จากนิมิตสู่การลงมือปฏิบัติ
เกริ่นนำ
แจ็คกี้ พูลลิงเจอร์ ได้ใช้ชีวิตของเธอในการทำงานกับคนยากจนและบุคคลอนาถา กลุ่มอาชญากรลับชาวจีน กลุ่มคนติดเฮโรอีนและฝิ่น เธอช่วยเหลือคนติดยาหลายพันคนให้สามารถเลิกยาได้ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากมายมหาศาล และยังส่งอิทธิพลอย่างมากในฮ่องกงอีกด้วย
แจ็คกี้เขียนไว้ว่า ‘ฉันได้ใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตของฉันในสถานที่ที่มืดมน เน่าเฟะ เพราะฉันได้รับ “นิมิต” ของนครแห่งหนึ่งที่มีแสงไฟเจิดจ้า มันคือความฝันของฉัน ที่นั่นไม่มีการร้องไห้ การตาย หรือความเจ็บปวดอีกต่อไป คนป่วยได้รับการรักษา คนติดยาสามารถเลิกยาได้ ผู้ที่หิวโหยได้อิ่มท้อง เด็กกำพร้าได้มีครอบครัวที่รับไปเลี้ยงดู มีบ้านสำหรับคนไร้บ้าน และมีศักดิ์ศรีใหม่สำหรับคนที่เคยอยู่ในความอับอาย ฉันไม่รู้ว่าจะนำสิ่งนี้ออกมาได้อย่างไร แต่ด้วย “ความร้อนรนในนิมิต” ที่ช่วยให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามกำแพงเมืองได้มารู้จักผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ นั่นก็คือ พระเยซู’
นิมิตคือ “ความไม่พอใจอันบริสุทธิ์” มันคือ ความรู้สึกไม่พอใจในส่วนลึกกับบางสิ่งที่เป็นอยู่ บวกกับภาพที่ชัดเจนถึงสิ่งที่ควรจะเป็น มันคือภาพที่เห็นได้ในความคิด เป็นภาพแห่งอนาคตที่เป็นแรงบันดาลใจให้มีความหวัง
นิมิตที่ปราศจากการลงมือทำเป็นแค่เพียงความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น ส่วนการลงมือปฏิบัติโดยปราศจากนิมิตนั้นเป็นเหมือนดังฝันร้าย! แต่นิมิตบวกกับการลงมือปฏิบัติ สามารถเปลี่ยนโลกได้
สุภาษิต 29:10-18
10พวกกระหายเลือดย่อมเกลียดคนดีพร้อม
แต่คนซื่อตรงก็แสวงหาชีวิตอย่างเขา
11คนโง่ระบายความโกรธออกมาเต็มที่
แต่คนมีปัญญาย่อมยับยั้งไว้เงียบๆ
12ถ้าผู้ครอบครองใส่ใจคำพูดเท็จ
ข้าราชการทั้งสิ้นของท่านก็พลอยเป็นคนอธรรม
13คนยากจนและผู้กดขี่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง
คือพระยาห์เวห์ประทานความสว่างแก่ดวงตาของคนทั้งสอง
14ถ้าพระราชาพิพากษาคนจนด้วยความเที่ยงธรรม
พระที่นั่งของพระองค์จะตั้งอยู่เป็นนิตย์
15ไม้เรียวและคำตักเตือนให้ปัญญา
แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะนำความอับอายมาสู่มารดา
16เมื่อคนอธรรมทวีอำนาจ การทรยศก็ทวีขึ้น
แต่คนชอบธรรมจะเห็นความล่มจมของเขา
17จงตีสอนบุตรของเจ้า และเขาจะให้เจ้าสบายใจ
เขาจะให้ความปีติยินดีแก่เจ้า
18ที่ที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็ปล่อยตัว
แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติย่อมเป็นสุข
อรรถาธิบาย
ความสำคัญของนิมิต
‘ที่ใดๆที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็พินาศ’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จากไทยคิงเจมส์)
คำในภาษาฮีบรูสามารถแปลความหมายได้เช่นเดียวกับ ‘การเปิดเผย’ หรือ ‘นิมิต’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จากไทยคิงเจมส์) สิ่งนี้อ้างถึงการสื่อสารของพระเจ้าต่อผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ที่ที่ไม่มีนิมิตแห่งการสำแดงจากพระเจ้า ที่นั่นจะเต็มไปด้วยความอลหม่านทั้งในฝ่ายจิตวิญญาณและการเมือง ‘ประชาชนก็ปล่อยตัว’ (ข้อ 18)
นิมิตและการยับยั้งชั่งใจควรไปด้วยกัน ความรักอย่างแรงกล้าและความขุ่นเคืองอย่างไร้ศีลธรรมสามารถขับเคลื่อนให้นิมิตนั้นนำไปสู่ ‘ความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้’ แต่ผู้เขียนกล่าวว่า ‘คนโง่ระบายความโกรธออกมาเต็มที่ แต่คนมีปัญญาย่อมยับยั้งไว้เงียบๆ’ (ข้อ 11) แจ็คกี้ พูลลิงเจอร์เช่นเดียวกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง, วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ และคนอื่นๆอีกหลายๆคนนั้น เป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของผู้นำที่ยึดมั่นในนิมิตและการยับยั้งช่างใจ
ในส่วนที่เหลือของบท เราได้เห็นผลลัพธ์ของทั้งภาวะผู้ที่ดีและภาวะผู้นำที่ชั่วร้าย ‘เมื่อคนอธรรมทวีอำนาจ การทรยศก็ทวีขึ้น’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในขณะที่ ‘ถ้าพระราชาพิพากษาคนจนด้วยความเที่ยงธรรม พระที่นั่งของพระองค์จะตั้งอยู่เป็นนิตย์’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
1 ยอห์น 2:28-3:10
28และบัดนี้ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา 29ถ้าพวกท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรมนั้นเกิดมาจากพระองค์ด้วย
1 ยอห์น 3
บรรดาบุตรของพระเจ้า
1ลองคิดดู พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า และเราก็เป็นอย่างนั้น เหตุที่ชาวโลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านั้นเรายังไม่รู้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น 3และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์
4ทุกคนที่ทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ 5พวกท่านรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย 6ผู้ที่อยู่ในพระองค์ไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์และยังไม่รู้จักพระองค์ 7ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชอบธรรม 8ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารก็ทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร 9ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้นและเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
อรรถาธิบาย
ฤทธิ์อำนาจของนิมิต
พระเยซูทรงมีนิมิตที่ชัดเจนสำหรับชีวิตของพระองค์ และพระองค์ทรงรวมมันเข้ากับการลงมือปฏิบัติ ‘พระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป’ (3:5)
ยอห์นกล่าวต่อไปว่า ‘พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร’ (ข้อ 8) พระเยซูทรงกำจัดบาปของคุณและทำลายกิจการของมารผ่านการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
คุณพอจะทราบหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงรักคุณมากแค่ไหน? ‘ลองคิดดู พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า! และเราก็เป็นอย่างนั้น!’ (ข้อ 1)
พระเจ้าทรงมีนิมิตที่ชัดเจนในการส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาเพื่อตายเพื่อท่าน พระองค์ปรารถนาที่จะมอบความรักของพระองค์ให้กับคุณ นิมิตของพระองค์เพื่อคุณก็คือ ในวันหนึ่ง คุณจะเป็นเหมือนพระเยซูและได้เห็นพระเยซู ‘อย่างที่พระองค์ทรงเป็น’ (ข้อ 2)
พระเจ้าทรงมีนิมิตสำหรับชีวิตของคุณ คุณเองก็ควรที่จะมีนิมิตสำหรับชีวิตของคุณเช่นกัน นิมิตภาพรวมของชีวิตท่านควรจะเป็นการที่คุณได้เป็นเหมือนพระเยซูให้มากขึ้นเท่าที่คุณจะสามารถเป็นได้ในตอนนี้ ‘และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การทดสอบที่จะบอกได้ว่าคุณเป็นลูกของพระเจ้าหรือไม่ก็คือ: ‘ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าจะไม่ถือว่าประพฤติและหลงระเริงในความบาป...ผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าและผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า เหล่านี้เป็นการทดสอบ’ (ข้อ 9-10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความรักและการประพฤติชอบเป็นตัวชี้วัดสองสิ่งว่าคุณ คือ ลูกของพระเจ้า
จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ฉันเคยเป็นคนบาปเต็มเวลา และหลังจากนั้นไม่นานฉันก็ “บังเอิญ” ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในตอนนี้ที่ฉันได้ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ลงลึกกับพระเจ้า...ฉันยังคงทำผิดพลาด แต่เทียบไม่ได้เลยกับที่สิ่งที่ฉันเคยทำไว้ในอดีต ฉันยังไปไม่ถึงจุดที่ฉันจำเป็นต้องอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ได้อยู่ในจุดเดิมที่ฉันเคยอยู่อีกต่อไป ฉันไม่ได้ทำถูกต้องในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ฉันรู้ว่าท่าทีในหัวใจของฉันนั้นถูกต้อง’
นิมิตของคุณควรจะเป็นการที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซู ‘จงอยู่ใกล้พระคริสต์ ใช้ชีวิตให้ลึกลงไปในพระคริสต์...เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา’ (2:28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่ควรเป็นนิมิตหลักของชีวิตคุณ เป็นไปได้ที่เราจะโฟกัสกับบางสิ่งอย่างเจาะจงที่เรานั้นมักเชื่ออย่างถูกต้องว่าพระเจ้าทรงเรียกให้เราทำ แต่ก็ต้องไม่ละเลยนิมิตภาพรวมนี้สำหรับชีวิตของคุณเอง พระเจ้าทรงสนพระทัยอย่างมากว่าคุณใช้ชีวิตของคุณอย่างไรมากกว่าสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จ การทรงเรียกส่วนบุคคลของเรานั้นดี และมีความสำคัญ แต่นิมิตหลักสำหรับชีวิตของเรา ควรจะเป็นการที่เราได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูเสมอ
คำอธิษฐาน
ดาเนียล 8:15:9-19
กาเบรียลอธิบายความหมายของนิมิต
15เมื่อข้าพเจ้าดาเนียลได้เห็นนิมิตนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็พยายามเข้าใจ และดูเถิด มีผู้หนึ่งเหมือนมนุษย์ยืนอยู่หน้าข้าพเจ้า 16และข้าพเจ้าได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งจากกลางแม่น้ำอุลัย และเสียงนั้นร้องว่า “กาเบรียลเอ๋ย จงทำให้ชายคนนี้เข้าใจนิมิตนั้นเถิด” 17ดังนั้น ท่านจึงมาใกล้ที่ซึ่งข้าพเจ้ายืนอยู่ และเมื่อท่านมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ตกใจซบหน้าลงถึงดิน แต่ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “โอ มนุษย์เอ๋ย จงเข้าใจเถิดว่า นิมิตนั้นเป็นเรื่องของกาลอวสาน”
18เมื่อท่านกำลังพูดอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ซบหน้าติดดินและสลบไป แต่ท่านแตะต้องข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น 19ท่านกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านทราบถึงสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังในช่วงเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะมันเกี่ยวกับวาระกำหนดแห่งอวสาน 20เรื่องแกะผู้มีสองเขาที่ท่านเห็นนั้นคือกษัตริย์ของคนมีเดียและคนเปอร์เซีย 21และแพะผู้คือกษัตริย์ของกรีก และเขาใหญ่ระหว่างนัยน์ตาคือกษัตริย์องค์แรก 22ส่วนเขาที่หัก และมีอีกสี่เขางอกขึ้นแทนนั้น คืออาณาจักรสี่อาณาจักรจะเกิดขึ้นจากชาตินั้น แต่จะมีอำนาจน้อยกว่าเขาแรกนั้น
23ตอนปลายรัชสมัยของเขาทั้งหลายนั้น
เมื่อผู้ละเมิดได้ทำความชั่วเต็มขนาดแล้ว
จะมีพระราชาพระพักตร์ดุร้ายองค์หนึ่งเกิดมา
ท่านชำนาญในการคิดกลอุบาย
24อำนาจของท่านจะใหญ่โตมาก
และท่านจะทำให้เกิดความพินาศอย่างน่ากลัว
ท่านก็เจริญขึ้นในงานที่ท่านทำ
ท่านจะทำลายคนที่มีกำลังมาก
และประชาชนของบรรดาผู้บริสุทธิ์
25ด้วยความฉลาดของท่าน
ท่านจะทำให้การล่อลวงแพร่ขยายขึ้นด้วยน้ำมือของท่าน
ท่านจะคิดว่าตัวท่านเองนั้นยิ่งใหญ่
ท่านจะทำลายคนมากมายโดยไม่มีคำเตือนก่อน
แล้วจะลุกขึ้นต่อสู้กับจอมเจ้านาย
แต่ท่านจะต้องถูกหักทำลายไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์
26นิมิตเรื่องเวลาเย็นและเวลาเช้าซึ่งบอกเล่านั้นเป็นความจริง แต่จงปิดบังนิมิตนั้นไว้ เพราะเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า”
27และข้าพเจ้าดาเนียลก็อ่อนเพลีย และนอนป่วยอยู่หลายวัน แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้น ไปปฏิบัติราชการของพระราชาต่อไป แต่ข้าพเจ้าไม่สบายใจเพราะนิมิตนั้น และไม่เข้าใจเรื่องราวเลย
ดาเนียล 9
คำอธิษฐานของดาเนียลเพื่อชนชาติของท่าน
1ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลดาริอัส โอรสกษัตริย์อาหสุเอรัส คนมีเดียโดยกำเนิด ผู้ได้เป็นกษัตริย์เหนืออาณาจักรของคนเคลเดีย 2ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลของท่าน ข้าพเจ้าดาเนียล ได้ดูในหนังสือพบจำนวนปี ซึ่งตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ทรงมีถึงเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ จะต้องผ่านพ้นไปก่อนสิ้นวันกรุงเยรูซาเล็มร้างเปล่าคือจำนวน 70 ปี 3แล้วข้าพเจ้าก็หันหน้าไปหาพระเจ้าองค์เจ้านาย แสวงหาด้วยการอธิษฐานและการวิงวอน ทั้งด้วยการอดอาหาร และนุ่งห่มผ้ากระสอบและนั่งบนขี้เถ้า 4ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และสารภาพว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงขาม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ 5ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาป และได้ทำผิด ได้ก่อการอธรรมและการกบฏ ได้หันจากพระบัญญัติและกฎหมายของพระองค์ 6ข้าพระองค์ไม่ได้ฟังบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้กล่าวในพระนามของพระองค์ต่อบรรดากษัตริย์ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งต่อบรรดาผู้นำและบรรพบุรุษของข้าพระองค์ รวมทั้งประชาชนทุกคนของแผ่นดิน 7ข้าแต่องค์เจ้านาย ความชอบธรรมเป็นของพระองค์ แต่ความอับอายควรแก่พวกข้าพระองค์จนถึงทุกวันนี้ คือควรแก่คนยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนอิสราเอลทั้งหมด ทั้งผู้อยู่ใกล้และอยู่ไกลออกไป ในแผ่นดินทั้งหลายซึ่งพระองค์ทรงขับไล่พวกเขาไปนั้น เพราะพวกเขาได้ทรยศต่อพระองค์ 8ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความอับอายควรแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แก่พระราชา เจ้านาย และบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ 9พระกรุณาและการอภัยโทษเป็นขององค์เจ้านายพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะว่าพวกข้าพระองค์ได้กบฏต่อพระองค์ 10และไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายที่ให้ทำตามธรรมบัญญัติของพระองค์ ซึ่งทรงตั้งไว้ต่อหน้าข้าพระองค์ทั้งหลาย ผ่านบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ 11อิสราเอลทั้งชาติได้ทำผิดต่อธรรมบัญญัติของพระองค์และได้หันไปเสีย ไม่เชื่อฟังพระองค์ ดังนั้นคำสาปแช่งและคำปฏิญาณซึ่งจารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงเทลงเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพวกข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ 12พระองค์ได้ทรงยืนยันถ้อยคำของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสกล่าวโทษข้าพระองค์ทั้งหลาย และกล่าวโทษผู้ซึ่งปกครองพวกข้าพระองค์ โดยนำวิบัติอย่างใหญ่หลวงมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งภายใต้สวรรค์ทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่ได้ทำเหมือนที่ได้ทำแก่เยรูซาเล็ม 13ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว วิบัติทั้งสิ้นก็ได้ตกอยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว แต่พวกข้าพระองค์ยังไม่ได้ทูลวิงวอนขอพระกรุณาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยการหันจากความผิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย หรือใส่ใจในความจริงของพระองค์ 14เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงเตรียมความวิบัติไว้พร้อม และได้ทรงนำมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเป็นผู้ชอบธรรมในพระราชกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ได้ทรงทำ และพวกข้าพระองค์ไม่ได้เชื่อฟังพระองค์ 15ข้าแต่องค์เจ้านายพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำชนชาติของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และได้ทำให้พระนามเลื่องลือมาจนทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปและทำความอธรรม 16ข้าแต่องค์เจ้านาย ตามการกระทำอันชอบธรรมทั้งสิ้นของพระองค์ ขอให้ความกริ้วและพระพิโรธของพระองค์หันกลับจากเยรูซาเล็มนครของพระองค์ ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และความผิดของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์จึงกลายเป็นที่เยาะเย้ยในชนชาติทั้งสิ้นที่อยู่รอบข้าง 17ฉะนั้น ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์และคำวิงวอนของเขา ข้าแต่องค์เจ้านาย เพื่อเห็นแก่พระองค์ ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือสถานนมัสการของพระองค์ซึ่งร้างเปล่านั้น 18ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณสดับ ขอลืมพระเนตรดูความร้างเปล่าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทั้งนครซึ่งมีชื่อตามพระนามของพระองค์ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้ถวายคำวิงวอนต่อพระองค์ ด้วยอ้างความชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหตุ แต่ได้อ้างพระกรุณายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงฟัง ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอทรงให้อภัย ข้าแต่องค์เจ้านาย ขอใส่พระทัยและทรงจัดการ ขออย่าทรงเนิ่นช้าเลยเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะว่านครของพระองค์ และประชากรของพระองค์ก็มีชื่อตามพระนามของพระองค์”
อรรถาธิบาย
นิมิตที่ถูกทำให้สำเร็จ
ดาเนียลเป็น ‘ผู้เห็นนิมิต / ผู้มีวิสัยทัศน์’ ในทั้งสองแง่ของคำนี้ เขาได้รับการสำแดงอันล้ำลึก (‘นิมิต’ คำที่ปรากฏถึงเจ็ดครั้งในพระธรรมดาเนียล 8:15-27) และมีเป้าหมายตามวิสัยทัศน์สำหรับชีวิตของเขาเอง
ในครึ่งแรกของบทวันนี้ ดาเนียลได้รับการตีความของนิมิตของเขา (การสำแดงอันล้ำลึก) โดยทูตสวรรค์กาเบรียล (ข้อ 16, นี่เป็นที่แรกในพระคำของพระเจ้าที่ทูตสวรรค์ได้ถูกเรียกชื่อ) กาเบรียลอธิบายให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตที่เขาเห็นนั้น ‘เกี่ยวข้องกับกาลอวสาน’ (ข้อ 17) ‘นิมิตนี้..เป็นความจริง..เป็นเรื่องของวันข้างหน้า’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นิมิตของดาเนียลนี้มีทั้งที่เกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์และที่ต้องรอคอย ส่วนที่ได้เกิดขึ้นแล้วนั้นอาจพบได้ในช่วงเวลาแห่งความมืดในประวัติศาสตร์ชนชาติยิว ในระหว่าง 175 และ 164 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขาได้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ต่างชาติคือแอนทิโอคัสที่ 4 เอพิฟาเนส เขาข่มเหงชาวยิว ล้มล้างกฏหมายแห่งการนมัสการพระเจ้า ทำลายพระนิเวศ และฆ่าคนหลายพันคน แต่วิญญาณที่ครอบงำแอนทิโอคัสและปล่อยให้เขาประสบความสำเร็จอย่างโลก(ข้อ 23-25) นั้นเป็นวิญญาณเดียวกับที่ดลใจกลุ่มคนที่ต่อต้านพระคริสต์ในวันสุดท้าย (ดู 2 เธสะโลนิกา 2:3-8; โรม 13:11,14)
ดาเนียลเผยพระวจนะต่อกษัตริย์องค์นี้ว่า ‘ท่านจะถูกหักทำลาย แต่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์’ (ดาเนียล 8:25) กองทัพของแอนทิโอคัสเคลื่อนพลเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มและฆ่าคนยิวไปทั้งสิ้น 80,000 คน และสนับสนุนการนมัสการเทพซุส เขาได้ตายลงอย่างกะทันหันและอย่างไม่คาดฝันในช่วง 164 ปีก่อนคริสตกาลจากโรคร้ายแรงที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คำเผยพระวจนะนี้จะได้เกิดขึ้นจริงในครั้งสุดท้ายเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาและทำลายล้างมาร ‘ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์’ (2 เธสะโลนิกา 2:8)
ดาเนียลยังเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในแอีกแง่หนึ่งด้วย เขาเข้าใจ ‘ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์’ ‘ข้าพเจ้าดาเนียลได้ใคร่ครวญพระคัมภีร์...ตามพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงมีถึงเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ’ (ดาเนียล 9:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล; ดูใน เยเรมีย์ 25:11-12; 29:10) ว่าจะต้องผ่านพ้นไปก่อนสิ้นวันกรุงเยรูซาเล็มร้างเปล่าคือ 70 ปี (นั่นก็คือ จาก 587 ปีก่อนคริสตกาลถึงการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ในช่วง 516 ปีก่อนคริสตกาล)
ถ้าคุณปรารถนาให้พระเจ้ามอบนิมิตอย่างเจาะจงให้สำหรับชีวิตของคุณ เราได้เห็นในบทนี้ถึงกุญแจ 2 ดอกที่จำเป็นอย่างยิ่ง อย่างแรก นิมิตอันมาจากพระเจ้าทั้งหมดจำเป็นต้องได้มาจากความเข้าใจ ‘ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์’ อย่างที่สอง นิมิตจะสำเร็จเป็นจริง ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน ดาเนียลหันหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน (ดาเนียล 9:4)
คำอธิษฐานของดาเนียลนั้นเป็นการที่เขาได้ระบายความในในของเขาต่อพระเจ้า เขารู้อยู่เสมอผ่านความยิ่งใหญ่และพระกรุณาของพระเจ้า และความรู้สึกไม่คู่ควรของเขาเอง แต่เขาก็ยังมั่นใจในความสามารถของพระเจ้าที่จะตอบคำอธิษฐานของเขา
พระเจ้าทรงรอคอยให้คุณเข้ามาพูดคุยกับพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในใจของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องกลั้นหรือปิดบังบางส่วนในสิ่งที่คุณต้องการจะพูดคุยกับพระองค์ หรือพยายามจะเป็นในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวตนของคุณพระองค์นั้นทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณแล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงปรารถนาที่จะได้ยินจากคุณและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นกับคุณ จงเป็นตัวเองกับพระเจ้าเมื่อคุณอธิษฐาน ไม่ใช่พยายามที่จะเป็นคนอื่นที่คุณคิดว่าคุณควรจะเป็น
ดาเนียลสารภาพบาปว่าพวกเขาได้ทำบาปในทุกทาง ทั้งทางความคิด การละเลยพระเจ้า และปล่อยตัวทำในสิ่งที่เขาพอใจ พวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความผิดและความอับอาย (ข้อ 3-16)
แต่ดาเนียลรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงล้มเลิกกับผู้ที่รักพระองค์ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และที่ “การอภัยโทษนั้นเป็นเพียงความหวังเดียวของเรา” (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
บนพื้นฐานนั้น เขาอธิษฐานเพื่อเมืองของเขาและชนชาติของเขา (ข้อ 17-19) คำอธิษฐานของดาเนียลได้รับคำตอบ คุณเองก็สามารถร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อเมืองและชนชาติของคุณได้เช่นเดียวกัน และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของคุณและทำให้นิมิตที่ทรงมอบไว้ให้ท่านนั้นได้เกิดขึ้นจริง
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ยอห์น 3:1
‘พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า’
‘(มาก)เพียงไร’ ช่างเป็นคำที่ยิ่งใหญ่
ข้อพระคำประจำวัน
1 ยอห์น 3:1
‘ลองคิดดู พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)