สามวิธีที่คุณสามารถบริหารความเชื่อได้
เกริ่นนำ
ชาวเกาะเป็นมนุษย์กินเนื้อคน ไม่มีใครไว้ใจใคร ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างต่อเนื่อง เขามาเพื่อบอกข่าวดีเรื่องพระเยซูแก่คนเหล่านั้น เขาอยากแปลพระกิตติคุณยอห์นเป็นภาษาของพวกเขา แต่เขาค้นพบว่าไม่มีคำในภาษาของพวกเขาสำหรับคำว่า ‘ความวางใจ’ ‘ความเชื่อ’ หรือ ‘ความศรัทธา’
จอห์น เพตัน (ค.ศ. 1824–1907) ชาวสก็อตได้เดินทางไปยังนิวเฮบริดีส (หมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก) ตั้งใจที่จะบอกชนเผ่าเกี่ยวกับพระเยซู แต่เขาพยายามหาคำที่เหมาะสมสำหรับ ‘ความเชื่อ’ อยู่มาวันหนึ่งเมื่อคนรับใช้พื้นเมืองของเขาเข้ามา เพตันยกเท้าทั้งสองขึ้นจากพื้น นั่งบนเก้าอี้แล้วถามว่า ‘ผมกำลังทำอะไรอยู่?’ ในการตอบกลับ คนใช้จึงใช้คำที่หมายถึง ‘วางน้ำหนักทั้งหมดลงมา’ นี่กลายเป็นสำนวนที่เพตันใช้ ความเชื่อ คือ *การวางน้ำหนักทั้งหมดของเราไว้กับพระเยซู *
สดุดี 124:1-8
คำขอบพระคุณพระเจ้า ที่ทรงช่วยกู้อิสราเอลให้พ้นจากศัตรู
บทเพลงใช้แห่ขึ้น ของดาวิด
1“ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงอยู่ฝ่ายเรา”
เออ ขอให้อิสราเอลกล่าวว่า
2“ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงอยู่ฝ่ายเรา
เมื่อคนลุกขึ้นต่อสู้เรา
3แล้วพวกเขาจะกลืนเราเสียทั้งเป็น
เมื่อความกริ้วของพวกเขาพลุ่งขึ้นต่อเรา
4แล้วน้ำทั้งหลายจะซัดเราไป
กระแสน้ำจะไหลท่วมเรา
5แล้วน้ำที่เดือดดาล
จะไหลท่วมเรา”
6สาธุการแด่พระยาห์เวห์
ผู้มิได้ทรงให้เราเป็นเหยื่อแก่ฟันของพวกเขา
7เราหนีรอดไปได้ อย่างนกพ้นจากกับดักของพรานนก
กับดักนั้นก็หัก และเราหนีรอดไปได้
8ความช่วยเหลือของเราอยู่ในพระนามของพระยาห์เวห์
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
อรรถาธิบาย
ความเชื่อคือความไว้วางใจเมื่อถูกโจมตี
ท่านรพินทรนาถ ฐากูร เขียนไว้ว่า ‘ความเชื่อ คือ นกที่ร้องเพลงยามรุ่งอรุณตอนยังมืดมิด’
มีหลายครั้งในชีวิตของเราที่ความเชื่อของเราถูกทดสอบ เราถูก ‘โจมตี’ หมายถึง ‘เมื่อทุกคนต่อต้านเรา’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และดูเหมือนจะเป็น ‘กระแสน้ำ’ (ข้อ 4) ของ ‘น้ำที่เดือดดาล’ (ข้อ 5) นั่นคือ การทดลอง ความสงสัย ความกลัว และอื่น ๆ อีก
สิ่งเหล่านี้อาจท่วมท้นคุณ แต่เพราะว่าพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และโลกอยู่เคียงข้างคุณ (ข้อ 1) ความเชื่อหมายถึงการไว้วางใจว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณไร้ที่พึ่ง พระองค์ทรงปลดปล่อยคุณจากกับดัก ‘เครื่องยึดของมันหัก เราเป็นอิสระเหมือนนกที่โบยบิน’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ดาวิดคือคนที่ถูกทดลองและทดสอบมากที่สุดคนหนึ่งในพระคัมภีร์ ให้เรามีความซื่อสัตย์เหมือนดาวิด ไว้วางใจพระเจ้า พระองค์จะปกป้องคุณจากกระแสน้ำที่เดือดดาล และจากการ ‘กลืนเราเสียทั้งเป็น’ (ข้อ 3) ‘ความช่วยเหลือของเราอยู่ในพระนามของพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก’ (ข้อ 8)
คำอธิษฐาน
ฮีบรู 11:17-40
17โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ จึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านผู้ได้รับพระสัญญา ก็พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรชายคนเดียวของท่าน 18คือบุตรคนที่มีพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกเชื้อสายของท่านทางสายอิสอัค” 19ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้คนตายเป็นขึ้นมาได้ ฉะนั้นโดยอุปมาแล้ว ท่านได้รับบุตรคืนมา 20โดยความเชื่อ อิสอัคจึงอวยพรยาโคบและเอซาว สำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า 21โดยความเชื่อ เมื่อยาโคบใกล้จะตาย จึงอวยพรบุตรแต่ละคนของโยเซฟ และได้นมัสการพระเจ้า ขณะยันกายบนหัวไม้เท้าของท่าน 22โดยความเชื่อ เมื่อโยเซฟกำลังจะตาย จึงกล่าวถึงการอพยพของคนอิสราเอล และสั่งเสียเรื่องกระดูกของท่าน
23โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเกิดมา บิดามารดาจึงซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเด็กน่ารัก และบิดามารดาของท่านไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย 24โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้ว ท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่า เป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ 25ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญชั่วคราวในบาป 26ท่านถือว่าความอับอายขายหน้าเพื่อพระคริสต์ล้ำค่ากว่าสมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะท่านเพ่งดูที่บำเหน็จที่จะได้รับนั้น 27โดยความเชื่อ ท่านจึงออกจากอียิปต์ โดยไม่ได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์ ท่านสู้ทนประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา 28โดยความเชื่อ ท่านถือปัสกาและพิธีประพรมเลือด เพื่อไม่ให้ทูตมรณะมาแตะต้องบุตรหัวปีของคนอิสราเอล
29โดยความเชื่อ พวกอิสราเอลจึงเดินข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ลองเดินข้ามดูบ้างก็จมน้ำตายหมด 30โดยความเชื่อ กำแพงเมืองเยรีโคพังลง หลังจากคนอิสราเอลเดินรอบกำแพงครบเจ็ดวัน 31โดยความเชื่อ ราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ได้พินาศไปพร้อมกับพวกที่ไม่เชื่อฟัง เพราะนางได้ต้อนรับคนสอดแนมเป็นอย่างดี
32แล้วจะให้ข้าพเจ้ากล่าวอะไรต่อไปอีก เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึง กิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย 33ผู้ซึ่งอาศัยความเชื่อจึงพิชิตอาณาจักรต่างๆ ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากสิงโต 34ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ได้เปลี่ยนจากคนอ่อนแอมาเป็นคนเข้มแข็ง มีกำลังมากในการสงคราม ได้ตีกองทัพของประเทศอื่นๆ แตกพ่ายไป 35พวกผู้หญิงก็ได้คนของพวกนางที่เป็นขึ้นจากความตาย บางคนถูกทรมานแต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อจะได้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตที่ดีกว่า 36บางคนพบกับการเยาะเย้ยและการโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย 37บางคนถูกขว้างด้วยก้อนหิน บางคนถูกเลื่อยเป็นสองท่อน บางคนถูกฆ่าด้วยคมดาบ บางคนก็นุ่งห่มหนังแกะหนังแพะพเนจรไป สิ้นเนื้อประดาตัว ตกระกำลำบากและถูกทำทารุณ 38แผ่นดินโลกไม่คู่ควรกับคนเช่นนั้นเลย เขาพเนจรไปตามถิ่นทุรกันดารและตามภูเขา ในถ้ำและในโพรงใต้ดิน
39แม้คนเหล่านี้ทุกคนได้รับการรับรองเพราะความเชื่อ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ 40เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับพวกเรา เพื่อพวกเขาจะถึงความสมบูรณ์ด้วยกันกับพวกเรา
อรรถาธิบาย
ความเชื่อ ในฐานะการเลือก ความทรหดอดทน และความคาดหวัง
ความเชื่อที่กล้าหาญมีลักษณะอย่างไร? โมเสสเป็นบุคคลอยู่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล โมเสสช่วยอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาส และมอบธรรมบัญญัติแก่พวกเขา ในข้อพระคัมภีร์ของวันนี้ ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า โมเสสเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ
ดังที่เราได้เห็น คำว่า ‘ความเชื่อ’ มีความหมายมากมาย ความเชื่ออธิบายความสัมพันธ์ทั้งหมดของคุณกับพระเจ้า นั่นคือ วางใจในพระองค์ วางน้ำหนักทั้งหมดของคุณไว้ที่พระเยซู และมีความกล้าที่จะกระทำตามความเชื่อของคุณ จากแบบอย่างของโมเสส เราจะเห็นสามวิธีที่คุณสามารถสำแดงความเชื่อได้ดังนี้
- ความเชื่อคือการเลือก
โมเสส ‘เป็นเด็กน่ารัก’ (ข้อ 23) เขาถูกเลี้ยงดูมาในราชวงศ์อียิปต์และได้รับการศึกษาและการฝึกอบรมระดับสูง โมเสสรูปร่างหน้าตาดี (อพยพ 2:2) ทุกวันนี้ผู้คนมากมายพยายามดิ้นรนเพื่อเงิน เซ็กซ์ และอำนาจ แต่โมเสสสามารถมีสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมากมาย
โมเสสได้เปรียบอย่างมากอีกประการหนึ่งคือ ความเชื่อของบิดามารดาของเขา (ฮีบรู 11:23) ธิดาของฟาโรห์มอบหมายให้มารดาของโมเสสเลี้ยงดูเขา อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ตัวโมเสสเองรวมถึงคุณและผมจำเป็นต้องเลือก
โมเสสอาจเลือก ‘เริงสำราญชั่วคราวในบาป’ (ข้อ 25) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ‘ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับประชากรของพระเจ้า’ (ข้อ 25) โมเสสเลือกที่จะเป็นของกลุ่มคนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดูถูกเหยียดหยามคือ ชนชาติทาส อันเป็นประชากรของพระเจ้า โดยการยืนยันตัวตนกับบรรดาคนเหล่านั้นทำให้โมเสสได้นำอันตราย การดูหมิ่น และความทุกข์ทรมานมาสู่ตัวเขาเอง
โมเสสตัดสินใจเลือกเพราะว่า ‘ท่านถือว่าความอับอายขายหน้าเพื่อพระคริสต์ล้ำค่ากว่าสมบัติทั้งหลายของอียิปต์’ (ข้อ 26) เมื่อเทียบกับความพอใจที่โลกให้ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว พระเจ้าประทานบำเหน็จนิรันดร์ให้กับคุณ
ความเชื่อคือการเลือกเป็นความเชื่อที่ชอบธรรม ชื่อย่อตัวแรกของคำว่าความเชื่อสามารถสรุปเพื่อให้จดจำง่าย ดังนี้
Forsaking All I Take Him (FAITH) (ละทิ้งทุกสิ่ง ฉันรับเอาพระองค์เข้ามาในชีวิต)
- ความเชื่อคือทรหดอดทน
โมเสสออกจากอียิปต์สองครั้ง ครั้งแรกที่เขาหนีไปเพราะเป็นอาชญากรหลังจากฆ่าชาวอียิปต์ ครั้งที่สองจากไปในฐานะผู้นำของประชากรของพระเจ้า ในระหว่างนั้น เขาก็สู้ทนด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว ‘ท่านสู้ทนประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา’ (ข้อ 27) ดวงตาของเขาเปิดกว้างสู่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณทั้งหมด
จากช่วงเวลาที่เลือกจนถึงช่วงเวลาแห่งชัยชนะ จะมีการต่อสู้มากมายนี่คือแบบแผนในพระคัมภีร์ การทรงเรียกมาก่อนและปัญหาต่าง ๆ จะตามมา ในที่สุดก็มีการเกิดผล ในระหว่างนั้นจงพากเพียรและไว้วางใจ
ความเชื่อลักษณะนี้สามารถสรุปเพื่อให้จดจำง่าย คือ
Feeling Afraid I Trust Him (FAITH) (เมื่อรู้สึกกลัว ฉันวางใจพระองค์)
ความเชื่อด้านนี้เป็นลักษณะที่ผู้เขียนฮีบรูเน้นเป็นพิเศษ อาจเป็นสิ่งที่เปาโลคิดไว้ในใจเช่นกันเมื่อท่านเขียนไว้ว่า ความซื่อสัตย์เป็นผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22)
- ความเชื่อคือการคาดหวัง
เมื่อผมสัมภาษณ์ริค วอร์เรน ที่งานประชุมผู้นำ อัลฟ่า เขาตั้งคำถามจูงใจว่า ‘ทำไมพระเจ้าจึงใช้ฉัน?’ และเขาก็ให้คำตอบว่า ‘เพราะฉันคาดหวังให้พระองค์ทรงใช้ฉัน’ จอยซ์ ไมเยอร์ นิยามความคาดหวังว่า ‘การรอคอยที่เต็มไปด้วยความสุขที่จะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ’
โมเสสฟังเสียงพระเจ้า เขาทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงนำ เขารู้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจที่จะฆ่าได้ แต่เขาเชื่อว่าเขาจะผ่านบ้านเรือนของชาวอิสราเอลที่มีเลือดประพรม (ฮีบรู 11:28) เขาเชื่อในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการแสดงหมายสำคัญ และการอัศจรรย์ต่าง ๆ เช่น การข้ามทะเลแดง (ข้อ 29)
ความคาดหวัง คือ ความเชื่อมั่นที่ล้ำลึกที่หลั่งไหลเข้ามาว่า พระเจ้าจะทรงกระทำการอันยิ่งใหญ่ ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก เกือบสองในสามของการอ้างอิงถึงความเชื่อเกิดขึ้นเกี่ยวกับการอัศจรรย์ ต้องเข้าใจว่าความเชื่อคือการวางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
ผู้เขียนยังได้ยกตัวอย่างอื่น ๆ มากมายเกี่ยวกับความเชื่อในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม รวมถึงผู้ที่ ‘ความเชื่อจึงพิชิตอาณาจักรต่าง ๆ ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม ได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากสิงโต ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ได้เปลี่ยนจากคนอ่อนแอมาเป็นคนเข้มแข็ง’ (ข้อ 33–34) ผมชอบความจริงที่ว่าพระเจ้าเปลี่ยนจุดอ่อนของคุณและจุดอ่อนของผมให้เป็นจุดแข็ง
ผู้เขียนสรุปประวัติศาสตร์นี้โดยพูดบางสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษ คือ ‘พระเจ้ามีแผนการที่ดีกว่าสำหรับเรา’ (ข้อ 40, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขากำลังบอกว่า คุณยังดีกว่าโนอาห์ อับราฮัม โมเสส โยชูวา แซมสัน ดาวิด และคนอื่น ๆ ทั้งหมด ‘ไม่ใช่คนเหล่านี้ แม้ว่าจะมีชีวิตเป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อ แต่ก็ยังไม่ได้สิ่งที่สัญญาไว้’ (ข้อ 39, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ที่แม้ว่าพวกเขาจะหวังแต่สิ่งที่ดีกว่า แต่คุณอยู่ในยุคของพระวิญญาณ และได้รับการเปิดเผยที่ดีขึ้น และสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในพระคริสต์
คำอธิษฐาน
เอเสเคียล 24:1-25:17
เรื่องหม้อเดือด
1ในวันที่ 10 เดือนที่ 10 ปีที่ 9 พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเขียนชื่อของวันนี้ไว้ คือวันนี้โดยเฉพาะ กษัตริย์บาบิโลนจะล้อมกรุงเยรูซาเล็มในวันนี้ 3และจงกล่าวอุปมาแก่พงศ์พันธุ์มักกบฏ และพูดกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
จงตั้งหม้อไว้ ตั้งไว้สิ
และเทน้ำใส่หม้อด้วย
4จงใส่ชิ้นเนื้อเข้าไป
เอาเนื้อดีๆ คือเนื้อโคนขาและเนื้อสันขาหน้า
เอากระดูกอย่างดีมาใส่ให้เต็ม
5จงเลือกแกะอย่างดีมาตัวหนึ่ง
ใส่ฟืนไว้ใต้นั้น
จงต้มให้เดือด
เคี่ยวกระดูกที่อยู่ในนั้นด้วย
6“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มด้วยโลหิต
คือหม้อที่ขึ้นสนิมข้างใน
และสนิมก็ไม่หลุดออกมา
จงเอาเนื้อออกทีละชิ้น
ไม่ต้องเลือกด้วยการจับฉลาก
7เพราะโลหิตที่เธอทำให้ตกนั้นยังอยู่ท่ามกลางเธอ
เธอเทโลหิตไว้บนหินเรียบ
เธอไม่ได้เทลงบนพื้นดิน
แล้วให้ฝุ่นกลบไว้
8เพื่อเร้าความโกรธและการแก้แค้น
เราได้เทโลหิตที่เธอทำให้ตกนั้นไว้บนหินเรียบ
เพื่อไม่ให้โลหิตถูกปกปิดไว้
9“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต
เราจะทำให้กองฟืนนั้นใหญ่ขึ้นด้วย
10จงสุมฟืนเข้าไปและก่อไฟขึ้น
ต้มเนื้อให้ดี และใส่เครื่องปรุง
และปล่อยกระดูกให้ไหม้
11และจงวางหม้อเปล่าไว้บนถ่าน
เพื่อให้มันร้อนจนทองแดงไหม้
และให้สิ่งที่เป็นมลทินของมันละลายไปในนั้น สนิมของมันถูกเผาไหม้
12แต่ความพยายามก็ไร้ผล
สนิมที่หนาของมันก็ไม่หลุดออก
จงทิ้งสนิมไปในไฟ
13การมักมากในกามทำให้เจ้ามีมลทิน
เพราะว่าเราชำระเจ้า
แต่เจ้าก็ไม่ถูกชำระจากมลทินของเจ้า
เจ้าก็จะไม่ถูกชำระอีกต่อไป
จนกว่าเราจะระบายความโกรธของเราออกเหนือเจ้าจนหมด
14“เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เวลาได้มาถึงแล้ว และเราจะทำเช่นนั้น จะไม่มีการยับยั้ง เราจะไม่ปรานีและเราจะไม่สงสาร เราจะพิพากษาเจ้าตามวิถีทางและการกระทำของเจ้า” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
เอเสเคียลสูญเสียภรรยา
15พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าอีกว่า 16“บุตรมนุษย์เอ๋ย นี่แน่ะ เราจะเอาผู้ที่เจ้ารักไปจากเจ้าอย่างฉับพลัน แต่เจ้าอย่าคร่ำครวญหรือร้องไห้ หรือน้ำตาตก 17เจ้าถอนหายใจได้ แต่ห้ามมีเสียง อย่าไว้ทุกข์ให้ผู้ตาย จงโพกผ้าของเจ้า และสวมรองเท้าที่เท้าของเจ้า อย่าปิดหนวดหรือกินอาหารของคนเศร้าโศก” 18และข้าพเจ้าจึงพูดกับประชาชนตอนเช้า แล้วภรรยาของข้าพเจ้าก็สิ้นชีวิตตอนเย็น พอเช้าขึ้นข้าพเจ้าก็ทำอย่างที่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชา
19ประชาชนก็ถามข้าพเจ้าว่า “ท่านจะไม่บอกเราหรือว่า สิ่งที่ท่านทำนี้มีความหมายอะไรต่อเรา?” 20แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับพวกเขาว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 21จงกล่าวกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เราจะทำสถานนมัสการของเราอันเป็นความภูมิใจในพลังของพวกเจ้า เป็นความปรารถนาแห่งดวงตาพวกเจ้า และเป็นสิ่งที่วิญญาณจิตเจ้ารักนั้นให้เสื่อมเกียรติไป บุตรชายหญิงของพวกเจ้าซึ่งเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังจะล้มลงด้วยดาบ 22และพวกเจ้าจะทำอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำ คือเจ้าจะไม่ปิดหนวด ไม่กินอาหารของคนเศร้าโศก 23ผ้าโพกจะอยู่บนศีรษะของเจ้า และรองเท้าจะอยู่ที่เท้าของเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ไว้ทุกข์หรือร้องไห้ แต่เจ้าจะทรุดลงเพราะความผิดของเจ้า และจะโอดครวญต่อกันและกัน 24เอเสเคียลจะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าทั้งหลาย เขาทำอย่างไร พวกเจ้าจะทำอย่างนั้น และเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้มาถึง พวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์องค์เจ้านาย”
25“และเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย ในวันที่เราเอาที่กำบังเข้มแข็งของพวกเขาไป ทั้งความรื่นเริงและศักดิ์ศรีของเขา สิ่งที่พอตาพอใจของเขาทั้งหลาย และสิ่งที่ใจของเขาปรารถนา รวมทั้งบุตรชายและบุตรหญิงของเขา 26ในวันนั้น ผู้ลี้ภัยจะมาหาเจ้า เพื่อจะบอกเรื่องราวให้เจ้าได้ยิน 27ในวันนั้น ปากเจ้าจะถูกเปิดต่อหน้าผู้ลี้ภัย แล้วเจ้าจะพูดและจะไม่เป็นใบ้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับเขา และเขาทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
เอเสเคียล 25
เผยพระวจนะต่อสู้คนอัมโมน
1และพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้าว่า 2“บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าต่อสู้คนอัมโมน และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษพวกเขา 3จงพูดกับคนอัมโมนว่า จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้ากล่าวว่า ‘ดีแล้ว’ ต่อสถานนมัสการของเราเมื่อที่นั้นถูกลบหลู่ และต่อแผ่นดินอิสราเอลเมื่อที่นั่นถูกทำให้ร้างเปล่า และต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์เมื่อพวกเขาถูกกวาดไปเป็นเชลย 4เพราะฉะนั้น ดูสิ เราจะมอบเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนชาติทางทิศตะวันออก พวกเขาจะตั้งค่ายอยู่ท่ามกลางเจ้า และจะสร้างที่อาศัยของเขาในที่ของเจ้า เขาทั้งหลายจะกินผลไม้ของเจ้า และจะดื่มน้ำนมของเจ้า 5เราจะทำให้เมืองรับบาห์เป็นทุ่งหญ้าสำหรับอูฐ และทำให้ที่ของคนอัมโมนเป็นคอกสำหรับฝูงแพะแกะ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 6เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ตบมือและกระทืบเท้าทั้งปีติยินดีด้วยใจมุ่งร้ายทุกอย่างต่อแผ่นดินอิสราเอล 7เพราะฉะนั้น ดูสิ เราได้ยื่นมือของเราออกต่อสู้เจ้า และจะมอบเจ้าแก่ประชาชาติทั้งหลายให้เป็นของริบ เราจะตัดเจ้าออกจากชนชาติทั้งหลายและเราจะทำให้เจ้าพินาศไปจากประเทศทั้งหลาย เราจะทำลายเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
เผยพระวจนะต่อสู้คนโมอับ
8พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “เพราะโมอับ และเสอีร์กล่าวว่า ‘ดูสิ พงศ์พันธุ์ยูดาห์ก็ไม่ต่างกับประชาชาติอื่นๆ’ 9เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราจะเปิดชายแดนของโมอับออกตั้งแต่เมืองชายแดน คือบรรดาเมืองแห่งศักดิ์ศรีของประเทศนั้นได้แก่เมืองเบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอน และเมืองคีริยาธาอิม 10แล้วเราจะมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนชาติทางทิศตะวันออก พร้อมกับคนอัมโมน เพื่อว่าจะไม่มีใครนึกถึงคนอัมโมนอีกในบรรดาประชาชาติ 11และเราจะทำการพิพากษาโทษโมอับ แล้วเขาทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
เผยพระวจนะต่อสู้เอโดม
12พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “เพราะว่าเอโดมได้ทำการแก้แค้นต่อพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ และมีความผิดใหญ่หลวงในการแก้แค้นพวกเขา 13เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้เอโดม และตัดคนและสัตว์ออกเสียจากเอโดม และเราจะทำให้ย่อยยับตั้งแต่เมืองเทมานถึงเมืองเดดาน เขาทั้งหลายก็จะล้มลงด้วยดาบ 14และเราจะวางการแก้แค้นของเราลงเหนือเอโดมด้วยมือของอิสราเอลประชากรของเรา และพวกเขาจะทำกับเอโดมตามความกริ้วและความโกรธของเรา แล้วเอโดมจะรู้ถึงการแก้แค้นของเรา” พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้แหละ
เผยพระวจนะต่อสู้คนฟีลิสเตีย
15พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า “เพราะว่าคนฟีลิสเตีย ได้ทำการแก้แค้น และแก้แค้นด้วยใจมุ่งร้ายหมายทำลายศัตรูดั้งเดิมเสีย 16เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้คนฟีลิสเตีย และเราจะตัดคนเคเรธีออก และทำลายคนที่เหลืออยู่ของชายฝั่งทะเล 17เราจะทำการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ต่อพวกเขาและลงโทษเขาด้วยความโกรธ แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ และเราได้วางการแก้แค้นของเราไว้บนพวกเขา”
อรรถาธิบาย
ความเชื่อในยามโศกเศร้า
พอล ตูร์นิเยร์ เขียนไว้ว่า ‘ความเชื่อ ไม่ใช่ที่หลบซ่อนต่อความยากลำบาก แต่เป็นความเชื่อในการเผชิญกับความขัดแย้งทั้งหมด’
ความเชื่อของเอเสเคียลนั้นน่าทึ่ง ถ้อยคำนี้เป็นข้อความจะพูดออกมายากมาก พระเจ้ากำลังตรัสกับประชากรของพระองค์ว่าพระองค์ได้พยายามชำระพวกเขาให้พ้นจากมลทิน แต่พวกเขาจะไม่สะอาด ดังนั้นการพิพากษาของพระองค์จะมาถึง เราจะพิพากษาเจ้าตามวิถีทางและการกระทำของเจ้า (24:14) หากเราปฏิเสธที่จะยอมรับการอภัยจากพระเจ้า (ซึ่งตอนนี้เรารู้แล้วว่าเป็นไปได้โดยผ่านไม้กางเขนของพระคริสต์) เราจะถูกพิพากษาจากความประพฤติและการกระทำของเราเอง
ความเชื่อของเอเสเคียล ทำให้เขามีชีวิตต่อไป ถึงแม้ต้องสูญเสียภรรยาอย่างน่าเศร้า ( ‘ผู้ที่ (เจ้า) รัก’ ข้อ 16) พระเจ้าตรัสว่ าพระองค์กำลังจะทำลายสถานนมัสการของอิสราเอล ซึ่งเป็นความปรารถนาแห่งดวงตาของพวกเขา ซึ่งวิญญาณจิตพวกเขานั้นรัก (ข้อ 21) เอเสเคียลกำลังพยากรณ์ถึง ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มอย่างน่าสยดสยอง โดยชาวบาบิโลน
พระองค์ทรงเตือนประชาชาติอื่น ๆ ว่าอย่าชื่นชมยินดีจิตใจที่มุ่งร้ายของตนเอง (25:6, 15) พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบอย่างยิ่งต่อความรู้สึกยินดีอย่างลับ ๆ เมื่อเราเห็นคนอื่นมีปัญหา (ซึ่งเราสามารถถูกล่อลวงได้) มันตรงกันข้ามกับความรัก
เมื่อมีคนทำร้ายคุณ อย่าแก้แค้นด้วยตัวคุณเอง วางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่าในที่สุดพระองค์จะทรงรับรองความยุติธรรม (ข้อ 15-17)
ท่ามกลางความมืดมิดในพระวจนะตอนนี้ยังมีแสงสว่างอยู่ เมื่อผู้ส่งสารมาถึงพร้อมกับข่าวการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม การเป็นใบ้ของเอเสเคียล (ดู เอเสเคียล 3:24–27) ก็สิ้นสุดลง นี่เป็นการประกาศการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในงานรับใช้ของเขา เมื่อจุดสนใจของเขากลับไปที่ชนชาติอิสราเอล (บทที่ 33) ผู้เผยพระวจนะแห่งความพินาศผู้นี้ก็กลายเป็นผู้ส่งสารแห่งความหวัง พระเจ้าแห่งความยุติธรรมจะได้รับการเปิดเผยในฐานะพระเจ้าแห่งพระคุณและความรอด
พระเยซูทรงแบกรับการพิพากษาด้วยพระองค์เอง พระโลหิตของพระเยซูชำระคุณจากบาปทั้งหมด พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในคุณ คาดหวังให้พระองค์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผ่านตัวคุณ ขณะที่คุณวางน้ำหนักทั้งหมดไว้ที่พระองค์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ฮีบรู 11:31
‘โดยความเชื่อราหับหญิงโสเภณีจึง…’
ความเชื่อสามารถพบได้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 124:8
‘ความช่วยเหลือของเราอยู่ในพระนามของพระยาห์เวห์
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)