วัน 360

วิธีการจัดการเรื่องเงิน

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 31:10-20
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 18:1-17ก
พันธสัญญาเดิม เนหะมีย์​ 5:1-7:3

เกริ่นนำ

วันรุ่งขึ้นหลังจากวันคริสต์มาส เราหลาย ๆ คนอาจรู้สึกว่าไม่หลงเหลือเงินในกระเป๋าตังค์แล้ว แต่ประเด็นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงคริสต์มาสเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจัดการกับเงินของเราแบบนี้ในทุกวัน แต่เราแค่ไม่พูดเรื่องนี้กันในคริสตจักร อย่างไรก็ตาม พระเยซูพูดถึงเรื่องเงินไว้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และพระคัมภีร์เองก็กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้ง เงินมีผลอย่างมากในชีวิต ทั้งต่อเราและต่อพระเจ้า แล้วเราควรจะจัดการเรื่องเงินอย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 31:10-20

คำกลอนยกย่องภรรยาที่ดี

10ภรรยาที่เลิศประเสริฐใครเล่าจะหาพบ?
 คุณค่าของเธอเลิศล้ำกว่าทับทิม
11สามีของเธอก็ไว้ใจเธอ
 และเขาจะไม่ขาดประโยชน์ใดๆ
12เธอนำสิ่งดีมาให้เขา ไม่นำสิ่งร้าย
 ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเธอ
13เธอแสวงหาขนแกะและป่าน
 และทำงานด้วยมืออย่างเต็มใจ
14เธอเป็นเหมือนเรือของพ่อค้า
 เธอนำอาหารของเธอมาจากที่ไกล
15เธอลุกขึ้นตั้งแต่ยังมืดอยู่
 และจัดอาหารให้ครอบครัวของเธอ
 และจัดงานให้แก่สาวใช้ของเธอ
16เธอพิเคราะห์ดูไร่นาแล้วซื้อไว้
 ด้วยรายได้ของเธอ เธอปลูกสวนองุ่น
17เธอคาดเอวของเธอด้วยกำลัง
 และทำให้แขนของเธอแข็งแรง
18เธอรู้ว่าสินค้าของเธอจะได้กำไร
 กลางคืนตะเกียงของเธอก็ไม่ดับ
19เธอยื่นมือออกจับไน
 และมือของเธอจับเครื่องปั่นฝ้าย
20เธอหยิบยื่นให้คนยากจน
 เธอยื่นมือออกช่วยคนขัดสน

อรรถาธิบาย

ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องเงิน

ความสัมพันธ์มีความสำคัญกว่าเงินมากนัก ยกตัวอย่างเช่น เงินทั้งโลกไม่สามารถชดเชยให้กับการแต่งงานที่ไร้ความสุขได้ อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่มีความสุขในชีวิตแต่งงานนั้น ‘ไม่ขาดประโยชน์ใดๆ’ (ข้อ 11) ‘ภรรยาที่เลิศประเสริฐใครเล่าจะหาพบ? คุณค่าของเธอเลิศล้ำกว่าทับทิม สามีของเธอก็ไว้ใจเธอ และเขาจะไม่ขาดประโยชน์ใดๆ’ (ข้อ 10-11)

ตามที่ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตได้กล่าวสรรเสริญ ‘ภรรยาที่เลิศประเสริฐ’ เขาเริ่มต้นจากด้านต่างๆในชีวิตของเธอที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเงิน เธอเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อเรื่องเงิน ดังที่จอห์น เวศลีย์ กล่าวไว้ว่า 'หารายได้อย่างเต็มที่ เก็บออมอย่างเต็มที่ ให้ออกไปอย่างเต็มที่’

  1. หารายได้อย่างเต็มที่’ เธอขยันและทำงานหนักในการหารายได้เพื่อใช้ชีวิต ‘เธอลุกขึ้นตั้งแต่ยังมืดอยู่ และจัดอาหารให้ครอบครัวของเธอ’ (ข้อ 12-15ก) เธอเป็นผู้อารักขาที่ดี เธอนำเงินไปลงทุนอย่างมีปัญญา และเธอทำการค้าขายได้กำไร (ข้อ 16-18ก)

  2. **‘เก็บออมอย่างเต็มที่’** เธอมีความสุขกับงานของเธอและสิ่งดีต่างๆในชีวิต(ข้อ 13) เธอเก็บออมบางส่วนจากที่เธอหาได้ เธอออมเงินนั้นไว้ (ข้อ 16 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  3. **‘ให้อย่างเต็มที่’** เธอแจกจ่าย ‘เธอหยิบยื่นให้คนยากจน เธอยื่นมือออกช่วยคนขัดสน’ (ข้อ 20) การที่เราให้ออกไปเป็นการตอบสนองต่อการให้ของพระเจ้าในชีวิตเรา เพื่อส่งต่อให้กับผู้อื่นที่ต้องการมันอย่างแท้จริง เป็นวิธีที่ช่วยเราจะไม่ตกหลุมพรางของวัตถุนิยม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ช่วยข้าพระองค์ให้เป็นผู้อารักขาที่ดีในทุกสิ่งที่พระองค์ไว้วางใจข้าพระองค์ให้ดูแล ขอให้ข้าพระองค์เป็นคนนั้นที่จะยินดีแจกจ่าย โดยเฉพาะกับคนยากใจ และคนที่มีความต้องการอย่างแท้จริง
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 18:1-17ก

นครบาบิโลนพังทลาย

 1หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และรัศมีของท่านทำให้แผ่นดินโลกสว่าง 2ท่านร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า

“บาบิโลนมหานครพังทลายแล้ว พังทลายแล้ว
 กลายเป็นที่อาศัยของพวกผี
เป็นที่อยู่ของวิญญาณทุกชนิดที่โสโครก
 เป็นที่อยู่ของนกทุกชนิดที่โสโครก
 [และเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายทุกชนิดที่โสโครก] และน่าเกลียดน่าชัง
3เพราะประชาชาติทั้งหมดต่างได้ดื่ม
 เหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนครนั้น
และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น
 และพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกก็มั่งมีขึ้นจากความฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งของนครนั้น”

4และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งจากสวรรค์กล่าวว่า
 “จงออกมาจากนครนั้นเถิด ชนชาติของเราเอ๋ย
เพื่อเจ้าจะไม่มีส่วนกับบาปของนครนั้น
 และเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่ต้องรับ
 ภัยพิบัติของนครนั้น
5เพราะบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว
 และพระเจ้าทรงจดจำการอธรรมของนครนั้นแล้ว
6จงทำกับนครนั้นเหมือนอย่างที่นครนั้นเคยทำกับคนอื่น
 และจงตอบแทนการกระทำของนครนั้นเป็นสองเท่า
 ในถ้วยที่นครนั้นได้ผสมไว้ ก็จงผสมเหล้าลงไปเป็นสองเท่า
7นครนั้นให้เกียรติตัวเองและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยมากเพียงไร
 ก็จงมอบความทรมานและความโศกเศร้าแก่นครนั้นมากเพียงนั้น
เพราะนครนั้นรำพึงในใจว่า
 ‘เรานั่งอยู่ในตำแหน่งราชินี
เราไม่ใช่หญิงม่าย
 และเราจะไม่ประสบความโศกเศร้าเลย’
8เพราะเหตุนี้ภัยพิบัติต่างๆ จะมาถึงนครนั้นภายในวันเดียว
 คือโรคระบาด ความโศกเศร้า และการกันดารอาหาร
และไฟจะเผานครนั้น
 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงพิพากษานครนั้นทรงฤทธิ์”

 9บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ล่วงประเวณีกับนครนั้นและอยู่ด้วยกันอย่างฟุ่มเฟือย เมื่อเห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็จะร้องไห้และทุกข์โศก 10พวกเขาจะยืนห่างๆ เพราะกลัวภัยจากการทรมานนครนั้น และจะกล่าวว่า

“วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว นครที่ยิ่งใหญ่
 นครบาบิโลนที่แข็งแกร่ง
 เพราะการพิพากษามาถึงเจ้าแล้วภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น”

 11พวกพ่อค้าบนแผ่นดินโลกจะร้องไห้และโศกเศร้าเนื่องจากนครนั้น เพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว 12สินค้าเหล่านั้นได้แก่ ทองคำ เงิน อัญมณีต่างๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด สิ่งของทุกอย่างที่ทำจากงาช้าง สิ่งของทุกอย่างที่ทำจากไม้ราคาแพง จากทองสัมฤทธิ์ เหล็ก และหินอ่อน 13อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งอย่างดี ข้าวสาลี โค แกะ ม้า รถม้า ทาส และเชลยศึก
14ผลที่จิตใจของเจ้าอยากได้นั้น
 ก็หายไปจากเจ้า
ทุกสิ่งที่หรูหราและงามตระการตา
 ก็สูญสิ้นไปจากเจ้า
 และเจ้าจะไม่ได้พบเห็นอีกเลย
15พวกพ่อค้าที่ขายสิ่งเหล่านี้และเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่ห่างๆ เพราะกลัวภัยจากการทรมานนคร พวกเขาจะร้องไห้และโศกเศร้า 16กล่าวว่า

“วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว นครที่ยิ่งใหญ่
 นครที่สวมใส่ผ้าป่านเนื้อละเอียด
 ผ้าสีม่วงและผ้าสีแดงเข้ม
 นครที่ประดับด้วยทองคำ
 อัญมณีและไข่มุก
17เพราะภายในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติที่มากมายเช่นนี้ก็ยังสูญสิ้นไป”
 และกัปตันเรือทุกคน ผู้โดยสารทั้งหมด พวกกะลาสีและคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเลก็ยืนอยู่ห่างๆ

อรรถาธิบาย

อย่าวางใจในเงินทอง

ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีการห้ามเรื่องการหาเงิน ออมเงิน และมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต สิ่งที่ถูกตักเตือนไว้คือ การสะสมเงินอย่างเห็นแก่ตัว การครอบครองเงินอย่างหวงแหน หรือการวางใจไว้กับความร่ำรวย สิ่งนี้จะนำไปสู่ความมั่นคงจอมปลอมและพาคุณออกห่างจากพระเจ้า

เงินไม่เป็นกลาง และไม่ใช่ตัวกลางที่ไร้ตัวตนในการแลกเปลี่ยน พระเยซูกล่าวไว้ว่า คุณไม่สามารถรับใช้พระเจ้าและแมมม่อนไปด้วยกันได้ (มัทธิว 6 :24) ‘แมมม่อน’ คือ เทพแห่งความมั่งคั่งในคาเธจ เงินนั้นมีลักษณะทุกอย่างของเทพเจ้า ซึ่งดูเหมือนจะให้ความมั่นคง อิสรภาพ อำนาจ อิทธิพล สถานภาพ และศักดิ์ศรี หากมองเพียงด้านเดียว เงินสามารถเป็นแรงบันดาลใจได้อย่างดีในการอุทิศตนและลุ่มหลงหัวปักหัวปำ แต่ดิเอทริช บอนฮอฟเฟอร์ พูดไว้ว่า ‘หัวใจของเรานั้นมีเพียงห้องเดียวที่จะอุทิศให้กับทุกๆ ด้าน และสิ่งนั้นคือ พระเจ้าองค์เดียว’

ในพระธรรมตอนนี้ ยอห์นให้ภาพของเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเข้าใจได้ยากแก่ผู้อ่าน นั่นก็คือ ‘บาบิโลนมหานครพังทลาย' (วิวรณ์ 18 :2) ในบริบทโดยรอบนี้หมายถึงคำทำนายของเหตุการณ์จะไม่อุบัติขึ้นในอีก 320 ปี นั่นก็คือ การโค่นอำนาจจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. 410

เมื่อยอห์นกำลังเขียนพระธรรมเล่มนี้ จักรวรรดิโรมันดูไร้จุดอ่อน อยู่จุดสูงสุดในอำนาจ มีความสุขในสันติภาพและความมั่นคง แต่ยอห์นนั้นเห็นลักษณะของเมืองนี้ที่บ่งบอกว่าการล่มสลายจะมาถึงอย่างแน่นอน

‘บาบิโลน’ ในที่นี้สื่อถึงอำนาจใด ๆ ก็ตามที่ตั้งตนแยกตัวจากพระเจ้า ยอห์นเน้นย้ำถึงจุดอ่อนที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของสังคมนี้ ดังต่อไปนี้:

  1. ผีโสโครก
    ‘กลายเป็นที่อาศัยของพวกผี เป็นที่อยู่ของวิญญาณทุกชนิดที่โสโครก’ (ข้อ 2)

  2. การล่วงประเวณีของนคร
    ‘เพราะประชาชาติทั้งหมดต่างได้ดื่ม เหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น’ (ข้อ 3ก)

  3. ความหรูหราฟุ่มเฟือย
    ‘พวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกก็มั่งมีขึ้นจากความฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งของนครนั้น’ (ข้อ 3ข, อ่านข้อ 7และข้อ 9) น่าจะเป็นเพราะความร่ำรวยมหาศาลนี้จึงทำให้เมืองนี้มีความทะนงตน (ข้อ 7ข)

  4. การค้ามนุษย์
    ‘และทาส พวกเขาทำการค้าชีวิตมนุษย์อย่างชั่วร้าย’ (ข้อ13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ยอห์นชี้ให้เห็นว่าทาสไม่ใช่ชิ้นเนื้อที่จะซื้อขายได้ตามปกติ แต่พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีชีวิต เป็นจุดที่ถูกย้ำสุดท้ายในตอนจบ (ข้อ 11-13) นี่เป็นมากกว่าแค่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าทาส มันรวมไปถึงทุกอย่างที่อยู่ในรายการทั้งหมด อันบ่งบอกถึงความโหดร้ายทารุณอย่างไร้มนุษยธรรม การไม่เห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ทำให้จักรวรรดินี้ร่ำรวยและอยู่ในความหรูหราฟุ่มเฟือย ทุกวันนี้ การค้ามนุษย์ และการฟื้นคืนชีพของความเป็นทาสหลายล้านคนชี้ไปถึงสิ่งที่ผิดมหันต์ในสังคมของเรา

ความร่ำรวย ความงามและความหรูหราเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว สิ่งเหล่านั้นมาแล้วก็ไป ยอห์นเตือนประชากรของพระเจ้าว่าอย่ายอมแปดเปื้อนด้วยบาปแห่งบาบิโลน ‘จงออกมาจากนครนั้นเถิด ชนชาติของเราเอ๋ย เพื่อเจ้าจะไม่มีส่วนกับบาปของนครนั้น และเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่ต้องรับภัยพิบัติของนครนั้น’ (ข้อ 4) สง่าราศีแห่งกรุงโรมในอดีตอาจจะผ่านไปนานแล้ว แต่ความท้าทายนี้และข้อความนี้ยังคงมีความสำคัญต่อชีวิตของเราในปัจจุบันเฉกเช่นในอดีต

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงทำให้ใจข้าพระองค์พ้นจากความทะนงตนและไกลจากความชั่วร้ายที่บ่อยครั้งก็เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่ง ขอทรงช่วยเราในฐานะที่เป็นคริสตจักรที่จะทำทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์และการค้าทาสในรูปแบบของโลกปัจจุบัน ขอบคุณที่จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นั้นเกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป แต่พระวจนะของพระเจ้านั้นจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
พันธสัญญาเดิม

เนหะมีย์​ 5:1-7:3

เนหะมีย์จัดการกับการกดขี่

 1มีเสียงร้องของประชาชนและของภรรยาของเขาอย่างเกรียวกราว กล่าวโทษพี่น้องพวกยิว 2เพราะมีคนที่กล่าวว่า “เรามากคนด้วยกัน ทั้งลูกชายและลูกสาวของเรา ขอให้เราได้ข้าวเพื่อเราจะรับประทานและมีชีวิตอยู่ได้” 3และมีคนกล่าวว่า “เราต้องจำนำไร่นาของเรา สวนองุ่นของเรา และบ้านเรือนของเรา เพื่อจะได้ข้าว เพราะเหตุการกันดารอาหาร” 4และคนอื่นๆ กล่าวว่า “เราได้ขอยืมเงินมาเป็นค่าภาษีถวายกษัตริย์ โดยจำนำนาและสวนองุ่นของเรา 5เผ่าพันธุ์ของเราเป็นเหมือนเผ่าพันธุ์ของพี่น้องของเรา ลูกของเราก็เหมือนลูกของเขา แต่เราก็ยังให้ลูกชายและลูกสาวของเราเป็นทาส ลูกสาวของเราบางคนเป็นทาสแล้วและเราช่วยเขาไม่ได้ เพราะคนอื่นยึดนาและสวนองุ่นของเรา”
 6เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องของเขาและถ้อยคำของเขา ข้าพเจ้าก็โกรธมาก 7ข้าพเจ้าตรึกตรองแล้วก็นำความนี้ไปต่อว่าพวกขุนนางและเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านต่างคนต่างให้ยืมเงินโดยเรียกของประกันจากพี่น้องของตน” และข้าพเจ้าก็เรียกชุมนุมชนใหญ่มาสู้กับเขา 8และข้าพเจ้ากล่าวแก่เขาว่า “เราได้ไถ่พวกยิวพี่น้องของเราผู้ถูกขายไปต่างประเทศคืนมา ตามแต่เราจะสามารถทำได้ แต่พวกท่านกลับขายพี่น้องของท่าน เพื่อให้เราต้องซื้อพวกเขาคืนมา” คนทั้งหลายก็นิ่งอยู่ พูดไม่ออก 9ข้าพเจ้าจึงว่า “สิ่งที่พวกท่านทำอยู่นั้นไม่ดี ท่านควรจะดำเนินในความยำเกรงพระเจ้าของเรา เพื่อป้องกันการเยาะเย้ยของประชาชาติซึ่งเป็นศัตรูของเราไม่ใช่หรือ? 10นอกจากนั้น ข้าพเจ้ากับพี่น้องของข้าพเจ้าและคนใช้ของข้าพเจ้ายังให้เขายืมเงินและยืมข้าวด้วย ขอให้เราเลิกการให้ยืมโดยเรียกของประกันนั้นเสียเถิด 11ในวันนี้ ขอจงคืนนา สวนองุ่น สวนมะกอก และเรือนของเขา และดอกเบี้ยของเงิน ข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน ซึ่งท่านได้รีดเอาจากพวกเขาเสีย” 12แล้วพวกเขาพูดว่า “เราจะคืนสิ่งเหล่านี้ และจะไม่เรียกร้องสิ่งใดๆ จากเขาทั้งหลาย เราจะทำตามที่ท่านพูด” และข้าพเจ้าก็เรียกบรรดาปุโรหิตมา และให้ปุโรหิตเอาคำสาบานจากเขาทั้งหลายว่า เขาจะทำตามที่เขาสัญญาแล้วนั้น 13ข้าพเจ้าก็สลัดชายเสื้อที่พกของไว้ของข้าพเจ้าด้วย และพูดว่า “ดังนั้นแหละ ถ้าคนใดไม่ได้ทำตามสัญญานี้ ขอพระเจ้าทรงสลัดเขาเสียจากเรือนของเขาและจากทรัพย์สมบัติของเขา ให้เขาถูกสลัดออกแล้วไปตัวเปล่า” และชุมนุมชนทั้งปวงกล่าวว่า “อาเมน” และสรรเสริญพระยาห์เวห์ แล้วประชาชนก็ทำตามที่เขาสัญญาไว้

ความใจกว้างของเนหะมีย์

 14ยิ่งกว่านั้นอีก ตั้งแต่เวลาที่ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการในแผ่นดินยูดาห์ ตั้งแต่ปีที่ยี่สิบจนปีที่สามสิบสองแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส สิบสองปีด้วยกัน ข้าพเจ้าหรือพี่น้องของข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ 15ผู้ว่าราชการคนก่อนๆ ข้าพเจ้า ได้เบียดเบียนประชาชน เอาเงินเป็นค่าอาหารและเหล้าองุ่นไปจากเขา วันละ 40 เชเขล แม้ข้าราชการของท่านก็ใช้อำนาจเหนือประชาชน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะความยำเกรงพระเจ้า 16ข้าพเจ้ายังยึดงานสร้างกำแพงนี้อยู่ และไม่ได้หากรรมสิทธิ์ที่ดินเลย และคนใช้ของข้าพเจ้าทั้งสิ้นก็ชุมนุมกันทำงานที่นั่น 17ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ามีคน 150 คนร่วมสำรับกับข้าพเจ้า คือพวกยิวและเจ้าหน้าที่นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่มาอยู่กับพวกเราจากประชาชาติผู้ซึ่งอยู่รอบเรา 18สิ่งที่เตรียมไว้ในวันหนึ่งๆ มีวัวตัวหนึ่ง และแกะที่คัดเลือกแล้วหกตัว เป็ด ไก่ เขาก็จัดไว้ให้ข้าพเจ้าด้วยในทุกๆ สิบวัน เหล้าองุ่นมากมายหลายถุงหนัง แม้จะมากอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เรียกร้องเอาส่วนอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะว่าการปรนนิบัตินั้นหนักสำหรับชนชาตินี้อยู่แล้ว 19ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์ได้ทำเพื่อชนชาตินี้ ให้เกิดผลดีเถิด

เนหะมีย์ 6

แผนการปองร้ายของปรปักษ์

 1ต่อมาเมื่อมีรายงานให้สันบาลลัท โทบีอาห์และเกเชมชาวอาหรับกับศัตรูอื่นๆ ของพวกเราทราบว่าข้าพเจ้าได้ก่อกำแพง และไม่มีรอยแตกเหลืออยู่ (แม้ว่าจนวันนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้ตั้งบานประตูที่ประตูเมือง) 2สันบาลลัทกับเกเชมส่งข่าวมาหาข้าพเจ้าว่า “ขอเชิญมาพบกันที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในที่ราบโอโน” แต่พวกเขาเจตนาจะทำอันตรายข้าพเจ้า 3ข้าพเจ้าจึงใช้พวกผู้สื่อสารไปหาพวกเขาว่า “ข้าพเจ้ากำลังทำงานใหญ่ ลงมาไม่ได้ ทำไมจะให้งานหยุดเสียและให้ข้าพเจ้าทิ้งงานลงมาหาท่าน? ” 4แล้วเขาใช้ให้มาหาข้าพเจ้าอย่างนี้สี่ครั้ง ข้าพเจ้าก็ตอบเขาไปทำนองเดียวกัน 5สันบาลลัทได้ส่งคนของเขามาหาข้าพเจ้าในทำนองเดียวกันเป็นครั้งที่ห้า ถือจดหมายเปิดผนึกมา 6ในนั้นมีเขียนไว้ว่า “เขากล่าวกันในท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเกเชมก็กล่าวด้วยว่า ท่านและพวกยิวเจตนาจะกบฏ ดังนั้นท่านจึงสร้างกำแพง และท่านปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขาตามถ้อยคำนี้ 7และท่านได้แต่งตั้งผู้เผยพระวจนะไว้ให้ป่าวร้องเกี่ยวกับตัวท่านในเยรูซาเล็มว่า ‘มีกษัตริย์ในยูดาห์’ บัดนี้จะรายงานให้พระราชาทรงทราบตามถ้อยคำเหล่านี้ เหตุฉะนั้นขอเชิญท่านมาหารือด้วยกัน” 8แล้วข้าพเจ้าก็ส่งข่าวไปหาเขากล่าวว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเราไม่ได้ทำกันเลย ท่านเสกสรรขึ้นตามใจของท่านเอง” 9เพราะพวกเขาต้องการที่จะให้เราตกใจคิดว่า “มือของเขาจะผละจากงานไปเสีย และงานจะได้ไม่สำเร็จ” แต่ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ขอพระองค์ทรงเสริมกำลังมือของข้าพระองค์
 10และข้าพเจ้าเข้าไปในบ้านของเชไมยาห์บุตรเดไลยาห์ ผู้เป็นบุตรเมเหทาเบล ผู้ที่เก็บตัวอยู่ เขาพูดว่า “ให้เราไปพบกันในพระนิเวศของพระเจ้าในพระวิหาร ให้เราปิดประตูพระวิหารเสียเพราะพวกเขาจะมาฆ่าท่าน เวลากลางคืนเขาจะมาฆ่าท่านเสีย” 11แต่ข้าพเจ้าว่า “คนอย่างข้าพเจ้าจะหนีหรือ และคนอย่างข้าพเจ้าจะเข้าไปอยู่ในพระวิหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่หรือ ข้าพเจ้าไม่ไป” 12ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้เขา แต่เขาได้เผยพระวจนะใส่ร้ายข้าพเจ้า เพราะโทบีอาห์และสันบาลลัทได้จ้างเขา 13เขาทั้งสองได้จ้างเขามาเพื่อจะให้ข้าพเจ้ากลัวและทำอย่างนั้นจะได้บาป และพวกเขาจะมีเรื่องใส่ร้ายข้าพเจ้า เพื่อจะเยาะเย้ยข้าพเจ้า 14ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงระลึกถึงโทบีอาห์และสันบาลลัท ตามสิ่งเหล่านี้ที่เขาได้ทำ ทั้งโนอัดยาห์หญิงผู้เผยพระวจนะและผู้เผยพระวจนะอื่นๆ ซึ่งต้องการให้ข้าพระองค์กลัว

กำแพงสำเร็จ

 15กำแพงจึงสำเร็จในวันที่ยี่สิบห้าเดือนเอลูลใน 52 วัน 16และต่อมา เมื่อศัตรูทั้งสิ้นของเราทั้งหลายได้ยิน ประชาชาติทั้งปวงรอบเราก็กลัวและเขาก็น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเขาทั้งหลายหยั่งรู้ว่า งานนี้ที่สำเร็จได้ก็เพราะพระเจ้าของเราทรงช่วยเหลือ 17ยิ่งกว่านั้นอีก ในเวลานั้นพวกขุนนางของยูดาห์ได้ส่งจดหมายไปถึงโทบีอาห์ และจดหมายของโทบีอาห์ก็มาถึงพวกเขา 18เพราะมีหลายคนในยูดาห์ได้ผูกพันกับเขาไว้ด้วยคำสาบาน เพราะเขาเป็นบุตรเขยของเชคานิยาห์ ผู้เป็นบุตรอาราห์ และเยโฮฮานันบุตรของเขาก็ได้รับบุตรหญิงของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรเบเรคิยาห์เป็นภรรยาของตน 19พวกเขาพูดถึงความดีของโทบีอาห์ต่อหน้าข้าพเจ้าด้วย และรายงานคำของข้าพเจ้าไปให้เขา และโทบีอาห์ก็ได้ส่งจดหมายมาให้ข้าพเจ้า เพื่อให้กลัว

เนหะมีย์ 7

 1เมื่อสร้างกำแพงเสร็จ ข้าพเจ้าก็ตั้งบานประตู และแต่งตั้งผู้เฝ้าประตู นักร้อง และคนเลวีไว้ 2ข้าพเจ้ามอบให้ฮานานีพี่น้องของข้าพเจ้า และฮานันยาห์ผู้บัญชาการป้อมเป็นผู้ดูแลเยรูซาเล็ม เพราะเขาซื่อสัตย์และเป็นคนยำเกรงพระเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ 3ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ประตูเมืองเยรูซาเล็มเปิดจนกว่าแดดจะร้อน และเมื่อเขายืนเฝ้ายามอยู่ ก็ให้ปิดและเอาดาลกั้นไว้ จงแต่งตั้งยามจากชาวเยรูซาเล็ม ต่างก็ประจำที่ของเขา และต่างก็อยู่ยามหน้าบ้านของเขา”

อรรถาธิบาย

เป็นแบบอย่างในการจัดการเงิน

เนหะมีย์เป็นผู้นำที่เป็นแบบอย่างที่ดียิ่งในการจัดการเงิน ไม่ช้าก็เร็วพวกเราส่วนใหญ่จะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากทางการเงินและการขาดแคลนทรัพยากร ไม่ว่าจะในชีวิตส่วนตัวหรือในคริสตจักร คุณทำอย่างไรบ้างในสถานการณ์เช่นนี้?

เนหะมีย์เผชิญสถานการณ์เช่นนั้น ประชากรบางส่วนที่ไม่มีอาหารเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ (5 :2) คนอื่นๆ ต้องนำที่ดินและบ้านไปจำนอง (ข้อ 3) คนอื่นๆยังคงยืมเงินเพื่อนำมาจ่ายภาษี (ข้อ 4) เราสามารถเรียนรู้อะไรบ้างจากตัวอย่างชีวิตเนหะมีย์?

ประการแรก เขาคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอย่างระมัดระวัง ‘ข้าพเจ้าตรึกตรอง’ (ข้อ 7ก) เมื่อเผชิญกับภาวะวิกฤติทางการเงิน ไม่ฉลาดที่จะเร่งรีบแก้ปัญหา แต่ต้องคิดให้ถี่ถ้วน

ประการที่ 2 เขาเรียกประชุม (ข้อ 7ข) บางการประชุมนั้นเสียเวลา และไร้ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม บางการประชุมก็สำคัญและจำเป็น เนหะมีย์ฉลาดพอที่จะรู้ความแตกต่างของการประชุมทั้ง 2 ประเภทนี้ เขาปฏิเสธพบกับศัตรูที่ ‘เจตนาจะทำอันตราย’ ต่อตัวเขา (6 :2) แม้จะถูกเรียกถึง 5 ครั้งก็ตาม

อย่างไรก็ตาม จุดนี้เนหะมีย์เรียกประชุม เขาบอกประชาชนว่าสิ่งที่พวกเขากระทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง พวกเขาไม่สมควรที่จะคิดดอกเบี้ย ‘เลิกการให้ยืมโดยเรียกของประกันนั้นเสียเถิด’ (5:10) เขาสั่งให้พวกเขาให้คืน ‘นา สวนองุ่น สวนมะกอก และเรือนของเขา และดอกเบี้ยของเงิน ข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน ซึ่งท่านได้รีดเอาจากพวกเขาเสีย’ (ข้อ 11)

ประการที่ 3 สำคัญที่สุด คือ เขาทำให้ชีวิตตนเองเป็นแบบอย่าง:

  1. ด้านความซื่อสัตย์
    ด้วยความยำเกรงพระเจ้า เนหะมีย์จึงไม่ได้กระทำเฉกเช่นเดียวกับเหล่าผู้ว่าราชการคนก่อนหน้าที่มักเพิ่มภาระอันหนักหน่วงในด้านภาษีให้กับประชาชนพลเมือง และยินดีให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนด้วย (ข้อ 15)

  2. ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
    ‘ข้าพเจ้าหรือพี่น้องของข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ’ (ข้อ 14)

  3. ไม่เอาผลประโยชน์เข้าตนเอง
    ‘ข้าพเจ้ายังยึดงานสร้างกำแพงนี้อยู่ และไม่ได้หากรรมสิทธิ์ที่ดินเลย.....ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เรียกร้องเอาส่วนอาหารของตำแหน่งผู้ว่าราชการ เพราะว่าการปรนนิบัตินั้นหนักสำหรับชนชาตินี้อยู่แล้ว’ (ข้อ 16,18)

  4. ความมีน้ำใจต่อผู้อื่น
    ‘ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ามีคน 150 คนร่วมสำรับกับข้าพเจ้า คือพวกยิวและเจ้าหน้าที่นอกเหนือจากบรรดาผู้ที่มาอยู่กับพวกเราจากประชาชาติผู้ซึ่งอยู่รอบเรา’ (ข้อ 17–18)

  5. มุ่งมั่นทำงานหนัก
    ‘ข้าพเจ้ายังยึดงานสร้างกำแพงนี้อยู่’ (ข้อ 16ก) เขาปฏิเสธที่จะถอนตัวแม้จะถูกฝ่ายปฏิปักษ์ข่มขู่ก็ตาม ในทางกลับกัน เขาอธิษฐาน ‘บัดนี้ขอพระองค์ทรงเสริมกำลังมือของข้าพระองค์’ (6:9)

เนหะมีย์ทำในสิ่งที่เขาเริ่มต้นจนสำเร็จ (ข้อ 15) คนจำนวนมากรู้จักที่จะริเริ่มงาน แต่พวกเขามักขาดสิ่งที่คุณพ่อของพิพพาเรียกมันว่า ‘ทำจนเสร็จ’ เนหะมีย์มีความสามารถที่จะอยู่กับมันและทำในสิ่งที่เขาริเริ่มไว้จนเสร็จสมบูรณ์

ความสำเร็จของโครงการคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดต่อคำวิพากษ์ทั้งหลาย ‘กำแพงจึงสำเร็จในวันที่ยี่สิบห้าเดือนเอลูลใน 52 วัน และต่อมาเมื่อศัตรูทั้งสิ้นของเราทั้งหลายได้ยินประชาชาติทั้งปวดรอบเราก็กลัวและเขาก็น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเขาทั้งหลายหยั่งรู้ว่า งานนี้ที่สำเร็จได้ก็เพราะพระเจ้าของเราทรงช่วยเหลือ’ (ข้อ 15–16)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานปัญญาในการจัดสรรการเงินให้กับข้าพระองค์ ช่วยข้าพระองค์ที่จะเป็นแบบอย่างในชีวิตของข้าพระองค์เอง ที่จะใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ไม่แสวงหาผลประโยชน์เข้าตนเอง และที่จะมีการใช้ชีวิตที่พอเพียง ทำงานหนัก และมีน้ำใจต่อผู้อื่น

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 31:10-20

ฉันรู้สึกต่ำต้อยเมื่อฉันได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้หญิงต้อง ‘ทำทั้งหมด’, ‘มีทั้งหมด’, ‘เป็นทุกสิ่ง’ จริงๆแล้วฉันไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องเป็นทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ สิ่งที่สำคัญ คือความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า และการที่เราทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้เราทำต่างหาก

ข้อพระคำประจำวัน

เนหะมีย์ 6:9

‘แต่ข้าแต่พระเจ้า “บัดนี้ขอพระองค์ทรงเสริมกำลังมือของข้าพระองค์”’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม