วัน 359

ทำไมต้องคริสต์มาส?

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 147:12-20
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 17:1-18
พันธสัญญาเดิม เนหะมีย์ 3:1-4:23

เกริ่นนำ

วันนี้เราเฉลิมฉลอง ‘เหตุการณ์ที่เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวข้อง’ (ซี.เอส. ลูอิส) เราเฉลิมฉลองวันเกิดของพระเยซู เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และการเฉลิมฉลองก็มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก

กระนั้น ท่ามกลางกับดักทั้งหมดและการเฉลิมฉลองคริสต์มาส เป็นเรื่องง่ายที่จะพลาดไปว่าทำไมการประสูติของพระเยซูจึงมีสำคัญยิ่งนัก กุญแจของคำโกหกเกี่ยวกับคริสต์มาสคือไม่ใช่รายละเอียดของเหล่าผู้เลี้ยงแกะที่มาเยี่ยมหรือการเดินทางของนักปราชญ์ แต่เป็นอัตลักษณ์ของพระองค์ที่พวกเขาตามหาเพื่อมานมัสการ ในพระเยซูนั้น พระเจ้าได้กลายเป็น ‘มนุษย์' และ ‘ทรงอยู่ท่ามกลางเรา’ (ยอห์น 1:14) เรื่องราวคริสต์มาสล้วนแต่เกี่ยวข้องกับพระเยซู!

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ตอนที่เราจะศึกษาในวันนี้ช่วยเราให้ฉวยบางอย่างของสิ่งสำคัญว่ามีความหมายอย่างไร ในนั้นเราจะได้รับการเตือนใจว่า ‘กุมารเยซู’ นั้นแท้จริงคือ ‘ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 17:14ข) เราเห็นภาพการต่อสู้กันระหว่างความดีและความชั่ว ที่ผู้มีอำนาจและสิทธิอำนาจดาหน้าเข้ามาต่อกรกับพระเจ้า แต่พวกเราก็ได้รับการเตือนใจด้วยว่า ท้ายที่สุดแล้ว พวกมันต้องพ่ายแพ้ไปผ่านทางความถ่อมใจ และการสละพระชนม์ชีพของ ‘พระเมษโปดก’

พระเยซูได้ทรงสละศักดิ์ศรีแห่งฟ้าสวรรค์เพื่อบังเกิดในรางหญ้า เหมือนดั่งเพลงสรรเสริญ เชิญฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์ ดังนี้:

 องค์พระคริสต์สถิตเบื้องบน
 เป็นพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์
 ถ่อมพระทัยลงมาบังเกิด
 แด่มารีย์หญิงผู้ประเสริฐ
 องค์พระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุด
 ลงมาทรงกายามนุษย์
 จงสาธุผู้ปรากฎเป็น
 พระเยซูอิมมานูเอล
 เชิญฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์
 ‘สาธุการพระเจ้าเบื้องบน!’

ในแต่ละตอนของวันนี้ เราเห็นพระพรของการติดตาม ‘พระเจ้าเบื้องบน’ ผู้นี้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 147:12-20

12เยรูซาเล็มเอ๋ย จงยกย่องพระยาห์เวห์
 ศิโยนเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของเธอ
13เพราะพระองค์ทรงทำให้ดาลประตูของเธอแข็งแกร่ง
 พระองค์ทรงอวยพรบุตรทั้งหลายที่อยู่ภายในเธอ
14พระองค์ประทานสันติภาพในเขตแดนของเธอ
 ทรงให้เธออิ่มด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด
15พระองค์ทรงใช้พระดำรัสของพระองค์ไปยังแผ่นดินโลก
 พระวจนะของพระองค์วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
16พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ
 ทรงโปรยน้ำค้างแข็งอย่างขี้เถ้า
17พระองค์ทรงโยนลูกเห็บของพระองค์เป็นก้อนๆ
 ใครจะทนทานความหนาวของพระองค์ได้?
18พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ไปละลายมันเสีย
 ทรงให้ลมของพระองค์พัดและน้ำก็ไหล
19พระองค์ทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์แก่ยาโคบ
 กฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์แก่อิสราเอล
20พระองค์มิได้ทรงทำเช่นนี้แก่ประชาชาติอื่นใด
 พวกเขาไม่รู้จักกฎหมายของพระองค์

สรรเสริญพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

พระพร สันติสุข และความอิ่มเอมใจ

พระสัญญาของพระเจ้าทุกข้อสำเร็จเป็นจริงเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานพระพร สันติสุข และความอิ่มเอมใจ (‘ให้เธออิ่มด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด' ข้อ 14 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ ‘ทรงใช้พระดำรัสของพระองค์ไปยังแผ่นดินโลก’ (ข้อ15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อข่าวการประสูติของพระเยซูได้ถูกประกาศออกไปแก่เหล่าบรรดาผู้เลี้ยงแกะ ทูตสวรรค์ได้อธิบายว่านี่คือ 'ข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย’ (ลูกา 2:10) ทูตสวรรค์สรรเสริญพระเจ้าสำหรับ ‘สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย’ (ข้อ 14) พระเยซูทรงประสูติในเมืองเบธเลเฮม (ความหมาย ‘บ้านแห่งขนมปัง’) พระองค์เป็นผู้เดียวที่จะช่วยให้ความหิวกระหายฝ่ายจิตวิญญาณได้รับการเติมเต็มในจิตใจของมนุษย์ทุกคน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ทรงประทานหนทางที่จะอวยพระพรประชากรของพระองค์ ขอบพระคุณที่ “เราได้มีสันติสุขกับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า” (โรม 5:1) ขอบคุณที่พระองค์เติมเต็มความต้องการส่วนที่ลึกที่สุดแห่งจิตใจของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 17:1-18

หญิงแพศยาตัวเอ้และสัตว์ร้าย

 1แล้วทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือชามเจ็ดใบนั้น ก็มาและพูดกับข้าพเจ้าว่า “มานี่ซี เราจะให้ท่านดูการลงโทษหญิงแพศยาตัวเอ้ที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย 2คือหญิงที่บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกก็เมามายด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง” 3แล้วท่านนำข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยพระวิญญาณ และข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้า มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา 4หญิงคนนั้นนุ่งห่มสวมชุดสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยทองคำ อัญมณีต่างๆ และไข่มุก ในมือของนางมีถ้วยทองคำที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกจากการล่วงประเวณีของตน 5และบนหน้าผากของนางมีชื่อที่เป็นความลึกลับเขียนไว้ว่า “บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่ของบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก” 6และข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยโลหิตของพวกธรรมิกชนและโลหิตของบรรดาพยานของพระเยซู
 เมื่อข้าพเจ้าเห็นนางแล้วก็อัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง 7ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงถามข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านจึงอัศจรรย์ใจ? เราจะบอกให้ท่านรู้ความลึกลับของหญิงนั้น และของสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวและสิบเขาที่เป็นพาหนะของนาง 8สัตว์ร้ายที่ท่านเห็นนั้น มันเคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบัน มันจวนจะขึ้นมาจากบาดาลลึกเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกสร้างโลกก็จะอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นสัตว์ร้ายซึ่งเคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะมาอีกนั้น 9นี่ต้องใช้ความคิดอย่างมีปัญญา หัวทั้งเจ็ดนั้นคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ และคือกษัตริย์เจ็ดองค์ 10ห้าองค์ล่วงไปแล้ว และองค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ ส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่มา และถ้ามาแล้วก็จะต้องอยู่เพียงระยะสั้นๆ 11ส่วนสัตว์ร้ายที่เคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นองค์ที่แปด แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในเจ็ดองค์นั้น และกำลังไปสู่ความพินาศ 12เขาทั้งสิบเขาที่ท่านเห็นนั้น คือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้รับราชอาณาจักร แต่จะรับสิทธิอำนาจเหมือนอย่างกษัตริย์ด้วยกันกับสัตว์ร้ายตัวนั้นหนึ่งชั่วโมง 13กษัตริย์เหล่านี้ทรงมีความเห็นอย่างเดียวกัน และจะทรงมอบแสนยานุภาพและสิทธิอำนาจของตนแก่สัตว์ร้ายนั้น 14พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และพวกที่อยู่กับพระองค์นั้น ก็เป็นพวกที่ได้รับการทรงเรียกและได้รับการทรงเลือก และเป็นพวกที่ซื่อสัตย์”
 15และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่ท่านเห็นซึ่งหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น คือชนชาติต่างๆ ฝูงชนต่างๆ ประชาชาติต่างๆ และภาษาต่างๆ 16เขาสิบเขาที่ท่านเห็นและสัตว์ร้ายนั้น จะพากันเกลียดชังหญิงแพศยานั้น พวกมันจะทำให้นางร้างเปล่าและเปลือยกาย และจะกินเนื้อของนาง และเอาไฟเผานาง 17เพราะว่าพระเจ้าทรงบันดาลใจพวกมันให้ทำตามพระดำริของพระองค์ โดยทรงทำให้พวกมันมีความเห็นอย่างเดียวกันในการมอบอาณาจักรให้แก่สัตว์ร้าย จนกว่าจะสำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า 18และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นคือมหานครที่ครอบครองอยู่เหนือกษัตริย์ทั้งหลายของแผ่นดินโลก”

อรรถาธิบาย

ผู้ถูกเรียก ถูกเลือก และสัตย์ซื่อ

คริสต์มาสไม่ใช่แค่เรื่องราวดี ๆ เท่านั้น แต่เป็นช่วงเวลาแตกหักในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในการต่อสู้ระดับจักรวาลระหว่างความดีกับความชั่ว พระเจ้ากับมาร พระเยซูคือผู้ชี้ขาด ในการต่อสู้นั้น ความเป็นศูนย์กลางและชัยชนะของพระเยซู เป็นจุดสนใจในตอนของพันธสัญญาใหม่วันนี้

บางครั้ง คริสตจักรก็ดูเหมือนกำลังต่อสู้ในสงครามที่กำลังจะพ่ายแพ้ ในทางยุโรปตะวันตกในปัจจุบัน การเข้ามานมัสการในคริสตจักรลดลง มาระยะหนึ่งแล้ว ฝ่ายโลกดูเหมือนจะมีชัยชนะ พระธรรมวิวรณ์เปิดเผยสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหลัง และสิ่งต่างๆ จะลงเอยอย่างไร

เมื่อเรามองไปทั่วโลก มันช่างดูมีพลังมหาศาล ดึงดูด และเย้ายวนในระดับหนึ่ง แต่ภายใต้ความผิวเผินนั้น เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเมษโปดกอย่างมากมาย

ปฏิปักษ์ต่อพระเยซูถูกอธิบายไว้ใน ‘บาบิโลนมหานคร’ ‘แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่ของบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก’ (ข้อ 5) ซึ่งเขียนถึงหญิงผู้ที่ขี่สัตว์ร้าย

ในบริบทแรกเริ่ม อัตลักษณ์ของ ‘บาบิโลน’ นั้นคือ เมืองโรมในอดีต ดังที่เราได้เห็น ‘เนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่’ (ข้อ 9) คือเนินเขาทั้งเจ็ดที่อยู่โดยรอบกรุงโรม

ดูเผิน ๆ มีบางอย่างที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับจักรวรรดิโรมัน ซึ่งสื่อถึงทุกสิ่งที่โลกเสนอให้เรา หญิงคนนั้น ‘นุ่งห่มสวมชุดสีม่วงและสีแดงเข้ม และประดับด้วยทองคำ อัญมณีต่างๆ และไข่มุก’ (ข้อ 4)

แต่ภายใต้ความน่าดึงดูดผิวเผินนั้น เต็มไปด้วยความรุนแรงและความชั่วร้าย ‘คือหญิงที่บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกก็เมามายด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง’ (ข้อ 2)

ค่อยๆชัดเจนขึ้นว่าแม้ภายนอกจะดูงดงามตรงข้ามกับภายใน ความรุนแรงและความชั่วร้ายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่พุ่งเป้าไปที่พระเจ้าและประชากรของพระองค์ การดาหน้าเข้ามาของตัวละครในครึ่งแรกของบทนี้ ‘มีความเห็นอย่างเดียวกัน … พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก’ (ข้อ 13–14)

ข่าวดีของพระธรรมตอนนี้ คือ พระเมษโปดกทรงเป็นผู้มีชัย พระองค์ไม่เพียงแค่ชนะ แต่ยังทรงรวมคุณเข้าไว้ในชัยชนะของพระองค์อีกด้วย ‘พวกเขาจะต่อสู้กับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และพวกที่อยู่กับพระองค์นั้น ก็เป็นพวกที่ได้รับการทรงเรียกและได้รับการทรงเลือก และเป็นพวกที่ซื่อสัตย์’ (ข้อ 14) เนื่องจากคริสตจักรมักถูกจู่โจมอย่างหนัก และบางครั้งดูเหมือนอำนาจแห่งความมืดก็ได้เป็นใหญ่ ผมพบว่าพระคัมภีร์ข้อนี้ปลอบประโลมและหนุนใจผมอย่างมาก

ตามที่แม่ชีเทเรซ่ากล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกให้ฉันประสบความสำเร็จ แต่ทรงเรียกฉันให้สัตย์ซื่อ’ ถ้าคุณสัตย์ซื่อต่อพระเยซู คุณจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด เพราะว่าพระเยซูก็จะทรงประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด

เฉลิมฉลองวันนี้สำหรับสิทธิพิเศษที่คุณเป็นผู้ติดตามพระเยซูคนหนึ่งที่ถูกเรียก ถูกเลือก และเป็นผู้ที่สัตย์ซื่อ พระกุมารเยซูผู้ทรงประสูติในวันคริสต์มาสแรกของโลก ทรงเจริญวัยขึ้น สิ้นพระชนม์ในฐานะพระเมษโปดกของพระเจ้า และทรงถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่

ในที่สุดแล้วพระเมษโปดกจะทรงเอาชนะความชั่วร้ายทั้งสิ้น ‘ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย’ (ข้อ 14) นั่นคือข่าวแสนอัศจรรย์ในการที่จะฉลองคริสต์มาสครั้งนี้ ดังที่ปรากฏในหนึ่งเพลงคริสต์มาสแครอลอันยิ่งใหญ่ เรามีพระผู้ช่วยให้รอด ‘พระองค์ปล่อยผู้เชื่อทุกคน ให้พ้นภัยมารมืดมน โอ้ข่าวเล้าโลม ยินดีปรีดา’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงเป็นองค์จอมเจ้านายเหนือเจ้านาย และองค์จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ขอบคุณที่พระองค์ทรงปกครองและครอบครอง ขอบคุณที่ท้ายที่สุดแล้วพระเมษโปดกทรงเอาชนะทุกอำนาจความชั่วร้าย ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะติดสนิทในพระเยซู และเป็นหนึ่งในผู้ติดตามพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ
พันธสัญญาเดิม

เนหะมีย์ 3:1-4:23

การจัดระบบงาน

 1แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่านซึ่งเป็นปุโรหิต พวกเขาได้สร้างประตูแกะ และได้ชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู พวกเขาได้ทำพิธีชำระกำแพงให้บริสุทธิ์ จนถึงหอคอยศตพลไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล 2และถัดท่านไป คนเยรีโคเป็นผู้สร้าง และถัดพวกเขาไป ศักเกอร์บุตรอิมรีเป็นผู้สร้าง 3และบุตรหลานของหัสเสนาอาห์ ได้สร้างประตูปลา เขาได้วางวงกบและได้ตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู 4ถัดพวกเขาไป เมเรโมทบุตรอุรียาห์ผู้เป็นบุตรฮักโขสได้ซ่อมแซม และถัดพวกเขาไป เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรเมเชซาเบลได้ซ่อมแซม และถัดพวกเขาไป ศาโดกบุตรบาอานาได้ซ่อมแซม 5และถัดพวกเขาไป ชาวเทโคอาได้ซ่อมแซม แต่พวกขุนนางของเขาไม่เต็มใจทำงานภายใต้พวกนายงานของเขา
 6และโยยาดาบุตรปาเสอาห์ และเมชุลลามบุตรเบโสไดอาห์ได้ซ่อมแซมประตูเก่า พวกเขาวางวงกบและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู 7และถัดพวกเขาไปคนที่ซ่อมแซมคือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอนและยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมืองฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส 8ถัดพวกเขาไปคือ อุสซีเอลบุตรฮารฮายาห์พวกช่างทองได้ซ่อมแซม ถัดเขาไปคือ ฮานันยาห์คนหนึ่งในพวกผู้ปรุงเครื่องหอมได้ซ่อมแซม พวกเขาบูรณะเยรูซาเล็มไกลไปจนถึงกำแพงกว้าง 9ถัดพวกเขาไปคือ เรไฟยาห์บุตรเฮอร์ ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม 10ถัดพวกเขาไปคือ เยดายาห์บุตรฮารุมัฟได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของเขา และถัดเขาไปคือ ฮัทธัชบุตรฮาชับเนยาห์ได้ซ่อมแซม 11มัลคิยาห์บุตรฮาริม และหัสชูบบุตรปาหัทโมอับได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง และหอคอยเตาอบ 12ถัดเขาไปคือ ชัลลูมบุตรฮัลโลเหช ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม ทั้งตัวเขาและพวกบุตรหญิงของเขา
 13ฮานูนและชาวเมืองศาโนอาห์ได้ซ่อมแซมประตูหุบเขา พวกเขาสร้างประตูขึ้นใหม่และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู และซ่อมแซมกำแพงระยะ 440 เมตรไกลไปจนถึงประตูกองขยะ  14มัลคิยาห์บุตรเรคาบ ผู้ปกครองแขวงเบธฮัคเคเรม ได้ซ่อมประตูกองขยะ เขาสร้าง และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
 15ชัลลูมบุตรคลโฮเซห์ ผู้ปกครองแขวงมิสปาห์ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ เขาได้สร้างและมุงหลังคา และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู เขาได้สร้างกำแพงสระเช-ลาห์ถึงพระราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งทอดลงไปจากนครดาวิด 16ถัดเขาไป เนหะมีย์บุตรอัสบูก ผู้ปกครองแขวงเบธซูร์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซมไปจนถึงที่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ถึงสระขุดและถึงค่ายทหาร 17ถัดเขาไป คนเลวีได้ซ่อมแซม คือ เรฮูมบุตรบานี ถัดเขาไปคือ ฮาชาบิยาห์ ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซมส่วนของเขา 18ถัดเขาไป พี่น้องของพวกเขาได้ซ่อมแซม คือบินนุยบุตรเฮนาดัด ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่ง 19ถัดเขาไปคือ เอเซอร์บุตรเยชูอา ผู้ปกครองเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตรงข้ามกับทางขึ้นไปยังคลังอาวุธตรงหัวมุมกำแพง 20ถัดเขาไปคือ บารุคบุตรศับบัยได้ซ่อมแซมอย่างร้อนใจอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่หัวมุมกำแพงจนถึงประตูบ้านของเอลียาชีบมหาปุโรหิต 21ถัดเขาไปคือ เมเรโมทบุตรอุรียาห์ ผู้เป็นบุตรฮักโขส ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตั้งแต่ประตูบ้านของเอลียาชีบถึงท้ายบ้านของเอลียาชีบ 22ถัดเขาไปคือ บรรดาปุโรหิตผู้ที่อยู่รอบๆ ได้ซ่อมแซม 23ถัดพวกเขาไปคือ เบนยามิน และหัสชูบได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของพวกเขา ถัดพวกเขาไปอาซาริยาห์บุตรมาอาเสยาห์ผู้เป็นบุตรอานานิยาห์ได้ซ่อมแซมข้างบ้านของเขาเอง 24ถัดเขาไปคือ บินนุยบุตรเฮนาดัดได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่บ้านของอาซาริยาห์ถึงหัวมุมกำแพง 25ปาลาลบุตรอุซัยได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับหัวมุม และหอคอยที่ยื่นจากพระราชวังชั้นบนที่ลานทหารรักษาพระองค์ ถัดเขาไปคือ เปดายาห์บุตรปาโรช 26และบ่าวไพร่ประจำพระวิหารซึ่งอยู่ที่โอเฟล ได้ซ่อมแซมไปจนถึงที่ตรงข้ามกับประตูน้ำทางด้านตะวันออกและหอคอยที่ยื่นออกไป 27ถัดเขาไป ชาวเทโคอา ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปไกลไปจนถึงกำแพงของโอเฟล
 28บรรดาปุโรหิตได้ซ่อมแซมเหนือประตูม้าขึ้นไป ต่างก็ซ่อมที่ตรงข้ามกับบ้านของตน 29ถัดพวกเขาไป ศาโดกบุตรอิมเมอร์ ได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับบ้านของเขา ถัดเขาไป เชไมยาห์ บุตรเชคานิยาห์คนเฝ้าประตูตะวันออกได้ซ่อมแซม 30ถัดเขาไป ฮานันยาห์บุตรเชเลมิยาห์ และฮานูนบุตรคนที่หกของศาลาฟ ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ถัดเขาไปคือ เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับห้องของเขา 31ถัดเขาไป มัลคิยาห์ช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงบ้านของบ่าวไพร่ประจำพระวิหารและของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูตรวจพลจนถึงห้องชั้นบนตรงหัวมุม 32และระหว่างห้องชั้นบนตรงหัวมุมกับประตูแกะนั้น บรรดาช่างทองและพ่อค้าได้ซ่อมแซม

เนหะมีย์ 4

ปรปักษ์วางแผนการขัดขวาง

 1ต่อมาเมื่อสันบาลลัทได้ยินว่า เรากำลังก่อสร้างกำแพง เขาโกรธและเดือดดาลมาก และเขาเยาะเย้ยพวกยิว 2และเขาพูดต่อหน้าพวกพ้องของเขาและต่อหน้ากองทัพของสะมาเรียว่า “พวกยิวที่อ่อนแอเหล่านี้ทำอะไรกัน? พวกเขาจะซ่อมแซมเพื่อตัวเองหรือ? เขาจะถวายสัตวบูชาหรือ? เขาจะทำงานให้เสร็จในวันเดียวหรือ? เขาจะกู้เอาหินที่ถูกเผาจากกองขยะมาใช้อีกหรือ?” 3โทบีอาห์คนอัมโมนอยู่ข้างๆ เขา และพูดว่า “เออ สิ่งที่พวกเขากำลังสร้างอยู่นั้น ถ้าสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไป มันจะพังกำแพงหินของเขาลงมา” 4ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงฟัง เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายถูกดูหมิ่น ขอทรงหันการเยาะเย้ยของพวกเขาให้ตกบนศีรษะของเขาเอง และขอทรงมอบเขาไว้ให้ถูกปล้นบนแผ่นดินที่เขาจะไปเป็นเชลยนั้น 5ขออย่าทรงปกปิดกรรมชั่วของพวกเขาไว้ และขออย่าทรงลบล้างบาปของเขาจากเบื้องพระพักตร์พระองค์ เพราะพวกเขาได้ยั่วเย้าให้กริ้วต่อหน้าบรรดาผู้ก่อสร้าง
 6เราจึงสร้างกำแพงขึ้น และกำแพงทั้งสิ้นก็ต่อกันสูงครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะประชาชนมีใจที่จะทำงาน
 7แต่เมื่อสันบาลลัทและโทบีอาห์กับคนอาหรับ คนอัมโมนและคนอัชโดด ได้ยินว่าการซ่อมแซมกำแพงเยรูซาเล็มนั้นกำลังก้าวหน้าต่อไป และมีการอุดรอยแตกต่างๆ เขาทั้งหลายก็โกรธมาก 8และพวกเขาทั้งหมดจึงวางแผนกันจะมาสู้รบกับเยรูซาเล็ม และก่อการโกลาหลขึ้นในนั้น 9แต่พวกเราได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าของเรา และวางยามป้องกันพวกเขาทั้งกลางวันและกลางคืน
 10แต่คนยูดาห์กล่าวว่า “เรี่ยวแรงของคนที่ขนของก็กำลังทรุดลง และมีสิ่งปรักหักพังมาก เราไม่สามารถซ่อมกำแพงได้” 11และศัตรูของเราก็กล่าวว่า “เขาจะไม่ทันรู้ไม่ทันเห็นจนกระทั่งเราจะเข้ามาท่ามกลางเขา และฆ่าเขากับยับยั้งงานของเขา” 12เมื่อพวกยิวที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลายมา ก็ได้บอกเราตั้งสิบครั้งว่า “พวกเขาจะลุกขึ้นมาต่อสู้เราจากทุกแห่งที่พวกเขาอยู่” 13ข้าพเจ้าจึงตั้งประชาชนไว้ในส่วนที่ต่ำที่สุดข้างหลังกำแพง ในส่วนที่ยังเปิดอยู่ ตามตระกูลของเขา โดยให้ถือดาบ หอก และคันธนู 14ข้าพเจ้ามองดู แล้วลุกขึ้นพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย กับคนนอกนั้นว่า “อย่ากลัวเขาเลย จงระลึกถึงองค์เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรง และต่อสู้เพื่อพี่น้องของท่าน ลูกชายลูกสาวของท่าน ภรรยาและบ้านของท่าน”
 15ต่อมาเมื่อศัตรูของเราได้ยินว่าเราทราบเรื่องแล้ว และพระเจ้าได้ทรงทำลายแผนงานของพวกเขา พวกเราต่างก็มายังกำแพงที่งานของตนทุกคน 16ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าครึ่งหนึ่งทำการก่อสร้าง อีกครึ่งหนึ่งถือหอก โล่ คันธนู และเสื้อเกราะ บรรดาประมุขหนุนหลังพวกยูดาห์ 17ผู้ที่ก่อสร้างกำแพง และบรรดาผู้ที่ขนของก็ยกของขึ้น ทุกคนมือหนึ่งทำงาน อีกมือหนึ่งถืออาวุธไว้ 18ผู้ก่อสร้างทุกคนมีดาบคาดอยู่ที่สีข้างขณะที่เขาสร้าง ชายที่เป่าเขาสัตว์อยู่ข้างข้าพเจ้า 19ข้าพเจ้าพูดกับขุนนางและเจ้าหน้าที่ทั้งปวงกับคนนอกนั้นว่า “การงานก็ใหญ่โตและกระจายกันไปมาก เพราะเราแยกกันอยู่บนกำแพงห่างจากกัน 20เมื่อพวกท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์อยู่ตรงไหน จงวิ่งกรูกันไปหาพวกเราที่นั่น พระเจ้าของเราทั้งหลายจะทรงต่อสู้เพื่อพวกเรา”
 21เราจึงทำงานกัน พวกเราครึ่งหนึ่งถือหอกตั้งแต่เช้ามืดจนดาวขึ้น 22ครั้งนั้นข้าพเจ้าพูดกับประชาชนอีกว่า “ขอให้ผู้ชายทุกคนกับคนใช้ของเขาด้วย ค้างคืนเสียภายในเยรูซาเล็มเพื่อเขาจะเป็นยามให้เราในกลางคืนและทำงานกลางวัน” 23ข้าพเจ้า พี่น้องของข้าพเจ้า หรือคนใช้ของข้าพเจ้า หรือคนยามผู้ติดตามข้าพเจ้าก็ดี ไม่มีใครถอดเครื่องแต่งกายออก ต่างก็ถืออาวุธไว้

อรรถาธิบาย

สร้างขึ้นใหม่ ฟื้นฟู และซ่อมแซม

วันคริสต์มาสควรจะเป็นวันที่พระนามของพระเยซูได้รับเกียรติสูงสุดทั่วโลก น่าเศร้าที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณจะมีส่วนอย่างไรที่จะทำให้พระนามของพระเยซูได้รับพระเกียรติบนโลกนี้?

กรุงเยรูซาเล็มเคยเป็นนครของพระเจ้าที่ซึ่งพระเจ้าทรงประทับอยู่ พระเจ้าทรงเรียกให้เนหะมีย์และประชากรของพระองค์สร้างกำแพงแห่งกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ นี่เป็นภาพอันน่าทึ่งของงานของคริสตจักรในวันนี้ พวกเราถูกเรียกให้สร้างขึ้นใหม่และซ่อมแซม เพื่อให้พระนามของพระเยซูจะได้รับพระเกียรติอีกครั้งในสังคมของเรา

คุณเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ‘ฉันเป็นที่ต้องการไหม?’ ‘ฉันมีอะไรที่จะให้ได้บ้างไหม?’ ‘สิ่งที่ฉันทำมันมีคุณค่าหรือมีความสำคัญบ้างไหม?’

ในพระธรรมตอนนี้เราเห็นว่า ทุกคนเป็นที่ต้องการ ทุกคนออกไปทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กัน เคียงข้างกัน ในการสร้างขึ้นใหม่ ฟื้นฟู และซ่อมแซม ทุกคนถูกแบ่งหน้าที่แตกต่างกันไป ใจความสำคัญไม่ใช่การเปรียบเทียบกัน ขอเพียงตั้งใจทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้คุณทำ

พระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่คุณทำและทรงเห็นคุณค่า 2,500 ปีต่อมา พวกเรายังคงอ่านถึงสิ่งที่ประชากรของพระเจ้าได้ทำในอดีต ชื่อของพวกเขาปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์

พวกเขาล้วนเป็นอาสาสมัคร ไม่มีใครสักคนเดียวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการก่อสร้าง พวกเขาต่างก็เป็นคนทำงาน เจ้าของธุรกิจ ผู้ปกครองบ้านเมือง ข้าราชการ ช่างทอง และคนทำน้ำหอม ทว่าพวกเขาก็เต็มใจอุทิศตนช่วยงานสร้างกำแพงขึ้นใหม่ และคนทุกวัยมีส่วนร่วม (3:12)

พวกเขาอาจจะถูกล่อลวงให้คิดว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่มีความสำคัญใด ๆ ผู้ว่าราชาการมัลคิจาห์ ถูกขอให้ซ่อมประตูมูลสัตว์! เขาก็ไม่ได้บ่นว่าที่มันดูต่ำต้อย เขาเพียงแค่ลงมือทำ พวกเขาต่างร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่สำคัญมาก พวกเขาช่วยกันสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ พวกเขากำลังถวายเกียรติแด่พระนามพระเจ้า

การต่อต้านและการเยาะเย้ยมาจากบุคคลภายนอก (4:1–8) และความท้อใจเกิดขึ้นจากภายใน (ข้อ 10,12) สิ่งนี้เป็นจริงกับพระเยซูเช่นกัน การประสูติของพระองค์ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดี กษัตริย์เฮโรดพยายามที่จะฆ่าพระองค์ การต่อต้านพระเยซูและคริสตจักรยังคงมีอยู่จนทุกวันนี้

คุณไม่จำเป็นต้องกลัว (ข้อ 14) โดยการอธิษฐานและการลงมือทำนั้น ความสำเร็จเป็นไปได้เสมอ เมื่อมีการต่อต้านเกิดขึ้น จงตอบสนองอย่างเนหะมีย์ (ข้อ 9) ด้วยการอธิษฐานมากขึ้นและเพิ่มการเฝ้ายาม พวกเขาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา (ข้อ 23)

กุญแจสำคัญ คือ ‘พระเจ้าของเราทั้งหลายจะทรงต่อสู้เพื่อพวกเรา' (ข้อ 20) ด้วยการที่พระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อเรา ชนชาติจะสามารถเปลี่ยนได้ คริสตจักรสามารถได้รับการเจิมจนเต็มล้นได้ ชีวิตครอบครัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ การแต่งงานได้รับเกียรติ อัตราการก่อการร้ายลดลง และสังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของทั้งหมด คือ พระนามของพระเยซูสามารถกลับมาได้รับพระเกียรติอีกครั้ง

คุณลองมองสภาพรวมของคริสตจักร เข้าไปมีส่วนร่วมในภารกิจสร้างขึ้นใหม่นี้ จงเต็มใจที่จะทำงานหนัก และไม่ท้อถอยแม้มีการต่อต้านก็ตาม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าข้า ขอบพระคุณที่พระเมษโปดกทรงมีชัยชนะเสมอ - ผู้ที่การบังเกิดของพระองค์เป็นสิ่งที่เราเฉลิมฉลองกันในวันนี้ จะทรงมีชัยชนะในท้ายที่สุด เพราะพระองค์ คือ “องค์จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ และองค์จอมเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งปวง”

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 147:14 กล่าวว่า “พระองค์ประทานสันติภาพ…” หรือดังที่กล่าวในอิสยาห์ ‘เขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่าน จะไม่มีที่สิ้นสุด’ (อิสยาห์ 9:6–7ก)

สันติภาพคือสิ่งที่จำเป็นในคริสต์มาสนี้ สันติภาพในหัวใจของเรา สันติภาพในครอบครัว สันติภาพสำหรับโลกนี้ และสันติภาพในทุกที่

ข้อพระคำประจำวัน

เนหะมีย์ 4:20

“พระเจ้าของเราทั้งหลายจะทรงต่อสู้เพื่อพวกเรา”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม