อ 24)
พระโลหิตของพระเยซูได้หลั่งออกมาขณะที่พระองค์ถูกเฆี่ยนและถูกส่งไปตรึงกางเขน (ข้อ 24–26ข) อีกครั้งที่ช่างน่าเวทนานัก ที่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพูดว่า “จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 40ข) แต่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในฐานะพระเมษโปดกของพระเจ้าที่มาเพื่อทำลายบาปของโลกนี้ ผู้คนต่างไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการสละพระองค์เองของพระเยซูเป็นไปโดยความเต็มพระทัย พวกเขากล่าวว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้” (ข้อ 42ก)
พระเยซูทรงช่วยกู้คุณและผมเพราะพระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะไม่ช่วยตัวของพระองค์เอง
คำอธิษฐาน
อพยพ 11:1-12:51
คำเตือนถึงภัยพิบัติสุดท้าย
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะนำภัยพิบัติมาสู่ฟาโรห์และอียิปต์อีกอย่างเดียว หลังจากนั้นฟาโรห์จะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อเขาปล่อยพวกเจ้าไป เขาจะไล่พวกเจ้าออกจากที่นี่จนหมดอย่างแน่นอน 2บัดนี้เจ้าจงบอกประชาชนทั้งชายและหญิงให้ขอเครื่องเงินเครื่องทองจากเพื่อนบ้านของตน” 3พระยาห์เวห์ทรงให้ประชาชนเป็นที่โปรดปรานในสายตาคนอียิปต์ ยิ่งกว่านั้นโมเสสคนนี้เป็นที่นับถือมากในแผ่นดินอียิปต์ ทั้งในสายตาของบรรดาข้าราชการของฟาโรห์และในสายตาของพลเมืองด้วย
4โมเสสประกาศว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เวลาประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปท่ามกลางอียิปต์ 5และลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์จะตาย ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิงผู้อยู่หลังเครื่องโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์ด้วย 6แล้วจะมีการร้องไห้เสียงดังทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีอีกเลย’ 7ส่วนคนหรือสัตว์ของชนชาติอิสราเอลทั้งสิ้นจะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่ เพื่อให้ทราบว่าพระยาห์เวห์ทรงทำต่ออียิปต์ต่างกับที่ทรงทำต่ออิสราเอล 8ข้าราชการเหล่านี้ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาทจะลงมาหาข้าพระบาท และกราบลงต่อหน้าข้าพระบาท กล่าวว่า ‘ขอให้ท่านกับประชากรที่ติดตามท่าน ไปเสียจากที่นี่เถิด’ หลังจากนั้นข้าพระบาทก็จะออกไป” โมเสสกราบทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธอย่างยิ่ง 9แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ยอมฟังพวกเจ้า เพื่อการอัศจรรย์ของเราจะทวีขึ้นในแผ่นดินอียิปต์”
10โมเสสกับอาโรนได้ทำการอัศจรรย์เหล่านี้ทั้งสิ้นเฉพาะพระพักตร์ฟาโรห์ และพระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์กระด้างไป ฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพระองค์
อพยพ 12
พิธีปัสกาครั้งแรก
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า 2“ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้นสำหรับพวกเจ้า ให้เป็นเดือนแรกในปีสำหรับพวกเจ้า 3จงสั่งชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้แต่ละคนเตรียมลูกแกะตัวหนึ่งให้ตนเองตามสกุลบ้านละหนึ่งตัว 4ถ้าครอบครัวไหนมีคนน้อยและกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเตรียมลูกแกะตัวหนึ่ง แล้วให้แบ่งลูกแกะนั้นตามจำนวนคนที่จะกินได้ 5ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะหรือฝูงแพะ 6จงเก็บไว้ให้ดีถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเย็นวันนั้น ให้ที่ประชุมของชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะนั้น 7แล้วเอาเลือดทาที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้างของบ้านที่พวกเขาเลี้ยงกันนั้นด้วย 8ในคืนวันนั้นให้พวกเขากินเนื้อปิ้งกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม 9อย่ากินเนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อต้มเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและขาและเครื่องในด้วย 10จงกินให้หมดห้ามมีเศษเหลือจนถึงเวลาเช้า แต่ถ้ายังมีเศษเหลือถึงเวลาเช้าก็ให้เผาเสีย 11เจ้าจงเลี้ยงกันดังนี้คือ ให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ในมือ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระยาห์เวห์ 12เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในแผ่นดินอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งหมดของอียิปต์ เราคือพระยาห์เวห์ 13แต่เลือดตามบ้านที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้น จะเป็นหมายสำคัญสำหรับพวกเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้น เราจะผ่านเว้นพวกเจ้าไป จะไม่มีภัยพิบัติเกิดแก่พวกเจ้า ขณะที่เราโจมตีแผ่นดินอียิปต์ 14“วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกสำหรับพวกเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายฉลองเป็นเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์ชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงฉลองเทศกาลเลี้ยงนี้และถือเป็นกฎถาวร 15พวกเจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงขจัดเชื้อให้สิ้นจากบ้านของพวกเจ้า ถ้าผู้ใดกินขนมปังใส่เชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด จะต้องถูกตัดออกจากการเป็นคนอิสราเอล 16ในวันแรกนั้นให้มีการประชุมบริสุทธิ์ และในวันที่เจ็ดก็ให้มีการประชุมบริสุทธิ์ ห้ามทำงานใดๆ ในวันแรกและวันที่เจ็ด นอกจากการจัดเตรียมอาหารให้ทุกคนรับประทาน 17พวกเจ้าจงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนี้เอง เราได้นำไพร่พลของเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจงถือวันนี้เป็นกฎถาวรชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 18ในตอนเย็นวันที่สิบสี่เดือนแรก เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อจนถึงเวลาเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนนั้น 19ตลอดเจ็ดวันนั้น ห้ามพบเชื้อในบ้านของพวกเจ้า เพราะถ้าผู้ใดที่เป็นคนต่างด้าวก็ดีหรือคนพื้นเมืองก็ดี กินขนมปังใส่เชื้อ ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจากชุมนุมชนอิสราเอล 20ห้ามกินสิ่งใดที่ใส่เชื้อในที่อาศัยของพวกเจ้า เจ้าจงกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น” 21แล้วโมเสสเรียกพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลมาพร้อมกัน สั่งว่า “จงไปเอาลูกแกะสำหรับครอบครัวของพวกท่านมาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา 22และเอาต้นหุสบเหมือนต้นกะเพรากำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง ห้ามผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า 23เพราะพระยาห์เวห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดที่วงกบประตูทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสองข้าง พระยาห์เวห์จะทรงผ่านเว้นประตูนั้น และจะไม่ทรงให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านพวกท่านเพื่อจะประหารท่าน 24ท่านทั้งหลายจงถือคำสั่งนี้ให้เป็นกฎถาวรของพวกท่านและของลูกหลานพวกท่าน 25เมื่อพวกท่านไปถึงแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์จะประทานแก่พวกท่านตามที่ตรัสไว้แล้ว พวกท่านจงถือพิธีนี้ไว้ 26เมื่อลูกหลานของพวกท่านถามว่า ‘พิธีนี้หมายความว่าอะไร?’ 27พวกท่านจงตอบว่า ‘เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์ แต่โปรดไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’ ” ประชากรก็กราบลงนมัสการ 28แล้วชนชาติอิสราเอลก็ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสสและอาโรน
ภัยพิบัติสุดท้าย: มรณกรรมของลูกหัวปี
29ในเวลาเที่ยงคืน พระยาห์เวห์ทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนบัลลังก์ จนถึงบุตรหัวปีของนักโทษที่อยู่ในคุกมืด ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว 30ฟาโรห์กับพวกข้าราชการ และคนอียิปต์ทั้งหมดตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมากในอียิปต์ เพราะไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย 31ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาเข้าเฝ้าในคืนนั้น ตรัสว่า “เจ้าทั้งสองกับชนชาติอิสราเอล จงลุกขึ้นและออกไปจากประชากรของเรา ไปนมัสการพระยาห์เวห์ตามที่ขอไว้นั้น 32เอาฝูงแพะแกะและฝูงโคของพวกเจ้าไปด้วยตามที่ขอไว้แล้ว จงไป และอวยพรเราด้วย”
การอพยพ: จากราเมเสสถึงสุคคท
33คนอียิปต์ก็เร่งรัดให้ชนชาตินั้นออกจากแผ่นดินโดยเร็ว เพราะพวกเขาพูดว่า “พวกเราจะตายกันหมดแล้ว” 34คนอิสราเอลเอาก้อนแป้งดิบที่ไม่ได้ใส่เชื้อกับอ่างขยำแป้ง ห่อผ้าใส่บ่าแบกไป 35ชนชาติอิสราเอลทำตามที่โมเสสสั่งไว้ คือขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องนุ่งห่มจากคนอียิปต์ 36และพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้ประชากรเป็นที่โปรดปรานในสายตาของคนอียิปต์ คนอียิปต์จึงให้สิ่งของตามที่ขอ ดังนั้นคนอิสราเอลจึงริบเอาสิ่งของต่างๆ จากคนอียิปต์
37ชนชาติอิสราเอลออกจากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคทประมาณ 50 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองราเมเสส นับเฉพาะผู้ชายเดินเท้าได้ประมาณ 600,000 คน ไม่รวมเด็ก 38มีคนชาติอื่นจำนวนมากติดตามไปด้วย พร้อมทั้งฝูงปศุสัตว์มหาศาล คือฝูงแพะแกะและฝูงโค 39พวกเขาเอาก้อนแป้งดิบซึ่งนำมาจากอียิปต์ปิ้งเป็นแผ่นขนมปังไร้เชื้อ เหตุที่เขาไม่ใส่เชื้อหมายถึงเชื้อขนมก็เพราะถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมเสบียง
40ชนชาติอิสราเอลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี 41เมื่อครบ 430 ปีแล้ว ในวันนั้นเอง ประชากรทั้งหมดของพระยาห์เวห์ก็เคลื่อนออกจากแผ่นดินอียิปต์ 42คืนวันนั้นเป็นคืนของพระยาห์เวห์ที่ทรงเฝ้าดู เพื่อนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ และเป็นคืนที่ชนชาติอิสราเอลทั้งสิ้นถือเป็นที่ระลึกถึงพระยาห์เวห์ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเขา
คำแนะนำเกี่ยวกับพิธีปัสกา
43พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “กฎเกณฑ์พิธีปัสกาเป็นดังนี้ คือห้ามคนต่างชาติกิน 44ส่วนทาสซึ่งนายเอาเงินซื้อมา เมื่อให้ทาสนั้นเข้าสุหนัตแล้วก็ให้เขากินได้ 45ส่วนคนอาศัยหรือลูกจ้างห้ามกิน 46ปัสกานั้นให้กินแต่ในบ้าน ห้ามเอาเนื้อไปนอกบ้าน และห้ามหักกระดูกของมัน 47ให้ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นปฏิบัติตามพิธีนี้ 48ถ้ามีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และต้องการจะปฏิบัติตามพิธีปัสกาถวายพระยาห์เวห์ ก็ให้ชายพวกนั้นทุกคนเข้าสุหนัตก่อนแล้วจึงให้เขามาใกล้และปฏิบัติตามพิธีนั้นได้ เขาจะเป็นเหมือนคนที่เกิดในแผ่นดินนั้น แต่ทุกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต จะกินปัสกาไม่ได้ 49บทบัญญัติสำหรับคนพื้นเมืองและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าจะต้องเป็นอย่างเดียวกัน”
50ชนชาติอิสราเอลทั้งสิ้นก็ปฏิบัติตามที่พระยาห์เวห์มีรับสั่งแก่โมเสสและอาโรน 51ในวันนั้นเองพระยาห์เวห์ทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยแยกเป็นขบวนๆ
อรรถาธิบาย
ได้รับการช่วยกู้โดยลูกแกะของพระเจ้า
พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “พวกท่านรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา และบุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้เอาไปตรึงที่กางเขน” (มัทธิว 26:2) เปาโลได้บันทึกเอาไว้ว่า “เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว” (1 โครินธ์ 5:7ข)
เลือดของลูกแกะได้ช่วยประชากรของพระเจ้าภายใต้พันธสัญญาเดิมในเทศกาลปัสกาครั้งแรก (อพยพ 12:1–30) ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้วภายใต้พันธสัญญาใหม่ โดยพระโลหิตของพระเยซู (ลูกแกะของพระเจ้า) ชำระและปกป้องคุณอย่างถาวรนิรันดร์ (ฮีบรู 9:12–26)
ในเทศกาลปัสกาครั้งแรกต้องมีถวายลูกแกะเป็นสัตวบูชา ลูกแกะเหล่านั้นจำเป็นต้อง 'ปราศจากตำหนิ' (อพยพ 12:5) สิ่งนี้เองได้เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม และมีการเน้นย้ำอย่างมากเกี่ยวกับ 'เลือด' ของลูกแกะ (ข้อ 7,13,22–23) ซึ่งเลือดของลูกแกะที่ปราศจากตำหนินั้น จำต้องถูกนำมาเป็นสัตวบูชา (ข้อ 27) เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้เห็นพระเยซู เขาก็กล่าวว่า 'จงดูพระเมษโปดก (ลูกแกะ) ของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป' (ยอห์น 1:29)
เลือดของลูกแกะเป็นดั่งสิ่งที่ช่วยประชากรของพระเจ้าจากการพิพากษา สิ่งนั้นเรียกว่า “สัตวบูชาปัสกา” (อพยพ 12:27) นี่เองแสดงให้เห็นถึงการเสียสละของพระเยซู
คำสอนของพระเจ้าเกี่ยวกับลูกแกะปัสกาที่ 'ห้ามหักกระดูกของมัน' (ข้อ 46) ได้สำเร็จโดยสมบูรณ์แล้วเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะการทุบขาคนถือเป็นวิธีที่ทำให้ตายเร็วขึ้นบนกางเขน พวกเขาทุบขาของชายสองคนที่ถูกตรึงกับพระเยซู 'แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์' (ยอห์น 19:33)
ที่ใดมีเลือดอยู่ที่วงกบประตูของบ้านแสดงให้เห็นว่าความตายได้เกิดขึ้นในบ้านแล้ว บรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าโดยการเอาเลือดไปทาที่วงกบประตู ความตายก็เลื่อนผ่านไป พระโลหิตของพระเยซูพระเมษโปดกของพระเจ้าได้หลั่งออกมาเพื่อคุณและผม เทศกาลปัสกาชี้ให้เห็นว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องเผาบูชาแทนเราอย่างไร คุณได้รับการช่วยกู้โดยพระองค์แล้ว
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มัทธิว 27:19
หนึ่งในความผิดพลาดทั้งปวงของปีลาตคือเขาไม่ฟังภรรยาของตน!
ข้อพระคำประจำวัน
มัทธิว 27:37
นี่คือพระเยซู
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)