วัน 349

เบื้องหลังประวัติศาสตร์เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 143:1-12
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 6:1-17
พันธสัญญาเดิม มาลาคี 1:1-2:16

เกริ่นนำ

ผู้คนทางตะวันตกจำนวนมากเข้าใจว่าประวัติศาสตร์นั้นไร้ซึ่งจุดหมาย: ‘ดีแต่ส่งเสียงและโกรธเกรี้ยว ไร้ความสลักสำคัญ’ (เชคสเปียร์ใส่ข้อความนี้ไว้ในผลงานวรรณกรรมเรื่องแมคเบ็ธ-Macbeth) ศาสนาของชาวตะวันออกมากมายมีแนวโน้มคำนึงถึงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นแบบอ้อมๆ หรือเป็นแบบกำกวม ในขณะที่มาร์กซิสท์เข้าใจประวัติศาสตร์ในแง่ของการต่อสู้ทางชนชั้น

ในทางตรงกันข้ามกับแง่มุมเหล่านี้ พันธสัญญาใหม่เห็นว่าประวัติศาสตร์มุ่งไปสู่จุดสำคัญที่สุด การปล้ำสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างความดีกับความชั่วร้าย ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะแห่งความดีและพระเจ้า

แผ่นดินของพระเจ้าจะไม่ล่วงลับไป พระเจ้ากำลังกระทำการแห่งพระประสงค์ของพระองค์ในประวัติศาสตร์ พระเยซูเป็นศูนย์กลาง ทุกอย่างในประวัติศาสตร์มาบรรจบกันที่พระองค์ ดังที่บางคนกล่าวไว้ว่า ‘บานพับแห่งประวัติศาสตร์นั้นอยู่ที่ประตูของคอกสัตว์ที่เมืองเบธเลเฮม’

ประวัติศาสตร์ คือ ‘เรื่องราวของพระองค์’ (His story) เมื่อคุณได้ยินข่าวและอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จะได้รายละเอียดบางส่วน แต่ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ คุณจะได้ภาพใหญ่ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมวิวรณ์เผยให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังประวัติศาสตร์

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงอธิปไตยแห่งประวัติศาสตร์ แต่เราไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ ที่จะถูกจับไปวางตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้บนตารางหมากรุก แต่คุณมีส่วนที่ต้องทำ พระเจ้าทรงรวมคุณไว้ในแผนการของพระองค์ พระเจ้าทรงกระทำการให้วัตถุประสงค์ของพระองค์นั้นสำเร็จ ผ่านทำงานร่วมกับประชากรของพระองค์

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 143:1-12

คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู

เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
 ขอเงี่ยพระกรรณสดับคำวิงวอนของข้าพระองค์ตามความซื่อสัตย์ของพระองค์
 ขอทรงตอบข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของพระองค์
2ขออย่าทรงตัดสินผู้รับใช้ของพระองค์
 เพราะไม่มีชีวิตใดชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระองค์
3เพราะศัตรูไล่กวดข้าพระองค์
 เขาขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน
 เขาทำให้ข้าพระองค์อยู่ในที่มืด เหมือนคนที่ตายนานแล้ว
4จิตวิญญาณข้าพระองค์จึงอ่อนระอาอยู่ภายใน
 และใจข้าพระองค์ก็กลัวลาน
5ข้าพระองค์ระลึกถึงสมัยเก่า
 ข้าพระองค์ใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
 ข้าพระองค์ตรึกตรองถึงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
6ข้าพระองค์ชูมือทั้งคู่ไปยังพระองค์
 จิตใจของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์อย่างแผ่นดินที่แห้งผาก
เส-ลาห์
7ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรีบตอบข้าพระองค์
 จิตวิญญาณของข้าพระองค์ฝ่อไปแล้ว
ขออย่าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์
 เกรงว่าข้าพระองค์จะเหมือนคนเหล่านั้นที่ลงไปยังหลุมมรณา
8ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า
 เพราะข้าพระองค์วางใจในพระองค์
ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป
 เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
9ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากศัตรู
 ข้าพระองค์ได้ซ่อนตัวอยู่ในพระองค์
10ขอทรงสอนให้ข้าพระองค์ทำตามพระทัยของพระองค์
 เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ขอพระวิญญาณประเสริฐของพระองค์
 ทรงนำข้าพระองค์ไปตามทางราบเรียบ
11ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ไว้
  เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
 ขอทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากความยากลำบาก
  โดยความชอบธรรมของพระองค์
12และขอทรงทำลายศัตรูของข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงของพระองค์
 และขอทรงกำจัดคู่อริทั้งสิ้นของข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์

อรรถาธิบาย

ได้รับการทรงนำจากพระเจ้าแห่งประวัติศาสตร์

เราต้องการการทรงนำของพระเจ้า คุณสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์ให้เป็นเรื่องดีได้ แต่มีความท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญ

ดาวิดหดหู่ เพราะอยู่ใน ‘หลุมดำ’ ‘ห้องขังใต้ดิน’ ‘ข้าพระองค์ติดอยู่ในที่มืดเหมือนคนที่ตายนานแล้ว จิตวิญญาณของข้าพระองค์จึงอ่อนระอาอยู่ภายใน และใจข้าพระองค์ก็กลัวลาน’ (ข้อ 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณจะเริ่มต้นเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?

  1. ระลึกถึงสิ่งดี ๆ
    ดาวิดเลือกที่จะคิดแง่บวก 'ข้าพระองค์ระลึกถึงสมัยเก่า ข้าพระองค์ใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งสิ้น ตรึกตรองถึงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  2. นมัสการเสมอ
    การนมัสการสามารถเป็นบ่อน้ำให้กับเราได้ในช่วงเวลายากลำบาก ดาวิดกล่าวไว้ว่า ‘ข้าพระองค์...ชูมือทั้งคู่ไปยังพระองค์ กระหายหาพระองค์อย่างแผ่นดินที่แห้งผาก’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  3. ร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
    เขาอธิษฐานว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า! ขอทรงรีบตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์จวนฝ่อไป ขออย่าซ่อนพระพักตร์ อย่าเพิกเฉยจากข้าพระองค์เลย’ (ข้อ7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  4. ฟังการทรงนำของพระเจ้า
    ปีแล้วปีเล่าที่ผมเขียนไว้ที่ข้าง ๆ ข้อพระคำภีร์นี้ ‘ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป’ (ข้อ 8ข) คือรายการของสิ่งต่าง ๆ ที่ผมต้องการการทรงนำจากพระเจ้า มันช่างหนุนน้ำใจหากเรามองย้อนกลับไปและเห็นถึงการที่พระองค์ทรงนำผม บางครั้ง มันก็เกินกว่าสิ่งที่ผมสามารถขอหรือแม้กระทั่งจินตนาการถึงได้

คำอธิษฐาน

“โอ้ พระเจ้าข้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ..จิตใจของพระองค์กระหายหาพระองค์ดุจแผ่นดินแห้งผาก ..ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป..ข้าพระองค์ได้ซ่อนตัวอยู่ในพระองค์.เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขอทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากความยากลำบาก”
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 6:1-17

ดวงตรา

 1และข้าพเจ้าเห็นพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงหนึ่งในเจ็ดดวงนั้น และข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งในสี่ตนนั้นร้องเสียงดังเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องว่า “มาเถอะ” 2ข้าพเจ้าก็เห็น และนี่แน่ะ ม้าสีขาวตัวหนึ่งออกมา ผู้ที่ขี่ม้าตัวนั้นถือธนู และได้รับมอบมงกุฎ แล้วท่านก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อจะได้ชัยชนะ
 3เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สองร้องว่า “มาเถอะ” 4และม้าอีกตัวหนึ่งเข้ามา เป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับมอบหมายให้เอาสันติภาพไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนรบราฆ่าฟันกัน และท่านผู้นี้ได้รับมอบดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
 5เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สามร้องว่า “มาเถอะ” แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าสีดำตัวหนึ่งเข้ามา และผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ถือตราชู 6แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเหมือนอย่างเสียงพูดดังออกมาจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาลิตรละหนึ่งเดนาริอัน ข้าวบาร์เลย์สามลิตรต่อหนึ่งเดนาริอัน แต่เจ้าอย่าทำอันตรายน้ำมันและเหล้าองุ่น”
 7เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตที่สี่ร้องว่า “มาเถอะ” 8แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้มีชื่อว่ามัจจุราช และแดนคนตายก็ติดตามมาด้วย พระองค์ทรงให้ทั้งสองนี้มีอำนาจเหนือแผ่นดินโลกหนึ่งในสี่ส่วน ที่จะทำลายได้ด้วยคมดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยโรคระบาด และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
9เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้าและเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น 10เขาทั้งหลายร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้บริสุทธิ์และสัตย์จริง อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และแก้แค้นต่อคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งหลั่งเลือดของเรา” 11แล้วพระองค์ประทานเสื้อคลุมสีขาวแก่พวกเขาแต่ละคน และทรงบอกให้พักต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง จนกว่าผู้ร่วมรับใช้และพี่น้องของเขาจะถูกฆ่าเหมือนอย่างพวกเขาครบจำนวน
 12เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หก ข้าพเจ้าเห็นแผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำมืด เหมือนกับเสื้อผ้าขนสัตว์ที่ใช้ไว้ทุกข์ และดวงจันทร์วันเพ็ญก็กลายเป็นเหมือนกับสีเลือด 13และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงมาบนพื้นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่อที่ถูกลมแรงพัดจนผลที่ยังไม่สุกหล่นลงมา 14ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่ถูกม้วนเก็บ และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็ถูกเคลื่อนไปจากที่เดิม 15แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต บรรดานายทหารใหญ่ พวกเศรษฐี พวกผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสหรือเสรีชน ต่างซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา 16พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และจากพระพิโรธของพระเมษโปดก 17เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และใครจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เล่า”

อรรถาธิบาย

มองที่เบื้องหลังประวัติศาสตร์

ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นรอบตัวคุณ และได้อ่านเจอในประวัติศาสตร์ แต่คุณยังมีความหวังอันยิ่งใหญ่ ข่าวดีคือมีพระเยซูทรงเป็นศูนย์กลาง พระเยซูทรงเป็นพระเมษโปดกแห่งพระเจ้า ทรงแกะตราแห่งประวัติศาสตร์ (ข้อ 1) ทรงเปิดเผยถึงสิ่งที่อยู่หลังม่านของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้คุณได้อ่านและได้ยิน

  1. พระกิตติคุณถูกเทศนาไปยังบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น
    ผู้ที่ขี่ม้าคนแรกได้รับ ‘มาลัยแห่งชัยชนะ เขาขี่ม้าออกไปอย่างผู้มีชัย ชนะทั้งซ้ายและขวา’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

นี่ฟังดูเหมือนองค์พระเยซูเอง ผู้มีชัยชนะเหนือความตาย ผู้ที่ได้รับมงกุฏแห่งจักรวาลและออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่บรรดาประชาชาติ

  1. สงครามและกำลังทหาร
    ผู้ขี่ม้าคนที่สอง ‘ได้รับมอบหมายให้เอาสันติภาพไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนรบราฆ่าฟันกัน และท่านผู้นี้ได้รับมอบดาบใหญ่เล่มหนึ่ง’ (ข้อ 4)

ประวัติศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและการสงคราม ดังที่ประชาชนนั้นแสวงหาความเป็นใหญ่ และควบคุมกันและกัน

  1. ความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมกัน
    ผู้ขี่ม้าคนที่ 3 ‘ถือตราชู’ (ข้อ 5)

มีภาวะข้าวของขึ้นราคา (ข้อ 6) เป็นหายนะทางเศรษฐกิจ เหมือนกับที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ในขณะที่บางคนใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนอย่างแสนสาหัส บางคนก็มีชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย (ข้อ 6) ไม่ได้สัมผัสถึงความต้องการของคนยากจนแม้แต่น้อย

  1. คำแช่งสาปแห่งความตาย ผู้ขี่ม้าคนที่ 4 ‘มีชื่อว่ามัจจุราช และแดนคนตายก็ติดตามมาด้วย’ (ข้อ 8ก)

ความตายเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ เมื่อเราอ่านประวัติศาสตร์โลก มันคือความรุนแรงอย่างหนึ่ง (‘ทำลายได้ด้วยคมดาบ’), ความหิวโหย (‘ความอดอยาก’) และโรคภัยไข้เจ็บ (‘โรคระบาด’) เช่นเดียวกับสาเหตุอื่น ๆ ของการตาย (‘สัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน’) (ข้อ 8ข)

  1. คริสตจักรถูกข่มเหง
    ‘... คนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขายึดถือ’ (ข้อ 9)

การถูกข่มเหงของคริสเตียนยังคงมีมาจนถึงโลกยุคปัจจุบัน คริสเตียนเป็นล้าน ๆ คนอยู่ในความกลัวที่จะถูกจับ ถูกทำร้าย ถูกจองจำ หรือแม้กระทั่งถูกสังหารเนื่องจากความเชื่อของพวกเขาในพระเยซู

  1. จุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุด
    พระเยซูทำนายถึงกลียุคอย่างเดียวกันนี้ว่า ‘แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก’ (มัทธิว 24:8) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งเหล่านี้ได้รวมไปถึงกลียุคในด้านสังคม การเมือง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ตราทั้ง 6 ได้ให้มุมมองทั่วไปแห่งประวัติศาสตร์ในช่วงระหว่างการเสด็จมาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ของพระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้เราเป็นผู้สร้างสันติภาพ ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้ที่หิวโหย ต่อสู้กับความอยุติธรรม ยืนหยัดร่วมกับผู้ที่ถูกต่อต้าน และเป็นผู้นำข่าวดีแห่งการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ และจุดเริ่มต้นของสวรรค์ใหม่ และโลกใบใหม่ที่จะคงอยู่ตลอดไปนิตย์นิรันดร์
พันธสัญญาเดิม

มาลาคี 1:1-2:16

 1ครุวาท คือ พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่มีต่ออิสราเอล โดยมาลาคี

อิสราเอลเป็นชาติที่ทรงโปรดมากกว่าเอโดม

 2พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราได้รักเจ้าทั้งหลาย แต่เจ้าพูดว่า ‘พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์อย่างไร’? พระยาห์เวห์ตรัสว่า เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบไม่ใช่หรือ? เราก็ยังรักยาโคบ 3แต่เราได้เกลียดเอซาว เราได้ทำให้เทือกเขาของเขาร้างเปล่า และมอบมรดกของเขาให้แก่หมาป่าแห่งถิ่นทุรกันดาร 4เมื่อเอโดมกล่าวว่า ‘เราถูกทำลายลงแล้ว แต่เราจะกลับมาสร้างที่ปรักหักพังขึ้นใหม่’ พระยาห์เวห์จอมทัพก็ตรัสว่า พวกเขาจะสร้างขึ้นก็ได้ แต่เราก็จะรื้อลงเสีย จนคนจะเรียกกันว่าเป็นเมืองชั่วร้าย เป็นชนชาติที่พระยาห์เวห์กริ้วอยู่เป็นนิตย์ 5ตาของเจ้าเองจะเห็นสิ่งนี้ และเจ้าจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์นี้ใหญ่ยิ่งนัก แม้กระทั่งนอกเขตแดนของอิสราเอล’

ความเสื่อมของบรรดาปุโรหิต

 6“บุตรก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดา คนใช้ก็ย่อมให้เกียรตินาย แล้วถ้าเราเป็นบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน? และถ้าเราเป็นนาย ความยำเกรงเราอยู่ที่ไหน? นี่แหละพระยาห์เวห์จอมทัพตรัสกับท่านนะ โอ บรรดาปุโรหิตผู้ดูหมิ่นนามของเรา ท่านก็ว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายดูหมิ่นพระนามของพระองค์อย่างไร?’ 7ก็โดยการนำอาหารมลทินมาถวายบนแท่นของเราอย่างไรล่ะ แล้วเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้มันเป็นมลทินอย่างไร?’ ก็โดยคิดว่าโต๊ะของพระยาห์เวห์นั้นเป็นที่ดูหมิ่นอย่างไรล่ะ 8เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา การทำอย่างนั้นไม่ผิดหรือ? และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย การทำอย่างนั้นไม่ผิดหรือ? พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ถ้าพวกเจ้านำของอย่างนั้นไปกำนัลผู้ว่าราชการของพวกเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ? จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม? 9ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ? พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ 10โอ อยากให้สักคนหนึ่งในพวกเจ้าปิดประตูของพระวิหารเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้า และเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า 11พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงที่ดวงอาทิตย์ตก นามของเราก็ใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเขาถวายเครื่องหอมและของถวายที่บริสุทธิ์แด่นามของเราทุกที่ทุกแห่ง เพราะว่านามของเรานั้นใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติ 12แต่เมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘โต๊ะขององค์เจ้านายเป็นมลทิน’ และดูหมิ่นอาหารที่ถวายนั้น เจ้าก็ทำให้นามนั้นเป็นมลทินไปแล้ว 13พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เจ้ากล่าวว่า ‘นี่เป็นภาระหนัก’ แล้วเจ้าก็ทำฮึดฮัดกับเรา เจ้านำเอาสิ่งที่ได้แย่งชิงมา หรือสิ่งที่พิการหรือป่วย ของเหล่านี้แหละเจ้านำมาเป็นของบูชา พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราจะรับของนั้นจากมือของเจ้าหรือ? 14พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า คนใดที่มีสัตว์ตัวผู้อยู่ในฝูง และได้บนไว้ และยังเอาสัตว์ที่มีตำหนิไปถวายแด่องค์เจ้านาย คำสาปแช่งจงตกอยู่กับคนโกงนั้นเถิด เพราะเราเป็นพระมหากษัตริย์องค์ยิ่งใหญ่ และนามของเราเป็นที่กลัวเกรงท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย

มาลาคี 2

 1“โอ ปุโรหิตเอ๋ย บัดนี้ คำบัญชานี้มีอยู่เพื่อเจ้าทั้งหลาย 2พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาให้เจ้า และเราจะสาปแช่งพระพรซึ่งเคยมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งพระพรนั้นแล้วนะ เพราะเจ้าไม่จำใส่ใจไว้ 3นี่แน่ะ เราจะกำราบลูกหลานของเจ้า และจะละเลงมูลสัตว์ใส่หน้าพวกเจ้า คือมูลสัตว์ของเครื่องบูชาของเจ้า และเขาจะนำเจ้าไปยังกองมูลสัตว์ 4พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เจ้าจึงจะทราบว่า เราส่งคำบัญชานี้มาให้เจ้า เพื่อว่าพันธสัญญาของเราซึ่งทำไว้กับเลวีนั้นยังคงอยู่ 5พันธสัญญาของเราซึ่งมีไว้กับเขานั้นเป็นพันธสัญญาที่ให้ชีวิตและสันติภาพ เราได้ให้สิ่งเหล่านี้แก่เขา เพื่อเขาจะได้ยำเกรง และเขาได้ยำเกรงเราและเกรงขามนามของเรา 6ในปากของเขามีคำสั่งสอนที่เป็นความจริง จะหาความผิดที่ริมฝีปากของเขาไม่ได้เลย เขาดำเนินกับเราด้วยสันติและความเที่ยงตรง และเขาได้ช่วยคนจำนวนมากให้หันจากความบาปผิด 7เพราะว่าริมฝีปากของปุโรหิตควรรักษาความรู้เอาไว้ และคนทั้งหลายควรแสวงหาคำสั่งสอนจากปากของเขา เพราะว่าเขาเป็นทูตของพระยาห์เวห์จอมทัพ 8แต่พวกเจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะคำสั่งสอนของเจ้า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เจ้าได้ทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป 9ดังนั้นเราจึงทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามต่อหน้าประชาชนทั้งปวง เพราะเจ้าไม่ได้เดินตามมรรคาของเรา แต่ได้ลำเอียงในการสั่งสอนของเจ้า”

อิสราเอลทำให้พันธสัญญาเสื่อม

 10เราทุกคนมีบิดาคนเดียวไม่ใช่หรือ? พระเจ้าองค์เดียวได้ทรงสร้างเรามิใช่หรือ? แล้วทำไมเราจึงทรยศต่อกันและกัน ทำให้พันธสัญญาของบรรพบุรุษของเราเป็นมลทิน? 11ยูดาห์ก็ทรยศ การน่าเกลียดน่าชังเขาก็ทำกันในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม เพราะว่ายูดาห์ได้ทำให้สถานศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ทรงรักนั้นเป็นมลทิน และได้ไปแต่งงานกับบุตรีของพระต่างด้าว 12ขอพระยาห์เวห์ทรงกำจัดชายคนใดที่ทำเช่นนี้ทั้งครอบครัวเสียจากเต็นท์ของยาโคบ ถึงแม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์จอมทัพก็ตามเถิด
 13และพวกท่านได้ทำอย่างนี้อีกด้วย คือท่านเอาน้ำตารดทั่วแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ร้องไห้คร่ำครวญเพราะพระองค์ไม่สนพระทัยหรือรับเครื่องบูชาด้วยชอบพระทัยจากมือของท่านอีกแล้ว 14พวกท่านถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงไม่รับ?” เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างท่านกับภรรยาคนที่ท่านได้เมื่อหนุ่มนั้น แม้ว่านางเป็นคู่เคียงของท่านและเป็นภรรยาของท่านตามพันธสัญญา ท่านก็ทรยศต่อนาง 15แต่ไม่มีสักคนหนึ่งที่มีสติจะทำอย่างนี้ ผู้มีสตินั้นย่อมประสงค์อะไร? ย่อมประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นจงระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น 16พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เพราะว่าเราเกลียดชังการหย่าร้าง และความทารุณ” พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ

อรรถาธิบาย

มองที่ความรักของพระเจ้าในประวัติศาสตร์

‘มองที่ประวัติศาสตร์’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเจ้ากล่าวผ่านผู้เผยพระวจนะมาลาคี (450 ปีก่อนคริสตกาล), ชื่อของพวกเขาหมายถึง ‘ทูต’ ถ้าคุณอยากทราบว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากเพียงใดให้ดูที่ประวัติศาสตร์ ข้อความของพระเจ้าแห่งประวัติศาสตร์ คือ ‘เรารักเจ้า' (ข้อ 2 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘มองให้ดี เจ้าจะเห็นว่าเราได้รักเจ้าอย่างสัตย์ซื่อเพียงใดและเจ้าจะยังต้องการมันมากขึ้นอีก' (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เบื้องหลังก็คือ แม้ว่าภายหลังการสร้าพระวิหารขึ้นใหม่ แต่ยังมี ‘การนมัสการที่มีตกต่ำ เหลวไหล เป็นมลทิน... การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่ความสำคัญแรก ๆ อีกต่อไป (ข้อ 6–7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มีความล้มเหลวที่จะให้ด้วยใจกว้างขวางและชีวิตครอบครัวที่พังทลาย

ถ้อยคำของพระธรรมเล่มนี้ คือ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่แก่ผู้ที่รวมอยู่ในกลุ่มของผู้นำของประชากรของพระเจ้า (ข้อ 6)

ปุโรหิตเป็นผู้นำของบรรดาประชากรของพระเจ้า เช่นเดียวกับ ผู้เผยพระวจนะ พวกเขาควรจะเป็นกลุ่มบุคคลที่พระเจ้าตรัสผ่านพวกเขา ‘เพราะว่าริมฝีปากของปุโรหิตควรรักษาความรู้เอาไว้ และคนทั้งหลายควรแสวงหาคำสั่งสอนจากปากของเขา เพราะว่าเขาเป็นทูตของพระยาห์เวห์จอมทัพ’ (2:7)

ความท้าทายของเราทุกคนคือ:

  1. ความมุ่งมั่นแบบเด็ดเดี่ยวในการที่จะเห็นพระนามของพระเจ้าได้รับพระเกียรติ
    ‘ใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่นามของเรา’ (ข้อ 2)

  2. ได้รับ ‘ชีวิตและสันติภาพ’
    พระเจ้าได้ทรงกระทำพันธสัญญาที่จะให้ ‘ชีวิตและสันติภาพ’ (ข้อ 5) นี่คือสองพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณจะมีโอกาสได้รับ

  3. นมัสการพระเจ้าด้วยความยำเกรงและเกรงขาม
    นี่ควรเป็นการตอบสนองของเราต่อความมีพระเมตตาและพระกรุณาอย่างยิ่งของพระเจ้าต่อเรา ‘เราได้ให้สิ่งเหล่านี้แก่เขา เพื่อเขาจะได้ยำเกรงเราและเกรงขามนามของเรา’ (ข้อ 5)

  4. สอนสิ่งที่ถูกต้อง
    ‘ในปากของเขามีคำสั่งสอนที่เป็นความจริง จะหาความผิดที่ริมฝีปากของเขาไม่ได้เลย’ (ข้อ 6ก)

  5. ดำเนินชีวิตอย่าวชอบธรรม
    ‘เขาดำเนินกับเราด้วยสันติและความเที่ยงตรง’ (ข้อ 6ข) ผู้นำคริสเตียนต้องเป็นแบบอย่างแห่งการดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์

  6. ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างในการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้พบความสัมพันธ์กับพระเจ้า
    ‘…ให้หันจากความบาปผิด’ (ข้อ 6ข)

จากนั้น มาลาคีได้หันกลับมาหาด้านความสัมพันธ์ เขาวิจารณ์พวกอิสราเอลว่า แต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ (ข้อ 11) ความท้อใจนี้ปรากฏอยู่ในพระคำตอนอื่นด้วย(ดู 2 โครินธ์ 6:14) เราอาจจะพบความท้าทายนี้ ภาพที่มาลาคีใช้ในที่นี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมจึงไม่ใช่ความคิดที่ดี เขาอธิบายถึงผู้ไม่เชื่อว่า ‘เป็นบุตรีแห่งพระต่างด้าว’ (มาลาคี 2:11) เป็นวลีที่เน้นถึงการแข่งขันกันในแง่มุมมองทางศาสนาของพวกเขา

เราทั้งหมดล้วนมีแนวคิดเรื่องศาสนาและความเชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า การปล่อยตัวเองให้คล้อยตามไปกับผู้ที่มีความเชื่อที่แตกต่างอาจดึงเราออกห่างจากพระเจ้าในท้ายที่สุด

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ลูกหลานถูกเลี้ยงดูในความมั่นคงในความสัมพันธ์แห่งชีวิตสมรส: ‘แต่ไม่มีสักคนหนึ่งที่มีสติจะทำอย่างนี้ ผู้มีสตินั้นย่อมประสงค์อะไร? ย่อมประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นจงระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้ใดทรยศต่อภรรยาคนที่ได้เมื่อหนุ่มนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า “เพราะว่าเราเกลียดชังการหย่าร้าง”…ฉะนั้น จงระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนทรยศ’ (ข้อ 15–16)

ถ้อยคำเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนรุนแรงแต่มันเป็นสิ่งเตือนใจเราว่าพระเจ้านั้นทรงรักและให้คุณค่ากับชีวิตสมรสมากเพียงใด เพราะว่าชีวิตสมรสนั้นงดงามยิ่งนัก พระองค์จึงทรงต่อต้านทุกอย่างที่จะบ่อนทำลายมัน¹

ความไม่สัตย์ซื่อเริ่มต้นในหัวใจเรา ‘ดังนั้น จงระวังจิตวิญญาณให้ดี (ที่มันอาจจะถูกควบคุมโดยจิตใจของเราเอง) อย่าเป็นคนทรยศ (กับคู่สมรสของท่าน)’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

¹ ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อของการหย่าร้าง ดู การดำเนินชีวิตแบบพระเยซู บทที่ 6 ‘มองการแต่งงานและการหย่าร้างอย่างไร'

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระเยซูที่เสด็จมาเพื่อทำให้การให้อภัยนั้นเป็นไปได้ ขอให้เรารักษาใจของเรา และในจิตวิญญาณของเราที่จะไม่ทำลายความเชื่อ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 143:8

‘ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์’

แต่ละวันของฉันจะไปได้ดียิ่งขึ้น ถ้าฉันได้อ่านพระคัมภีร์ในตอนเช้า และได้พบกับการหนุนน้ำใจในความรักอันมั่นคงของพระเจ้า หากปราศจากการใช้เวลากับพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่เสื้อคลุมออกจากบ้าน -บางสิ่งที่สำคัญขาดหายไป

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 143:8

‘ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป เพราะข้าพระองค์วางใจในพระองค์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม